Monday, 19 May 2025
Hard News Team

ส่องโปรไฟล์ ‘จิ๊บ-ศศิกานต์’ รองโฆษกรัฐบาลคนใหม่ ร่วมขับเคลื่อนนำเสนอผลงานรัฐบาลแบบเชิงรุก

(6 พ.ย. 67) รู้จัก 'รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี' คนใหม่ในโควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ 'นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์' หลังคณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ หรือ จิ๊บ เกิดที่ จ. ตรัง จบการศึกษาชั้นมัธยมต้น จาก โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง และ มัธยมปลายจาก รร. สาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ. ปัตตานี  

จบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีจาก คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกสาขาวิทยุ-โทรทัศน์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2

หลังจากนั้น ได้เบนเข็มไปเรียนปริญญาโท สาขา International Marketing Management  University of Surrey ที่ประเทศอังกฤษ 

กว่า 20 ปีที่ ศศิกานต์ คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการบริหารการสื่อสารการตลาดในองค์กรเอกชนใหญ่ๆ  และในฐานะสื่อสารมวลชน เธอได้เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์มากมาย  รวมถึงยังเคยเป็นคอลัมนิสต์บนเว็บไซต์สื่อออนไลน์และสื่อหนังสือพิมพ์อีกด้วย

นางสาวศศิกานต์ ได้ก้าวสู่สนามการเมืองครั้งแรก โดยเป็นหนึ่งใน 30 ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. และเป็นผู้สมัครผู้ว่ากทม. ที่มีอายุน้อยที่สุด เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2565  โดยเธอเป็นผู้สมัครอิสระ ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด 

ต่อมา ปี  2566 นางสาวศศิกานต์ ลงสมัคร สส. ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติ เขต บางแค-ภาษีเจริญ 

และล่าสุด เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ครม.มีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งนางสาวศศิกานต์ เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

ศศิกานต์ ให้ความสำคัญกับ จรรยาบรรณในการสื่อสารเป็นอย่างมาก ในฐานะนักสื่อสารมวลชนที่ต้องมีความเป็นมืออาชีพ  ต้องนำเสนอในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์กับประชาชนและสังคม

ศรชล.ภาค 3 ร่วมกับ ทรภ.3 อำนวยความสะดวกและคุ้มกันการเดินทางของเรือ Amerigo Vespucci เรือใบที่สวยที่สุดและเก่าแก่ที่สุดจากอิตาลี เทียบท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต

เมื่อวันที่ (5 พ.ย.67) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 (ศรชล.ภาค3) เปิดเผยว่า พลเรือโทสุวัจ ดอนสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 ( (ผบ.ทรภ.3/ผอ.ศรชล.ภาค 3) สั่งการให้ ศรชล.ภาค 3 ร่วมกับ ทรภ.3 ร่วมกัน จัดเรือ และ อากาศยาน แสดงกำลัง ต้อนรับ คุ้มกัน ดูแลความปลอดภัย การมาเยือนเมืองท่าภูเก็ต ของเรือ Americo Vespucci ซึ่งเป็นเรือใบ ที่ได้รับการขนานนามว่าสวยที่สุด และมีอายุมากที่สุด ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1930 ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางรอบโลก ที่โดดเด่นด้วยโครงสร้างเรือใบสามเสาที่งดงาม โครงเรือและลวดลายแกะสลักได้รับการออกแบบอย่างประณีตและสง่างาม ผสมผสานความคลาสสิกและความอลังการอย่างลงตัว ซึ่งจะดึงดูดสายตาของผู้มาเยือน ณ ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2567

และในวันที่ 5 พ.ย.67 เวลา 15.30 น. ศรชล.ภาค 3 และ ทรภ.3 ได้จัดเรือ ต.111 เรือ ต. 272 และ เฮลิคอปเตอร์ S-76B ออกไปแสดงกำลัง ต้อนรับ คุ้มกันความปลอดภัย และอำนวยความสะดวก ในการเข้าเทียบท่า ทำการติดต่อสื่อสารระหว่างเรือ Americo Vespucci ได้อย่างชัดเจน และคุ้มกันเรือ มาจนถึงท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

โดยในวันนี้ นอกจากเรือของทางราชการที่ออกไปต้อนรับแล้ว ยังมีเรือใบของนักท่องเที่ยวต่างวิ่งเรือมาใกล้ๆ เรือ Americo Vespucci เพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งหลังจากที่ทำการเทียบท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ในวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเปิดให้ประชาชนที่ได้ลงทะเบียนทางออนไลน์ ได้ขึ้นเยี่ยมชมเรือ ก่อนที่จะเดินทางไปยังเมือง ที่ประเทศอินเดียต่อไป

โลกระทึก 7 Swing States ทรัมป์ คะแนนนำ แฮร์ริส 4 ต่อ 2 รัฐ

(6 พ.ย. 67) ยังสูสีพร้อมพลิกกลับได้เสมอ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ขณะนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปิดหีบไปแล้วส่วนใหญ่ที่ 41 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่รัฐสวิงสเตต (Swing States) ซึ่งจากผลคะแนนตอนนี้โดนัลด์ ทรัมป์" แทบจะสูสีกันแบบคนละครึ่งกับ "คามาลา แฮร์ริส"

ทรัมป์มีคะแนนนำใน 4 รัฐ คือ จอร์เจีย, มินเนโซตา, นอร์ทแคโรไลนา และวิสคอนซิน 

ส่วนแฮร์ริสมีคะแนนนำในรัฐ 2 รัฐ คือ มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย 

ก่อนหน้านี้ด้านสำนักข่าว NBC เผยผลสำรวจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวสหรัฐช่วงระหว่างวันที่ 30 ต.ค. ถึง 2 พ.ย. โดยพบว่าจากผลสำรวจทั้งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกกัน และนางกมลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนผลสำรวจที่สูสีเท่ากับ ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายฝ่ายที่เชื่อว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 นี้ผู้สมัครทั้งสองจะต้องอาศัยการชิงชัยในพื้นที่รัฐสวิงสเตท (Swing States) ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะก้าวสู่ทำเนียบขาว

สำหรับรัฐสวิงสเตทที่จะเป็นตัวชี้ขาดของทั้งสองฝ่ายประกอบด้วย รัฐเนวาดา, รัฐแอริโซนา, รัฐวิสคอนซิน, รัฐมิชิแกน, รัฐเพนซิลเวเนีย, รัฐนอร์ทแคโรไลนา, และรัฐจอร์เจีย

สำหรับผลโพลสำรวจผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในแต่ละรัฐสวิงสเตทพบว่า ทั้งกมลา แฮร์ริสและนายโดนัลด์ ทรัมป์มีคะแนนเสียงสูสีในสวิงสเตททั้ง 7 รัฐ โดยผลสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริสมีคะแนนนำเพียงเล็กน้อยในรัฐเนวาดา นอร์ทแคโรไลนา และวิสคอนซิน ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีคะแนนนำเพียงเล็กน้อยในรัฐแอริโซนา ขณะที่ทั้งคู่มีคะแนนสูสีกันในรัฐมิชิแกน จอร์เจีย และเพนซิลเวเนีย

รัฐเพนซิลเวเนีย
เพนซิลเวเนียเคยเป็นรัฐที่เดโมแครตวางใจได้ แต่ปัจจุบันเดโมแครตไม่สามารถยึดฐานเสียงในรัฐคีย์สโตนได้อีกต่อไป ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันเคยชนะเสียงข้างมากในรัฐนี้ ซึ่งมีประชากร 13 ล้านคน ด้วยคะแนนนำ 0.7% ในปี 2016 จากนั้นไบเดนก็สามารถเอาชนะในรัฐนี้ได้ด้วยคะแนนนำ 1.2% ในปี 2020

รัฐแอริโซนา
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในรัฐแอริโซนาในปี 2016 ด้วยคะแนนเกือบ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่แพ้รัฐนี้ให้กับโจ ไบเดนในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่าครึ่งเปอร์เซ็นต์ การสำรวจความคิดเห็นในปีนี้พบว่าทรัมป์และกมลา แฮร์ริสมีคะแนนเท่ากัน

รัฐวิสคอนซิน
วิสคอนซินเป็นรัฐที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งที่นั่นในปี 2016 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งที่นั่นในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน

รัฐจอร์เจีย
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในรัฐจอร์เจียในปี 2016 ด้วยคะแนนประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่แพ้ให้กับโจ ไบเดนในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 12,000 คะแนน การแข่งขันในปีนี้เป็นการเสี่ยงดวง โดยทรัมป์และแฮร์ริสมีคะแนนเท่ากันในการสำรวจความคิดเห็น

รัฐมิชิแกน
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในรัฐมิชิแกนในปี 2016 สร้างความประหลาดใจให้กับพรรคเดโมแครตในรัฐที่พรรครีพับลิกันไม่เคยชนะเลยตั้งแต่ปี 1988 โจ ไบเดนชนะในรัฐนั้นในปี 2020 โดยเอาชนะทรัมป์ไป 3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อกมลา แฮร์ริสและทรัมป์มีคะแนนเท่ากันในทางสถิติ จึงเป็นการเสี่ยงดวงก่อนวันเลือกตั้ง

รัฐเนวาดา 
พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเนวาดาใน 2 ครั้งล่าสุด แต่ผลสำรวจและแนวโน้มการลงคะแนนในรัฐทำให้รัฐนี้กลายเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อพยายามเปลี่ยนรัฐให้หันมาสนใจเขา กมลา แฮร์ริสและทรัมป์มีคะแนนเท่ากัน และรัฐนี้ถือเป็นรัฐที่ “เสี่ยงดวง”

รัฐนอร์ทแคโรไลนา
รัฐนอร์ทแคโรไลนาไม่ได้ลงคะแนนให้พรรคเดโมแครตเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2008 แต่ทีมหาเสียงของกมลา แฮร์ริสตั้งเป้าว่ารัฐนี้จะเป็นรัฐที่เธอสามารถชนะได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชากรผิวดำจำนวนมาก โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในรัฐนี้ในปี 2016 ด้วยคะแนน 3 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2020 ด้วยคะแนน 1 เปอร์เซ็นต์

‘พลัฏฐ์’ ชวนร่วมงานวัดภูเขาทอง 2567 วัดสระเกศฯ ชูไฮไลต์ ‘ประเพณีห่มผ้าแดง’ มงคลพิธีที่สืบทอดตั้งแต่สมัย ร.5

‘พลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์’ ชวนร่วมงานเทศกาลลอยกระทง งานวัดภูเขาทอง 2567 พร้อมร่วมสืบสาน ประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมมาสารีริกธาตุ องค์พระเจดีย์บรมบรรพต ที่ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดย งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ภูเขาทอง จัดขึ้นในตั้งแต่ วันที่ 8-17 พฤศจิกายน 2567

นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ อดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ เชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยว ร่วมวัดภูเขาทอง ซึ่งนับเป็นหนึ่งในงานวัดที่ต้องไม่พลาด และช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ทางวัดก็งดจัดกิจกรรมไปเนื่องจาก โควิด-19 สำหรับในปีนี้ งานวัดภูเขาทอง 2567 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8-17 พฤศจิกายน 2567 

ขณะที่ พิธีห่มผ้าแดง ถวายองค์พระเจดีย์บรมบรรพต  (ภูเขาทอง) ซึ่งเป็นการสืบสานประเพณีที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งเป็นไฮไลต์ของงานในปีนี้ จะจัดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 เวลา 06.00 น. 

นอกจากนี้ ขอเชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยว สักการะพระบรมสารีริกธาตุ และ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ
- ต้นพระศรีมหาโพธิ์
- พระประธาน พระอุโบสถ วัดสระเกศ
- หลวงพ่อโต
- หลวงพ่อดำ วัดสระเกศ
- พระอัฏฐารส
- หลวงพ่อดุสิต
- คัมภีร์โบราณ 2,000 ปี
- พระพุทธมงคลบรมบรรพต (หลวงพ่อดวงดี)
- พระพุทธมงคลสุวรรณบรรพต (หลวงพ่อโชคดี)

นอกจากการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวได้สัมผัสประเพณี วัฒนธรรมไทย 4 ภาค อาทิ
- สนุกสนานกับ เกมส์งานวัด ชิงช้าสวรรค์ การแสดงดนตรีลูกทุ่งย้อนยุค
- ตื่นตากับการแสดงศิลปะวัฒนธรรม
- แต่งชุดไทย เดินเที่ยวตลาดย้อนยุค
- ลอยประทีปเทียนหอมบูชาพระพุทธเจ้าน้อย
- การออกร้านค้าชุมชน ชอปของกินอาหารอร่อยมากมาย
- ตระการตาไฟประดับกว่า 1 ล้านดวง

สำหรับประเพณีการห่มผ้าแดง นี้มีที่มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เล่ากันว่า หลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 3 พรรษา ทรงเสด็จไปโปรดเมืองเวสาลี ที่กำลังเดือดร้อนจากโจรผู้ร้ายเที่ยวเข่นฆ่าชาวเมือง 

เมื่อเหตุร้ายนั้นหมดไป ชาวเมืองจึงพากันสรรเสริญพระองค์ แต่พระองค์ตรัสว่า ที่เป็นเช่นนี้มิใช่ความอัศจรรย์ แต่เป็นเพราะอานุภาพแห่งบุญบารมีที่พระองค์เคยนำผ้ามาประดับบูชาเจดีย์ในอดีตชาติ ซึ่งความเชื่อนี้ได้สืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน 

ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงนำเอาผืนผ้าสีแดงมาห่มคลุมให้องค์พระเจดีย์ โดยหวังให้ชีวิตในชาติหน้าของตัวเองมีความสงบร่มเย็นเช่นกัน

ส่วนประเพณีการห่มผ้าแดงภูเขาทอง เป็นประเพณีเก่าแก่ตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สืบมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการจัดมานานกว่า 130 ปีแล้ว หลังได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้มีการจัด พิธีการห่มผ้าแดง ขึ้นทุกปีใน วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 จนถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังพิธีลอยกระทง รวม 10 วัน 10 คืน

ความหมายของการห่มผ้าสีแดง
ความหมายของการห่มผ้าสีแดงให้กับ องค์พระบรมสารีริกธาตุ ภูเขาทอง เนื่องจากสีแดงตามความเชื่อโบราณคือ สีแห่งความเป็นมงคล นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่า ผู้ที่เขียนชื่อ และนามสกุล ลงบนผ้าสีแดงแล้วนำผ้านั้นไปห่มพระบรมสารีริกธาตุก็จะได้รับความเป็นสิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้า แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย

เศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน อ่อนแอ กระทบอุปสงค์น้ำมันดิบ แม้ OPEC+ เลื่อนแผนเพิ่มการผลิตหวังหนุนราคาน้ำมัน

หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 28 ต.ค.- 1 พ.ย. 67 และแนวโน้มในสัปดาห์วันที่ 4 – 8 พ.ย. 67 โดยระบุว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยรายสัปดาห์ลดลง 2.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่เฉลี่ย 72.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่ากลุ่ม OPEC+ ตกลงเลื่อนแผนเพิ่มการผลิตหวังหนุนราคาน้ำมัน แต่ภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และจีนที่อ่อนแอ ส่งผลกดดันอุปสงค์น้ำมันดิบ

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 67 กลุ่ม OPEC+ มีมติเลื่อนแผนปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบปริมาณ 180,000 บาร์เรลต่อวัน จากกำหนดเดิมในเดือน ธ.ค. 67 ออกไปอีก 1 เดือน เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มชะลอตัว

ด้าน EIA รายงานว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค. 67 เพิ่มขึ้น 1.5% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 13.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดว่าในปี 2567 จะอยู่ที่ 13.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และในปี 2568 จะอยู่ที่ 13.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ขณะที่ S&P Global/Caixin รายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีน (Manufacturing Purchasing Managers ’ Index: PMI) ในเดือน ต.ค. 67 เพิ่มขึ้น 1.0 จุด MoM อยู่ที่ 50.3 จุด ทั้งนี้ ดัชนีสูงกว่า 50 จุด บ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว โดยเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน

อีกด้านหนึ่ง กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่ายอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในเดือน ก.ย. 67 เพิ่มขึ้น 12,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า (Reuters Poll คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 113,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า) ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2563 จากผลกระทบของเฮอริเคน (เฮอริเคน Helene และ Milton) และการประท้วงของพนักงานบริษัท Boeing ในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ขณะที่อัตราว่างงาน (Unemployment Rate) คงที่จากเดือนก่อนอยู่ที่ 4.1%

สำหรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง สำนักข่าว Press TV ของอิหร่านรายงานว่าผู้นำสูงสุดของอิหร่าน Ayatollah Ali Khamenei กล่าวสุนทรพจน์แก่นักศึกษาเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 67 ที่กรุงเตหะรานโดยให้คำมั่นจะตอบโต้อิสราเอลและสหรัฐฯ อย่างรุนแรงหลังถูกโจมตีฐานที่มั่นทางทหารในอิหร่านเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 67 โดยจะดำเนินการในเวลาที่เหมาะสม

กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ เปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568

(6 พ.ย. 67) กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ เปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568 โดยมี พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกฯ ณ ท่าเรือแหลมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เปิดเผยว่า กองเรือยุทธการเป็นหน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่จะต้องมีความพร้อมในการจัดเตรียมกำลังสำหรับการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ สำหรับการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือฯ โดยกำหนดห้วงการฝึกระหว่างเดือน พฤศจิกายน 67 - มกราคม 68 ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของกองทัพเรือ ด้านการเตรียมกำลังและป้องกันราชอาณาจักร รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ

โดยมีวัตถุประสงค์การฝึก เพื่อให้มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยทางทะเล และการช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้หน่วยที่รับการฝึกจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ที่สมจริง ให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ รวมถึงจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ Combat Staff ของกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล และกำหนดให้การฝึกต้องผ่านมาตรฐานในระดับ Safe To Sail และBasic Tactic

ส่วนการฝึกในปีนี้ จะมีการฝึกตามสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน ทั้งสงครามรัสเซีย ยูเครน รวมถึงยุทธศาสตร์ บลูดราก้อนของจีน หรือด้านอินโดแปซิฟิก และจะเห็นการใช้กำลังในเรื่องของสงครามอิสราเอล ที่เกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหลานี้ ทางกองเรือยุทธการ จะนำมาศึกษาและนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาพัฒนาการฝึก การฝึกจะเป็นการฝึกแบบเก่าไม่ได้ พร้อมกับจะมีการประเมินผลและแจงแผนการฝึกไปยังกองทัพเรือ ในการพัฒนากำลังรบทางเรืออย่างไร ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการฝึกเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่เกิดภัยพิบัติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมการล่วงหน้าทั้งด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กองเรือยุทธการ ได้ให้ความสำคัญในการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีฯ และการเสริมสร้างกำลังพลให้มีความเป็นทหารอาชีพ เพื่อให้กองเรือยุทธการเป็น "หน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ" โดยได้มีการนำนโยบายของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” พลเรือเอก ณัฏฐพล  กล่าวเสริมอีกว่า ทั้งนี้ได้มีการนำนโยบายด้านความปลอดภัยของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” ถ้ากำลังรบหลักไม่ปลอดภัย ถือเป็นเรื่องใหญ่ของกองทัพเรือ บทเรียนที่ได้รับมา จะมีการนำมาเป็นบทเรียนในเรื่องของ SAFETY ในความปลอดภัยของบุคคล ในความปลอดภัยของเรือ และอากาศยานต่าง ๆ โดยจะมีการนำบทเรือมาวิเคราะห์ ศึกษา และนำมาปฏิบัติต่อไป ส่วนในเรื่องสถานการณ์เกาะกูดนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวไว้แล้วในส่วนกำลังทางเรือนั้นมีหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนกองเรือยุทธการ มีหน้าที่เตรียมกำลังทั้งองค์บุคคล และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อม อยู่ตลอดเวลา

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

‘กษิต’ แจงยิบเหตุ รบ.อภิสิทธิ์ยกเลิก MOU 44 พร้อมหนุนเจรจาต่อ แต่ขอยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก

(5 พ.ย. 67) นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณียกเลิกเอ็มโอยู 44 ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า เพราะสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในขณะนั้น ได้แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นที่ปรึกษา เป็นการแสดงออกซึ่งไม่เป็นมิตร แล้วก็แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจของรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ จึงได้ประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 44 ด้วยการนำเรื่องเข้าครม. แล้วครม.มีมติ จากนั้นเป็นเรื่องของหน่วยข้าราชการประจำ

โดยเฉพาะกระทรวงต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องไปดูในรายละเอียดว่าจะต้องทำอย่างไร เช่น จะต้องไปแจ้งสภา และแจ้งไปทางฝ่ายกัมพูชาให้ทราบ แต่เรื่องอยู่ในระหว่างการดำเนินการ จากนั้นเราก็พ้นจากรัฐบาลไปแล้วคือการยุบสภา

นายกษิต กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเป็นรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ และ รัฐบาลนายเศรษฐาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แต่เมื่อช่วงปี 57 ก็ได้ยืนยัน โดยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ยังจะคงไว้ซึ่งเอ็มโอยู44 ก็เท่ากับก็ว่าเป็นการยกเลิกมติครม.ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แล้วรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ได้แต่งตั้งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย แล้วก็ต่อเนื่องมาจนถึงบัดนี้ เท่ากับว่าเอ็มโอยูก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเอ็มโอยู 44 ไม่มีการยกเลิกแล้ว และทางกระทรวงต่างประเทศกำลังเตรียมเรื่องนี้ เพื่อจะเสนอ ครม. เพื่อให้ลงมติแต่งตั้งว่าใครจะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ

ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ถ้าเกิดเราไม่เจรจาเรื่องเขตแดนก่อน นายกษิต กล่าวว่า เรามีเอ็มโอยู เพื่อจะเจรจาเขตแดนกับการสำรวจทรัพยากรทางธรรมชาติ ก็ต้องเจรจากันต่อไป และยังไม่ได้เริ่มเจรจา ก็อย่าไปเดาความว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็ไม่ถูกต้อง ส่วนที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ยกเลิกเอ็มโอยู44 นั้น ตนคิดว่านายภูมิธรรมต้องไปอ่านมติ ครม.ใหม่ ศึกษาเรื่องราวให้ดี

ในฐานะที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน มีข้อแนะนำสำหรับรัฐบาลปัจจุบันอย่างไร นายกษิต กล่าวว่า ตนคิดว่าเราทุกคนก็ต้องรักชาติ ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง ทุกคนต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามา แล้วก็ปล่อยให้คณะผู้แทนเจรจาไป แต่อย่าให้มีนัยยะของการเมือง และผู้มีอิทธิพลเข้ามาแทรกแซง กลุ่มนี้ต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ปล่อยให้คณะผู้แทนไทยเจรจาต่อไป และผลการเจรจาก็แน่นอน ก่อนไปเจรจาก็คงต้องให้รัฐสภารับทราบ ให้ความเห็นชอบประกอบการเจรจา เมื่อผลการเจรจาคืบหน้าเป็นระยะๆ ก็ต้องกลับมารายงานที่รัฐสภา ในฐานะที่เป็นสังคมประชาธิปไตย

นราธิวาส - แม่ทัพภาคที่ 4 พบปะคณะสื่อมวลชน 3 จชต. แลกเปลี่ยนมุมมองการสื่อสาร ร่วมสร้างความเข้าใจ ร่วมใจแก้ปัญหา นำพาสันติสุข

(6 พ.ย. 67) เวลา 12.40 น. ที่ ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลตรี กรกฎ  ภู่โชติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้การต้อนรับสื่อมวลชนจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย นายสุไลมาน  แวมามะ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคณะสื่อมวลชนจากจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อหารือแนวทางการนำเสนอข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

นายสุไลมาน แวมามะ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า วันนี้ทางคณะสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีโอกาสเข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนแนวคิด นำเสนอแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจงานและเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งด้านสื่อมวลชนในพื้นที่เองมีความตั้งใจมาก ๆ กับการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ เป้าหมายคือเพื่อประชาชนรับทราบข้อมูลข่าวสารและสร้างพื้นที่ให้การรับรู้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ด้าน พลโท ไพศาล  หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า มุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้าใจนำพาสันติสุขกลับคืนพื้นที่ ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยเหตุ ประชาชนปลอดภัย ซึ่งการสร้างความเข้าใจนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง สื่อมวลชน ร่วมกับหน่วยต่าง ๆ เป้าหมายคือสร้างการรับรู้แก่พี่น้องประชาชน ทั้งด้านการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาพื้นที่ โดยสื่อมวลชนจะเป็นกระบอกเสียงหลักในการประชาสัมพันธ์ ที่ผ่านมาสื่อมวลชนในพื้นที่ จชต. มีบทบาทสำคัญเป็นบุคคลในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนและนำเสนอข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง และขอฝากถึงการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในชุมชน และโบราณสถานในพื้นที่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมที่จะเดินหน้า “สร้างความเข้าใจ ร่วมใจแก้ปัญหา นำพาสันติสุข” ร่วมกัน

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ ตำแหน่งที่สำคัญที่สุด เพราะเรือ คือหัวใจของกองทัพเรือ

(6 พ.ย. 67) เวลา 17.30 น. พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ เพื่อเป็นเกียรติ เป็นขวัญ กำลังใจ และให้เกิดความภาคภูมิใจให้กับนายทหารผู้เข้าร่วม ประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ โดยมีคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ร่วมแสดงความยินดี ที่บริเวณดาดฟ้าเรือหลวงช้าง ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดย พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กล่าวให้โอวาทว่า ตำแหน่งผู้บังคับการเรือ ถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของกองทัพเรือตำแหน่งหนึ่ง เพราะเรือคือหัวใจของกองทัพเรือ เมื่อท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการเรือ ท่านจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ให้สำเร็จจะต้องดูแลความเรียบร้อยของเรือ ให้มีความพร้อมอยู่เสมอและจะต้องปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้อยู่ในระเบียบวินัย รวมทั้งดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งในเรื่องหน้าที่การงานความเป็นอยู่ ชีวิตและครอบครัวด้วย ผมหวังว่า ท่านจะปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการเรืออย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลดีต่อกองทัพเรือต่อไป      ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีความภาคภูมิใจและรักษาเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้เพื่อตัวของท่านเองและวงศ์ตระกูลสืบไป

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

พิพัฒน์ผนึก 9 ราชมงคล - TVD เปิดแพลตฟอร์ม 'ONE TVET' ยกระดับนศ.ไทยสู่ World Skill

(6 พ.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความรู้เฉพาะด้านในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยความร่วมมือนี้มีขึ้นระหว่างบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ในโครงการ ONE TVET (ONE Technical and Vocational Education and Training) เพื่อสร้างทักษะแรงงานไทยทั้งในด้าน Up Skill และ Re Skill ให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานทักษะในระดับโลกได้

โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายวิชัย ทองแตง ประธานที่ปรึกษา บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์, ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC), นายถาวร ชลัษเฐียร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, พลโท กิตติ สมสนั่น กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ ประธานคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ตลอดจนภาคเอกชนชั้นนำจากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ OMRON, MICROSOFT, NVIDIA, ZDT และ malaysian institute of technology academy ร่วมเสวนาในหัวข้อ "From Local To Worls Skill"

นายพิพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า โครงการ ONE TVET นี้ถือเป็นโครงการที่ช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทย โดยเฉพาะนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่กำลังจะจบมาเข้าสู่ตลาดแรงงาน เป็นโครงการที่มุ่งเน้นให้แรงงานในประเทศไทยมีทักษะความรู้เฉพาะด้านอุตสาหกรรมต่างๆ 

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ เทคโนโลยีดิจิทัล AI ซึ่งจะช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทยสู่ World Skill ให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาของชาติ ทั้งยังสร้างโอกาสในการทำงานในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อประเทศ

ด้านรศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ในฐานะประธานคณะกรรมการอธิการบดีกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กล่าวว่า โครงการนี้เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทรัพยากรที่จะช่วยเพิ่มทักษะในการทำงานก่อนการเริ่มงานจริง ด้วยการเน้นพัฒนาทักษะของนักศึกษาให้สามารถตอบสนองต่อการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยสิทธิประโยชน์ของนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการคือ การรับประกันการเข้าทำงานกับบริษัทหรือโรงงานชั้นนำ อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับค่าจ้างมากกว่าอัตราเฉลี่ยที่ 25-30% ด้วย

นายวิชัย ทองแตง ประธานที่ปรึกษา บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทชั้นนำและโรงงานจำนวนมากที่เข้ามาตั้งธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกหรือ EEC มีความต้องการแรงงานไทยจำนวนมาก แต่แรงงานไทยประกอบปัญหาเรื่องทักษะที่ยังไม่ตอบโจทย์การทำงานเหล่านั้นได้ จึงเกิดแนวคิดแพลตฟอร์ม ONE TVET ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบหลักสูตรที่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโดยตรง นักศึกษาที่ผ่านหลักสูตร ONE TVET จะมั่นใจได้ว่าจบแล้วมีงานทำ ส่วนทางสถานศึกษาจะใช้การฝึกสอนโดยใช้ทักษะความรู้และเครื่องมือการสอนที่ตรงตามความต้แงการของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการจะได้นักศึกษาที่มีความพร้อมไปทำงานได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาฝึกงานหลายๆ เดือนอีกต่อไป 

รศ.ดร. อุดมวิทย์ กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือนี้อยู่บนพื้นฐานของการเห็นพ้องด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยมีเป้าหมายหลักคือ 1.พัฒนาทักษะแรงงานไทยสู่ World Skill ให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ S-Curve 2.เพิ่มอัตราการแข่งขันโดยเฉพาะภาคการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจริยะ การแพทย์ การผลิตกึ่งอัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI 3.สร้างโอกาสในการทำงานในภาคอุตสาหกรรมทที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ซึ่งจะช่วยให้แรงงานมีทักษะที่สูงขึ้นพร้อมกับรายได้ในการทำงานที่สูงขึ้นด้วย

สำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการ ONE TVET จะมีการนำนักศึกษาในระดับชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 มาฝึกอบรมผ่านความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของโลก โดยจะมีการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมต่างๆขอประเทศไทย ในโปรแกรมฝึกอบรบจะเน้นทั้งการเรียนรู้เชิงทฤษฏีและปฏิบัติพร้อมทั้งมีการเก็บสะสมคะแนนหน่วยกิตซึ่งจะทำให้นักศึกษาเข้าถึงการเรียนรู้แบบลึกซึ้งนอกจากการฝึกงานแบบทั่วไป เพื่อให้นักศึกษาพร้อมสู่การนำไปใช้ในสายงานจริงของตนเอง

นอกจากนี้ การได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก นอกจากจะทำให้สถาบันการศึกษาผลิตแรงงานสู่ตลาดได้ตรงตามความต้องการแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ เข้ามาลงทุนและสนับสนุนให้มีการฝึกอบรบที่มีคุณภาพและสอดคล้องต่อความต้องการของตลาดแรงงานด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top