Friday, 4 July 2025
Hard News Team

บก.ทบ. จัดตรวจเชิงรุกคัดกรองเชื้อกำลังพล WFH สร้างความปลอดภัยกำลังพลผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ 

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ส จากนโยบายพิทักษ์พลที่สอดคล้องกับมาตรการป้องกัน COVID-19 ที่กองทัพบกดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการติดเชื้อสู่หน่วยทหารและกำลังพล โดยเฉพาะมาตรการ WFH (Work From Home) ให้กำลังพลปฏิบัติงาน ที่ที่พัก และผลัดเปลี่ยนมาปฏิบัติงานในหน่วยทหารตามวงรอบเพื่อลดความแออัด เมื่อกลับมาปฏิบัติงานในที่ตั้งหน่วยจะมีการตรวจคัดกรองหรือการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กำลังพลตามแนวทางของ ศบค.19 ทบ. 

สำหรับในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก กทม. พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีนโยบายให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยมอบให้สถาบันวิจัยวิทยาศาตร์การแพทย์ทหาร เข้าดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยวิธี Rapid Test ให้กับกำลังพลทุกระดับที่หมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติงาน 

โดยได้จัดตรวจคัดกรองเชิงรุกในผลัดแรกไปแล้วเมื่อ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา และล่าสุดในวันที่ 30 มิ.ย. 64 ได้จัดตรวจคัดกรองเชิงรุกในผลัดที่ 2 ซึ่งมีกำลังพลเข้ารับการตรวจ 1,360 นาย โดย ผู้บัญชาการทหารบกได้มาตรวจเยี่ยมและเข้ารับการตรวจหาเชื้อพร้อมกับข้าราชการที่ปฏิบัติงานในกองบัญชาการกองทัพบกด้วย สำหรับผลการตรวจหากพบกำลังพลมีการติดเชื้อจะมีการตรวจซ้ำและนำเข้าสู่กระบวนการควบคุมและรักษาตามลำดับต่อไป โดยระหว่างการตรวจคัดกรองได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการตรวจหาเชื้อ การฉีดวัคซีน COVID-19 เพื่อให้ตระหนักและสามารถปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับพัฒนาการของการแพร่ระบาด 

“การตรวจคัดกรองเชิงรุกก่อนเข้าปฏิบัติงาน เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ในการดูแลกำลังพลไม่ให้มีการติดเชื้อ เป็นการสร้างความปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID ในสถานที่ทำงาน และไม่เป็นภาระด้านการรักษาพยาบาลให้กับระบบสาธารณสุข ที่สำคัญทำให้กำลังพลมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การตรวจคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบกจะมีการจัดตรวจตามวงรอบแบ่งผลัดปฏิบัติงานตามมาตรการ WFH อย่างต่อเนื่องทุก 7 วันทำการ

กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลประกาศหาผู้ที่สนใจซื้อต่อวัคซีน Pfizer มากกว่า 8 แสนโดสที่ค้างอยู่ในสต็อค และกำลังจะหมดอายุภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2021 นี้ หากไม่มีประเทศไหนสนใจก็จำเป็นต้องทำลายทิ้งทั้งหมด

วัคซีนตกค้างมูลค่ารวมหลายล้านเหรียญที่อิสราเอลถือครองอยู่และประกาศขายเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะจากข้อมูลที่เปิดเผยโดยสื่อมวลชนอิสราเอลพบว่า รัฐบาลมีวัคซีน Pfizer เหลือค้างที่กำลังจะหมดอายุถึง 1.4 ล้านโดส แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์ Delta ที่กลับมาใหม่ในอิสราเอล จึงต้องเร่งฉีดวัคซีนประมาณ 6 แสนโดส ให้กับกลุ่มเยาวชนชาวอิสราเอลอายุระหว่าง 12-15 ปี ให้ทันภายในเดือนนี้

ส่วนที่เหลือมากกว่าครึ่งที่ฉีดไม่ทัน จำเป็นต้องทิ้งไป

ตอนนี้รัฐบาลอิสราเอลกำลังเร่งเจรจาหาประเทศที่สนใจมาซื้อวัคซีนต่อจากอิสราเอล หรือแม้แต่ขายโควตายอดจองวัคซีนล่วงหน้า ซึ่งมีรายงานว่ามีถึง 3 ประเทศที่เข้ามาติดต่อขอรับซื้อวัคซีนแล้ว

แต่ก่อนหน้านี้ อิสราเอลก็มีวัคซีนล็อตที่หมดอายุภายในเดือนมิถุนายนปีนี้ และได้ติดต่อส่งมอบให้กับรัฐบาลปาเลสไตน์ แต่ถูกปฏิเสธไปเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งกระชั้นชิดกับวันหมดอายุมากจึงต้องทิ้งไป

แต่วัคซีนล็อตที่กำลังจะหมดอายุในเดือนกรกฎาคมมีมากถึงกับต้องประกาศขาย และเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับวัยรุ่นอิสราเอลให้ทันภายในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ เพื่อจะได้มารับวัคซีนเข็ม 2 ได้ทันวันหมดอายุ เท่ากับว่าจำเป็นต้องเร่งฉีดให้ได้มากถึง 1.3 หมื่นคนต่อวันเป็นอย่างน้อย

จนถึงตอนนี้ มีประชาชนชาวอิสราเอลรับวัคซีนครบ 2 เข็มไปมากกว่า 5 ล้านคน คิดเป็น 57% ของประชากร มากเป็นอันดับ 1 ของโลก และอิสราเอลเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่ได้รับวัคซีน Pfizer ในจำนวนที่ไม่มีการเปิดเผย

แต่ถึงแม้จะมีวัคซีนในสต็อคเป็นจำนวนมากแล้ว จนไม่สามารถฉีดทันวันหมดอายุ และต้องเหลือทิ้งเกือบล้านโดส แต่เมื่อช่วงเดือนเมษายนก็พบว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้เซ็นสั่งวัคซีน Pfizer เข้ามาเพิ่มอีก 18 ล้านโดส เตรียมที่จะฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อ้างอิง : https://www.timesofisrael.com/israel-may-have-to-throw-away-nearly-1-million-covid-vaccines/

https://www.fr24news.com/a/2021/06/israel-may-have-to-throw-away-nearly-a-million-covid-vaccines.html


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ให้มุมมองเกี่ยวกับ BRI

เมื่อสถานการณ์ภาพรวมโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มทรง ๆ ผู้คนเริ่มชินชากับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน ประเด็นโรคระบาดครั้งใหญ่ แผ่วเบาลงบ้างจากความสนใจของประชาคมโลก

เวลานี้จึงมีเรื่องราวของ อภิมหายุทธศาสตร์ Belt and Road initiative (ข้อริเริ่มแถบและเส้นทาง) หรือ BRI หวนกลับมาเป็นหัวข้อสำคัญอีกครั้ง

ล่าสุด กลายเป็นหนึ่งในวาระการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ประกอบด้วย สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขึ้นที่รีสอร์ทริมทะเลคาร์บิสเบย์ มณฑลคอร์นวอลล์ ของสหราชอาณาจักร เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

‘ไบเดน ยุ G7 รวมพลังต้านอิทธิพลจีน เปิดแผนสู้โครงการเส้นทางสายไหม’ กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ของ เว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2564

คล้อยหลังไม่ทันข้ามวัน เพจ TNN World รายงานข่าวในประเด็นเดียวกัน โดยอ้างถึงบทวิเคราะห์ของ สำนักข่าว Reuters ที่ระบุ ผู้นำ G7 กำลังหาหนทางร่วมกันในการรับมือกับ สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น หลังแผ่ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและทางทหารขนานใหญ่ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา

บทวิเคราะห์ จากรอยเตอร์ ยังเชื่ออีกว่า ผู้นำกลุ่ม G7 กำลังเตรียมเสนอโครงการโครงสร้างพื้นฐานให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อแข่งกับโครงการเส้นทางสายไหม ในศตวรรษที่ 21 หรือ Belt and Road initiative (BRI) มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้นำจีน

ในโอกาสที่ BRI ถูกจับตาอีกครั้งและพรรคคอมมิวนิสต์จีน เฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2021 นี้ เพจเฟซบุ๊ก Platform Economy and Transition in the New Era under the BRI ASEAN ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์แบบ Exclusive จาก รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ซึ่งเกาะติดจับตาการเปลี่ยนแปลงของจีนมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานเกือบ 30 ปี มีบทความวิเคราะห์ผ่านสื่อต่าง ๆ มีผลงานหนังสือ 9 เล่ม และงานวิจัยเกี่ยวกับจีน อีก 20 กว่าเรื่อง อีกทั้งยังเน้นลงพื้นที่เก็บข้อมูลในจีน เพราะอยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ใช่แค่มองจีนผ่านสื่อตะวันตก จึงตั้งใจเดินทางไปให้ครบทุกมณฑลของจีนว่า...

วันที่ ‘สื่อไทย’ ต้องรู้เท่าทันแผนการใหญ่ BRI หรือ Belt and Road initiative (เส้นทางสายไหมใหม่) ของจีน!!

แน่นอนว่าหลายคนอาจจะวัดจากปริมาณงานที่ทำเกี่ยวกับจีนของ รศ.ดร.อักษรศรี และมีเข้าใจผิดไปบ้างว่าเธอเป็นนักวิชาการ ‘โปร จีน’ ซึ่งเธอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่เลย เพียงแต่เธอมอง จีน ในมุมของความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จึงต้องศึกษาให้รู้เท่าทัน และเกาะติดจับตาอย่างต่อเนื่อง

รศ.ดร.อักษรศรี >> “จับเรื่องจีนอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2535 ที่เริ่มเรียนปริญญาโท เพราะมี Passion ที่เริ่มจากความสงสัยในระบบแบบจีน ต้องการไขปริศนาระบบแบบจีนที่ไม่เหมือนใคร จากที่เคยเรียนรู้มาแบบเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก จึงเกิดความสงสัยว่า การที่จีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่จะใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมกลไกตลาด แล้วมันจะไปด้วยกันได้เหรอ มันจะทำได้นานแค่ไน มันจะพังลงสักวันหนึ่งมั้ย หรือจะล่มสลายเหมือนสหภาพโซเวียตมั้ย” รศ.ดร.อักษรศรี ยิ้มเมื่อเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่สนใจไขปริศนาระบบแบบจีน ก่อนบอกจริงจังว่า…

รศ.ดร.อักษรศรี >> “ช่วงแรก ๆ บอกเลยว่า ออกแนวจับผิดว่า ระบบแบบจีนจะไหวมั้ย มันจะล่มสลายเมื่อไร ตอนนั้นมองอย่างนั้น เพราะเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีแนวเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาไง เลยเอากรอบแบบตะวันตกไปมองจีน แต่เมื่อเวลาผ่านไป จีนเติบโตอย่างที่ยากจะหยุดยั้ง ด้วยระบบทุนนิยมโดยรัฐของจีนที่ไม่ได้เดินตามตำราฝรั่ง จึงสนใจศึกษาเรื่องจีนที่แปลกไม่เหมือนใครอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสนุกกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันของจีน และมามองจีนตามข้อเท็จจริงที่ได้ไปเห็นหรือสัมผัสมาด้วยตัวเอง”

ทั้งนี้หากมองในประเด็นเกี่ยวกับ BRI นั้น เธอชี้ว่าไทยไม่ควรเคลิ้มเกินไป และไม่เชียร์เกินงาม…

รศ.ดร.อักษรศรี >> “เมื่อโลกหมุนมาถึง พ.ศ. นี้ ปฏิเสธไม่ได้ หากเอ่ย ถึง จีน เมื่อไหร่ ย่อมจะมีความเชื่อมโยงกับ BRI ไม่ทางใดทางหนึ่ง เพราะยุทธศาสตร์ BRI เป็น Long Term Strategy ที่จีน “คิดใหญ่ มองไกล” ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ฉาบฉวยทำไปวัน ๆ และภายใต้ BRI จีน ไม่ใช่แค่ส่งออกแค่สินค้าจีน หรือจีนไม่ได้แค่ส่งออกแค่นักธุรกิจจีน แต่จีนใช้ BRI เพื่อส่งออกแพลตฟอร์มจีน และส่งออกเทคโนโลยีจีน นี่คือสิ่งที่อยากให้ความสำคัญว่าหลายอย่างที่จีนทำวันนี้ ล้วนเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ใหญ่ BRI

“ที่สำคัญ BRI ไม่ใช่แค่ FTA (Free Trade Area) แต่ BRI คือ Grand Strategy เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ครอบคลุมหลายมิติ เป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องเกาะติด เป็นคัมภีร์ที่ สี จิ้นผิง ใช้บุกโลก ฉะนั้น ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัว รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย”

รศ.ดร.อักษรศรี ยังบอกต่อ “จากประสบการณ์ที่จับเรื่องจีนมานาน สามารถสรุปได้ว่า Mindset ของสื่อไทย ทั้งสื่อกระแสหลัก และสื่อโซเซียลที่มีต่อจีนนั้น แบ่งเป็นสองกลุ่มสุดขั้ว คือ กลุ่มโปรจีน กับ กลุ่มไม่เอาจีน ซึ่งสื่อโซเชียลไทยที่โปรจีนก็จะชื่นชม สี จิ้นผิง ดุจดั่งผู้นำในฝันดีเลิศไปหมด ส่วนฝ่ายที่ไม่เอาจีน ก็แสดงความเห็นรุนแรง แบบสุดขั้ว จับผิดไปหมด และรู้สึกเสียดายมาก ที่สื่อไทยกระแสหลัก มักทำงานเรื่องจีน แค่ตามวาระงาน เช่น การทำข่าว BRI ก็นำเสนอเป็นข่าวรูทีน ตามวาระ Event การประชุมที่เกิดขึ้นเนือง ๆ ไม่ต่างกับข่าวต่างประเทศทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยมีการวิเคราะห์เจาะลึกอะไรมากมายนัก

“สื่อไทยส่วนใหญ่ ทำงานเหวี่ยงไปตามกระแส มากกว่านำกระแส ในขณะที่ตัวอาจารย์เองเริ่มเกาะติดเรื่อง One Belt One Road (ชื่อเรียกเดิม BRI) มาตั้งแต่ครั้งแรกที่สี จิ้นผิง ไปพูดคำนี้ที่เอเชียกลางเมื่อกันยายน 2013 และเขียนบทความเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องหลาย 10 ชิ้น ตั้งแต่นั้นมา จนเขียนหนังสือวิเคราะห์ BRI โดยเฉพาะออกมาหนึ่งเล่ม ชื่อว่า ‘The Rise of China จีนคิดใหญ่มองไกล’ 

ในขณะที่ สื่อไทยเพิ่งจะมาสนใจ BRI ก็ตอนที่มีกระแสดราม่า ว่า ผู้นำไทยไม่ได้รับเชิญจากจีนให้เข้าร่วมประชุม BRI Summit ครั้งแรกที่ปักกิ่งในเดือนพฤษภาคมปี 2017 บางคนบอกว่า เพราะเป็นผู้นำทหารที่มาจากการปฏิวัติ พอมีดราม่าเรื่อง BRI ขึ้นมาเท่านั้นแหละ คนไทยรู้จักยุทธศาสตร์นี้ของจีนขึ้นมาเลย (ยิ้ม) แต่น่าเสียดายที่บางคนก็ยังรู้จักแบบคลาดเคลื่อน เช่น บอกว่า BRI ไม่พาดผ่านไทย ไม่รวมประเทศไทยด้วย (หัวเราะ) ทั้ง ๆ ที่นายกฯ จีน หลี่ เค่อเฉียง พูดชัดว่าโครงการรถไฟไทย-จีน คือ ส่วนหนึ่งของ BRI และหลี่ เค่อเฉียง มาประกาศ 1 ใน 6 ระเบียงเศรษฐกิจของ BRI ตอนบินกรุงเทพฯ (ธันวาคม 2014) คือ ระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน (China-Indochina Peninsula Economic Corridor) ที่เกี่ยวข้องกับไทยโดยตรง

สื่อไทยต้อง #แปลงจีนให้เป็นโอกาส!!

รศ.ดร.อักษรศรี >> “อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ตั้งแต่เกาะติดพัฒนาการของ BRI จีนได้พยายามใช้แผนการใหญ่ BRI ในการออกไปมีอิทธิพลระดับโลกแบบเนียน ๆ ไม่โฉ่งฉ่าง และใช้เป็น Soft Power เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับสื่อทั่วโลก รวมทั้งสื่อไทยผ่านการจัดสอนภาษาจีนให้ฟรี จัดทำกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและศิลปะบันเทิง รวมทั้งจัดพาสื่อไทยจากค่ายต่าง ๆ ไปทัศนศึกษาในจีนและดูแลอย่างดี เป็นต้น”

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า การไปศึกษาดูงาน การไปเรียนรู้ด้านภาษาหรือวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่จีนเสนอมาให้สื่อไทย ก็ไม่ได้เสียหายอะไร จึงคิดว่า ไม่ควรปฏิเสธ เพียงแต่ต้องใช้วิจารญาณในการที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ควรเคลิ้มตามโดยง่าย แต่ควรทำสิ่งที่ขอแนะนำว่า ต้อง ‘แปลงจีนให้เป็นโอกาส’ เพื่อไปรู้เท่าทันจีนด้วยตาเราเอง ไปอัปเดทข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาก อัปเดทชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนในจีน แต่ต้องตระหนักด้วยว่า สิ่งที่ฝ่ายจีนจัดให้ไปดู ก็คงจะโรยผักชีรออยู่เช่นกัน จึงไม่ควรเคลิ้มจนเกินไป หรือเชียร์จนเกินงาม

“การไปเห็นด้วยตาตัวเองย่อมจะดีกว่า อย่ามองจีนโดยผ่านสายตาสื่อตะวันตกมากเกินไป เพราะต้องยอมรับ มีสื่อไทยจำนวนไม่น้อย ที่อ่านแค่แมกกาซีนฝรั่ง อ่านบทความฝรั่ง แล้วนำมาแปลเพื่อเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ของสื่อไทย มีคอลัมน์นิสต์ไทยบางคนไม่เคยบินไปจีนเลยด้วยซ้ำ หรือไปจีนนานมากแล้ว แต่ก็แปลบทความฝรั่งแล้วมาเขียนวิเคราะห์เรื่องจีน แล้วก็ใส่ซีอิ๊ว พริกไทย เข้าไปหน่อย เพื่อทำให้ดูเป็นเวอร์ชั่นไทย” 

รศ.ดร.อักษรศรี ให้ข้อสังเกตก่อนบอกต่ออีกว่า “ระบบจีนไม่เหมือนใคร ยิ่งจีน มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนแค่ไหน ยิ่งต้องรู้ให้จริง เรื่องจีน ทุกวันนี้มี Fake News เรื่องจีนเยอะมาก สื่อมวลชน ยิ่งต้องรู้ให้รอบด้าน ยิ่งต้องเกาะติดอัปเดท จึงขอแนะนำคาถาในการทำรายงานสื่อเกี่ยวกับจีน ด้วยหลัก 4 ร คือ รู้เขา รู้เรา รู้จริง และ รู้เท่าทัน”

แล้วสื่อไทยต้องทำอย่าง ถึงจะรู้จริง?

รศ.ดร.อักษรศรี >> “ต้องใฝ่รู้ เกาะติด ทำการบ้าน ฟังข้อมูลหลายฝ่าย ทั้งจากสื่อตะวันตก สื่อจีน นักวิชาการจากค่ายต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ มันไม่ยากนะ ถ้าอยากจะรู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพียงแต่มีใจทุ่มเทรึเปล่าแค่นั้นเอง”

ในฐานะนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มองอย่างไร? หากสื่อมีข้ออ้างเรื่องข้อจำกัดในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับจีนให้รอบด้าน 

รศ.ดร.อักษรศรี มองว่า “ถ้าเป็นสื่อมืออาชีพ ไม่ควรมีข้ออ้าง ไม่ว่าจะอ้างเรื่องไม่มีงบในการบินไปลงพื้นที่เก็บข้อมูล ไม่มีงบค่าแปลหรือมีข้อจำกัดด้านภาษา ฯลฯ เพราะยุคนี้มีเทคโนโลยีช่วยได้ และมีข้อมูลเกี่ยวกับจีนหลายช่องทางมาก สื่อมืออาชีพ ต้องทำได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวสื่อเอง มี Passion ที่สนใจใฝ่รู้เรื่องจีน อย่างจริงจังแค่ไหน

สุดท้าย ถ้าสื่อไม่มี Passion เรื่อง BRI แล้ว ‘ประเทศไทย’ จะไปต่อได้หรือไม่? 

รศ.ดร.อักษรศรี บอกตรง ๆ ว่า...

“ไปต่อได้แน่นอน เพราะคุณูปการ (Contribution) ของสื่อหรืออิทธิพลของสื่อที่มีต่อนโยบายต่างประเทศของไทยที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น (ยิ้ม) เพราะข้อเท็จจริง คือ การกำหนดนโยบายของไทยเป็นเรื่องของนักการเมืองหรือชนชั้นปกครองมากกว่า แต่ถ้าจะขออนุญาตแนะนำ คือ สื่อต้องมีจุดยืนที่แน่วแน่ มี Strong Position ของตัวเองในการนำเสนอข้อเท็จจริงและบทวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ที่สำคัญ อย่าสร้างดราม่า หรือปั่นกระแส เพื่อแค่หวังยอดวิวหรือยอดแชร์ รวมทั้งอย่าตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของนักการเมือง จนทำให้งานที่สื่อออกมาจะแกว่งไปแกว่งมา ตามผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม”

 

ที่มา : https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223542323199664/?d=n
https://www.facebook.com/101768495251562/posts/178195904275487/?d=n


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' การันตีความดี ‘หมอยง’ ย้ำชัด เป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ระบุว่า ตามที่มีบุคคลเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนให้ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปลดนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ออกจากตำแหน่งหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลีนิคภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ด้วยการกล่าวอ้างว่า นายแพทย์ยง ในฐานะที่ปรึกษาสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ให้กับรัฐบาล ขาดจรรยาบรรณรับใช้การเมือง นั้น

ผมไม่รู้คุณคือใคร กล้าที่จะเรียกร้องให้ปลดคนที่ทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ไม่กล้าเปิดเผยชื่อ การเรียกร้องผ่านสื่อเช่นนี้ ต้องมีตัวตน อย่าทำตัวลึกลับ หลบอยู่ในเงามืด

สถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด เป็นสถานการณ์รุนแรงและอันตราย ต้องการบุคคลที่มีความรู้จริง ไม่ใช่การลองผิดลองถูก ต้องไม่เอาชีวิตเพื่อนมนุษย์มาทดลองวิชา

ได้ทราบว่า มีนิสิตเก่าคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ กำลังร่วมลงชื่อเพื่อสนับสนุนและให้การรับรองความดีของนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ

ผมในฐานะนิสิตเก่าจุฬาคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้เรียนคณะเดียวกับท่าน แต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิสิตปี 2512 ขอให้กำลังใจนายแพทย์ยง ขอให้ท่านยืนหยัด อดทน และทำงานเพื่อประเทศชาติ และเพื่อสุขภาพของคนไทยต่อไป

#save หมอยง

 

https://www.facebook.com/nantiwat.samart/posts/1656464041206238


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม วัคซีนโควิด-19 ไทย รุดหน้า คาดช่วยส่งออก สร้างรายได้ให้ประเทศ

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ติดตามและแสดงความชื่นชมความก้าวหน้าผลงานวิจัยวัคซีนโควิด-19 โดยทีมแพทย์และนักวิจัยไทย เป็นอีกความหวังของประเทศในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคฯ ซึ่งนายกฯ ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ 2 แนวทางสำคัญ คือ

1.) ให้การสนับสนุนสถาบันวัคซีนแห่งชาติ คณะแพทย์ในมหาวิทยาลัย และองค์กรชั้นนำ ในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในรูปแบบต่าง ๆ

และ 2.) รับการถ่ายทอดกระบวนการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศโดยบริษัท Siam Bioscience Co,.Ltd. ของไทย สำหรับวางรากฐานในไทยเพื่อพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ลดงบประมาณการจัดซื้อและสามารถส่งออกเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคตอีกด้วย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในไทย ประกอบด้วย

1.) โครงการศึกษาวิจัยระยะที่ 1/2 เพื่อประเมินความปลอดภัย และความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีน NDV-HXP-S ในประเทศโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมกับศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เริ่มฉีดอาสาสมัครเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ซึ่งวัคซีน NDV-HXP-S มีจุดเด่น คือ โรงงานของ อภ. มีความพร้อมในการผลิตระดับอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และได้รับความร่วมมือระดับนานาชาติจากองค์กร PATH ในการสนับสนุนกล้าเชื้อไวรัส คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการร่วมกันวิจัยจากผู้ผลิตจากประเทศเวียดนามและบราซิล

2.) โครงการพัฒนา mRNA วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 โดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเช่นเดียวกับวัคซีนจาก Pfizer-BioNTech และวัคซีนจาก Moderna ผลศึกษาการทดลองใน “หนู และ ลิง” พบว่า กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง ช่วยยับยั้งการติดเชื้อในสัตว์ทดลองได้ โดยเริ่มการศึกษาในมนุษย์ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ทดสอบในระยะที่ 1 ใช้อาสาสมัครจำนวน 72 คน ซึ่งวัคซีน ChulaCov19 มีจุดเด่น คือ สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์

จากการทดลองในหนูทดลองชนิดพิเศษที่ออกแบบให้สามารถเกิดโรคโควิด-19 ได้ พบว่า เมื่อหนูได้รับวัคซีน ChulaCov19 ครบ 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ แล้วให้หนูทดลองได้รับเชื้อโควิด-19 เข้าทางจมูก สามารถป้องกันหนูทดลองไม่ให้ป่วยและยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและในปอดลงไปอย่างน้อย 10,000,000 เท่า มีความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง วัคซีนชนิด mRNA ยังสามารถปรับแต่งวัคซีนต้นแบบตามพันธุกรรมของเชื้อกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

3.) โครงการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด DNA (วัคซีนโควิเจน) โดยบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ผลการทดสอบในหนูทดลอง พบว่า วัคซีนมีความปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติกับทาง อย. เพื่อทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 และคาดว่าจะวิจัยในคนระยะที่ 2 และ 3 ในปีนี้ (ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564) โดยมีแผนการทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 ในประเทศออสเตรเลียรวมด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์ฯ CU Innovation Hub ที่ใช้ใบยาสูบเป็นพืชในกระบวนการสร้างวัคซีน หลังจากที่มีการผลิตวัคซีนล็อตแรกเสร็จ จะนำไปสู่ขั้นตอนการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ คาดจะอยู่ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้

น.ส.รัชดา กล่าวว่า บริษัท AstraZeneca ประเทศไทย แจ้งแผนการส่งมอบวัคซีนให้กระทรวงสาธารณสุข ครบ 6 ล้านโดสในสัปดาห์นี้ ตามแผนทั้งหมด 61 ล้านโดส และในช่วงต้นของเดือนกรกฎาคม จะมีวัคซีนจากการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น อีกจำนวน 1.05 ล้านโดส ขณะเดียวกัน ระบบ "หมอพร้อม" ได้เลื่อนการฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้นแก่ผู้ลงทะเบียนกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง ในพื้นที่กทม. จากเดือน สิงหาคม เป็น กรกฎาคม

ส่วนกรมการแพทย์ ได้เปิดให้ผู้สูงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป สามารถรับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ แบบระบบ On-site เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ โดยจะเริ่ม 30 มิถุนายน-18 กรกฎาคม

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เร่งเดินหน้า ตามแผนการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ประเทศเร็วที่สุด


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เปิดสถิติ 4 นักเตะคีย์แมน ที่พลาดท่าตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูโร 2020

ศึกรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลยูโร 2020 จบลงไปเป็นที่เรียบร้อย มี 8 ทีมเข้ารอบ เตรียมไปเจอกันต่อที่สนามหน้า ส่วนอีก 8 ทีมที่ตกรอบ ก็เตรียมไปเจอกันที่สนามบิน ผ่าม!! กลับบ้านสิครับรอไร! โดยเฉพาะกับบรรดาสตาร์ของหลาย ๆ ทีมที่จบภารกิจ ‘แบกทีม’ ไปเป็นที่เรียบร้อย

ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้, แกเร็ธ เบล, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ หรือ ลูก้า โมดริช ทั้งหมดไปเจอกันที่สนามบิน ไม่ช่าย! ทั้งหมดจบเส้นทางยูโร 2020 ลากกระเป๋าขึ้นเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ได้ฝากผลงาน ‘การแบกทีม’ หรือจะเรียกว่า เป็นหัวใจของทีม เอาไว้อย่างน่าชื่นชม เราจึงไปรวบรวมผลงานที่พวกเขาทำเอาไว้ในยูโรครั้งนี้มาให้ดูกันครับ...


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"บิ๊กตู่" เตรียมลงพื้นที่ภูเก็ต 1 ก.ค. นี้ นำร่องเปิดประเทศ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” คาดการณ์รับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 100,000 คน ในไตรมาส 3 นี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐ เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีกำหนดลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดภูเก็ต ตรวจเยี่ยมระบบการคัดกรองผู้เดินทางเข้าออกจังหวัดภูเก็ตทางบก ทั้งยานพาหนะ บุคคล และเอกสารต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเศรษฐกิจท่องเที่ยวตามโครงการ Phuket Sandbox จังหวัดภูเก็ต ณ ด่านตรวจภูเก็ต จากนั้น จะเป็นประธานประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินการมาตรการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ Phuket Sandbox ร่วมกับส่วนราชการ และภาคเอกชน ณ โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อำเภอเมืองภูเก็ต และเปิดโครงการ “ฮักไทย ฮักภูเก็ต” (HUG THAIS HUG PHUKET) ภายใต้โครงการ “ฮักไทย” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต และตรวจเยี่ยมความพร้อมการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว  ณ อุทยานแห่งชาติสิรินาถ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะตรวจเยี่ยมการคัดกรองผู้เดินทางเข้าออกจังหวัดภูเก็ตทางอากาศ และให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศตามโครงการ Phuket Sandbox ที่สนามบินนานาชาติภูเก็ตด้วยก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในเย็นวันเดียวกัน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ช่วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง ให้สามารถกลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว เพิ่มโอกาสการจ้างงาน ต่อยอดสินค้าบริการ ในธุรกิจกิจการท่องเที่ยวในระดับต่าง ๆ รวมถึงการลงทุนด้วย ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่ไปกับ New Normal หรือการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เพื่อให้การท่องเที่ยวของไทยกลับมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป รัฐบาลโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประมาณการณ์นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ภายใต้โครงการ Phuket Sandbox จำนวน 100,000 คน ในไตรมาส 3 (เดือน ก.ค. - ก.ย. 64) ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้อยู่ที่ 8.9 พันล้านบาท    

ทั้งนี้ ตลอดเดือนกรกฎาคม 2564 มียอดจอง Booking ของผู้โดยสารที่จะเข้ามา Phuket Sandbox ประมาณ 11,894 คน ข้อมูลจาก 6 สายการบิน แบ่งเป็นผู้โดยสารขาเข้าประมาณ 8,281 คน ขาออก 3,613 คน คาดการณ์ปริมาณเที่ยวบินทั้งหมดประมาณ 426 เที่ยวบิน เฉลี่ยที่ประมาณ 13 เที่ยวบิน/วัน 

อย่างไรก็ตาม ศบค. ได้กำหนดแผนการชะลอหรือยกเลิกโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ กรณีสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง หากมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 90 ราย/สัปดาห์ ในลักษณะการกระจายโรคในจังหวัดทั้ง 3 อำเภอ และมากกว่า 6 ตำบล ที่มีการระบาดเกิน 3 คลัสเตอร์ หรือมีการระบาดในวงกว้างที่หาสาเหตุหรือความเชื่อมโยงไม่ได้ รวมทั้งความพร้อมในการรองรับผู้ป่วย กรณีมีผู้ติดเชื้อครองเตียงโรงพยาบาล ตั้งแต่ 80% ของศักยภาพของจังหวัดที่มีการพบการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์แบบวงกว้าง แบบควบคุมไม่ได้ ด้วย

อนึ่ง จังหวัดภูเก็ตได้ออกกำหนดมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รองรับการเปิดเมือง Phuket Sandbox ดังต่อไปนี้

1.) การเดินทางเข้าภูเก็ตจากต่างประเทศ ดังนี้ เดินทางจากประเทศที่กำหนด โดยพำนักในประเทศที่กำหนดอย่างน้อย 21 วัน มีหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย (COE) ได้รับวัคซีนครบโดส อย่างน้อย 14 วัน กรณีเด็กอายุน้อยกว่า 6 ขวบ สามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องมีใบรับรองว่าไม่มีเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลา 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง มีกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งรวมถึงกรณีโรคโควิด-19 ในวงเงินไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการตรวจโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PRC ใน 3 ระยะเวลาดังต่อไปนี้ ครั้งที่ 1 ณ วันที่เดินทางถึงภูเก็ต (วันที่ 0) ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 และครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 12-13 หลังจากเข้าพักในโรงแรมที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ (SHA Plus) ในจังหวัดภูเก็ตเป็นระยะเวลา 14 คืน จึงสามารถเดินทางออกไปจังหวัดอื่น ๆ ในประเทศไทยได้ ติดตั้งแอปพลิเคชัน Thailand Plus และ Tracing Application : Morchana เมื่อเดินทางออกจากภูเก็ตเมื่อครบ 14 วัน โดยต้องมีหลักฐานยืนยันการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่แสดงว่าตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ตลอดระยะเวลา 14 คืนที่พำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ต

2.) การเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตจากภายในประเทศ ดังนี้

(1) ต้องเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบ 2 เข็ม หรือครบโดสตามจำนวนวัคซีนแต่ละชนิด หรือได้รับวัคซีนชนิด AstraZeneca จำนวน 1 เข็ม มาแล้วเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน หรือผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการ RT-PCR หรือวิธีการ Antigen Test ผลเป็นลบอายุไม่เกิน 7 วันก่อนการเดินทางหากเป็นผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 และได้รับการรักษาหายมาแล้วไม่เกิน 90 วัน และต้องมีหนังสือรับรองการได้รับการรักษา (ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 1-2)  ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ภายในจังหวัดภูเก็ตและไม่จำเป็นต้องอยู่ภูเก็ตถึง 14 วัน 

กรมประมง เร่งออก Seabook แรงงานต่างด้าว 

นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมครม. ได้มีมติเห็นชอบตามแนวทางการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว โดยให้กรมประมงใช้อำนาจตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ต่ออายุหนังสือคนประจำเรือ (Seabook เล่มเหลือง) ให้กับแรงงานต่างด้าวที่ได้รับหนังสือคนประจำเรือ ตามมติครม. เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ออกไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่หนังสือคนประจำเรือเดิมสิ้นอายุ 

ทั้งนี้ ล่าสุดนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กรมประมงดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยในวันที่ 1 กรกฎาคม นี้ กรมประมงจะได้จัดประชุมร่วมกับสำนักงานประมงจังหวัดชายทะเล สมาคมการประมงชายทะเลในพื้นที่ทั้ง 22 จังหวัด และสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เพื่อเร่งดำเนินการต่ออายุหนังสือคนประจำเรือให้เสร็จสิ้นต่อไป

สำหรับแรงงานต่างด้าวที่จะขอต่ออายุหนังสือคนประจำเรือ (Seabook เล่มเหลือง) จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้ 

1.) ต้องเป็นคนต่างด้าวที่ได้รับหนังสือคนประจำเรือตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2563  

2.) เจ้าของเรือได้จัดทำหนังสือสัญญาจ้างตามแบบที่กำหนดในประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการฯ ได้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของสัญญาจ้างและลงลายมือชื่อกำกับไว้ 

3.) คนต่างด้าวต้องมีใบรับรองการตรวจสุขภาพซึ่งครอบคลุมถึงการตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการประกันสุขภาพมีอายุคุ้มครองอย่างน้อยหนึ่งปี ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว 

4.) คนต่างด้าวจะต้องยื่นคำขอจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด หรือสถานที่อื่นที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำหนด ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับใบรับคำขอต่ออายุหนังสือคนประจำเรือจากกรมประมง 

เลขาฯ สมช. วอนผู้ประกอบการร้านอาหารหยุดแคมเปญ ‘#กูจะเปิดมึงจะทำไม’ หวั่น ยิ่งทำเชื้อระบาดหนัก ยัน รัฐจ่ายเยียวยาเยอะกว่าทุกรอบ

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. เวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ผู้ประกอบการร้านอาหารร่วมกันผุดแคมเปญ ‘#กูจะเปิดมึงจะทำไม’ ในสื่อโซเชียล เพื่อแสดงอารยะขัดขืนต่อมาตรการของศบค.ที่ไม่ให้นั่งรับประทานอาหารในร้าน ว่า ขณะนี้รับทราบแล้ว และขอความร่วมมือให้หยุดการกระทำดังกล่าว เพราะถ้าทำอย่างนั้น มีโอกาสเสี่ยงทั้งตัวผู้ประกอบการและผู้บริโภค

ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้ายังมีการเดินหน้าแคมเปญนี้อยู่ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายไปจัดการหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คงต้องดูด้วย แต่ในขั้นต้นอยากขอความร่วมมือก่อน ในบรรยากาศเป็นอย่างนี้ ถ้าไปใช้มาตรการกฎหมายในทันที อาจทำให้ตรึงเครียดมากขึ้น ตอนนี้เราคงเข้าไปพูดคุยขอความร่วมมือว่าถ้าทำอย่างนั้น อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น และที่ผ่านมา จากการสอบสวนโรค พบว่ามาจากลักษณะรวมกลุ่มไปรับประทานอาหารแล้วติดเชื้อกันมา

เมื่อถามว่าช่วงที่มีตัวแทนผู้ประกอบการร้านอาหารมาหารือกับ ศบค. ได้พูดถึงเงื่อนไขที่จะไม่ปฏิบัติตาม บ้างหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ได้พูด เขาขอให้รัฐบาลดูแลเยียวยา รอบนี้ ศบศ. เยียวยาเยอะ ทั้งผู้ประกอบการและพนักงาน

เมื่อถามย้ำว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชิญผู้ประกอบการที่ผุดแคมเปญนี้มาหารือกันก่อน เพื่อไม่ให้ไปประท้วงลงถนน พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คงต้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้กับทุกคนว่าถ้าทำอย่างนั้น จะทำให้เกิดการติดเชื้อและแพร่ระบาดมากขึ้น รวมถึงสังคมโดยรวมเดือดร้อนไปด้วย จึงต้องขอความร่วมมือและความเห็นใจ ส่วนรัฐบาล และศบค. จะขอดูสถานการณ์เมื่อผ่านไป 15 วัน ถ้าคลี่คลาย ก็จะพิจารณาผ่อนคลายให้ ขอประเมินก่อน และในวันนี้ยังเห็นว่าตัวเลขทรงตัวอยู่ ทั้งที่มีมาตรการออกมาแล้ว

ต่อข้อคำถามว่าผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืนและสถานบันเทิงที่ถูกสั่งปิดมาตั้งแต่รอบแรก มองว่ายังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล เหมือนกับธุรกิจประเภทอื่น กล่าวว่า รอบนี้เขาก็ได้รับการดูแลด้วยตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่อาจไม่เท่ากับที่เขาขอมา

เมื่อถามถึงกรณีที่มีอาจารย์แพทย์จากโรงพยาบาลศิริราชบอกว่าตอนนี้ถือว่าเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 4 ในเร็ว ๆ นี้ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ใช่ เพราะปัจจุบัน สายพันธุ์เดลตาที่มาจากประเทศอินเดีย มีการแพร่ระบาดที่เร็ว อาจารย์แพทย์หลายท่านก็เป็นห่วง จึงได้เสนอมาตรการต่าง ๆ ออกมาด้วยความห่วงใย แต่ก็รับทราบถึงความเดือนร้อนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการและพนักงาน แม้มีการฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว อย่างเช่น ประเทษอิสราเอลและอังกฤษมีปริมาณการฉีดวัคซีนให้ประชาชนจำนวนมากพอแล้ว แต่เขาก็ยังย้อนกลับมาล็อกดาวน์อีกรอบ การฉีดวัคซีนไม่ได้รับประกันว่าไม่ติดเชื้อ แต่ยังต้องระวังกันเหมือนเดิม

ต่อข้อถามถึงสถานการณ์ รพ.ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดปัตตานีที่เริ่มจะรับปริมาณผู้ป่วยไม่ไหวแล้ว พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นห่วงเรื่องนี้เช่นกัน

เมื่อถามว่ากรณีที่พบสารละลายลักษณะเจลอยู่ในขวดวัคซีนของบริษัท ซิโนแวค บางล็อต พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขยืนยันแล้วสาเหตุเกิดจากอะไร ให้ฟังจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก แต่ตนยืนยันว่าไม่ได้มีการฉีดวัคซีนตัวที่มีปัญหาให้กับประชาชน และวัคซีนไม่ได้เกิดปัญหาตั้งแต่ต้น แต่เกิดจากการเก็บในที่ที่มีอุณหภูมิเย็นเกินไป ไม่ได้เป็นทั้งล็อต เมื่อเขาพบก่อน จึงมีการแจ้งเตือน


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ศรีสุวรรณ ยื่น ป.ป.ช. สอบน็อตทิพย์ กรมทางหลวง เชื่อไม่ได้มีแค่แห่งเดียว

ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้สอบเอาผิดกรมทางหลวง กรณีปล่อยให้ผู้รับเหมาทำน็อตทิพย์เพื่อหลอกตาโดยไม่มีการเชื่อมต่อกับพื้นปูนซีเมนต์จริงบริเวณเสาราวจับบันไดและเสาโครงหลังคากันแดดฝนในโครงการปรับปรุงสะพานลอย บนถนนกาญจนาภิเษกหรือถนนวงแหวนตะวันตก มูลค่าเกือบ 10 ล้านบาท ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำมาเผยแพร่ประจานให้รู้กันทั่ว

กรณีดังกล่าวผู้บริหารของแขวงทางหลวงนนทบุรี และวิศวกรโยธาปฏิบัติการ กรมทางหลวง ได้รีบออกมาแก้ข่าวและอ้างกับสื่อมวลชนว่า เป็นการก่อสร้างเพิ่มเติมช่วงโครงหลังคากันฝน ครอบทับสะพานลอยเก่ามีอยู่แล้ว ผู้รับเหมาจึงเพิ่มเติมเสาขึ้นมาเพื่อยึดติดกับโครงสร้างสะพานลอยของเดิม ซึ่งโครงสร้างสะพานลอยของเดิมนั้นมีเสาพร้อมน็อตติดกับพื้นอยู่ก่อนแล้ว ทางผู้รับเหมาจึงนำแผ่นเหล็กของฐานเสาใหม่มาเชื่อมกับฐานเหล็กเก่าเพื่อต้องการให้แข็งแรงมากขึ้น และแผ่นสแตนเลสที่ทำลอยไว้เป็นการทำโชว์เพื่อความสวยงามของผู้รับเหมา ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบกับโครงสร้างหลักแต่อย่างใด

แต่จากการตรวจสอบพบว่า มีหลายเสาสแตนเลสที่ลอยสูงจากพื้นปูนของตัวสะพานและหรือบันไดสะพานลอยดังกล่าว ไม่มีตัวน็อตที่ขันติดกับพื้นแต่อย่างใด แต่มีบางจุด บางเสาเท่านั้น ที่อาจทำในลักษณะเหมือนเป็นการติดหัวน็อตไว้เพื่อหลอกตาไว้ ซึ่งหากตรวจสอบทุกโครงเสาสแตนเลสทั้งหมดทั้งสองด้านของสะพานลอย และโครงหลังคาก็เชื่อว่า จะมีหลายเสาที่ไม่มีตัวน็อตด้านล่างที่ขันติดกับพื้นปูนหรือพื้นสะพาน เพื่อให้ทุกเสามั่นคง แข็งแรง และสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้สัญจร และใช้ประโยชน์จากสะพานดังกล่าว นอกจากนั้นการเชื่อมโครงหลังคาสะพานลอยที่มีการอ็อคเชื่อมเพียงจุดเล็ก ๆ ไม่มีการเชื่อมรอบเสาแต่อย่างใด

ซึ่งคำชี้แจงของวิศวกรกรมทางหลวงจึงฟังไม่ขึ้น และเชื่อว่ายังมีอีกหลายโครงการสะพานลอยของถนนกาญจนาภิเษก และถนนทางหลวงต่าง ๆ ทั่วประเทศ ที่อาจมีลักษณะเช่นเดียวกัน หรือปล่อยให้ผู้รับเหมาดำเนินการโดยอำเภอใจ เพียงแต่ยังไม่ถูกจับพิรุธขึ้นมาเสียก่อน ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความพร้อมหลักฐานมายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อใช้อำนาจตาม พรป.ป.ป.ช.2561 ในการสอบสวนเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่วิศวกร ผู้อำนวยการแขวงทางหลวง ไปจนถึงอธิบดีกรมทางหลวง ว่าเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top