Saturday, 10 May 2025
Hard News Team

‘สุเทพ’ จี้ รัฐบาลเยียวยา ‘นวดสปา’ หลัง กมธ.แรงงานฯ รับเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ซัด ‘ประยุทธ์’ ต้นตอปัญหาควรลาออก เพื่อเปิดทางมีรัฐบาลใหม่ ด้าน ‘ทวีศักดิ์’ ชี้ คำสั่ง กทม.- ศบค. ขาดความชัดเจน เล่นกับความทุกข์ร้อนของประชาชน

สุเทพ อู่อ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเเรงงาน สภาผู้เเทนราษฎร พร้อม ทวีศักดิ์ ทักษิณ กรรมาธิการฯ รับหนังสือร้องของความเป็นธรรมจากกลุ่มอาชีพนวดและสปา ที่เรียกร้องให้รัฐบาลให้ผ่อนปรนเเละยกเลิกมาตรการสั่งปิด หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ทั้ง 3 ระลอก เเต่ไม่ได้รับการเยียวยาใดๆ จากภาครัฐ 

สุเทพ กล่าวว่า ตนรู้สึกเศร้าใจกับการบริหารงานของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบเดือดร้อนกับพี่น้องประชาชน ซึ่งเกิดจากความไม่ชัดเจนด้านนโยบายของ ศบค.และรัฐบาล ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ผู้ใช้เเรงงาน ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการในภาคส่วนต่างๆที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดสถานประกอบการ ทั้งร้านนวดเเละสปา ร้านอาหาร สนามกีฬา หรือสถานประกอบการ อื่นๆ ทั้งหมด ตนจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมาธิการเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วน ขณะนี้มีหลายกลุ่มที่เดือดร้อนมาก เช่น พี่น้องเเรงงานนอกระบบกลุ่มรถยนต์ขับขี่สาธารณะ (แท็กซี่), กลุ่มลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างกว่า 1,300 คน จากบริษัทบิลเลียน จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งนับตั้งเเต่ถูกเลิกจ้างยังไม่ได้รับการเยียวยาจากผู้ประกอบการ จากสถานการณ์ที่มีความลำบากไปทั่วเช่นนี้ จึงขอเรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกเพื่อเปิดทางให้บุคคลมีความสามรถเข้ามาบริหารงานแทน 

ด้าน ทวีศักดิ์ ทักษิณ ในฐานะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า กลุ่มผู้ประกอบการนวดแผนไทยเเละสปา ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างจากนโยบายที่ไม่ชัดเจนของภาครัฐที่ใช้ควบคุมการเเพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่ โดย เมื่อวานนี้ (31 พ.ค. 64 ) ทางกรุงเทพมหานครออกมาตรการปลดล็อก 5 กลุ่มธุรกิจซึ่งมีร้านนวดเเละสปาให้กลับมาเปิดกิจการได้ เเต่ไม่ทันข้ามวัน ในช่วงเย็น ทางศบค.กลับออกเเถลงการณ์ให้ชะลอมาตรการดังกล่าว จึงส่งผลกระทบต่อทางด้านจิตใจของพี่น้องประชาชนเเละผู้ประกอบการมาก เพราะทันที่ที่ได้ข่าวว่าปลดล็อก จากต้นทุนที่ไม่มีอยู่แล้วด้วยหวังว่าจะเปิดกิจการได้จึงไปกู้หนี้ยืมสินแต่สุดท้ายก็โดนยกเลิกไป เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนแบบนี้ไม่ควรเกิดรัฐบาลต้องมีความชัดเจนต่อกรณีที่เกิดขึ้น

พิทักษ์ โยธา นายกสมาคมจารวีเพื่ออนุรักษ์นวดแผนไทย กล่าวว่า ในวันนี้ที่มายื่นเรื่องต่อประธานกรรมาธิการเเรงงาน เพื่อขอคัดค้านคำสั่งของ ศบค. ให้ปิดสถานที่ต่างๆรวมร้านนวดเเละสปาออกไปอีก 14 วัน กรณีความไม่ชัดเจนระหว่าง ศบค.กับ กทม. ที่เกิดขึ้น ผู้ประกอบการไม่มีทุนเป็นเดิมอยู่เเล้ว เเต่เมื่อรัฐประกาศมาตรการคลายล็อกออกมาก็ต้องเตรียมพร้อมเปิดร้านอีกครั้ง โดยต้องไปกู้นายทุนนอกระบบมาก่อน ทั้งในการพ่นยา ฆ่าเชื้อ เสื้อผ้า ซื้อหน้ากากอนามัย พอมาตรการรัฐออกมาสั่งปิดอีก 14 วัน ทุกคนแทบล้มทั้งยืน เพราะหนี้นอกระบบเขาเก็บเป็นรายวัน ไม่รู้จะเอารายได้มาจากไหน ตั้งแต่ระลอกแรกพวกเราได้รับผลกระทบด้วยการสั่งปิดทุกครั้งและแทบไม่ได้รับการเยียวยาเลย โครงการเราชนะ มีผู้ได้รับการช่วยเหลือเพียง 65% เท่านั้น อีก 35% คือ มีรายได้ในในปี 2562 เกิน 300,000 บาท ซึ่งทางรัฐบาลใช้ AI ตรวจสอบ แต่เราได้รับผลกระทบในปี 2563 จึงไม่ได้รับความช่วยเหลือ พนักงานของเราจะไปสมัครงานที่ไหนไม่ว่า ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร ก็ไม่มีตำแหน่งให้ ไม่รู้พวกเขาจะกินอยู่อย่างไรต่อไป จึงต้องการให้กรรมาธิการช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว 

ขณะที่ อักษิกา จันทรวินิจ ตัวเเทนผู้ประกอบการร้านนวดเพื่อสุขภาพในกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่าน นโยบายต่างๆ ที่ออกโดยศูนย์บริหารสถานการณ์เเพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา 2019 ( ศบค.) ทำให้กิจการได้รับผลกระทบจำนวนมาก แต่เป็นนโยบายแบบหว่านแห ปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเเละมีอยู่ทุกภาคส่วน มีหน่วยงานราชการ มีธนาคาร เเละมีร้านสะดวกซื้อ ที่พบว่ามีผู้ติดเชื้อทุกๆหน่วยงาน เเต่ทุกหน่วยงานได้รับการดูเเลอย่างเป็นธรรม ไม่มีหน่วยงานไหนถูกปิดทุกที่ทั่วประเทศเหมือนสปา ร้านสักคิ้ว ฟิตเนส ตรงนี้จึงต้องขอความเป็นธรรม เราขอให้ ศบค.และ กทม.ดูเเลพวกเราอย่างเท่าเทียม เราต้องการพื้นที่ในการทำงานได้ในภาวะติดเชื้อ เราไม่มีวันทำให้จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงได้ภายในเร็ววันนี้  ศบค. ทำลายความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่มีความตั้งใจ แต่ ศบค. ไม่เคยเห็นความตั้งใจดังกล่าวในการรับผิดชอบสังคมของพวกเรา กลับใช้นโยบายสั่งปิดเเบบหว่านแหและเหมารวม ขอเรียกร้ององให้ภาครัฐเร่งดูเเลผู้ประกอบการและพนักงานนวดสปาอย่างเร่งด่วน

“บิ๊กตู่” ยันพรรคร่วมไร้ปัญหา หลัง “ชาดา” ชวน “เสี่ยหนู” กลับบ้าน เจ้าตัวแจงกลางวง ครม.สมาชิกอาจเข้าใจผิด เตรียมลุกแจงในสภา พร้อมทำความเข้าใจสมาชิกพรรค

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถาม แทนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายให้ตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงเหตุผลที่ ศบค. ชะลอ มติ กทม.ในเรื่องการผ่อนคลายกิจการกิจกรรม 5 ประเภทว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวมของกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันยังคงมีอยู่ ดังนั้นการที่คณะกรรมการโรคติดต่อ ของกรุงเทพมหานคร ประชุมกันและมีผลสรุปออกมานั้น ก็ยังไม่ได้มีการนำเสนอเข้าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนั้นมติของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครจึงยังไม่มีผล เป็นเพียงการแถลงข่าวผลประชุมของคณะกรรมการ โรคติดต่อ กทม. ซึ่งจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของ ศบค.ชุดใหญ่อีกครั้งก่อน เพื่อพิจารณารายละเอียดต่างๆ จึงได้มีการชะลอมติดังกล่าวไว้ ยืนยันว่าคำสั่งดังกล่าวของ กทม.ยังไม่มีผล แต่ยอมรับว่าอาจส่งผลทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในเบื้องต้น 

นายอนุชา กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการพูดถึงเรื่องของงบประมาณในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นที่สื่อมวลชนถามว่า นายกรัฐมนตรีมีความเห็นอย่างไร ต่อท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่พอใจกับการจัดสรรงบประมาณนั้น เรื่องดังกบ่าว พล.อ.ประยุทธ์ได้ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลจะได้มีการพูดคุยกับสมาชิกพรรคของตัวเองในรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งในที่ประชุม ครม.วันเดียวกันนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่าอาจจะเกิดการเข้าใจผิดกันในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ เพราะนอกเหนือจากงบประมาณในรายกระทรวงแล้ว ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ยังมีงบประมาณอื่นๆทั้งที่เป็นงบกลาง และงบที่นำมาใช้จากกรอบวงเงินกู้ ซึ่งเมื่อนำมาบวกกันแล้ว จะเห็นได้ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา โควิด-19 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขมีอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 153,900 กว่าล้านบาทก็จริง แต่ยังมีในส่วนของงบประมานที่ตั้งไว้ที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีงบประมาณที่ตั้งไว้ที่กองทุนการแพทย์ฉุกเฉินอีก เพราะฉะนั้นเมื่อรวมกันแล้วก็จะมีวงเงินในส่วนของงบปกติตั้งไว้ถึง 293,000 กว่าล้านบาท แต่ไม่ได้มีการพูดถึง มีการพูดถึงเฉพาะงบที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับจึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นมาได้ ตัวอย่างเช่นงบที่มาจากงบกลางล่าสุดที่ได้มีการอนุมัติไป 311 ล้านบาท เพื่อให้เป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรค โควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ ส่วนนี้ก็เป็นงบประมาณที่มาจากกรอบวงเงินรายจ่ายประจำปีที่เป็นงบกลาง เป็นรายการค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาแก้ไขปัญหาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรค โควิด-19 นอกจากนี้งบกลางยังมีอีกหลายส่วนที่ดำเนินการไปแล้ว อาทิ รัฐบาลได้จัดให้มี สถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้กับประชาชนที่ต้องกักตัว 14 วัน หรือ State Quarantine ที่ผ่านมา ครม. ได้ใช้งบกลางในการดูแล โดยประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดใด หรือแม้กระทั่งการจัดหาวัคซีน จำนวนหลาย 10 ล้านโด้ส ก็ใช้เงินจากงบกลางทั้งสิ้น ไม่ได้ผ่านมาในส่วนของงบกระทรวงสาธารณสุข หากไปดูตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเดียวก็จะไม่สามารถเห็นตัวเลขที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 ได้ ต้องนำงบประมาณในส่วนอื่นๆ ทั้งงบจากเงินกู้ งบจากส่วนกลางมาบวกรวม ทั้งการคัดกรองผู้ติดเชื้อ การจัดหารถโมบายในการตรวจคัดกรองต่างๆ ทั้งหมดมาจากงบเงินกู้ทั้งสิ้น

“ประเด็นที่สื่อมวลชนสอบถามมาว่านายกรัฐมนตรีจะแก้ปัญหา และดูแลพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไร หลังเกิดความระหองระแหงขึ้นมานั้น เรื่องดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าไม่ได้มีความระหองระแหงในพรรคร่วมรัฐบาลอะไรทั้งสิ้น ในการประชุมครม.ก็ได้มีการพูดคุยกันด้วยดีทุกอย่าง ทุกพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้มีการชี้แจงว่าจะได้ทำการพูดคุยกับสมาชิกของพรรคตัวเองเพื่อ ชี้แจงให้เกิดความเข้าใจในรายละเอียดเพิ่มเติม โดยนายอนุทิน ได้บอกว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลังจากที่สมาชิกได้อภิปรายในบางส่วนแล้ว ก็จะลุกขึ้นชี้แจงด้วยตัวเองถึงงบประมาณของกระทรวงสาธาณสุขที่ได้รับอย่างเหมาะสม โดยนายกรัฐมนตรีได้กรุณาจัดสรรงบประมาณทั้งในส่วนของงบกลาง  งบเงินกู้เพิ่มเติมให้กับกระทรวงสาธารณสุขด้วย ยืนยันว่าการทำงานของรัฐบาลในปัจจุบันไม่มีปัญหาใดใดทั้งสิ้น ยังทำงานด้วยความพยายามที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ประชาชนมีความชัดเจนในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการการฉีดวัคซีน การจัดหาวัคซีนทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือก รัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้การแพทยระบาดของโรค โควิด-19 ทุเลาลงให้ได้มากที่สุด”นายอนุชากล่าว

นายอนุช่ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการเยียวยาต่างๆนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยเฉพาะเงิน 5 แสนล้าน จาก พ.ร.ก.เงินกู้ ก็จะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดีจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน โดยแผนงานทั้งหมดมีอย่างชัดเจนว่าจะใช้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาทอย่างไร จะนำไปใช้ในกรอบอย่างไรบ้าง ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุขทั้งสิ้น ทั้งการจัดหาเวชภัณฑ์ การจัดหาอุปกรณ์ต่างๆในการดูแลผู้ป่วย การจัดหาวัคซีน การเยียวยาในอนาคตให้กับประชาชนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

โฆษกกองทัพเรือ แจง ซื้อรถถังเข้าประจำการในนย. ใช้เงินงบประมาณปี 2563 เพื่อทดแทนรถถังหลัก Type 69-II

พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่ มีการกล่าวถึงการจัดส่งรถถังมายังประเทศไทย ในการพิจารณางบประมาณ 2565 ของรัฐบาล เมื่อ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นั้น กองทัพเรือ ได้จัดหา ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ ZTD 05A  หรือ VN 16  จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโครงการซื้อยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก ระยะที่ 1 จำนวน 3 คัน วงเงิน 398,143,400 บาท ในปีงบประมาณ 2563  เพื่อทดแทนรถถังหลัก Type 69-II  ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน  ทั้งนี้ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก VN16 จะเข้าประจำการ ในกองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

สำหรับ ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก VN16  ออกแบบและผลิตโดย China North Industries Corporation (NORINCO) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมความมั่นคงของจีน โดย VN 16 เป็นรถถังเบาสะเทินน้ำสะเทินบก มีน้ำหนักประมาณ 26.5 ตัน ติดตั้งปืนใหญ่รถถังขนาด 105 มม. เกราะทำด้วยอลูมิเนียมอัลลอย มีความเร็วบนถนน 65 กม./ชม. ความเร็วในน้ำ  25 กม./ชม.

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวยืนยันว่า การจัดหายานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ VN 16  นั้น เป็นการจัดหาในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งเป็นไปตามแผนการเสริมสร้างกำลังกองทัพเท่าที่มีความจำเป็น เพื่อดูแลความมั่นคงในส่วนที่กองทัพเรือรับผิดชอบ โดยดำเนินการในห้วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัส COVID - 19 ทั้งนี้ กองทัพเรือ มุ่งมั่นในการเป็นกองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ เป็นที่พึ่งของประชาชนและบริหารจัดการด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งกระบวนการจัดหายุทโธปกรณ์เป็นไประเบียบราชการทุกประการ

3 มิถุนายน 2564 กทพ. ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 สายทาง

​การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษ รวม 3 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) จำนวน 19 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) จำนวน 31 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด) จำนวน 10 ด่าน ในวันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564 (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี) ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ถึง 24.00 น. จำนวน 1 วัน ซึ่งเป็นวันหยุดราชการประจำปีตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่ปรากฏในสัญญาสัมปทาน ฉบับแก้ไขใหม่ระหว่าง กทพ. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน

​ทั้งนี้ ในสถานการณ์ COVID-19 กทพ. ขอความร่วมมือให้ผู้ใช้ทางพิเศษอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ หากไม่มีความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกบ้าน หรือหากจำเป็นต้องใช้ทางพิเศษเดินทางในวันปกติที่ไม่ได้ยกเว้นค่าผ่านทาง ควรสมัครใช้บัตร Easy Pass เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับธนบัตรหรือเหรียญซึ่งอาจจะเป็น แหล่งสะสมของเชื้อโรค รวมถึงใช้บริการเติมเงิน ในบัตร Easy Pass ผ่าน Application ของธนาคารต่างๆ ซึ่งนอกจากจะได้รับความสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังจะช่วยลดความเสี่ยงจากการรับหรือแพร่เชื้อ COVID-19 ได้อีกด้วย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center โทร 1543 นอกจากนี้ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถดาวน์โหลด Application "EXAT Portal" เพื่อตรวจสอบยอดเงินคงเหลือและการใช้บัตร Easy Pass รับข่าวสารโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ และสามารถเรียกใช้งาน Application อื่นๆ ของ กทพ. อาทิ EXAT Traffic อีกทั้งยังสามารถขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (SOS) ได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย

Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ได้โพสต์ว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ทำการอนุมัติการใช้งานในกรณีฉุกเฉินแก่วัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่าง Sinovac ที่ผลิตโดย บริษัท ซิโนแวก ไบโอเทค

จากเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ได้โพสต์ว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ทำการอนุมัติการใช้งานในกรณีฉุกเฉินแก่วัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่าง Sinovac ที่ผลิตโดย บริษัท ซิโนแวก ไบโอเทค (Sinovac Biotech) บริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติจีนแล้ว

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. องค์การอนามัยโลก ได้ดำเนินการตรวจสอบและอนุมัติวัคซีนที่พัฒนาขึ้นโดยซิโนฟาร์ม (Sinopharm) บริษัทเภสัชภัณฑ์สัญชาติจีน สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน ทำให้ Sinovac เป็นลำดับที่สองของวัคซีนจีน ตามหลังวัคซีน Sinopharm

ขณะเดียวกัน Sinovac ก็จัดเป็นลำดับที่ 7 ที่องค์การอนามัยโลกให้การรับรองวัคซีน

1.) Pfizer

2.) AstraZeneca

3.) Covisheild

4.) Johnson & Johnson

5.) Moderna

6.) Sinopharm

ทั้งนี้ ภายหลัง องค์การอนามัยโลก ได้ทำการประเมินวัคซีน Sinovac ของจีน อย่างละเอียดรอบคอบ และอนุมัติ EUL (Emergency Use Listing) เรียบร้อยแล้ว จะส่งผลให้วัคซีน Sinovac สามารถฉีดใน 92 ประเทศ ที่อยู่ในโครงการ COVAX ได้เลย

สำหรับประสิทธิผลในการป้องกันโรคที่รุนแรงจนนอนโรงพยาบาลได้ 100% โดยมีข้อมูลเพิ่มเติม จากอินโดนีเซียว่า ประสิทธิผลในการป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดวัคซีน 120,000 คน สูงถึง 94%

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก รับรองให้วัคซีนฉีดได้ในประชาชนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป และสามารถฉีดในผู้สูงอายุที่มีวัยมากกว่า 60 ปีได้ด้วย

นับเป็นอีกข่าวดี สำหรับผู้ที่ยังกังวลใจเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีน Sinovac

 

ที่มา:

https://www.blockdit.com/posts/60b65729f85bd50d89b977e0

https://mgronline.com/china/detail/9640000053047

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4082918435088264&id=846555798724560


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทบ.จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมเชิญชวนร่วมลงนามถวายพระพรออนไลน์

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.ต.หญิง ปวีณา ศรีบัวชุม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 กองทัพบกกำหนดจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสอันเป็นมหามงคล โดยหน่วยทหารทั่วประเทศจะร่วมกับส่วนราชการ และประชาชนจิตอาสาจัดกิจกรรม การถวายพระพร พิธีทางศาสนา การร่วมกันบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ กิจกรรมจิตอาสาทำความดีช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 สำหรับในพื้นที่ส่วนกลาง กำหนดจัดกิจกรรมในวันพุธที่ 2 มิ.ย.64 ณ กองบัญชาการกองทัพบก กทม. โดยมีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 10 รูปถวายเป็นพระราชกุศล พิธีถวายราชสดุดีและถวายพระพรชัยมงคล พิธีเจริญพระพุทธมนต์ไถ่ชีวิตกระบือ 6 ตัว ถวายเป็นพระราชกุศล โดยนำไปมอบให้กับเกษตรกรโครงการเกษตรรวมใจอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นครนายก, นำกำลังพลร่วมการบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล และเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย, การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และการลงนามถวายพระพร ณ กองบัญชาการกองทัพบก 

กองทัพบกจึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมในกิจกรรมกับหน่วยทหารทั่วประเทศ รวมทั้งขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิ.ย.64  ตามที่สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนร่วมลงนาม ผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.royaloffice.th ระหว่างวันที่ 1-6 มิ.ย.64 

แบงก์ชาติเปิดผลสำรวจโควิดระลอกใหม่ทำธุรกิจไทยทรุด

ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลสำรวจเรื่องผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ต่อภาคธุรกิจไทย ในเดือนพฤษภาคม 2564 พบว่า ในเดือนพฤษภาคม 2564 ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจในภาพรวมทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน ซึ่งถูกกดดันจากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และผลของการแพร่ระบาดของโควิดระลอกเดือนเมษายนที่ขยายวงกว้าง ขณะที่ภาคก่อสร้างเริ่มได้รับผลจากการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ในแคมป์คนงาน แต่อย่างไรก็ดีภาคการผลิตยังสามารถฟื้นตัวได้ตามคำสั่งซื้อที่ทยอยกลับมา

ทั้งนี้แต่ละธุรกิจมีมุมมองต่อผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกเดือนเมษายนแตกต่างกัน โดยภาคท่องเที่ยว คาดว่า จะถูกกระทบมากที่สุด รองลงมาเป็นภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการค้า ขณะที่ภาคการผลิตได้รับผลกระทบน้อยที่สุด สอดคล้องกับการปรับตัวที่ทำได้มากกว่าธุรกิจอื่น โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในไทยที่มีแนวโน้มกลับมารุนแรงขึ้น ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่มีการใช้นโยบายสลับกันมาทำงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน ส่วนธุรกิจในภาคที่ไม่ใช่การผลิตมีการใช้นโยบายอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ ลดชั่วโมงทำงาน และ หยุดงานชั่วคราวโดยไม่รับเงินเดือน รวมถึงปลดคนงานเพิ่มในบางธุรกิจ

ขณะเดียวกันจากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนพฤษภาคม 2564 ซึ่งจัดทำร่วมกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทย พบว่า ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกปรับลดลงต่อเนื่อง ตามการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ที่รุนแรงขึ้น แต่ผู้ประกอบการยังเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะปรับดีขึ้นในอีก 3 เดือน จากผลของการเร่งกระจายวัคซีน

สำหรับประเด็นพิเศษในเดือนนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคแย่ลงจากเดือนก่อนค่อนข้างมาก จากการระบาดที่รุนแรงและยืดเยื้อที่ส่งผลต่อทั้งรายได้ และความกังวลของผู้บริโภค รวมถึงมาตรการสาธารณสุขที่เข้มงวดในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ 41% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ได้ปรับลดการจ้างงานลงและมีแนวโน้มที่รายได้ลดลงตามชั่วโมงการทำงานและค่าธรรมเนียมขายลดลง และ 39% ของผู้ตอบแบบสำรวจมีสภาพคล่องไม่เกิน 6 เดือน

ดีพร้อม (DIPROM) ออกนโยบายเร่งด่วนสนับสนุนผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ รับมือวิกฤติสุขภาพและแนวโน้มความต้องการในไทยที่สูงขึ้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เร่งขับเคลื่อนกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อสอดคล้องกับแผนการพัฒนาระยะยาวของทางกระทรวงที่ต้องการยกระดับศักยภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์เครื่องมือและการให้บริการทางการแพทย์ให้เทียบเท่ากับระดับสากล โดยเน้นการยกระดับการแพทย์ สร้างศูนย์ทดสอบมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ส่งเสริมการอำนวยความสะดวกในการตรวจและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ของไทยให้กับผู้ประกอบการอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ในราคาที่เป็นธรรมเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้มากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

ในประเทศไทยในปัจจุบันที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้ความต้องการเครื่องมือทางการแพทย์ มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเล็งเห็นถึงความสำคัญและเร่งการสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ในการพัฒนาและผลักดันให้พร้อมรับมือวิกฤติสุขภาพได้อย่างมีสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอวที่จะช่วยประเทศไทยผ่านวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ไปให้ได้

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ดีพร้อม (DIPROM) เร่งดำเนินการปรับแผนและรูปแบบการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของงบประมาณประจำปี 2564 เพื่อให้สอดรับนโยบายทางกระทรวงอุตสาหกรรม และสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยหนึ่งในนั้นคือการเร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์อย่างครอบคลุมในหลายมิติให้มีความสอดคล้องสถานการณ์และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างความพร้อมในการเป็นรากฐานที่สำคัญรองรับต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันและอนาคต ด้วยการผลักดันให้เกิดความพร้อมในภาคอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ผ่าน 4 มาตรการเร่งด่วน ดังนี้

1.) การส่งเสริมด้านบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ให้มีความพร้อมและองค์ความรู้ทั้งด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย การนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม รวมไปถึงสร้างความรู้ความเข้าใจด้านกฎระเบียบและข้อบังคับของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์

2.) การส่งเสริมด้านการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ เป็นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI และ IoT รวมถึงในกลุ่มของการบำบัดฟื้นฟู วินิจฉัย และการรักษา

โดยต้นแบบผลิตภัณฑ์ร้อยละ 25 ของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการส่งเสริมนั้น จะครอบคลุมทั้งในด้านของการรองรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาทิ ชุดอุปกรณ์จ่ายอากาศแบบต่อเนื่องสำหรับหน้ากากชนิดครอบเต็มใบหน้า (PAPR) เครื่องทวนสอบเครื่องช่วยหายใจ (Ventilator Tester) ระบบปรึกษาข้อมูลสุขภาพทางไกล ระบบ AI ในการวิเคราะห์โรคปอด และเครื่องดูดละอองฝอยน้ำลาย (เครื่องมือทันตกรรม)

ทั้งนี้ การพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ดำเนินการโดยการบูรณาการร่วมกันระหว่างสถานประกอบการ ภาคการศึกษา และบุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงสถาบันฯ และสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

3.) การส่งเสริมสถานประกอบการในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ การปรับปรุง และพัฒนากระบวนการผลิตให้สามารถที่จะลดต้นทุน ลดของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต รวมถึงสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อการใช้งานในปัจจุบัน อีกทั้งส่งเสริมในเรื่องการวางแผนการตลาด เพิ่มมูลค่า และยอดขายอีกครั้ง

4.) การส่งเสริมการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้รวมถึงวิสัยทัศน์ร่วมกัน การสร้างและรวบข้อมูลเครือข่ายหน่วยทดสอบมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ ให้เกิดความพร้อมทุกมิติ อีกทั้งยังร่วมกันพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องต่อสถานการณ์ปัจจุบัน

นอกจากนี้ ดีพร้อม ได้ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการวิจัยและนวัตกรรมแก่ผู้ประกอบการ ผ่านการเชื่อมโยงหน่วยงานอื่นๆ อาทิ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) อีกทั้ง ยังช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมไทยและบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นอีกหนึ่งช่องทางหนึ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือและสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจอีกด้วย

ทั้งนี้ ดีพร้อม ตั้งเป้าว่าภายในปี 2564 ต้องสามารถสนับสนุนผู้ประกอบการและบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมเครื่องมือการแพทย์ได้กว่า 100 ผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2559 – 2563 ดีพร้อม สามารถยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์กว่า 400 ราย อาทิ การพัฒนาชุดอุปกรณ์จ่ายอากาศแบบต่อเนื่องสำหรับหน้ากากชนิดครอบเต็มใบหน้า บริษัท ทีเอ็มดีดี จำกัด โดยทางดีพร้อมได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านวัสดุในการผลิต ระบบในการปรับอัตราการไหลของอากาศ แบตเตอรี่ในการใช้งาน และการใช้งานร่วมกับชุดกรองเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ฯลฯ นายณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มาเลเซียระดมงบประมาณเยียวยา Covid-19 กว่า 1.28 หมื่นล้านเหรียญ ข้าราชการกว่า 800,000 คน ยอมถูกตัดงบสวัสดิการ สมทบกองทุนช่วยชาติ

หลังจากที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน ได้ประกาศล็อกดาวน์ประเทศเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ เพื่อหวังที่จะตัดวงจร ควบคุมการแพร่ระบาดระลอกล่าสุดของ Covid-19 ในมาเลเซีย ที่พบยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงเกือบ 7,000 คนต่อวัน โดยจะเริ่มล็อคดาวน์ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน นี้เป็นต้นไป

ทันทีที่มีข่าวยืนยันว่าจะประกาศล็อกดาวน์ให้ชาวมาเลเซียได้เตรียมตัว เตรียมใจ นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ก็ได้ประกาศงบกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนใหม่กว่า 4 หมื่นล้านริงกิต หรือประมาณ 3 แสนล้านบาทเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากมาตรการปิดเมืองของรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวว่า การออกคำสั่งปิดทำการบริษัท ห้างร้านในช่วงล็อคดาวน์เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก เพราะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของประเทศ และการใช้ชีวิตของประชาชนอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลก็ต้องยอมรับจากใจจริงว่าเรามีงบประมาณอย่างจำกัด แต่รัฐบาลก็จะพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดสรรงบประมาณมาเพื่อบรรเทาทุกข์จากวิกฤตินี้

ส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ เรียกว่า "Pemerkasa Plus" ที่จะมอบเงินเยียวยาจำนวน 2,500 ริงกิต (ประมาณ 19,000 บาท) ต่อ 1 ครัวเรือน สำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่า 5,000 ริงกิตต่อเดือน และเงินช่วยเหลือรายเดือนอีกจำนวนหนึ่ง ที่คาดว่าจะมีผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยานี้ถึง 2.5 ล้านคน

ส่วนผู้ประกอบการจะได้สิทธิ์ในการขอหยุดพักชำระหนี้ได้นาน 3 เดือน หรือลดจำนวนเงินในการผ่อนชำระลงครึ่งหนึ่ง ที่สามารถขยายการชำระหนี้ได้ 6 เดือน

แต่อย่างที่รัฐบาลมาเลเซียได้ออกตัวไว้แล้วว่า งบประมาณแผ่นดินมีอยู่อย่างจำกัด และตลอดช่วงวิกฤติ Covid-19 ที่ยาวนานมากกว่า 1 ปี ทำให้เศรษฐกิจมาเลเซียติดลบไป 5.6% ในปี 2020 ดังนั้นงบกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับภาคประชาชนในครั้งนี้ บางส่วนจำเป็นต้องดึงมาจากงบสวัสดิการข้าราชการกว่า 800,000 คน

นาย ตัน สรี โหมด ซุกิ อาลี หัวหน้าเลขาธิการรัฐบาล ได้กล่าวว่า เงินสวัสดิการที่จะถูกตัดจะเป็นงบค่าจัดเลี้ยง รับรอง งบเบิกจ่ายหากมีภารกิจพิเศษจำนวน 3 เดือน ที่หักจากข้าราชการระดับสูงตั้งแต่เกรด 29 ขึ้นไปเท่านั้น คาดว่าน่าจะได้งบมาไม่น้อยกว่า 30 ล้านริงกิต ส่วนข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงในการดูแลสถานการณ์ Covid-19 จะไม่โดนตัดงบใดๆ

ซึ่งการเสียสละครั้งนี้เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกับรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ลำบาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน และคณะรัฐบาลทั้งหมดจะงดรับเงินเดือนเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่มิถุนายนนี้เป็นต้นไป เพื่อสมทบกองทุนกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติในครั้งนี้ด้วย

ช่างเป็นเวลาที่ลำบากอย่างมากจริงๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชนกับสถานการณ์ Covid-19 ที่เจ็บแต่ไม่จบสักที แต่หากทุกคนในชาติสามัคคี พร้อมที่จะแบกรับความยากลำบากร่วมกัน ต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน

 

อ้างอิง

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/800000-malaysian-civil-servants-take-allowance-cut-to-contribute-to-covid-19-fund

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/malaysia-announces-additional-128b-financial-stimulus-ahead-of-lockdown

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/people-prepare-for-a-tough-time-during-lockdown-in-malaysia

https://www.aljazeera.com/news/2021/5/28/malaysia-pm-orders-total-lockdown-amid-covid-19-surge


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘หมอมนูญ’ หมอชี้ไวรัสโควิด-19 มีวิวัฒนาการนำหน้าเรา 1 ก้าวเสมอ คาดต้องอยู่กันไปอย่างน้อย 1-2 ปี

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ‘หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC’ ระบุว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 มีวิวัฒนาการทางธรรมชาติ นำหน้าเรา 1 ก้าวเสมอ

เมื่อปีที่แล้วประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดระลอกแรกเป็นอย่างดี ช่วงมกราคมถึง 14 ธันวาคม พ.ศ.2563 ระยะเวลา 11 เดือนครึ่ง มีผู้ป่วย 4,237 คน เสียชีวิต 60 คน

สหประชาชาติชื่นชมไทยรับมือโรคโควิดในด้าน

1.) การดำเนินมาตรการของรัฐบาล

2.) ความสามัคคีของประชาชนในการช่วยกันป้องกันโรค สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือ

3.) ความรับผิดชอบต่อสังคมของอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.

มองย้อนหลังตัวแปรสำคัญคือเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนั้นสายพันธุ์ G ยังไม่เก่งเหมือนเชื้อปัจจุบัน อาจปรับตัวไม่เข้ากับสภาพอากาศของประเทศไทยซึ่งร้อนและชื้น จึงหยุดการแพร่ระบาด

ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญการระบาดอย่างรวดเร็ว การระบาดระลอก 3 เพียง 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 มีผู้ป่วยสะสม 130,929 ราย เสียชีวิตสะสมแล้ว 937 คน

จากการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบทั้งตัวซึ่งต้องใช้เงิน 1-2 หมื่นบาท พบมีการระบาดของสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ซึ่งติดต่อกันง่าย แพร่กระจายเร็ว ทนร้อน ทนชื้น รุนแรงทำให้ตายมากขึ้น การรับมือการระบาดครั้งนี้ต้องอาศัยวัคซีน เร่งฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เร็วที่สุด

เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังนำหน้าเราไปอีกแล้ว ล่าสุดเวียดนามรายงานตรวจพบไวรัสโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อินเดีย B.1.617 กับสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 สามารถติดต่อแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วทางอากาศ หมายความว่า เชื้อนี้เหมือนสายพันธุ์อินเดียแพร่กระจายได้ดียิ่งกว่าสายพันธุ์อังกฤษ แต่รุนแรงเท่าสายพันธุ์อังกฤษ

เราจะเผชิญกับโรคโควิด-19 ที่ติดต่อกันง่ายยิ่งขึ้น และยังรุนแรงมากเท่าเดิม ถ้าเชื้อกลายพันธุ์นี้สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนปัจจุบัน ยิ่งจะสร้างปัญหา จำเป็นที่ทุกคนต้องฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนาเพื่อครอบคลุมสายพันธุ์ใหม่ๆปีหน้า ดูสถานการณ์แล้วเราตามเชื้อไวรัสโควิดไม่ทัน โรคโควิด-19 คงจะอยู่กับเราอย่างน้อยอีก 1-2 ปี

 

ที่มา : https://www.facebook.com/หมอมนูญ-ลีเชวงวงศ์-FC-604030819763686


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top