Monday, 19 May 2025
Hard News Team

ททท. ผุด E – Guidebook กระตุ้นคน Gen S ท่องเที่ยวด้วยรถไฟ ประเดิมเส้นทางฮิต ‘กรุงเทพฯ – เพชรบุรี – หัวหิน – ประจวบฯ’

(5 พ.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดตัว E-Guide Book #MyRailJourney ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เชิญชวนนักท่องเที่ยวออกแบบประสบการณ์เดินทางเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเดิมด้วยแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในเส้นทาง กรุงเทพมหานคร – เพชรบุรี และ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมจับมือกับ เคทีซี  รวมถึงพันธมิตรระดับโลกอย่าง Netflix และ Airbnb ร่วมปักธงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมาย เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว GenS ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ณ เคทีซี ทัช กรุงเทพมหานคร 

นางสาวเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ททท. ให้ความสำคัญต่อการนำเสนอประสบการณ์เดินทางที่มีคุณค่าและมุ่งเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยเล็งเห็นว่า การเดินทางด้วยรถไฟนั้นเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพราะมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ารถยนต์หรือเครื่องบิน อีกทั้งการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟนั้นอยู่คู่กับนักเดินทางชาวไทยมายาวนานกว่า 120 ปีถือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่สนุกและมีเสน่ห์เฉพาะตัว จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรจัดทำ E- Guidebook #MyRailJourney เส้นทางเพชรบุรีและหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ขึ้น เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เปิดมุมมองใหม่ในการเดินทางที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 

เจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว GenS (Generation Sustainability) นักท่องเที่ยวหัวใจยั่งยืนที่พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่จำกัดช่วงวัย โดยมี E- Guidebook เป็นเสมือนไกด์นำเที่ยวคนสำคัญในการออกเดินทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถออกแบบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมายด้วยตัวเอง นับตั้งแต่การเลือกตารางเวลารถ การคำนวณระยะเวลาในการเดินทาง การเลือกขบวนรถ การเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำกิจกรรมที่ชื่นชอบในระหว่างนั่งรถไฟ รวมทั้งวางแผนการท่องเที่ยวในจุดหมายปลายทางจนกระทั่งเดินทางกลับ ทั้งนี้ ททท.จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านมาสัมผัสการเดินทางแบบ Slow Travel ที่งดงามและยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างเทรนด์ใหม่เป็นทางเลือกให้การท่องเที่ยวของไทยไปพร้อมกัน 

ด้าน Mr. Ruben Hattari, Public Policy Director for Netflix in Southeast Asia กล่าวว่า Netflix ในฐานะผู้มอบความบันเทิงระดับโลก มีความยินดีที่จะแนะนำภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และสารคดี ที่มีเนื้อหาส่งเสริมประสบการณ์การเดินทางที่ลึกซึ้งเพื่อให้นักเดินทางได้ชมระหว่างนั่งรถไฟ ซึ่งได้แนะนำไว้ใน E - Guidebook ฉบับนี้ และยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชม Netflix เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และหวังว่าคอนเทนต์ต่างๆ ที่คัดสรรมานำเสนอจะกระตุ้นความสนใจให้มีการออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย

ขณะที่ Ms. Mich Goh, Director of Public Policy for Asia Pacific at Airbnb กล่าวว่า นอกเหนือจากการเปิดบ้านและที่พักแล้ว Airbnb ให้ความสำคัญต่อการเป็น Host ที่ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เข้าถึงความเป็นท้องถิ่น โดยเล็งเห็นว่าการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟนั้นจะนำพานักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ เข้าสู่พื้นที่ได้อย่างทั่วถึง Airbnb จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายให้กับนักเดินทางที่เลือกใช้บริการ Host  และ Airbnb จะเป็นช่องทางสำคัญในการประชาสัมพันธ์ E-Guidebook รวมทั้งช่วยให้ข้อมูลและเรื่องราวในพื้นที่ และเป็นทูตวัฒนธรรมที่ช่วยแนะนำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยว สำรวจมรดกท้องถิ่น อาหารพื้นเมือง และสถานที่ที่พิเศษต่างๆ ในเมือง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ

นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวด
สายการบิน “เคทีซี” กล่าวว่า เคทีซีคำนึงถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ด้านการเดินทางท่องเที่ยวผ่านช่องทางเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส อาทิ บัตรรถไฟ บัตรรถราง รถเช่าไฟฟ้า (EV) และแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน สำหรับ

การเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟนั้น เชื่อมั่นว่านักเดินทางจะได้รับประสบการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทั้งประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่น ธรรมชาติและชุมชน รับคะแนนเพิ่ม 1,000 KTC FOREVER เมื่อจองตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ขณะเดียวกันเคทีซีพร้อมสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของเคทีซีเพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชุมชน ร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายของฝาก ที่พักชุมชนให้สมาชิกได้เข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวได้สะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ ในการจัดกิจกรรมเปิดตัว E -Guidebook #MyRailJourney ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังแนวทางการพัฒนาโครงข่ายและการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดย นางศุภมาศ ปลื้มกุศล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว รฟท. พร้อมทั้งชมความงดงามเสน่ห์ของการเดินทางด้วยรถไฟผ่านนิทรรศการภาพถ่ายในหัวข้อ “ชีวิตที่สวยงาม” และ “การเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่น่าจดจำ”ถ่ายภาพโดย ชาตรี สลีวงศ์ ช่างภาพสารคดีชื่อดัง ซึ่งถ่ายทอดจิตวิญญาณของการเดินทางด้วยรถไฟ ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คน ทิวทัศน์ และความอมตะของการเดินทาง ความมหัศจรรย์ในการชะลอจังหวะชีวิตและสัมผัสประสบการณ์ผ่านหน้าต่างรถไฟ  และ กฤษฎากร สุขมูล ช่างภาพผู้เชี่ยวชาญด้านภาพถ่ายอาหาร และนำเสนอความงดงามของรถไฟไทยไม่ใช่แค่ปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่เติมเต็มด้วยวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการเชื่อมต่อของผู้คนในแต่ละจุดที่รถไฟหยุด นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสประสบการณ์เดินทางจากอาหาร รังสรรค์โดย เชฟเบลล์ พิมพ์ทิพย์ เป้าศิลา เชฟชื่อดังจากรายการ Master Chef Thailand นำเสนอแนวคิดการเดินทางด้วยรถไฟคือการซึมซับทุกช่วงเวลา เหมือนกับการเพลิดเพลินกับอาหารจานพิเศษที่เชื่อมโยงกับการเดินทางได้อย่างลึกซึ้ง

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด E-Guide Book #MyRailJourney เพื่อเป็นข้อมูลแนะนำประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟได้แล้วที่ https://tourismproduct.tourismthailand.org/2024/10/23/rail-journey/  หรือสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1672 Travel Buddy

เสินโจว-18 เสร็จสิ้นภารกิจ 6 เดือน 3 นักบินอวกาศจีนกลับถึงโลก

หนังสือพิมพ์ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี (Science and Technology Daily) รายงานวันนี้ (4 พ.ย.) ว่ายานอวกาศเสินโจว-18 (Shenzhou-18) ได้เดินทางกลับถึงโลกโดยสวัสดิภาพ พร้อมด้วยตัวอย่างทดลองจากสถานีอวกาศซึ่งมีน้ำหนักรวม 34.6 กิโลกรัม ประกอบด้วยจุลินทรีย์ วัสดุโลหะผสม และวัสดุนาโน ซึ่งเป็นวัสดุที่ยากต่อการจัดเตรียมบนโลก

แคปซูลเสินโจว-18 ได้พานักบินอวกาศ 3 คนเดินทางกลับถึงโลกในช่วงเช้าวันนี้ หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่ยาวนานถึง 6 เดือนบนสถานีอวกาศ

ตัวอย่างทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยานอวกาศนำกลับมามีทั้งหมด 55 ชนิด ครอบคลุมถึง 28 โครงการวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา เช่น ชีววิทยาศาสตร์ในอวกาศ วิทยาศาสตร์วัสดุในอวกาศ และวิทยาศาสตร์การเผาไหม้ภายใต้แรงโน้มถ่วงต่ำ

ตัวอย่างทางชีววิทยาศาสตร์ประกอบด้วย อาร์เคีย (Archaea) ที่สามารถสร้างก๊าซมีเทน จุลินทรีย์ที่ต้านทานรังสีได้ และจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในหิน ซึ่งคาดว่าจะเป็นรากฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมนอกโลก และการประเมินความสามารถในการปรับตัวของจุลินทรีย์กับความท้าทายในอวกาศ

ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกจากนี้ ตัวอย่างบางส่วนที่นำกลับมายังรวมถึงโลหะผสมที่ทนทานต่ออุณหภูมิสูง ไฟเบอร์ออปติก และสารเคลือบออปติก วัสดุใหม่เหล่านี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงการผลิตใบพัดกังหันในอนาคตสำหรับการบินและอวกาศ เลเซอร์ไฟเบอร์ที่ปรับให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมในอวกาศ และการรักษาทางการแพทย์ที่แม่นยำ

นอกจากนี้ ยานอวกาศยังได้นำอนุภาคนาโนจากการเผาไหม้มีเทนกลับมาด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการสังเคราะห์วัสดุระดับอนุภาคสำหรับสภาพแวดล้อมนอกโลกในอนาคต

5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 เกิดวิกฤติการณ์คลองสุเอซ สงครามอาหรับ-อิสราเอล ครั้งที่ 2

วิกฤตการณ์สุเอซ (The Suez Crisis) หรือสงคราม อิสราเอล-อาหรับ ครั้งที่ 2 เป็นการรุกรานอียิปต์ในช่วงปลายปี 2499 โดยฝ่ายอิสราเอล ตามมาด้วยสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส จุดมุ่งหมายคือการควบคุมทางด้านตะวันตกของคลองสุเอซ และเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีแห่งอียิปต์ ญะมาล อับดุนนาศิร ที่ได้ถือสิทธิ์ว่าคลองนั้นให้กลายเป็นของรัฐ แต่หลังจากการสู้รบได้เริ่มต้นขึ้น แรงกดดันทางการเมืองจากสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และสหประชาชาติ นำไปสู่การถอนตัวจากรุกรานของทั้ง 3 ประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต้องได้รับความอับอาย ในขณะเดียวกันก็ทำให้นัสเซอร์เข้มแข็งขึ้น

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม อิสราเอลได้ส่งทหารมาบุกรุกคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ ขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศส ก็ได้ยื่นคำขาดร่วมกันเพื่อให้มียุติการยิง ซึ่งก็ถูกเพิกเฉย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน อังกฤษและฝรั่งเศสได้ส่งทหารโดดร่มลงพื้นตามคลองสุเอซ และก็เป็นที่ชัดเจนว่าอิสราเอล ฝรั่งเศส และอังกฤษได้สมคบคิดกันเพื่อวางแผนการบุก แต่ก่อนที่กองกำลังอียิปต์จะพ่ายแพ้ พวกเขาได้ปิดกั้นคลองไม่ให้เรือเดินสมุทรทั้งหมดผ่าน โดยการจมเรือ 40 ลำในคลอง ทำให้การคมนาคมทางน้ำในขณะนั้นถือว่าถูกตัดขาด เกิดกระทบระดับโลก

ผลพวงมาจากความขัดแย้งครั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ หรือ United Nations:UN จึงได้เข้ามาจัดการ เหตุการณ์นี้จึงได้จบลงโดยการที่อังกฤษ ฝรั่งเศสและอิสราเอลต้องถอยทัพกลับ ส่วนอียิปต์ต้องมีการชดใช้ค่าเสียหายจากการล่มเรือถึง 81.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลโพลชี้ชัด!! ‘พีระพันธุ์’ คะแนนนิยมพุ่งอย่างต่อเนื่อง หลังดันนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ พลังงานไทยเป็นรูปธรรม

จากผลสำรวจความคิดเห็นสวนดุสิตโพล ‘ดัชนีการเมืองไทย เดือนตุลาคม 2567’ ซึ่งสะท้อนถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอุทกภัย ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ รวมไปถึงอุบัติเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ ซึ่งทางรัฐบาล ได้เร่งทำงานและแก้ปัญหาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็ว 

ในขณะที่รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ที่มีความโดดเด่นในสายตาประชาชน พบว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังมาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อันดับ 2 และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 3

แต่เป็นที่น่าสนใจว่า นายพีระพันธุ์ มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมีคะแนนอยู่ที่ 18.36% ขึ้นมาเป็น 20.79% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประชาชนให้การยอมรับและเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานของนายพีระพันธุ์ ที่ได้เดินหน้าปฏิรูปพลังงานของประเทศไทยทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม ตามแนว ตามแนวทาง 'รื้อ ลด ปลด สร้าง'

โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพีระพันธุ์ ได้เสนอให้มีการตรึงราคาพลังงานก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า เพื่อลดค่าครองชีพช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการร่างกฎหมายเพื่อวางกรอบในการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและวางกรอบป้องกันสถานการณ์วิกฤตพลังงานในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ ได้ออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมัน ต้องแจ้งต้นทุนนำเข้าส่งออกราคาน้ำมันให้ภาครัฐ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เพื่อนำไปกำหนดราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นอกจากนี้ ยังมีร่างกฎหมายเตรียมเข้าสู่สภาฯ อีกหลายฉบับ อาทิ กฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไม่ใช่การอ้างอิงราคาในต่างประเทศ จะทำให้ราคาพลังงานถูกลง ทั้งน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถปรับเปลี่ยนราคาได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจรายละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและพลังงาน และคาดว่าการตรวจสอบร่างกฎหมายจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ภายในปีนี้ พร้อม ๆ กับกฎหมายกำกับดูแลการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์ (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้งานภายในบ้าน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง และจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลกับค่าไฟแพงอีกต่อไป

รวมถึง ร่างกฎหมายจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันแห่งชาติ หรือ Strategic Petroleum Reserve (SPR) ที่จะมาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน รวมไปถึงก๊าซธรรมชาติด้วย โดยต่อไปการกำหนดราคาน้ำมันในประเทศจะเป็นเรื่องของภาครัฐกับผู้ประกอบกิจการค้าน้ำมัน ไม่ต้องผันผวนรายวันตามราคาขึ้นลงของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจพิจารณาและคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2567 นี้เช่นกัน 

แน่นอนว่า ความนิยมในตัวนายพีระพันธุ์ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนถึงการยอมรับในผลงานและความมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างหนัก และที่สำคัญไม่มีความหวั่นเกรงต่อกลุ่มทุนพลังงาน ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยแต่อย่างใด ขอเพียงนโยบายและโครงการที่จะทำนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ รวมถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อความเป็นธรรมและมั่นคงอย่างยั่งยืนเท่านั้น

จับนักร้องดังมาเลเซีย พร้อมยาบ้ากว่า 6 พันเม็ด แต่แฟนคลับแห่ให้กำลังใจแน่นโรงพักสุไหงโก-ลก

(4 พ.ย. 67) ตำรวจจับ Eda Ezrin นักร้องดังมาเลเซีย พร้อมยาบ้ากว่า 6 พันเม็ดคาโรงแรม ขณะที่แฟนคลับแห่ข้ามแดนให้กำลังใจแน่นโรงพัก สุไหงโก-ลก ฝั่งตำรวจต้องจัดกำลังคุมความสงบ

เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่ทำเอาแฟนเพลงถึงกับช็อก! เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส บุกจับนักร้องสาวสุดฮอตจากมาเลเซีย พร้อมยาบ้ากว่า 6,000 เม็ด คาห้องพักโรงแรมดัง งานนี้แฟนคลับแห่ข้ามแดนมาให้กำลังใจแน่นโรงพัก จนเจ้าหน้าที่ต้องระดมพลคุมสถานการณ์กันเลยทีเดียว!

สำหรับนักร้องสาวคนดังกล่าวคือ วัน โนรชาฮีดา อัซลิน บินตี วันอิสมาอีล (MISS.WAN NORSHAHEEDA AZLIN BINTI WAN ISMAIL) อายุ 28 ปี เจ้าของเพลงฮิต “CINTA SETANDAN PISANG” หรือ “แบซอบาซอ” ที่แปลเป็นไทยว่า “ใจเย็นๆ” มียอดวิวถล่มทลายในมาเลเซีย

เธอถูกจับพร้อมกับเพื่อนร่วมแก๊งอีก 5 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 6,060 เม็ด ภายในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในสุไหงโก-ลก เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ข่าวการจับกุมครั้งนี้สร้างความฮือฮาอย่างมากในมาเลเซีย แฟนคลับและญาติๆ ของนักร้องสาว พากันข้ามแดนมาให้กำลังใจที่ สภ.สุไหงโก-ลก จนเจ้าหน้าที่ต้องจัดกำลังเสริมกว่า 50 นาย เพื่อดูแลความเรียบร้อย แถมยังมีตำรวจและสื่อมวลชนจากมาเลเซีย เดินทางมาเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สะท้อนให้เห็นถึงความดังของนักร้องสาวคนนี้

จากการสอบสวนเบื้องต้น ยังไม่มีใครรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของยาบ้า แต่ผลตรวจปัสสาวะพบว่าทั้ง 6 คนมีสารเสพติดในร่างกาย เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด” และ “เสพยาเสพติด” ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งอีก 2 คน โดนเพิ่มข้อหา “เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” เนื่องจากไม่มีเอกสารผ่านแดนที่ถูกต้อง

งานนี้ต้องติดตามกันต่อไปว่า บทสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไร นักร้องสาวคนดังจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาหรือไม่?

ย้อนฟังสัมภาษณ์ “Eda Ezrin” เคยเผยถูกบังคับให้ร้องเพลงด้วยความกลัวในประเทศตัวเอง!
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ (พฤษภาคม 2567) Eda Ezrin เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ Sinar Harian ในมาเลเซีย โดยเปิดเผยว่า เธอถูกบังคับให้ร้องเพลงด้วยความกลัวในประเทศของตัวเอง

เนื่องจากในรัฐกลันตัน มีกฎห้ามผู้หญิงแสดงดนตรีในที่สาธารณะ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงมุ่งมั่นร้องเพลงต่อไป เพราะถือเป็นพรสวรรค์และอาชีพที่หล่อเลี้ยงชีวิต แม้จะมีข้อจำกัดในกลันตัน แต่เธอก็ได้รับเชิญไปแสดงทั่วประเทศ

Eda Ezrin ยังเผยอีกว่า เพลง “Cinta Setandang Pisang” ที่ร้องร่วมกับ Den Manjo ทำให้เธอโด่งดัง และได้รับรางวัล Malaysian TikTok Music Chart อีกด้วย

จากนักร้องสาวที่เคยเผยว่าต้องร้องเพลงด้วยความกลัว สู่การเป็นนักร้องดังที่ถูกจับกุมพร้อมยาบ้า เรื่องราวของ Eda Ezrinจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตาม!

กต. ยัน ‘เกาะกูด’ ของคนไทย ป้อง MOU44 ไม่จำเป็ฯต้องยกเลิก พร้อมเเจงยิบ 5 ประเด็นร้อน

(4 พ.ย. 67) กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดการบรรยายสรุปสถานการณ์เรื่อง เรื่องพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping ClaimsArea: OCA) ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยของสาธารณะ

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ อธิบายประเภทของเขตทางทะเลและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี ค.ศ. 1982 และชี้แจงที่มาของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ระหว่างไทย-กัมพูชา ขนาดประมาณ 26,000 ตร.กม. เกิดจากการประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยของทั้งสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้ทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ชี้แจงว่า MOU 2544 นี้เป็นข้อตกลงที่กำหนดกรอบและกลไกการเจรจาร่วมกัน ไม่ได้หมายถึงการยอมรับการอ้างสิทธิของอีกฝ่าย โดยทั้งสองประเทศต้องดำเนินการเจรจาต่อไป MOU 2544 กำหนดให้เจรจาทั้งเรื่องการแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศและประโยชน์ร่วมกัน กลไกหลักคือ คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านความมั่นคง กฎหมาย และพลังงาน ซึ่งได้มีการประชุมไปแล้วในปี 2544 และ 2545 นอกจากนี้ยังมีคณะอนุกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Sub-JTC) และคณะทำงานร่วมเกี่ยวกับการกำหนดเขตทางทะเลและการพัฒนาร่วม

แนวทางในการแก้ปัญหา OCA ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นพ้องต้องกัน มีดังนี้ (1) ข้อตกลงต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนทั้งสองประเทศ (2) ต้องนำเรื่องให้รัฐสภาของทั้งสองประเทศพิจารณาอนุมัติ และ (3) ข้อตกลงต้องสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการ JTC ฝ่ายไทย และเมื่อทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งคณะกรรมการ JTC แล้ว ไทยจะเสนอกรอบการเจรจาให้รัฐบาลเห็นชอบ จากนั้นจะทาบทามการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต่อไป รวมถึงการแต่งตั้งกลไกย่อยต่าง ๆ

กระทรวงการต่างประเทศยืนยันการเจรจาเรื่อง OCA บนพื้นฐานของกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของชาติ เช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติกับประเทศอื่น

ในช่วงการตอบคำถามสื่อ อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ได้ตอบคำถาม 5 ข้อดังนี้:

1. เกี่ยวกับคำถามที่ว่า MOU 2544 จะทำให้ไทยเสียเกาะกูดหรือไม่ อธิบดีชี้แจงว่า เกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญากรุงสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ซึ่งยืนยันสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะกูดอย่างชัดเจน

2. MOU 2544 ขัดกับพระบรมราชโองการการประกาศเขตไหล่ทวีปหรือไม่ อธิบดีระบุว่า การดำเนินการตาม MOU 2544 สอดคล้องกับพระบรมราชโองการ โดยอิงตามอนุสัญญาเจนิวา ค.ศ. 1958 อย่างไรก็ตาม สิทธิเหนือทรัพยากรใต้ท้องทะเลขึ้นกับการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน

3. MOU 2544 เป็นการยอมรับเส้นของกัมพูชาหรือไม่ อธิบดียืนยันว่าแต่ละฝ่ายมีสิทธิ์เคลมพื้นที่ของตนเองภายในประเทศ ไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ MOU ไม่ได้บังคับให้ยอมรับเส้นของกัมพูชา

4. การยกเลิก MOU 2544 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ มาจากการเจรจาชายแดนที่ไม่คืบหน้าในช่วงความตึงเครียดปี 2552 แต่ในปี 2557 กระทรวงเห็นว่า MOU 2544 มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย และทุกรัฐบาลที่เข้ามารับช่วงต่อยอมรับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างความโปร่งใสในการเจรจา

5. เกี่ยวกับการสร้างเขื่อนของกัมพูชาในพื้นที่ OCA อธิบดีระบุว่าการสร้างเขื่อนนี้ถูกประท้วงถึงสามครั้ง ตั้งแต่ปี 2541 2544 และปี 2564 เนื่องจากการก่อสร้างบางส่วนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ ซึ่งผลของการประท้วงทำให้หยุดการก่อสร้างของเอกชน "เราก็ต้องแสดงสิทธิเหนืออธิปไตย และเรื่องดังกล่าวอยู่ในการติดตามของกองทัพเรือ และสมช. อย่างใกล้ชิด" อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ กล่าว

‘เมรี คำภีร์’ ฉุนกึก!! หลังถูกถามถึงอดีตแฟน เตรียมฟาดกลับเจ็บ ๆ แต่สุดท้ายเจอเรื่องสุดพีค

หลังจากที่ เมรี คำภีร์ ลูกสาวของ ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ นักร้องเพื่อชีวิตชื่อดัง ได้ประกาศเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และคลอดลูกสาวที่น่ารัก ตั้งชื่อ น้องโนรา เจ้าตัวก็ดูแลลูกสาวเป็นอย่างดีมาโดยตลอด โดยมีครอบครัวคอยเคียงข้าง ซัพพอร์ต และช่วยกันดูแลหลานสาวตัวน้อยอย่างดี 

ล่าสุด เมรี ก็ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก เขียนเล่าเหตุการณ์ที่เจอคนที่ไม่รู้จัก มาพูดถามหาอดีตแฟนหนุ่ม บอกว่า 

"มาส่งพัสดุที่โลตัส เดิน ๆ อยู่มีเสียงสัมภเวสีแถวนั้นลอยมาว่า "อม.ไม่มาด้วยเหรอออ" นี่คือหันไปพร้อมจะสาปแม่งแบบไม่สนหน้าไหนแล้ว แต่พอหันไปปุ๊บ "ป้าบบบ!!!" เมียแม่งเอาศอกตีปากมัน แบบศอกจริง ๆ ทีเดียวอีผัวเลือดกลบปาก นี่พูดไม่ออกแล้วหันหลังกลับขึ้นรถ ก่อนขึ้นได้ยินเสียงเมียแว่ว ๆ ว่า "มึงไปขอโทษเขาเลยนะ" ฉันรีบสตาร์ทรถออกเลยจ้ะ คือตอนนี้ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงเลย 555555"

และเขียนในคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า "ปรึกษาแม่ว่า เป็นแม่จะขึ้นรถเหมือนเมมั้ย หรือจะรอคำขอโทษ หรือจะซ้ำเติมมันต่อ แบบ "สมควรแล้วมึงอะ!" แม่บอก "ขึ้นรถดิ!"

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบ 15 นโยบายการบริหารราชการ เน้นย้ำการเปลี่ยนแนวคิด (MINDSET) ปรับองค์กร เร่งปราบปรามอาชญากรรม เพิ่มขีดความสามารถสถานีตำรวจ ดูแลสวัสดิการตำรวจและครอบครัว สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับพี่น้องประชาชน

(4 พ.ย. 67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2568 ณ ห้องแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , ข้าราชการตำรวจระดับ พล.ต.ต. ขึ้นไป พร้อมทั้งสมาคมแม่บ้านตำรวจ จำนวนกว่า 465 นาย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องแจ้งยอดสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถ่ายทอดสัญญาณผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังหน่วยงานตำรวจทั่วไปประเทศ เพื่อร่วมรับฟังวิสัยทัศน์และนโยบายการบริหารราชการของผู้บัญชาการตำรวจคนที่ 15 ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน” 

โอกาสนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้อัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานหนังสือชุด ธรรมนาวา “วัง” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ดังนี้ 
“หลัก “ธรรม” ในพระศาสนา เป็นเรื่องสำคัญต่อมวลมนุษยชาติ และพวกเราทั้งหลายในฐานะทหาร และตำรวจ หลักปฏิบัติธรรมมะนาวาวังนี้ จะช่วยให้พวกเราได้เข้าใจในหลักธรรมคำสอนได้อย่างมีระบบระเบียบ โดยสามารถยึดถือเป็นหลักการและแนวทางในการศึกษา ฝึกปฏิบัติ ตลอดจนถึงการนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต 
อนึ่งการทหาร การตำรวจ กับ หลักธรรมคำสอนในพระศาสนานั้น หากพวกเราได้ทำความเข้าใจในธรรมะและศาสนา คือคำสอนที่ว่าด้วยเรื่องของชีวิต ตามความเป็นจริง สู่การดับทุกข์อย่างลึกซึ้งแล้วนั้น จะส่งผลให้สามารถครองตนและครองคนโดยธรรมได้เป็นอย่างดีและมั่นคงต่อไป”

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบ 15 นโยบายหลัก เน้นหนัก และเร่งด่วน ดังนี้
1. ปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2. เปลี่ยนแนวคิด ค่านิยม และกรอบความคิด (MINDSET) ให้ตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชน
3. สร้างขวัญกำลังใจ ให้รางวัลแก่ “ตำรวจน้ำดี” และพิจารณาลงโทษตำรวจที่ทำไม่ดีอย่างเด็ดขาด
4. ปรับปรุงการให้บริการ การอำนวยความสะดวกในหน้าที่ของตำรวจทุกด้าน พัฒนางานสถานีตำรวจ
5. ส่งเสริม สนับสนุน และแก้ไขปัญหางานสอบสวน รวมทั้งอำนวยความยุติธรรมทางอาญา
6. ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ เช่น ยาเสพติด อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ค้ามนุษย์ ผู้มีอิทธิพล อบายมุข บ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ สินค้าผิดกฎหมายหรือเลี่ยงภาษีศุลกากร และหนี้นอกระบบ
7. ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และกลุ่มชาวชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจโดยใช้นอมินี แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองหรือทำงานโดยผิดกฎหมาย
8. สร้างเสริมวินัยจราจร บังคับใช้กฎหมายและแก้ปัญหาด้านการจราจรเพื่อลดอุบัติเหตุ
9. นโยบายเชิงรุกด้านการข่าว ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง
10. สร้างความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน ประชาสัมพันธ์เชิงรุก และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
11. ปรับปรุง พัฒนาระบบและวิธีการทำงาน เพื่อสร้างแผนแม่บท (MASTER PLAN)
12. ปรับการบริหารงานบุคคลและงบประมาณใหม่ 
13. ทบทวน แก้ไข ปรับปรุง ระเบียบคำสั่ง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานของตำรวจ และการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
14. ฝึกอบรม ทบทวน พัฒนา ทักษะ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของตำรวจ
15. จัดสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ที่ตำรวจพึงมีอย่างเต็มที่ รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้สินของตำรวจ การสร้างอาชีพเสริมรายได้โดยสุจริต และไม่กระทบกับงานประจำ

ข้อเน้นย้ำในการปฏิบัติราชการและความร่วมมือด้านต่าง ๆ
1. การสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ โดยเฉพาะในสถานีตำรวจที่ต้องให้บริการประชาชน
2. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบกระทำความผิดเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง และประกอบอาชีพโดยผิดกฎหมาย
3. การดูแลนักท่องเที่ยว การรักษาความปลอดภัย ดูแลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
4. การบริหารจัดการจราจร อำนวยความสะดวกการจราจร ป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล
5. สนับสนุนความร่วมมือในการทำงานของสมาคมแม่บ้านตำรวจร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
6. ผู้บัญชาการ/ผู้บังคับการ จะต้องเป็น Influencer ด้วยตนเอง ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง
 
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเน้นย้ำ จะต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกด้านภายในองค์กรตำรวจ ขอให้ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชน สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับตำรวจ และขอให้สามัคคี ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชนและสังคมโดยรวม

ทับทิม-ไพลิน เฉิดฉายกลางเซี่ยงไฮ้ คนจีนเเห่ชมสินค้าไทยงานโชว์นานาชาติ (CIIE)

(4 พ.ย. 67) (ซินหัว) ชุน ไพลินดีเลิศ วัย 49 ปี ผู้ค้าอัญมณี และประธานสมาคมนักธุรกิจยุคใหม่ไทย-จีน ย้ายมาไทยตั้งแต่ยังเด็กและก่อตั้งบริษัท ไทยแลนด์ หย่งไท่ จิวเวลรี จำกัด (Thailand Yongtai Jewelry) ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งนำสู่การมีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจการค้าอัญมณี โดยหนึ่งในภาพคุ้นตาสำหรับชุนคือการได้เห็นเหล่าผู้ชื่นชอบอัญมณีจากทั่วทุกมุมโลกมาเยี่ยมชมศูนย์การค้าอัญมณีในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยที่มีชื่อเสียงในฐานะศูนย์กลางการแปรรูปทับทิมและไพลินระดับโลก

ชุนกำลังจะนำสินค้าร่วมจัดแสดงที่งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) ครั้งที่ 7 ที่เตรียมจัดในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน เขาเข้าร่วมงานทุกครั้งมาตั้งแต่ปี 2018 โดยปีนี้นับเป็นการเข้าร่วมงานครั้งที่ 7 แล้ว โดยชุนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่าครั้งนี้ตนจะนำเครื่องประดับเกือบ 1,000 ชิ้น รวมทั้งทับทิมและไพลินมากกว่า 100 ชิ้นมาจัดแสดง

ชุนเคยคว้ารางวัลหลายรายการจากงานมหกรรมฯ ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากฐานะผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้าร่วมสู่ผู้ประกอบการที่ร่วมจัดแสดงอย่างเป็นประจำ ชุนเชื่อว่าเสน่ห์ของงานมหกรรมนี้อยู่ที่ความอัศจรรย์ใจในทุกๆ ปี และผลประโยชน์ที่ได้รับในแต่ละครั้ง พร้อมเล่าย้อนถึงประสบการณ์การเข้าร่วมครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งเขาได้รับคำสั่งซื้อตามที่ตั้งเป้าไว้และสร้างสายสัมพันธ์อันดีที่มีค่า

ชุนเผยว่างานมหกรรมฯ เอื้อประโยชน์มากมาย ทั้งการได้เรียนรู้สิ่งใหม่และได้ขยับขยาย "กลุ่มมิตรสหาย" ผ่านแพลตฟอร์มนี้ การเข้าร่วมตลอดหลายปีทำให้ชุนเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปและแนวโน้มล่าสุดของผู้บริโภคชาวจีนดียิ่งขึ้น ซึ่งลูกค้าและพันธมิตรที่ได้จากงานมหกรรมฯ มีส่วนสนับสนุนการขยายธุรกิจของเขา

ขณะเดียวกัน ชุนบอกเล่าถึงประสบการณ์น่าจดจำจากงานมหกรรมฯ ปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยแม้ต้องเผชิญหน้ากับสารพัดความท้าทาย ทว่าชุนสามารถเข้าร่วมในฐานะผู้จัดแสดงอัญมณีจากต่างประเทศเพียงรายเดียวในงานมหกรรมปีนั้น

งานมหกรรมฯ ถือเป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่สำหรับการเชื่อมต่อระดับโลก และชุนเชื่อว่าการที่จีนเป็นเจ้าภาพจัดงานนี้อย่างต่อเนื่องนั้นถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญท่ามกลางการค้าระหว่างประเทศที่ตึงตัวขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากงานมหกรรมฯ ได้สร้างโอกาสใหม่ให้กับนานาประเทศ อาทิ ไทย ในการเข้าสู่ตลาดจีน ส่งผลให้ตลาดจีนอันกว้างขวางเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับโลก

ตั้งแต่เข้าร่วมงานมหกรรมฯ ครั้งแรกจนถึงครั้งที่เจ็ด บูธของชุนขยายพื้นที่จากเดิม 36 เป็น 72 ตารางเมตร ขนาดบูธที่เพิ่มขึ้นสองเท่าสะท้อนถึงธุรกิจของชุนที่เติบโต รวมทั้งมนต์เสน่ห์และอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของงานมหกรรมฯ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาชุนได้เห็นถึงพัฒนาการของงานมหกรรมฯ พร้อมทั้งสนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ ของไทยเข้าร่วมงานนี้ด้วย

นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 ชุนดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฯ และยังเป็นรองเลขาธิการหอการค้าไทย-จีน โดยเขาทุ่มเททำงานเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างบริษัทไทยและจีน

ชุนระบุว่างานมหกรรมฯ ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ประกอบการเหล่านี้อาจพบเจอความท้าทายในการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าขนาดใหญ่รูปแบบนี้ เพราะหลายรายไม่คุ้นเคยกับงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ดังนั้นนอกเหนือจากนโยบายพิเศษที่ผู้จัดงานจัดให้แล้ว หอการค้าฯ ยังเสนอบริการต่างๆ อาทิ บริการแปลภาษา เพื่อช่วยให้ผู้จัดแสดงสินค้าใช้ประโยชน์จากโอกาสอย่างเต็มที่

ชุนเสริมว่าหอการค้าฯ ได้จัดการให้บริษัทไทยนับสิบแห่งเข้าร่วมงานมหกรรมในครั้งนี้ โดยเน้นที่กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคอาหารและการแพทย์เป็นหลัก พร้อมให้คำมั่นว่าจะให้บริการที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้เข้าร่วมทุกคน และหวังว่าผู้เข้าร่วมงานจะประสบความสำเร็จมากขึ้นผ่านงานมหกรรมนี

แฟ้มภาพซินหัว : ทับทิมที่สำนักงานของชุน ไพลินดีเลิศ ผู้ค้าอัญมณีและผู้จัดแสดงในงานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน ที่กรุงเทพฯ วันที่ 23 ต.ค. 2024

‘โค้ชทีมเยาวชน’ ตัดพ้อฟุตบอล 7 คนรายการดัง หลังให้ดาวรุ่งทีมชาติฟอกขาวลงเเข่งเพื่อเป็นเเชมป์

กลายเป็นประเด็นดรามาหลังจบการเเข่งขันฟุตบอล 7 คนรายการใหญ่ 'กีฬา 7 HD' ซึ่งเเชมป์ปีนี้ตกเป็นของ ภัทรบพิตร อคาเดมีบุรีรัมย์ ด้วยการถล่มชนะ ราชวินิตบางแก้ว 7-1

ด้าน อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ กุนซือมากประสบการณ์ ที่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลระดับนักเรียนมากมาย กับการแข่งขันฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7HD แชมเปียนคัพ ซึ่งปัจจุบันทำทีมหมอนทองวิทยา ออกมาโพสต์ตัดพ้อเเกมบ่นว่าภัทรบพิตรใช้นักกีฬาระดับทีมชาติยกทีม การจะเป็นเเชมป์ไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งรายการนี้ควรจะเป็นการปั้นดาวรุ่งไปติดทีมชาติมากกว่าให้ทีมชาติมาเล่นเพื่อเอาเเชมป์

"จบไปแล้วครับสำหรับฟุตบอลรายการที่ดีรายการหนึ่งสำหรับนักเรียนนั้นคือกีฬานักเรียนฟุตบอล7คน แชมป์กีฬา7สี ก็ต้องแสดงความยินดีกับแชมป์ปีนี้คือ รร. ภัทรบพิตร จากบุรีรัมย์และก็ขอให้กำลังใจกับรองแชมป์ปีนี้ รร. ราชวินิตบางแก้ว สมุทรปราการ ถึงแม้ผลมันจะออกมาแบบชนะกันอย่างมากมายก็ต้องยอมรับหัวใจของนักกีฬาราชวินิตบางแก้วสู้แล้วครับ แต่สู้ไม่ได้เพราะอะไรหลายท่าน ๆ ก็พอจะเข้าใจกันได้เราแข่งขันกันมาหลายปีแล้ว สำหรับเวทีแชมป์กีฬา7สี เราน่าจะมาสังขยานากฎกติกากันใหม่ไหมกติกาเก่าไม่พัฒนาหลาย ๆ อย่างปกติแล้ว7สี มุ่งหาดาวรุ่งเพื่อช่วยชาติแต่ปัจจุบันมันไม่ใช่เพราะตอนนี้เราเอาดาวรุ่งทีมชาติฟอกขาวใหม่ เพื่อเป็นแชมป์7สี มองดูแล้วมันยังไงไม่รู้แต่ถ้าแข่ง7สี เสร็จแล้วสามารถสร้างดาวรุ่งเข้าสู่ทีมชาติได้ เราถือว่าการจัดการแข่งเราประสบความสำเร็จ เพราะช่วยชาติได้ส่วนตัวแล้วไม่อยากเห็นฟุตบอลรายการนี้เป็นฟุตบอลเดินสายแสวงหาผลประโยชน์กัน เพราะเป็นกีฬานักเรียนสมัครเล่น อย่าเอาฟุตบอลอาชีพเข้ามาเดี๋ยวมันจะเสื่อมมนต์ขลังฟุตบอล7สี ฟุตบอลดาวรุ่งมุ่งทีมชาติครับ" โพสต์ของอาจารย์ สกล

อย่างไรก็ตามกระเเสมีเเบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย 1 ก็เห็นด้วยเเต่ก็มีอีกกระเเสที่มองว่าทีมอื่น ๆ อย่าง โรงเรียนท่าข้ามก็มีนักเตะจากชลบุรี หรืออัสสัมชัญธนบุรีก็มีตัวดัง ๆ เยอะ แต่ที่ภัทรบพิตรคว้าเเชมป์เพราะนักกีฬามีระเบียบวินัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top