Monday, 19 May 2025
Hard News Team

กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ เปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568

(6 พ.ย. 67) กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ เปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568 โดยมี พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกฯ ณ ท่าเรือแหลมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เปิดเผยว่า กองเรือยุทธการเป็นหน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่จะต้องมีความพร้อมในการจัดเตรียมกำลังสำหรับการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ สำหรับการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือฯ โดยกำหนดห้วงการฝึกระหว่างเดือน พฤศจิกายน 67 - มกราคม 68 ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของกองทัพเรือ ด้านการเตรียมกำลังและป้องกันราชอาณาจักร รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ

โดยมีวัตถุประสงค์การฝึก เพื่อให้มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยทางทะเล และการช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้หน่วยที่รับการฝึกจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ที่สมจริง ให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ รวมถึงจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ Combat Staff ของกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล และกำหนดให้การฝึกต้องผ่านมาตรฐานในระดับ Safe To Sail และBasic Tactic

ส่วนการฝึกในปีนี้ จะมีการฝึกตามสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน ทั้งสงครามรัสเซีย ยูเครน รวมถึงยุทธศาสตร์ บลูดราก้อนของจีน หรือด้านอินโดแปซิฟิก และจะเห็นการใช้กำลังในเรื่องของสงครามอิสราเอล ที่เกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหลานี้ ทางกองเรือยุทธการ จะนำมาศึกษาและนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาพัฒนาการฝึก การฝึกจะเป็นการฝึกแบบเก่าไม่ได้ พร้อมกับจะมีการประเมินผลและแจงแผนการฝึกไปยังกองทัพเรือ ในการพัฒนากำลังรบทางเรืออย่างไร ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการฝึกเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่เกิดภัยพิบัติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมการล่วงหน้าทั้งด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กองเรือยุทธการ ได้ให้ความสำคัญในการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีฯ และการเสริมสร้างกำลังพลให้มีความเป็นทหารอาชีพ เพื่อให้กองเรือยุทธการเป็น "หน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ" โดยได้มีการนำนโยบายของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” พลเรือเอก ณัฏฐพล  กล่าวเสริมอีกว่า ทั้งนี้ได้มีการนำนโยบายด้านความปลอดภัยของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” ถ้ากำลังรบหลักไม่ปลอดภัย ถือเป็นเรื่องใหญ่ของกองทัพเรือ บทเรียนที่ได้รับมา จะมีการนำมาเป็นบทเรียนในเรื่องของ SAFETY ในความปลอดภัยของบุคคล ในความปลอดภัยของเรือ และอากาศยานต่าง ๆ โดยจะมีการนำบทเรือมาวิเคราะห์ ศึกษา และนำมาปฏิบัติต่อไป ส่วนในเรื่องสถานการณ์เกาะกูดนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวไว้แล้วในส่วนกำลังทางเรือนั้นมีหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนกองเรือยุทธการ มีหน้าที่เตรียมกำลังทั้งองค์บุคคล และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อม อยู่ตลอดเวลา

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

‘กษิต’ แจงยิบเหตุ รบ.อภิสิทธิ์ยกเลิก MOU 44 พร้อมหนุนเจรจาต่อ แต่ขอยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก

(5 พ.ย. 67) นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณียกเลิกเอ็มโอยู 44 ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า เพราะสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในขณะนั้น ได้แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นที่ปรึกษา เป็นการแสดงออกซึ่งไม่เป็นมิตร แล้วก็แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจของรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ จึงได้ประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 44 ด้วยการนำเรื่องเข้าครม. แล้วครม.มีมติ จากนั้นเป็นเรื่องของหน่วยข้าราชการประจำ

โดยเฉพาะกระทรวงต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องไปดูในรายละเอียดว่าจะต้องทำอย่างไร เช่น จะต้องไปแจ้งสภา และแจ้งไปทางฝ่ายกัมพูชาให้ทราบ แต่เรื่องอยู่ในระหว่างการดำเนินการ จากนั้นเราก็พ้นจากรัฐบาลไปแล้วคือการยุบสภา

นายกษิต กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเป็นรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ และ รัฐบาลนายเศรษฐาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แต่เมื่อช่วงปี 57 ก็ได้ยืนยัน โดยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ยังจะคงไว้ซึ่งเอ็มโอยู44 ก็เท่ากับก็ว่าเป็นการยกเลิกมติครม.ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แล้วรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ได้แต่งตั้งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย แล้วก็ต่อเนื่องมาจนถึงบัดนี้ เท่ากับว่าเอ็มโอยูก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเอ็มโอยู 44 ไม่มีการยกเลิกแล้ว และทางกระทรวงต่างประเทศกำลังเตรียมเรื่องนี้ เพื่อจะเสนอ ครม. เพื่อให้ลงมติแต่งตั้งว่าใครจะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ

ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ถ้าเกิดเราไม่เจรจาเรื่องเขตแดนก่อน นายกษิต กล่าวว่า เรามีเอ็มโอยู เพื่อจะเจรจาเขตแดนกับการสำรวจทรัพยากรทางธรรมชาติ ก็ต้องเจรจากันต่อไป และยังไม่ได้เริ่มเจรจา ก็อย่าไปเดาความว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็ไม่ถูกต้อง ส่วนที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ยกเลิกเอ็มโอยู44 นั้น ตนคิดว่านายภูมิธรรมต้องไปอ่านมติ ครม.ใหม่ ศึกษาเรื่องราวให้ดี

ในฐานะที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน มีข้อแนะนำสำหรับรัฐบาลปัจจุบันอย่างไร นายกษิต กล่าวว่า ตนคิดว่าเราทุกคนก็ต้องรักชาติ ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง ทุกคนต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามา แล้วก็ปล่อยให้คณะผู้แทนเจรจาไป แต่อย่าให้มีนัยยะของการเมือง และผู้มีอิทธิพลเข้ามาแทรกแซง กลุ่มนี้ต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ปล่อยให้คณะผู้แทนไทยเจรจาต่อไป และผลการเจรจาก็แน่นอน ก่อนไปเจรจาก็คงต้องให้รัฐสภารับทราบ ให้ความเห็นชอบประกอบการเจรจา เมื่อผลการเจรจาคืบหน้าเป็นระยะๆ ก็ต้องกลับมารายงานที่รัฐสภา ในฐานะที่เป็นสังคมประชาธิปไตย

นราธิวาส - แม่ทัพภาคที่ 4 พบปะคณะสื่อมวลชน 3 จชต. แลกเปลี่ยนมุมมองการสื่อสาร ร่วมสร้างความเข้าใจ ร่วมใจแก้ปัญหา นำพาสันติสุข

(6 พ.ย. 67) เวลา 12.40 น. ที่ ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลตรี กรกฎ  ภู่โชติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้การต้อนรับสื่อมวลชนจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย นายสุไลมาน  แวมามะ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคณะสื่อมวลชนจากจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อหารือแนวทางการนำเสนอข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

นายสุไลมาน แวมามะ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า วันนี้ทางคณะสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีโอกาสเข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนแนวคิด นำเสนอแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจงานและเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งด้านสื่อมวลชนในพื้นที่เองมีความตั้งใจมาก ๆ กับการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ เป้าหมายคือเพื่อประชาชนรับทราบข้อมูลข่าวสารและสร้างพื้นที่ให้การรับรู้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ด้าน พลโท ไพศาล  หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า มุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้าใจนำพาสันติสุขกลับคืนพื้นที่ ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยเหตุ ประชาชนปลอดภัย ซึ่งการสร้างความเข้าใจนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง สื่อมวลชน ร่วมกับหน่วยต่าง ๆ เป้าหมายคือสร้างการรับรู้แก่พี่น้องประชาชน ทั้งด้านการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาพื้นที่ โดยสื่อมวลชนจะเป็นกระบอกเสียงหลักในการประชาสัมพันธ์ ที่ผ่านมาสื่อมวลชนในพื้นที่ จชต. มีบทบาทสำคัญเป็นบุคคลในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนและนำเสนอข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง และขอฝากถึงการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในชุมชน และโบราณสถานในพื้นที่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมที่จะเดินหน้า “สร้างความเข้าใจ ร่วมใจแก้ปัญหา นำพาสันติสุข” ร่วมกัน

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ ตำแหน่งที่สำคัญที่สุด เพราะเรือ คือหัวใจของกองทัพเรือ

(6 พ.ย. 67) เวลา 17.30 น. พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ เพื่อเป็นเกียรติ เป็นขวัญ กำลังใจ และให้เกิดความภาคภูมิใจให้กับนายทหารผู้เข้าร่วม ประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ โดยมีคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ร่วมแสดงความยินดี ที่บริเวณดาดฟ้าเรือหลวงช้าง ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดย พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กล่าวให้โอวาทว่า ตำแหน่งผู้บังคับการเรือ ถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของกองทัพเรือตำแหน่งหนึ่ง เพราะเรือคือหัวใจของกองทัพเรือ เมื่อท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการเรือ ท่านจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ให้สำเร็จจะต้องดูแลความเรียบร้อยของเรือ ให้มีความพร้อมอยู่เสมอและจะต้องปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้อยู่ในระเบียบวินัย รวมทั้งดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งในเรื่องหน้าที่การงานความเป็นอยู่ ชีวิตและครอบครัวด้วย ผมหวังว่า ท่านจะปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการเรืออย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลดีต่อกองทัพเรือต่อไป      ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีความภาคภูมิใจและรักษาเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้เพื่อตัวของท่านเองและวงศ์ตระกูลสืบไป

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

พิพัฒน์ผนึก 9 ราชมงคล - TVD เปิดแพลตฟอร์ม 'ONE TVET' ยกระดับนศ.ไทยสู่ World Skill

(6 พ.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความรู้เฉพาะด้านในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยความร่วมมือนี้มีขึ้นระหว่างบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ในโครงการ ONE TVET (ONE Technical and Vocational Education and Training) เพื่อสร้างทักษะแรงงานไทยทั้งในด้าน Up Skill และ Re Skill ให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานทักษะในระดับโลกได้

โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายวิชัย ทองแตง ประธานที่ปรึกษา บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์, ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC), นายถาวร ชลัษเฐียร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, พลโท กิตติ สมสนั่น กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ ประธานคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ตลอดจนภาคเอกชนชั้นนำจากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ OMRON, MICROSOFT, NVIDIA, ZDT และ malaysian institute of technology academy ร่วมเสวนาในหัวข้อ "From Local To Worls Skill"

นายพิพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า โครงการ ONE TVET นี้ถือเป็นโครงการที่ช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทย โดยเฉพาะนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่กำลังจะจบมาเข้าสู่ตลาดแรงงาน เป็นโครงการที่มุ่งเน้นให้แรงงานในประเทศไทยมีทักษะความรู้เฉพาะด้านอุตสาหกรรมต่างๆ 

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ เทคโนโลยีดิจิทัล AI ซึ่งจะช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทยสู่ World Skill ให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาของชาติ ทั้งยังสร้างโอกาสในการทำงานในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อประเทศ

ด้านรศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ในฐานะประธานคณะกรรมการอธิการบดีกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กล่าวว่า โครงการนี้เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทรัพยากรที่จะช่วยเพิ่มทักษะในการทำงานก่อนการเริ่มงานจริง ด้วยการเน้นพัฒนาทักษะของนักศึกษาให้สามารถตอบสนองต่อการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยสิทธิประโยชน์ของนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการคือ การรับประกันการเข้าทำงานกับบริษัทหรือโรงงานชั้นนำ อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับค่าจ้างมากกว่าอัตราเฉลี่ยที่ 25-30% ด้วย

นายวิชัย ทองแตง ประธานที่ปรึกษา บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทชั้นนำและโรงงานจำนวนมากที่เข้ามาตั้งธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกหรือ EEC มีความต้องการแรงงานไทยจำนวนมาก แต่แรงงานไทยประกอบปัญหาเรื่องทักษะที่ยังไม่ตอบโจทย์การทำงานเหล่านั้นได้ จึงเกิดแนวคิดแพลตฟอร์ม ONE TVET ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบหลักสูตรที่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโดยตรง นักศึกษาที่ผ่านหลักสูตร ONE TVET จะมั่นใจได้ว่าจบแล้วมีงานทำ ส่วนทางสถานศึกษาจะใช้การฝึกสอนโดยใช้ทักษะความรู้และเครื่องมือการสอนที่ตรงตามความต้แงการของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการจะได้นักศึกษาที่มีความพร้อมไปทำงานได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาฝึกงานหลายๆ เดือนอีกต่อไป 

รศ.ดร. อุดมวิทย์ กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือนี้อยู่บนพื้นฐานของการเห็นพ้องด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยมีเป้าหมายหลักคือ 1.พัฒนาทักษะแรงงานไทยสู่ World Skill ให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ S-Curve 2.เพิ่มอัตราการแข่งขันโดยเฉพาะภาคการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจริยะ การแพทย์ การผลิตกึ่งอัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI 3.สร้างโอกาสในการทำงานในภาคอุตสาหกรรมทที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ซึ่งจะช่วยให้แรงงานมีทักษะที่สูงขึ้นพร้อมกับรายได้ในการทำงานที่สูงขึ้นด้วย

สำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการ ONE TVET จะมีการนำนักศึกษาในระดับชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 มาฝึกอบรมผ่านความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของโลก โดยจะมีการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมต่างๆขอประเทศไทย ในโปรแกรมฝึกอบรบจะเน้นทั้งการเรียนรู้เชิงทฤษฏีและปฏิบัติพร้อมทั้งมีการเก็บสะสมคะแนนหน่วยกิตซึ่งจะทำให้นักศึกษาเข้าถึงการเรียนรู้แบบลึกซึ้งนอกจากการฝึกงานแบบทั่วไป เพื่อให้นักศึกษาพร้อมสู่การนำไปใช้ในสายงานจริงของตนเอง

นอกจากนี้ การได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก นอกจากจะทำให้สถาบันการศึกษาผลิตแรงงานสู่ตลาดได้ตรงตามความต้องการแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ เข้ามาลงทุนและสนับสนุนให้มีการฝึกอบรบที่มีคุณภาพและสอดคล้องต่อความต้องการของตลาดแรงงานด้วย

บริษัททัวร์จีนโกยรายได้อู้ฟู้ จัดโปร 11.11 กรุงเทพฯ ติดท็อปเมืองคนจีนแห่เที่ยววันคนโสด

(3 พ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ขณะที่ชาวจีนกำลังจับจ่ายซื้อของออนไลน์ในเทศกาลวันคนโสด “11.11” (วันที่ 11 เดือน 11) ประจำปีนี้ ดูเหมือนว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างเถาเป่า (Taobao) จะไม่ใช่แหล่งชอปปิงเดียวที่นักชอปชาวจีนสนใจอีกต่อไป เพราะชาวจีนต่างก็กำลังใช้เวลาไปกับการท่องแพลตฟอร์มเอเจนซี่ท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agency) ชั้นนำของประเทศ เช่น ฟลิกกี (Fliggy) และ ซีทริป (Ctrip) กันมากขึ้น เนื่องจากได้รับแรงกระตุ้นด้วยแพ็กเกจจองโรงแรมสุดพิเศษในเทศกาลวันคนโสด ซึ่งมักมาในรูปแบบโปรโมชันลดกระหน่ำสำหรับการเข้าพักหลายคืนตามโรงแรมบูติก รีสอร์ท และ เกสต์เฮาส์

ฟลิกกีได้เห็นถึงกระแสที่ร้อนแรงหลังเริ่มจำหน่ายแพ็กเกจท่องเที่ยววันคนโสด “11.11” ของปีนี้ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 21 ต.ค. เพราะในเวลาเพียง 53 วินาที ก็กวาดรายได้ไปมากกว่า 1 พันล้านหยวน (ประมาณ 4.75 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่เคยใช้เวลานานถึง 13 นาทีในปีที่แล้ว และยอดขายก็แซงหน้ายอดขายรวมในวันแรกของปีที่แล้วได้ในเวลาเพียง 52 นาที

หลังจากที่ลูกค้าจองแพ็กเกจท่องเที่ยวเสร็จแล้ว ก็จะสามารถเลือกวันเช็กอินใดก็ได้ภายในระยะเวลาที่แพ็กเกจนั้นยังไม่หมดเขต ซึ่งทั่วไปแล้วจะอยู่ได้นานหลายเดือน แล้วจึงค่อยชำระเงินหลังลูกค้ายืนยันวันเข้าพัก

รายงานจากเมดิน (Meadin) ผู้ให้บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ชี้ว่า แพ็กเกจเหล่านี้ตอบโจทย์อุปสงค์ของผู้บริโภคชาวจีนที่ต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความคุ้มค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเนื่องจากเวลาที่ต้องใช้ในการตัดสินใจซื้อมักมีจำกัด ความยืดหยุ่นของแพ็กเกจและความสะดวกสบายจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้น เวลาที่ต้องเลือกซื้อที่พักสำหรับการท่องเที่ยว

สำหรับบรรดาโรงแรมต่างๆ ยอดขายช่วงเทศกาลคนโสดถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางของตลาดการท่องเที่ยวที่คึกคักของจีน ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนระบุว่า ช่วงหยุดยาววันชาติจีนระยะ 7 วันเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศจีน 765 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบเป็นรายปี และยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวในประเทศมีมูลค่าเกิน 7 แสนล้านหยวน (ราว 3.32 ล้านล้านบาท) ในช่วงหยุดยาวข้างต้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบเป็นรายปี และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 จากปี 2019

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือนักท่องเที่ยวที่ต้องการทริปที่สามารถปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ของตัวเองได้ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่สนใจทริปสัมผัสประสบการณ์พิเศษนั้นเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การท่องเที่ยวในระดับอำเภอเพิ่มสูงขึ้น และการจองโรงแรมขนาดเล็กก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเมื่อมองจากด้านปริมาณแล้วโรงแรมประเภทนี้มีอัตราการเติบโตสูงสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับที่พักประเภทอื่นๆ

รายงานที่เผยแพร่โดยเสี่ยวจู (Xiaozhu) แพลตฟอร์มการจองที่พักพร้อมอาหารเช้า (B&B) ระบุว่าในช่วงวันหยุดยาววันชาติ ปริมาณการจองที่พักพร้อมอาหารเช้าของตนเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“การแข่งขันในตลาดท่องเที่ยวปีนี้รุนแรงมาก หลายธุรกิจก็ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่” ซ่วยเมิ่งถิง เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายช่วงเทศกาลคนโสดของฟลิกกีกล่าว โดยเธอเชื่อว่าการขายในช่วงเทศกาลคนโสดจะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับบรรดาผู้ประกอบการโรงแรมในช่วงนอกฤดูกาล เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้อย่างเต็มที่รวมถึงเพิ่มยอดการจองห้อง โรงแรมต่างๆ จึงได้ขยายช่องทางการขายแพ็กเกจด้วยการไลฟ์สดและเชิญผู้ทรงอิทธิพลมาโปรโมตผลิตภัณฑ์ของตน

ฟลิกกีก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ขยับขยายช่องทางการขายตามเทรนด์ดังกล่าว โดยในการขายช่วงเทศกาลคนโสดของปีนี้ ข้อมูลด้านการตลาดของฟลิกกีตามโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน เช่น วีแชต เสี่ยวหงซู และ เวยโป๋ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  “ในแง่ของความคุ้มค่า ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลคนโสด 11.11 ในปีนี้ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ซ่วยกล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ tripzilla.com พบว่า 5 อันดับจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวนิยมจองทริปเดินทางช่วงวันคนโสดอันดับหนึ่งประจำปี 2024 คือ กรุงโตเกียว อันดับสองคือกรุงเทพฯ, กรุงโซล, นครโอซาก้า และไทเป ตามลำดับ

‘เอกนัฏ’ นำทีม ‘ดีพร้อม’ จับคู่พันธมิตร ‘จังหวัดโทคุชิมะ’ ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยุคใหม่หนุน ศก.ไทย – ญี่ปุ่น โตยั่งยืน

เมื่อวันที่ (31 ต.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) และจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วย นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายโกโตดะ มาซาซูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น นายวัชรุน จุ้ยจำลอง นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 5 โรงแรม S31 กรุงเทพฯ

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” มุ่งเซฟผู้ประกอบการไทยให้อยู่รอด และแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม พร้อมสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) และจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ผลักดันอุตสาหกรรมยุคใหม่ อีกทั้ง ยังได้จัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคอุตสาหกรรมไทย–ญี่ปุ่น เพื่อยกระดับผู้ประกอบการไทยให้เติบโตได้ในตลาดสากล ผ่านการต่อยอดธุรกิจ และสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางการค้า คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,000 ล้านบาท 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบายในการ “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” การสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SME ไทย สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย “Save อุตสาหกรรมไทย” เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งหาช่องทางขยายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเติบโตต่อไปได้ในตลาดสากลอย่างมั่นคง เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจโลก

สหราชอาณาจักร ขึ้นค่าเทอมมหาวิทยาลัย ในรอบ 8 ปี หลังเงินเฟ้อพุ่ง ส่งผลให้ค่าเรียนต่อปีทะลุ 9.5 พันปอนด์

(5 พ.ย. 67) ลอนดอน, 5 พ.ย. สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า - บริดเจ็ท ฟิลลิปสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของสหราชอาณาจักร ประกาศว่า ค่าธรรมเนียมการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอังกฤษจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในปี 2025 ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016

การปรับเพิ่มครั้งนี้เป็นผลพวงมาจากภาวะเงินเฟ้อ โดยจะทำให้ค่าธรรมเนียมการศึกษารายปีสูงสุดอยู่ที่ 9,535 ปอนด์ (ราว 4.2 แสนบาท) ขณะที่สินเชื่อเพื่อการดำรงชีพสำหรับนักศึกษาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ฟิลลิปสัน เน้นย้ำถึงความท้าทายทางการเงินในระดับอุดมศึกษา และกล่าวเป็นนัยถึงการปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งมีเป้าหมายขยายการเข้าถึงสำหรับนักศึกษาที่ด้อยโอกาสอีกด้วย

ด้านลอรา ทรอทต์ รัฐมนตรีเงาว่าการกระทรวงฯ ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยเสนอให้เพิ่มนักศึกษาเข้าในรายชื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจด้านงบประมาณครั้งล่าสุด

‘JobThai’ เผยนายจ้าง 82% ยินดีรับคนจบไม่ตรงสาย พร้อมเปิด 5 ทักษะที่บริษัทต้องการจากคนวัยทำงาน

(5 พ.ย. 67) นายจ้าง 82% ยินดีรับวัยทำงานที่ไม่จบมาตรงสายงานเข้าทำงาน เพียงแต่ต้องอัปสกิลหรือเพิ่มทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับงานก็เพียงพอแล้ว

นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ หัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ JobThai.com  ได้บรรยายในงาน Work Life Fest 2024 ระบุว่า สายงานบางอย่างอาจถูกทดแทนด้วย AI แต่ขณะเดียวกันก็จะเกิดงานใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย
วัยทำงานต้องเอาตัวรอดในตลาดงานโลกอนาคต ด้วยการอัปสกิลให้ตนเอง โดยทักษะที่สำคัญต่อโลกการทำงานแห่งอนาคต ได้แก่ Technical Skills ทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง, Human Skills ทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ ส่วน Soft Skill หรือทักษะด้านอารมณ์ วัยทำงานควรมี Soft Skill แบบไหนบ้างจึงจะเป็นที่ต้องการขององค์กร ผลสำรวจพบว่า มี 5 ทักษะทางด้านอารมณ์ (ทักษะด้านลักษณะอุปนิสัยและความสามารถเชิงสมรรถนะ ที่จะช่วยให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี) เพื่อดึงดูดให้นายจ้างอยากจ้างงานมากขึ้น ประกอบด้วย

1. ทักษะด้านการสื่อสาร Communication : องค์กรต่างๆ ต้องการพนักงานที่สื่อสารรู้เรื่อง ทักษะพื้นฐานฟังพูดอ่านเขียนไม่พอ แต่ต้องต้องสามารถวิเคราะห์และสรุปข้อมูลออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วสื่อสารให้ทาร์เก็ตกรุ๊ปเข้าใจได้

2. ทักษะความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบ : เวลาทำงานพนักงานจะต้องรู้หน้าที่ของตน สามารถรู้ได้ว่าในแต่ละวันมี Task อะไรที่จะต้องทำให้สำเร็จ และจะต้องทำได้อย่างดีมีประสิทธิภาพด้วย งานต้องละเอียดรอบคอบ มีความรับผิดชอบ หากระบุว่าจะส่งงานเมื่อไหร่ก็ต้องทำให้ได้ตามกำหนดเวลานั้น

3. ทักษะการดูแลลูกค้า Customer experience : องค์กรอยากได้พนักงานที่ “อ่านใจลูกค้าให้ออก” เวลาพูดคุยสื่อสารกับลูกค้า ต้องรู้ว่าขณะนั้นลูกค้าใช้โทนเสียงแบบนี้แปลว่าต้องการความช่วยเหลือ หรือกำลังเดือดร้อนแล้วต้องการให้เราช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่าง เมื่อรับทราบแล้วเราต้องแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าทันที หากเราไม่ใส่ใจ แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ใช้บริการเราอีก แต่ถ้าเราแก้ไขให้ได้ สร้างความประทับใจ ลูกค้าก็จะภักดีต่อแบรนด์ไปอีกนานเท่านาน

4. ทักษะด้านการบริหารคุณภาพ : พนักงานต้องสามารถทำงานที่มีคุณภาพ และตรวจสอบได้ ต้องมีทักษะในการสำรวจตรวจสอบงานของตนเองว่า วิธีการทำงานของเราทำอย่างไรให้มันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือสามารถพัฒนางานให้ดีกว่านี้ได้อย่างไรบ้าง ต้องไม่หยุดนิ่งในการพัฒนางานของตนเ

5. ทักษะการฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว Resilience : การทำงานทุกอย่างย่อมเกิดปัญหาขึ้นมาได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเกิดปัญหาแล้ว วัยทำงานตั้งสติได้อย่างรวดเร็วหรือไม่? ทักษะที่สำคัญอีกอย่างที่พนักงานควรมีคือ Resilience หรือการมีสติ พลิกฟื้นจากวิกฤติกลับมาได้ และแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้ด้วยดี 

นอกจากนี้ วัยทำงานหลายคนโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ (First Jobber) อาจกังวลว่านายจ้างหรือองค์กรต่างๆ มักต้องการทักษะใหม่ๆ หลายอย่างมากซึ่งอาจจะพัฒนาตนเองได้ไม่พอ หรือไม่ทันกับความต้องการนั้น แล้วยิ่งหากเรียนจบมาในสาขาที่ไม่เป็นที่ต้องการขององค์กรส่วนใหญ่ จะต้องทำอย่างไร

เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เพราะผลสำรวจเผยว่า นายจ้างมากถึง 82% ยินดีรับวัยทำงานที่ไม่จบมาตรงสายกับตำแหน่งงานนั้น เพียงแต่ต้องมีการอัปสกิลหรือเพิ่มทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับงานก็เพียงพอแล้ว ยกตัวอย่างเช่น บริษัท JobThai ก็รับพนักงานที่จบวิศวกรรมโยธา ให้เข้ามาทำงานในตำแหน่ง วิศวกรคอมพิวเตอร์ ได้ 

เนื่องจากเขามีการไปอบรมทักษะเพิ่มเติม และเขาก็มีความสามารถทำงานในตำแหน่งนั้นได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเรียนจบสาขาใดมา หากมีทักษะที่ใกล้เคียงกับงานนั้น หรือมีการไปอบรมเพิ่มสกิลให้ตรงกับงานนั้น ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกงาน มีโอกาสได้งานทำแน่นอน

อย่างไรก็ตาม โลกการทำงานยุคนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตลาดงานต้องการแรงงานที่มีทักษะหลากหลายด้าน ยิ่งวัยทำงานมีทักษะหลากหลายองค์กรก็จะยิ่งต้องการตัวมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา และปรับตัวให้เท่าทันกับโลกการทำงาน เพื่อที่จะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เร็ว และประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน

‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ เปิดศึกท้ารบ ‘ทนายเดชา’ เหตุเชื่อว่า ลึก ๆ แอบฟอกขาวช่วย ‘ทนายตั้ม’

(5 พ.ย. 67) คลิปบางช่วงบางตอน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ประกาศชักธงพร้อมรบกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เนื่องจากรู้สึกว่า การที่ทนายเดชา ไลฟ์เฟซบุ๊ก พูดเรื่องคดีมาดามอ้อย ตั้งข้อสังเกต เรื่องเงิน 71 ล้านบาท ทำไมถึงเพิ่งออกมาร้องเรียน บอกว่า สอบปากคำมาหลายครั้ง ไม่มีหมายจับ คดีจะหมดอายุความ นายสนธิ มองว่า ทนายเดชา ออกมาปั่นกระแส เพื่อให้คนหลงทิศ และลึก ๆ ก็เชื่อว่าช่วยทนายตั้ม

ทนายเดชา ได้มาร่วมออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด 35 (วานนี้) ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยฟอกขาวให้ทนายตั้ม สาเหตุที่ นายสนธิ พาดพิงถึงอาจจะไม่พอใจที่ความเห็นไม่ตรงกัน พร้อมให้ตรวจสอบทุกกรณีว่า ไม่มีเรี่องสีเทา ยกเว้นปริมาณแอลกอฮอล์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top