Tuesday, 20 May 2025
Hard News Team

‘ซับเวย์’ แจงร้านมีปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพ ‘ไม่ใช่แฟรนไชส์’ ชี้!! ร้านลิขสิทธิ์ของจริงมีแค่ 51 สาขา แต่ร้านละเมิดทะลุหลักร้อย

(4 พ.ย.67) ร้านซับเวย์ประกาศ ถ้าลูกค้าจะอุดหนุนร้านซับเวย์ของแท้ให้สังเกตหน้าร้านมีเลขที่ร้านและเครื่องหมายสัญลักษณ์ Authorized Franchise หลังลูกค้าเจอเรื่องคุณภาพอาหาร วัตถุดิบขาด กระดาษห่อไม่มีพิมพ์ลาย ขนมปังไม่ใช่ของร้าน ซึ่งเป็นร้านที่ยกเลิกสิทธิ์แฟรนไชส์ไปกว่า 3 เดือนแล้ว ด้านลูกค้าถามใช่หน้าที่หรือ ควรเป็นหน้าที่ของบริษัทแม่ต้องปิดร้านเหล่านี้

จากกรณีที่ผู้ใช้งาน X (ทวิตเตอร์) ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์การกินแซนด์วิชและสลัดบาร์จากร้านแฟรนไชส์ชื่อดังอย่าง Subway (ซับเวย์) ที่คุณภาพไม่เหมือนเดิม โดยพบว่า แซนด์วิชไม่ได้มาตรฐาน ,วัตถุดิบขาด ,กระดาษไม่มีลายซับเวย์ ,สีของบรรจุภัณฑ์เลอะติดขนมปัง ,คุณภาพอาหารด้อยลงอย่างมาก 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก Subway Thailand ของร้านซับเวย์ (Subway) ร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ประเภทแซนด์วิชและสลัด โพสต์ข้อความระบุว่า "เนื่องจากตอนนี้เราได้รับข้อร้องเรียนเรื่องคุณภาพอาหาร วัตถุดิบขาด กระดาษห่อไม่มีพิมพ์ลาย Subway กระดาษห่อลาย Subway สีเลอะติดอาหาร ขนมปังไม่ใช่ของ Subway และอื่นๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่าลูกค้าไปใช้บริการจากร้านซับเวย์ที่ถูกยกเลิกสิทธิแฟรนไชส์ไปตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. 2567 ไปแล้ว

ดังนั้น หากลูกค้าประสงค์ที่จะสั่งหรือซื้อซับเวย์ สามารถสังเกตหน้าร้านจะต้องมีเลขที่ร้านและเครื่องหมายสัญลักษณ์ Authorized Franchise จะเป็นแฟรนไชส์ที่ได้รับสิทธิโดยถูกต้องพร้อมบริการตามปกติ มีอาหาร และวัตถุดิบครบทุกเมนู รวมทั้งอะโวคาโด มะกอก และอื่นๆ ถูกต้องตามมาตรฐานของซับเวย์ พร้อมกันนี้ บริษัทได้แนบรายชื่อสาขาที่เป็นร้านแฟรนไชส์ที่ได้รับสิทธิโดยถูกต้อง และร้านที่ถูกยกเลิกสิทธิแฟรนไชส์มาพร้อมกันนี้"

สำหรับร้านซับเวย์ที่ได้รับสิทธิโดยถูกต้อง ประกอบด้วย 1. พัทยากลาง (ใกล้หาด) 2. สนามบินภูเก็ต - ห้องรับรองผู้โดยสารระหว่างประเทศ 3. สุขุมวิท 23 4. เอาต์เลตมอลล์ พัทยา 5. สยาม พารากอน 6. สนามบินภูเก็ต - ห้องรับรองผู้โดยสารภายในประเทศ (1) 7. สนามบินภูเก็ต - ห้องรับรองผู้โดยสารภายในประเทศ (2) 8. สนามบินดอนเมือง ระหว่างประเทศ 9. ฟอร์จูนทาวน์ 10. บางจากสุขุมวิท 62 11. โรงเรียนนานาชาติ บางกอกพัฒนา 12. เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต 13. โรงพยาบาลเวชธานี 14. อมาติโอ ชิล ปาร์ค 15. ปั๊ม ปตท. เดอะ ดีล แจ้งวัฒนะ 16. หาดจอมเทียน 17. โรงพยาบาล เมคปาร์ค

18. มอเตอร์เวย์ (ขาเข้า) 19. สนามบินดอนเมือง อาคารเทอร์มินัล 2 ชั้น 1 20. เอ็มควอเทียร์ 21. สนามบินดอนเมือง ผู้โดยสารภายในประเทศ 22. ฮาบิโตะ 23. สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 3 แอร์ไซด์ 24. สนามบินเชียงใหม่-ชาร์เตอร์ 25. สนามบินภูเก็ต-บริเวณเช็กอิน 26. มอเตอร์เวย์ (ขาออก) 27. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 28. ไมค์ ช้อปปิ้งมอลล์ 29. ชาลีเพลส (ซอยบัวขาว) 30. คาลเท็กซ์ บางใหญ่ 31. สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 1 อาคารผู้โดยสารขาเข้า 32. สนามบินสุวรรณภูมิ ภายในประเทศ 33. อาคารซีดับเบิ้ลยู ทาวเวอร์ 34. ตลาดรวมทรัพย์ 35. เทอร์มินอล 21 (อโศก) 36. ไทม์สแควร์

37. พีที รัชดาภิเษก 38. สนามบินดอนเมือง อาคารเทอร์มินัล 2 ชั้น 4 39. สนามบินสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 40. สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 3 41. สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 42. ปั๊มบางจาก เกษตรนวมินทร์ 43. สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 (Concourse E) 44. ถนนเลียบหาดป่าตอง 45. สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 3 อาคารใหม่ 1 46. เซ็นทรัล ฟลอเรสต้า 47. อ่าวนาง 48. นิมมานเหมินท์ ซอย 10 49. เมกา บางนา 50. ฮักมอลล์ ขอนแก่น และ 51. สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 (Concourse C)

ด้านชาวเน็ตต่างแสดงความคิดเห็นว่า สาขาที่ถูกยกเลิกไปแล้วทำไมใช้ชื่อร้านซับเวย์ได้ต่อครับ ทำไมไม่ยกเลิกทั้งหมดไปเลย บ้างก็เห็นว่าเจ้าของลิขสิทธิ์ควรดำเนินการกับร้านที่ถูกยกเลิกลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ให้ลูกค้าได้รับสินค้าและการบริการที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน ทำให้เกิดความสับสนแบบนี้ อีกทั้งลูกค้าแยกแยะไม่ไหวว่าสาขาไหนยังถือลิขสิทธิ์สาขาไหนยกเลิกแล้ว เพราะยังมีฟูดดีลิเวอรีที่แยกแยะไม่ได้ด้วย ควรจะเป็นหน้าที่ของบริษัทแม่ต้องปิดร้านเหล่านี้ และฟ้องในเรื่องสิทธิการใช้แฟรนไชส์

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา บริษัท โกลัค จำกัด ประกาศว่า บริษัทฯ เป็นผู้ได้รับสิทธิในการให้และเปิดแฟรนไชส์ร้านอาหารซับเวย์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย (Master Franchisee) ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2567 เป็นต้นไป และบริษัท ฟู้ด เจนเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งเคยเป็นผู้รับแฟรนไชส์และดำเนินกิจการร้านซับเวย์นั้นได้สิ้นสุดการเป็นผู้รับแฟรนไชส์ร้านอาหารซับเวย์โดยสิ้นเชิงแล้ว ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป โดยปัจจุบันมีสาขาที่เป็นผู้รับแฟรนไชส์และอยู่ภายใต้การดูแลในปัจจุบัน 51 สาขา และสาขาที่สิ้นสุดการเป็นผู้รับแฟรนไชส์ 105 สาขา

อนึ่ง ซับเวย์ได้ทำสัญญามาสเตอร์ แฟรนไชส์ ฉบับใหม่กับบริษัท โกลัค จำกัด ซึ่งมี บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เป็นผู้ถือหุ้นข้างมากในระดับผู้ถือหุ้นแท้จริง (Ultimate Shareholder) เพื่อขยายธุรกิจแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดย PTG ลงทุนผ่านบริษัท จีเอฟเอ คอร์ปอเรชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด (GFA) ที่เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นผ่านทางบริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด 70% ส่วน น.ส.เพชรัตน์ อุทัยสาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อะเบาท์ แพสชั่น กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์เดิมถือหุ้น 5% และ บริษัท ไลฟ์สไตล์ ฟู้ด จำกัด ที่ น.ส.เพชรัตน์เป็นกรรมการบริษัท ถือหุ้น 25%

'พิชัย' เจรจา 'รัฐมนตรียูเออี' พร้อมคณะนักธุรกิจ ชวนลงทุน Data Center-ประกาศความพร้อมเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหาร พร้อมเร่งสรุปผลเจรจา CEPA ไทย - ยูเออี

'นายพิชัย นริพทะพันธุ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ ดร.ธานี บิน อาเหม็ด อัล เซยูดี รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ นำคณะนักธุรกิจ UAE ที่มีศักยภาพสูงในการลงทุนเดินทางเยือนไทย เพื่อเชิญชวนมาลงทุนในประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยีและอาหาร สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตไปด้วยกัน

โดยนายพิชัยได้หารือกับ ดร.ธานีฯ และคณะนักธุรกิจ ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชิญชวนฝ่าย UAE เข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทย ซึ่ง UAE ก็มองเห็นถึงศักยภาพของไทยในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งไทยยังมีระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีที่ดีมาก อาทิ ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมสูง โดยเฉพาะไฟฟ้าและน้ำที่มีความเสถียรและมีปริมาณเพียงพอ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 5G ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีในระดับที่ดี และทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาเซียน UAE จึงสนใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวตลอดห่วงโซ่ธุรกิจเช่น การพัฒนาซอฟท์แวร์ และการบริการ เพื่อต่อยอดให้ไทยเป็น 'Hub' ของภูมิภาค โดยขอให้รัฐบาลไทยช่วยสนับสนุน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนฝ่าย UAE และจะช่วยแนะนำผู้ร่วมทุนที่น่าเชื่อถือให้ UAE นอกจากนี้ UAE ยังมองหานักลงทุนเข้าไปช่วยพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานใน UAEเพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระยะยาว

นายพิชัยฯ เสริมว่า ด้วยความพร้อมด้านการผลิต และแปรรูปสินค้าเกษตรและอาหารของไทยที่ส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก อาทิ ข้าว ไก่ และปลาทูน่ากระป๋อง ตนจึงได้เสนอไทยเป็นแหล่งสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารให้ UAE และเพื่อต่อยอดความร่วมมือที่ยั่งยืนที่สองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกันตนจึงได้เชิญชวน UAE เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ขณะเดียวกัน UAE ก็มีความสนใจที่จะร่วมมือกับไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเห็นว่า ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำ และการจัดการขยะของ UAE จะช่วยส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมของไทย ทั้งนี้ UAE ได้เชิญชวนให้ไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวมายัง UAE เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาด UAE อีกทั้ง ยังเสนอให้ไทยใช้ UAE ที่มีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ เป็นจุดกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคใกล้เคียง อาทิ แอฟริกา และยุโรปด้วย โดยตนได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศหารือกับบริษัทของ UAE ในรายละเอียดต่อไป

นายพิชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า UAE มีความต้องการแรงงานคุณภาพจากไทย รวมทั้งวิศวกรจำนวนมาก เพื่อเข้าไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของ UAEโดยกระทรวงพาณิชย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยสนับสนุนประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ ตนได้พูดคุยกับ ดร. ธานีฯ เกี่ยวกับแนวทางการสรุปผลการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับ UAE หรือที่เรียกว่า CEPA ซึ่งเราเห็นตรงกัน ที่จะผลักดันให้การเจรจาฯ สรุปผลได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อภาคธุรกิจของสองฝ่ายต่อไป 

สะพัด!! จนท.กะเหรี่ยง เมายิงกันเองบาดเจ็บดอดรักษาในไทย พบใช้ช่องทางธรรมชาติ แต่ทางฝั่งไทยยังไม่เข้าคุมตัวฐานข้ามแดนผิด กม.

(4 พ.ย. 67) มีรายงานเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เวลา 20.30 น. ว่าเจ้าหน้าที่เก็บภาษีใน อ.กอกาเร็ก จ.ดูปลายา สังกัดกลุ่ม KNU เกิดการทะเลาะวิวาทยิงกับ กำลังพลของกองพลน้อยที่ 3 กองกำลังโกลทูบอ สังกัด DKBA ในบริเวณพื้นที่ ด่านตรวจร่วมท่าทราย-บ้านวาเล่ย์ใหม่ หมู่บ้านวาเล่ย์ใหม่ รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ บ้านวาเล่ย์เหนือ หมู่ 3 ตำบลวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ในเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 2 ราย คือ นายน่อวา เจ้าหน้าที่เก็บภาษีประจำ อำเภอกอกาเร็ก จังหวัดดูปลายา ได้รับบาดเจ็บถูกยิงบริเวณลำตัว 1 นัด และ แขน 1 นัด และร้อยโท เลโท ผู้บังคับหมวดกองพลน้อยที่ 3 สังกัดกองกำลังโกลทูบอของ DKBA ได้รับบาดเจ็บถูกยิงบริเวณศีรษะ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

ต่อมาเวลา 21.00 น. นายน่อวา ได้ถูกส่งตัวผ่านช่องทางธรรมชาติท่าทราย มารักษาพยาบาลที่ โรงพยาบาลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จนพ้นขีดอันตราย

ขณะนี้ ยังไม่มีรายงานการถูกควบคุมตัวจากทางการไทยในการข้ามแดนผิดกฎหมายแต่อย่างใด

ย้อนมอง GDP สหรัฐฯ ภายใต้ 10 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ใกล้ถึงกำหนดวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เข้าไปทุกขณะ ซึ่งในครั้งนี้เป็นการแข่งกันระหว่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จากรีพับลิกัน และ ‘กมลา แฮร์ริส’ จากเดโมแครต ใครจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะอีกไม่กี่วันคงได้รู้กัน แต่วันนี้ลองไปย้อนดูผลงานของอดีตผู้นำสหรัฐฯ 10 คน ก่อนหน้านี้ ว่าเศรษฐกิจแต่ช่วงของสหรัฐฯ นั้นเติบโตหรือถดถอยอย่างไรบ้าง

หากประธานกรรมการ หรือกรรมการแบงก์ชาติ ใช้อำนาจที่มีตอบสนองผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง จะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และอาจเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไข หรือย้อนกลับได้

(4 พ.ย. 67) ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการแต่งตั้ง “ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ” ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ว่า

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของแบงก์ชาติ แต่เป็นเรื่องอนาคตของชาติ

รัฐบาลจะอยู่ได้นานแค่ไหน ไม่มีใครทราบ แต่ถ้าคนการเมืองได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการ หรือกรรมการแบงก์ชาติแล้วจะอยู่ได้ครบเทอม

หากประธานกรรมการ หรือกรรมการแบงก์ชาติ ใช้อำนาจที่มีตอบสนองผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง จะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และอาจเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไข หรือย้อนกลับได้

ค่ายเพลง HYBE เอกสารหลุดนับหมื่นหน้า จ้างปั่นข่าวดิสเครดิต-ด้อยค่า 'ลิซ่า' ดูถูกคนไทย

(4 พ.ย.67) กลายเป็นมหากาพย์ใหญ่ดราม่าสะเทือนวงการ K-POP ครั้งใหญ่เมื่อค่ายเพลง 'HYBE Corporation' ปรากฏเอกสารลับรั่วไหลที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลของศิลปินค่ายอื่น ๆ ในวงการเพลงทั้งยังมีเนื้อความส่อไปในเชิงสร้างข่าวปลอมรวมถึงเหยียดหยามศิลปินหลายราย

หนึ่งในศิลปินที่ถูกกล่าวหา ก็คือ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล หรือ 'ลิซ่า BLACKPINK' รวมถึงสมาชิกในวงดังกล่าว โดยมีเนื้อหาแสดงออกเชิงเหยียดเชื้อชาติคนไทย ชาวอาเซียน การตลาดที่หากินกับทุกคนเพราะมองว่า ติ่งคนไทยเสมือนเบี้ยในมือนายทุนชาวเกาหลี

ประเด็นที่ทาง HYPE กล่าวหาลิซ่ามีหลายเรื่องตั้งแต่ การที่ลิซ่ามีข่าวเดท เลยเป็นเหตุไม่ต่อสัญญา, มีการโกงผลโหวตเลยได้รางวัล Best K-Pop จากงาน MTV กลุ่มแฟนคลับลิซ่ามีแต่ชาวอาเซียน ไม่ถือว่าเธอเป็นศิลปินระดับโลก เพราะเป็นคนไทย เลยไม่แปลกใจที่ไปเต้นคาบาเร่ต์โชว์ที่ CRAZY HORSE รวมไปถึงการจ้างนักข่าวปั่นข่าวเฟคนิวส์เพื่อทำลายชื่อเสียง

หลังมีประเด็นนี้ออกไปทางด้านนาย อีแจซัง ผู้บริหารของ HYBE ได้ออกแถลงการณ์ยอมรับว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารจริงและขอโทษไปยัง ศิลปิน ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการ และแฟน ๆ ทุกท่าน โดยระบุ

"ในฐานะซีอีโอของ HYBE ขออภัยเกี่ยวกับเอกสารการติดตามของ HYBE ผมอยากก้มหัวและขอโทษศิลปิน เจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรม และแฟนๆ เราตระหนักดีว่าผู้บริหารที่รับทราบเอกสารฉบับนี้ ขาดความตระหนักรู้ในประเด็นดังกล่าว และในฐานะซีอีโอ ได้หยุดจัดทำเอกสารติดตามดังกล่าวทันที ฉันสัญญาว่าจะกำหนดแนวทางปฏิบัติและเสริมการควบคุมภายในเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก"

ทั้งนี้ แม้ทางซีอีโอของ HYBE จะออกมาขอโทษไปยังต้นสังกัดของศิลปินที่ถูกพาดพิง และก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด โดยสาธารณชนได้วิพากษ์วิจารณ์  การกระทำของ HYBE เป็นเหมือนมะเร็งร้ายทำลายอุตสาหกรรมบันเทิง K-pop โดยเฉพาะประเด็นโจมตีเรื่องหน้าตาและภาพลักษณ์ศิลปินจากค่ายอื่น ทั้ง ๆ ที่ศิลปินของค่ายตัวเองก็เคยประสบกับปัญหานี้ รวมถึงการกว้านซื้อหุ้นของค่ายอื่น แล้วยุบวงเก่าสร้างวงใหม่ เป็นต้น

ขอนแก่น-"ธปท. สภอ."แจง! โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ยังเป็นแรงส่งสำคัญ

(4 พ.ย. 67) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 10,000 บาท มีผู้ได้รับสิทธิอยู่ในภาคอีสานมากที่สุด ทำให้เห็นการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันของเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นกว่าภาคอื่น

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ที่ ห้องปัญญาวิจิตร ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) เปิดแถลงข่าวเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาส 3 ปี 2567  สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาส 3 ปี 2567 ยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ไม่แตกต่างจากไตรมาสก่อน ตามกำลังซื้อที่เปราะบาง สะท้อนจากยอดขายยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวต่อเนื่อง  อย่างไรก็ดีการใช้จ่ายภาครัฐช่วยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเดือนกันยายนให้ปรับดีขึ้น

โดยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณส่งผลดีต่อเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง อีกทั้งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 10,000 บาท มีผู้ได้รับสิทธิอยู่ในภาคอีสานมากที่สุด ทำให้เห็นการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันของเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นกว่าภาคอื่น มองไปไตรมาส 4 ปี 2567 เศรษฐกิจอีสานยังคงมีแรงส่งต่อเนื่อง จากการเบิกจ่ายของภาครัฐ และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ยังเป็นแรงส่งสำคัญ ประกอบกับผลจากการปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และสนับสนุนการดำเนินธุรกิจได้บ้าง ส่งผลดีทันทีต่อลูกหนี้ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินเชื่อเกษตร สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจ จึงปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจภาคอีสานปี 2567  จากที่คาดว่าจะทรงตัวเป็นขยายตัวเล็กน้อย และในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวจาก  1)งบประมาณภาครัฐปีงบประมาณ 68 ที่จัดสรรได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน และงบผูกพันจากปีงบประมาณ 67 ที่เบิกจ่ายได้ต่อเนื่อง  2)ผลผลิตเกษตรที่เพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และ  3)มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยง ที่อาจกระทบประมาณการเศรษฐกิจอีสานปี 2568 เช่น การฟื้นตัวของกำลังซื้อโดยเฉพาะสินค้าคงทนและอสังหาริมทรัพย์ และมาตรการส่งออกข้าวของอินเดียที่จะกระทบราคาข้าวขาวอีสานในฤดูกาลเพาะปลูกหน้า เป็นต้น

รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ นำ จนท.ตรวจสารเสพติดทหารใหม่ 2,911 นาย เพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา

(4 พ.ย. 67) พลเรือตรี ชาตรี เปี่ยมศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มอบหมายให้ นาวาเอกหญิง อัจฉรี สิกขมาน ผู้อำนวยการกองสุขภาพจิต และ คณะเข้าดำเนินการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ยาบ้า ยาไอซ์ กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ในทหารใหม่กองประจำการ ผลัดที่ 3/67 จำนวน2,911 นาย เพื่อค้นหา ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ณ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมี นาวาเอก มงคล อุปถัมภ์ รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกททารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ให้การต้อนรับ และนำคณะเข้าดำเนินการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ในครั้งนี้

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘โฆษกกระทรวงดีอี’ เปิดข้อมูลศูนย์ AOC 1441 เตือนภัยประชาชน  ‘5 เคส’ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข่มขู่-หลอกลวง ติดตั้งแอปดูดเงิน เหยื่อเสียหายกว่า 5 ล้านบาท

(4 พ.ย. 67) นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 28 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมาศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย คดีที่ 1 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 1,480,741 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่เครือข่าย โทรศัพท์AIS แจ้งว่าผู้เสียหายได้ทำการเปิดหมายเลขโทรศัพท์ผิดกฎหมาย และโอนสายไปให้สนทนากับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และบัญชีธนาคารของผู้เสียหายถูกใช้ในการฟอกเงินคดียาเสพติดในพื้นที่ชายแดน จากนั้นขอตรวจสอบเส้นทางการเงินในบัญชี หากไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดตามกฎหมาย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ภายหลังการโอนเสร็จไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 2 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ  มูลค่าความเสียหาย 1,989,574 บาท ผู้เสียหายได้รับข้อความ SMS จากมิจฉาชีพผ่านช่องทางโทรศัพท์แจ้งว่าพัสดุของท่านจัดส่งไม่สำเร็จ เนื่องจากเกิดความเสียหายขึ้น และจะโอนเงินค่าสินค้าคืนให้ Flash Express ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงกดลิงก์ไปจากนั้นเพิ่มเพื่อนทาง Line อัตโนมัติ มิจฉาชีพอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ Flash Express ให้ดำเนินการทำตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่แนะนำจนเสร็จสิ้นขั้นตอน ต่อมาภายหลังได้รับข้อความ SMS จากธนาคารแจ้งว่ายอดเงินในบัญชีได้ถูกโอนออกไปจนหมด

คดีที่ 3 คดีหลอกลวงให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 826,663 บาท ผู้เสียหายพบโฆษณาสินเชื่อกู้เงินง่ายผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียด จากนั้นได้เพิ่มเพื่อนทาง Line มิจฉาชีพให้กรอกข้อมูลและแจ้งว่าให้โอนเงิน เพื่อเป็นค่าประกันสินเชื่อ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป แต่ไม่สามารถถอนเงินกู้ออกมาได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าผู้เสียหายกรอกข้อมูลส่วนตัวผิดพลาดระบบจึงทำการล็อกรายการไว้ให้โอนเงิน เพื่อขอรหัสแก้ไข ผู้เสียหายจึงโอนเงินไปให้อีกครั้ง จากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 4 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 453,599 บาท ทั้งนี้้ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทาง Facebook ชักชวนลงทุนเทรดหุ้น ผู้เสียหายสนใจจึงโอนเงินลงทุนแล้วทำการเทรดมาเรื่อย ๆ ต่อมา ผู้เสียหายต้องการถอนเงินแต่ไม่สามารถถอนได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าต้องเสียค่าภาษีและค่าธรรมเนียมก่อน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปให้ หลังจากโอนเงินเสร็จก็ยังไม่สามารถถอนเงินได้อีก มิจฉาชีพแจ้งว่าระบบขัดข้องมีปัญหาให้รอก่อน ภายหลังผู้เสียหายได้รับข้อมูลจากเพื่อนว่าเป็นขบวนการมิจฉาชีพ

และคดีที่ 5  คดีหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน (Romance Scam) มูลค่าความเสียหาย 310,000 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ใช้โพรไฟล์เป็นหญิงสาว หน้าตาดีและได้เพิ่มเพื่อนทาง Line จากนั้น VDO Call สนทนากัน ฝ่ายหญิงอ้างว่าพักอาศัยอยู่ต่างประเทศมักใช้คำพูดอ่อนหวานกับตนและแจ้งว่าได้ส่งของขวัญเป็นสร้อยทองข้อมือ ของผู้ชายที่มีมูลค่าหลายล้านบาทมาให้ แต่ต้องโอนค่าภาษีค่าธรรมเนียมและค่าขนส่งไปให้ฝ่ายหญิง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปให้หลายครั้ง จากนั้นตนเริ่มสงสัยจึงขอ VDO Call เพื่อดู สร้อยทองข้อมือที่จะส่งมาให้ ปรากฏว่าฝ่ายหญิงไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 5,060,577 บาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 25 ตุลาคม 2567 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงานดังนี้ 1. สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,179,500 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,214 สาย , 2. ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 365,404 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,128 บัญชี , 3. ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ (1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 108,237 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 29.62 (2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 89,692 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 24.55 (3) หลอกลวงลงทุน 56,177 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 15.37 (4) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 30,151 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 8.25 (5) หลอกลวงให้กู้เงิน 28,598 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.83 (และคดีอื่นๆ 52,549 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 14.38)

“จากเคสตัวอย่างจะเห็นได้ว่า มิจฉาชีพ หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้วิธีการหลอกลวงผู้เสียหาย ด้วยการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ ขณะที่บางเคสเป็นการหลอกลวงให้มีการกู้เงิน รวมทั้งหลอกลวงให้ลงทุนในธุรกิจ ด้วยวิธีการติดต่อโทร หรือผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง facebook และ Line ก่อนที่จะหลอกลวงให้มีการติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน ทั้งนี้ขอย้ำว่า กรณีการข่มขู่ผู้เสียหายว่ามีการกระทำผิดในอาชญากรรมออนไลน์ ขอให้ผู้เสียหายตรวจสอบข้อมูลจากศูนย์ AOC 1441 เพื่อความแน่ใจ ก่อนที่จะมีการการดำเนินการใดๆ เพื่อความปลอดภัย ด้านกรณีการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขณะเดียวกันกรณีที่อ้างมีการแอบอ้างให้บริการสินเชื่อ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ให้บริการ รวมทั้งการให้รางวัล หรือโอนเงินบำนาญ หรือการทำธุรกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ควรตรวจสอบจากหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง และควรตระหนักเป็นอันดับแรกว่าการติดต่อโดยตรงจากเจ้าหน้าที่รัฐถึงประชาชน เป็นการติดต่อที่น่าสงสัย ดังนั้นขอให้สอบถามรายละเอียดให้แน่ชัดก่อนให้ข้อมูลส่วนบุคคล และทำการเพิ่มเพื่อนหรือดำเนินการใดๆในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ควรตรวจสอบการลงทุนในธุรกิจต่างๆ อย่างรอบคอบ และติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด หรือติดต่อผ่านทางสายด่วน AOC 1441 เพื่อยืนยันตรวจสอบข้อเท็จจริง” โฆษกกระทรวงดีอี กล่าว

นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนยึดหลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลด และอัปโหลดแพลตฟอร์ม ที่มีการส่งต่อจากช่องทางที่ไม่แน่ใจ โดย กระทรวง ดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ ผ่านศูนย์ AOC 1441 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง และหากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 จ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชั่วโมง) หรือ Line ID : @antifakenewscenter และ เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com  

นักลงทุนต่างชาติ เชื่อมั่น!! ประเทศไทย ลงทุนกว่า 1.3 แสนล้านบาท ชี้!! มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ กระตุ้นให้เกิดการลงทุน

(3 พ.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงตัวเลขนักลงทุนต่างชาติที่สนใจมาลงทุนในประเทศไทย ว่า ตัวเลขเพิ่มขึ้น แสดงถึงศักยภาพของไทยที่ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โดยพบว่าตั้งแต่เดือน มกราคม-กันยายน ที่อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 636 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 143 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 493 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 2,505 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 143 ราย คิดเป็นร้อยละ 29 มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 50,792 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60

นายจิรายุ กล่าวว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก 1.ญี่ปุ่น 157 ราย (25%) เงินลงทุน 74,091 ล้านบาท 2.สิงคโปร์ 96 ราย (15%) ลงทุน 12,222 ล้านบาท 3.จีน 89 ราย (14%) ลงทุน 11,981 ล้านบาท 4.สหรัฐอเมริกา 86 ราย (13%) ลงทุน 4,147 ล้านบาท และ 5.ฮ่องกง 46 ราย (7%) ลงทุน 14,116 ล้านบาท โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ของนักลงทุนต่างชาติช่วง 9 เดือน ปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติลงทุน 207 ราย (33% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 108 ราย (109%) มูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท (30% ของเงินลงทุนทั้งหมด) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 23,690 ล้านบาท (147%) โดยเป็นนักลงทุนจาก ญี่ปุ่น 67 ราย เงินลงทุน 13,191 ล้านบาท จีน 54 ราย ลงทุน 7,227 ล้านบาท ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,219 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 68 ราย ลงทุน 14,192 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศคือ ธุรกิจ แพลตฟอร์ม และ ซอฟต์แวร์ ที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยมีสัดส่วนการลงทุนมูลค่า 28,397.26 ล้านบาท คิดเป็น 7.27% (กลุ่มแพลตฟอร์ม 11,721.44 ล้านบาท กลุ่มซอฟต์แวร์ 16,675.82 ล้านบาท) โดยต่างชาติที่มาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ สิงคโปร์ ลงทุน 9,814.28 ล้านบาท ไต้หวัน 5,953.63 ล้านบาท และ มาเลเซีย 2,237.63 ล้านบาท

นายจิรายุ กล่าวว่า ตัวเลขการลงทุนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนชาวต่างชาติให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ควรแก่การมาลงทุน เป้าหมายของรัฐบาล คือการหาตลาดการลงทุนใหม่ รักษาตลาดเก่า ขยายการลงทุนให้เป็นรูปธรรมเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีสิทธิประโยชน์ที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ และมีอุตสาหกรรมที่พร้อมสนับสนุนแผนการลงทุน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top