Saturday, 15 February 2025
Hard News Team

“ผบ.ทร.” ไม่ติดโควิด แต่ยัง Work From Home - กักตัว 14 วัน ด้าน “โฆษกทร.” เผยกักตัว 30 ทหารเรือร่วมชมฝึกวงสอง เตรียม 3 รพ.สนาม รองรับผู้ป่วยจากรพ.ชลบุรีแล้ว

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ  เปิดเผยว่า  พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้ทำการตรวจโควิด-19 Swab แล้ว ซึ่งผลออกมาเป็นลบ ไม่ติดเชื้อโควิด-19 เพราะไม่ได้ใกล้ชิด ร้อยโทหญิง ที่อยู่ในวงที่สาม และนั่งชมการฝึกในพื้นที่เปิดโล่ง และทิ้งระยะห่างๆ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น  รวมถึงไม่ได้อยู่รับประทานอาหารกับกลุ่มนายทหารจากกองทัพไทยที่เป็นกลุ่มเสี่ยง แต่ ผบ.ทร.ก็จะกักตัว 14 และ Work From Home เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย โดยจะตรวจโควิด-19 ซ้ำ อีกครั้งในวันที่  15 เมษายนนี้ อย่างไรก็ตาม  ได้ทำการกักตัวนายทหารเรือ 30 นายที่เข้าร่วมฝึกของกองทัพเรือประจำปี 2564 เข้ากักตัวใน SQ แล้ว เพราะเป็นกลุ่มที่ไปรับประทานข้าวเที่ยงต่อ บริเวณพื้นที่ฝึก ซึ่งถือเป็นวงที่ 2 ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง

พล.ร.อ.เชษฐา กล่าวต่อว่า กองทัพเรือ ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามของกองทัพเรือ ใน 3 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้รวม 726 เตียง เช่น  1. โรงพยาบาลสนาม ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (เกล็ดแก้ว) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 320 เตียง 2. โรงพยาบาลสนาม ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 174 เตียง และ3. โรงพยาบาลสนาม สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม จังหวัดจันทบุรี จำนวน 232 เตียง โดยโรงพยาบาลสนามศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและฝั่ง(สอ.รฝ.)ได้รับผู้ป่วย จากโรงพยาบาลชลบุรีแล้ว  แบ่งเป็นผู้ป่วยชาย 24 ราย และผู้ป่วยหญิง 22 ราย

เด็ก พปชร. วอน ประชาชนเชื่อมั่น ข้อมูลวิชาการ ฉีดวัคซีน จวก ฝ่ายค้าน หยิบเป็นประเด็นการเมือง

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 นางสาวทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวอาจารย์แพทย์ ให้ความเห็นส่วนบุคคลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่บิดเบือน ว่า ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ เพราะคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ออกคำแถลงชี้แจงย้ำชัดเจนแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ได้เป็นความเห็นทางวิชาการของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ

นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ว่า วัคซีนโควิดที่ประเทศไทยนำเข้าทั้งซิโนแวค และแอสตราเซเนกา มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด และยังมีประสิทธิภาพต่อเชื้อโรคกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการยืนยันของ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาฯ ว่าวัคซีนทั้ง 2 ตัวที่ไทยกำลังฉีดอยู่ป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% และลดอาการป่วยรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการฉีดวัคซีนโควิด-19 ยังจำเป็นเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และมีประสิทธิภาพต่อการลดความรุนแรงของโรคของผู้ที่ติดเชื้อตามมาตรฐานสากล

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า “ในขณะนี้มีกระบวนการด้อยค่าทีมทำงานของรัฐบาลและสาธารณสุข โดยมุ่งเรื่องวัคซีนเป็นตัวนำ โดยมีพฤติกรรม ขยายผลบิดเบือนเรื่องประสิทธิภาพวัคซีน กล่าวหาเลื่อนลอยเรื่องรัฐผูกขาดนำเข้าวัคซีน จนสร้างความตื่นตระหนกสับสนในสังคม ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้องประชาชน ที่อาจตัดสินใจไม่ให้ความร่วมมือมารับการฉีดวัคซีน อันส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกำลังใจของทีมนักรบชุดขาวที่กำลังทำงานอย่างเต็มที่ เพียงเพื่อมุ่งหวังให้เกิดความเสียหายและหวังผลทางเมือง โดยเอาสุขภาพของประชาชนมาเป็นเหยื่อ ดังนั้นจึงขอประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีหลักวิชาการอ้างอิง ที่กำลังระบาดตอนนี้ 

ที่น่าผิดหวังก็คือ นักการเมือง ผู้แทนของประชาชน โดยเฉพาะฝ่ายค้าน เช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กกล่าวหารัฐบาลฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำ โดยไม่คำนึงว่าจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้องประชาชน และกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างไร ทำให้สังคมสงสัยและตั้งคำถามว่าคิดแต่ความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่าข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่

ศรีสุวรรณ รวบรวม ข้อมูลทุจริตลต.เทศบาลนครเชียงใหม่ จ่อ ร้องกกต.

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า มีชาวบ้านในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ส่งข้อมูลและหลักฐานการทุจริตหรือการซื้อสิทธิขายเสียงในการแข่งขันเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 64 ที่ผ่านมา มาให้สมาคมฯเป็นจำนวนมาก แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีหลักฐานโจ๋งครึ่มทำกันได้ขนาดนี้

ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ มีการแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 4 แขวง คือ แขวงนครพิงค์ แขวงกาวิละ แขวงเม็งราย และแขวงศรีวิชัย ซึ่งมีหลักฐานชี้ชัดว่าพื้นที่เขตเลือกตั้งดังกล่าวมีการซื้อขายเสียงกันดุมากตั้งแต่หัวละ 1,000 - 2,000 บาทเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่หัวคะแนนที่นำเงินมาซื้อเสียงนั้นจะเป็นประธานชุมชน หรือแกนนำชุมชนซึ่งเป็นที่รู้จักและเกรงใจกันของลูกบ้าน ทั้ง ๆ ที่ประธานชุมชนถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาล ซึ่งควรที่จะวางตัวเป็นกลาง แต่กลับมามีพฤติกรรมเป็นหัวคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างไม่ละอาย 

ยังมีผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งได้มาร้องเรียนว่าพบเห็นหัวคะแนนของผู้สมัครนายกเทศมนตรีรายหนึ่ง มายืนจ่ายเงินซื้อเสียงกันบริเวณหน้าหน่วยเลือกตั้งเลยทีเดียว ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่าคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งดังกล่าว กลับไม่มีใครรู้ใครเห็นเลยหรืออย่างไร อีกทั้งผู้สมัครบางรายมีการจัดทำป้าย คัตเอ้าท์ และการโพสต์ในสื่ออนไลน์หาเสียง ในลักษณะสัญญิงสัญญามากมายว่าหากได้รับการเลือกตั้งแล้วจะดำเนินการให้สิ่งนั้นสิ่งนี้แก่ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากมาย เช่น การจ้างงานแก้โควิด-19 เป็นต้น

ซึ่งกรณีดังกล่าวจะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งตาม พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 กำหนดข้อห้ามและบทลงโทษเอาไว้ชัดเจน ผู้ใดฝ่าฝืนย่อมมีความผิด ทั้งหัวคะแนน และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ทำตัวละเว้นเพิกเฉย

อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายข้างต้น ม.65(1)(2) กำหนดห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ด้วยวิธีการจัดทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือ ผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด และหรือให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรง หรือโดยอ้อมแก่ชุมชน เป็นต้น

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะได้รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานเพื่อนำไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทันทีที่เปิดทำงานตามปกติหลังเทศกาลสงกรานต์ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยเอาผิดและลงโทษผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งผู้สมัครที่มีส่วนรู้เห็นและหรือเป็นต้นเหตุของการกระทำดังกล่าวด้วย

ทบ. ส่งกำลังพลสนับสนุน พร้อมเตียงเครื่องนอน ตั้งรพ.สนามในหลายจังหวัดกว่า 2,000 เตียง

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ทางกองทัพบก ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ค่ายทหาร ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและ ศบค. แล้ว ล่าสุดได้สนับสนุนกำลังพล และยุทโธปกรณ์ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามตามจังหวัดต่าง ๆ ในหลายพื้นที่

รวมทั้งการสนับสนุนอุปกรณ์ให้กับโรงพยาบาลเพื่อเตรียมรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในแต่ละพื้นที่อย่างเต็มศักยภาพ

โดยมีการดำเนินการแล้วในหลายพื้นที่ อาทิ โรงพยาบาลสนามจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกองพลทหารราบที่ 7 และมณฑลทหารบกที่ 33 ได้ส่งกำลังพลเข้าช่วยลำเลียงเตียงนอนจากโรงแรมและสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัด พร้อมติดตั้งเตียงนอนและเครื่องมือในการดูแลผู้ป่วย ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ต.ช้างเผือก อ.เมือง ซึ่งทางจังหวัดเชียงใหม่ได้จัดโรงพยาบาลสนาม และเปิดให้บริการรักษาผู้ติดเชื้อแล้วตั้งแต่ 9 เมษายน

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้โรงพยาบาลสนามที่จัดตั้งขึ้น สามารถรองรับผู้ติดเชื้อได้ขั้นต้น 400 เตียง และขยายได้ถึง 1,000 เตียง ซึ่งปัจจุบันกำลังพลจิตอาสายังคงเข้าช่วยอำนวยความสะดวกในพื้นที่โรงพยาบาลสนามต่อเนื่อง ทั้งนี้หากจังหวัดเชียงใหม่มีความต้องการขยายพื้นที่โรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม ทางมณฑลทหารบกที่ 33 ได้จัดเตรียมสถานที่ภายในศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 33 พร้อมอุปกรณ์เครื่องนอน ไว้รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาจมีจำนวนมากขึ้น และพร้อมดำเนินการทันทีเมื่อมีการประสาน

นอกจากนี้กองทัพบกยังได้สนับสนุน เตียงเหล็ก ที่นอนและอุปกรณ์เครื่องนอนจำนวน 200 ชุด ให้กับ โรงพยาบาลสนาม ของ กทม ที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ซึ่งเป็นการขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้ติดเชื้อโควิดจากเดิม 300 เตียง เพิ่มอีก 200 เตียง โดยกองทัพบกได้ขนส่งอุปกรณ์ดังกล่าวจากกรมพลาธิการทหารบกไปยังโรงพยาบาลผู้สูงอายุฯเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2564

ส่วนที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ กองทัพบกโดย ศูนย์การทหารราบ ได้สนับสนุนเตียงสนาม 70 ชุดพร้อมเครื่องนอนให้กับโรงพยาบาลหัวหิน เพื่อจัดตั้ง รพ.สนาม ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหัวหิน รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งแต่ 9 เมษายน เช่นกัน

สำหรับความคืบหน้าในการจัดเตรียมสถานที่โรงพยาบาลสนามของกองทัพบกในพื้นที่ กทม.คือที่ กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. รองรับได้ 200 เตียง นั้น ปัจจุบันกองทัพบกได้ส่งทหารช่างเข้าปรับปรุงอาคารจำนวน 5 หลังในพื้นที่ดังกล่าว ที่จะใช้เป็น อาคารนอน ห้องน้ำ

รวมถึงอาคารที่ใช้เป็นสถานที่ทำงานและที่พักของบุคลากรทางการแพทย์และได้ดำเนินการติดตั้งรั้วโดยรอบโรงพยาบาลสนามเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ในภาพรวมขณะนี้กองทัพบกได้จัดเตรียมโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไว้แล้วจำนวน 12 พื้นที่ทั่วประเทศสามารถรองรับได้ 2,220 เตียง “กองทัพบกจะดำรงการช่วยเหลือและสนับสนุนอุปกรณ์ให้กับหน่วยงานในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามประจำจังหวัด รองรับการดูแลประชาชนและผู้ติดเชื้ออย่างดีที่สุดต่อไป” พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าว

ปัจจุบันการฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก และพอฝึกมาก็มีอายุงานไม่เกิน 10 ปีก็ต้องเกษียณ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ทำให้วิทยาการหุ่นยนต์ที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ ก็เริ่มผลิตอกชัดขึ้น

ปัจจุบันการฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก และพอฝึกมาก็มีอายุงานไม่เกิน 10 ปีก็ต้องเกษียณ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ทำให้วิทยาการหุ่นยนต์ที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ ก็เริ่มผลิดอกชัดขึ้น

เฟซบุ๊ก ‘ธุรกิจ4.0’ ได้นำเสนอถึงเรื่องราวของเทคโนโลยีที่จะมาแทนที่สุนัขนำทางคนตาบอดว่า…

สุนัขนำทางคนตาบอดแต่ละตัว กว่าจะฝึกฝนให้มันทำงานได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 18 เดือน ต้องฝึกให้มันดูแลคนตาบอดสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันหลายอย่าง เช่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง ไม่ขับถ่ายเรี่ยราด ไม่สร้างความเสียหายให้กับสถานที่ ฯลฯ

โดยปกติแล้ว สุนัขนำทางแต่ละตัวทำงานกับเจ้าของที่เป็นคนตาบอดเพียงคนเดียว จำกัดอายุในการทำงานประมาณ 7 - 10 ปี ก็จะเกษียณ และต้องหาตัวใหม่เข้ามาทำงานแทน

การฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก ผู้ฝึกสอนต้องมีความอดทน มีขบวนการฝึกสอนซับซ้อน ทักษะของสุนัขตัวหนึ่งที่ผ่านการฝึกฝนแล้ว ไม่สามารถถ่ายทอดให้สุนัขอีกตัว

แต่ความก้าวหน้าล่าสุดในด้านวิทยาการหุ่นยนต์ ซึ่งได้พัฒนาเป็น ‘หุ่นยนต์อัตโนมัติ’ (Autonomous robots) นั้น ดูเหมือนจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขาดแคลนสุนัขนำทางคนตาบอดให้เข้ามารับหน้าที่รับผิดชอบนี้มากขึ้น

โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จาก ‘มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์’ ได้พัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติ 4 ขาเหมือนสุนัขขึ้นมา ภายใต้จุดประสงค์หลักเพื่อใช้แทนสุนัขนำทาง ซึ่งสามารถนำทางและหลีกหนีสิ่งกีดขวางต่างๆ เวลาเดินได้แล้ว

สำหรับแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์หุ่นยนต์สุนัช 4 ขา ใช้ Mini Cheetah จาก MIT มีเลเซอร์ในตัวเพื่อสร้างแผนที่สภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง ส่วนกล้องของหุ่นยนต์ทำหน้าที่แทนตาของคนตาบอด

ทั้งนี้หากเป็นสุนัขนำทางตัวเป็น ๆ ต้องใช้เวลาฝึกฝนประมาณหนึ่งปีครึ่ง แต่เจ้าหุ่นยนต์สุนัขนำทางอัตโนมัตินี้ ใช้วิธีการดาวน์โหลดข้อมูลลงในเครื่องโดยอัตโนมัติ และสามารถอัปเดตได้ตลอดเวลา หมายถึงการถ่ายทอดประสบการณ์ทุกอย่างจากสุนัขหุ่นยนต์ทุกตัวได้

ทางทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้พัฒนาโครงการได้ เผยด้วยว่า ต่อไปจะมีการซิงค์คอมพิวเตอร์หรือปฏิทินที่อยู่ในสมาร์ทโฟนให้กับสุนัขหุ่นยนต์ พร้อมติด GPS เพื่อช่วยนำทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้เองด้วย

อย่างไรก็ตามฮาร์ดแวร์หรือตัวสุนัขหุ่นยนต์ยังมีราคาค่อนข้างสูง แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะมีราคาลดต่ำลง และทำให้คนตาบอดจำนวนมากสามารถหาซื้อมาใช้งานเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ง่ายขึ้น

คลิปสาธิตการทำงานของสุนัขหุ่นยนต์อัตโนมัติ >> https://www.youtube.com/watch?v=FySXRzmji8Y


ที่มา: https://www.facebook.com/698124263678932/posts/1915426945281985/

https://techxplore.com/news/2021-04-laser-equipped-robotic-dog-people.html

https://www.republicworld.com/technology-news/science/robotic-guide-dogs-could-help-visually-impaired-people-navigate-the-world-heres-how.html

นายกฯ ไทย - ญี่ปุ่นหารือชื่นมื่นพร้อมต่อยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยไทยพร้อมเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค  พร้อมจับมือไทยสนับสนุนลดความตึงเครียดในเมียนมาด้วยสันติวิธี และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้หนีภัย

วันที่ 9 เมษายน 2564 ที่ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทางโทรศัพท์กับนายซูกะ โยชิฮิเดะ (H.E. Mr. Suga Yoshihide) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเข้ารับตำแหน่ง

นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่ได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ทราบว่านายกรัฐมนตรีได้เคยทำหน้าที่เป็นประธานร่วมฝ่ายญี่ปุ่นของคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย -ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) สมัยที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จึงหวังว่าจะสานต่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะกระชับความร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าทั่วโลกจะพบกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นยังมีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้อำนวยความสะดวกการเดินทางระหว่างนักธุรกิจและประชาชนของทั้งสองฝ่ายตามมาตรการควบคุมโรคของรัฐบาลไทย  

ด้านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวยินดีที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก พร้อมระบุว่า จากที่มีโอกาสทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับไทย และเคยเยือนไทยเพื่อเข้าร่วม การประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ทั้งนี้ ญี่ปุ่นชื่นชมการจัดการเพื่อควบคุมโควิดของไทย และญี่ปุ่นพร้อมให้ความสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ตู้แช่วัคซีน และบริการขนส่งแก่ไทย และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ภายใต้ โครงการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าฉุกเฉินผ่านองค์การ UNICEF และ JICA ซึ่งจะช่วยทำให้แจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประชาชนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณญี่ปุ่นที่สนับสนุนการค้าการลงทุนกับไทย และให้ความสำคัญกับการลงทุนในเขตEEC มาโดยตลอด รัฐบาลไทยเตรียมการที่จะปรับปรุงแก้ไขอุปสรรคด้านการลงทุนต่าง ๆ พร้อมยกระดับสภาพแวดล้อม การทำธุรกิจภายในประเทศเพื่อให้เอื้อต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพและมีความสนใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประสงค์ให้มีความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนให้จัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย - ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) ครั้งที่ 5 เพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีส่วนฟื้นฟูสำคัญภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) อนุรักษ์พลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงเชิญชวนให้ญี่ปุ่นพิจารณาไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ ในประเทศไทย 

ในส่วนของความร่วมมือพหุภาคี ญี่ปุ่นเชื่อมั่นบทบาทของไทยการเป็นผู้นำในหลายด้านของภูมิภาค และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือกับไทยเพื่ออนาคตความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Mekong-Japan Cooperation - MJ) ที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าไทยพร้อมร่วมมือกับญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียนในโอกาสที่ไทยเป็นผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน – ญี่ปุ่น ช่วงปี 2564-2567 ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพของไทย และร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดในห้วงที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปคในปี 2565 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับญี่ปุ่นต่อสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทของไทยและอาเซียน ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายพร้อมให้การสนับสนุนเมียนมาให้ลดความตึงเครียดของสถานการณ์ด้วยสันติวิธี และยืนยันให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับผู้หนีภัยความไม่สงบในเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม 

สั่งพาณิชย์ตรวจตลาดกันคนโกงขายของแพงช่วงสงกรานต์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งให้กรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด และเพิ่มความเข้มงวดมากเป็นพิเศษ แม้จะเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ยังมีการเดินทางออกต่างจังหวัด เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบประชาชน ตลอดจนให้ช่วยตรวจสอบดูแลร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสใช้โครงการของรัฐหาประโยชน์หรือมาเอาเปรียบจนได้รับความเดือดร้อน 

ขณะเดียวกันยังขอให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการตามสถานีขนส่ง ต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้  หรือหากประชาชน พบเห็นการกระทำผิด จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร หรือจำหน่ายในราคาไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ สามารถร้องเรียนได้ 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง 

โดยกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธ การจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รมว.สุชาติ หารือร่วม ผู้ว่าฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ หารือร่วมเร่งเดินหน้านโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน บูรณาการทุกภาคส่วน ส่งเสริมการมีงานทำ สร้างหลักประกันความมั่นคงแก่แรงงานทุกคน สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่
        
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และนายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ
        
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ผมได้ต้อนรับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงาน ตลอดจนรับทราบความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะของจังหวัด เพื่อนำข้อมูลไปประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันตามภารกิจของกระทรวงแรงงาน 

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้เน้นย้ำกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัดให้บูรณาการทำงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ และรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน อาทิ ด้านส่งเสริมสินค้าเกษตรและสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ในพื้นที่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การยกระดับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบไฟฟ้า น้ำประปา และติดตั้งกล้องวงจรปิดตามแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างมั่นใจและเพิ่มความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว 

โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจะเข้าไปสนับสนุนตามภารกิจ อาทิ การฝึกอบรมฝีมือแรงงานโดยต่อยอดให้พี่น้องแรงงานในพื้นที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ ส่งเสริมระบบตลาดออนไลน์ การส่งเสริมการมีงานทำในระดับชุมชนพื้นที่ การพัฒนาทักษะฝีมือ Up – skill Re – skill และ New – skill ตามความต้องการของแรงงานทุกกลุ่ม การคุ้มครองดูแลให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิประโยชน์และมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เป็นต้น

“บิ๊กบี้” ตรวจความพร้อม รพ. สนาม 12 พื้นที่ รวม 2,220 พร้อมรับการแพร่ระบาดโควิด-19 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก เปิดเผยว่า ตามสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงกลาโหม ดำเนินการเตรียมโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่พบคลัสเตอร์ใหม่ในหลายพื้นที่ และมีความรุนแรงกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อปริมาณเตียงในสถานพยาบาลไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย

ในการนี้ กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เตรียมความพร้อม โดยจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ทั่วประเทศ สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อและเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด

ทั้งนี้กองทัพบกได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามระยะที่ 1 ใน 12 พื้นที่ รวม 2,220 เตียง โดยพิจารณาจัดตั้งในพื้นที่โล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก, ห่างไกลจากแหล่งชุมชน อาทิ กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. จำนวน 200 นาย,กรมพลาธิการทหารบก จ.นนทบุรี 50 เตียง, ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี 300 เตียง, กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี 740 เตียง และกองพันทหารเสนารักษ์ในทุกกองทัพภาค อีก 930 เตียง

ซึ่งเป็นการนำศักยภาพของกองทัพ ทั้งด้านบุคลากร ยานพาหนะและสิ่งอุปกรณ์ เตียงสนาม พร้อมเครื่องนอน หมอนมุ้ง ในการจัดการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ พร้อมกันนี้ในปัจจุบันโรงพยาบาลค่ายในสังกัดกองทัพบกทั้ง 37 แห่ง ก็ได้สนับสนุนสาธารณสุขในพื้นที่ บริการคัดกรอง ดูแลรักษาประชาชน รวมทั้งสร้างการรับรู้ ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนตามมาตรการป้อง COVID-19 เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม ลดการแพร่กระจายเชื้อไปในพื้นที่ต่าง ๆ อีกทางหนึ่งด้วย

ซึ่งในวันนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เดินทางไปตรวจความพร้อมการเตรียมการโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19 สนับสนุนรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นการดูแลและสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นใน 2 พื้นที่ ได้แก่ กรมพลาธิการทหารบก, กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1

“กองทัพบกยืนยันความพร้อม และพร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งได้เตรียมการวางแผนมาตั้งแต่แรกเริ่มที่พบการระบาดในประเทศ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อสามารถรับมือต่อสถานการณ์ บริหารจัดการได้อย่างทันท่วงที และเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส” พล.ท.สันติพงศ์ กล่าว


 

“ผบ.ทร.” มอบนโยบาย ประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ เตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม (VTC) ร่วมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ และหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ที่ห้องประชุม กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ค่ายตากสิน อำเภอเมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี

ในการประชุมกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รอบใหม่ โดย ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้หน่วยต่างๆที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล/สถานพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม  เพิ่มเติมเพื่อรองรับการแพร่ระบาด ดังนี้ 

1.) ให้โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า และ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นโรงพยาบาลหลัก สามารถให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีหอผู้ป่วยวิกฤต ห้องแรงดันลบ หอผู้ป่วยรวม และห้องแยก รวมแล้ว 54 เตียง มีขีดความสามารถในการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษา ตั้งแต่อาการเล็กน้อย จนถึงขั้นวิกฤติ

2.) ตั้งโรงพยาบาลเฉพาะโรค ได้แก่ โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ และ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ มีหอผู้ป่วยรวม จำนวน 90 เตียง มีขีดความสามารถในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย โดยเน้นในการดูแลในส่วนของกำลังพลกองทัพเรือเป็นหลัก

3.) ให้จัดตั้งคลินิก โรคระบบทางเดินหายใจ ในพื้นที่ หน่วยแพทย์ปฐมภูมิ ที่มีนายแพทย์ปฏิบัติงาน

4.) จัดตั้งพื้นที่ เฝ้าระวัง ควบคุมโรค สำหรับกำลังพลกองทัพเรือ ประกอบด้วย
- พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล / ใช้พื้นที่ สถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
- พื้นที่สัตหีบ จังหวัดชลบุรี / ใช้พื้นที่ อาคารรับรองของ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน
- พื้นที่จังหวัดจันทบุรี และตราด / ใช้พื้นที่ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ค่ายตากสิน
- พื้นที่จังหวัดสงขลา / ใช้พื้นที่ ฐานทัพเรือสงขลา
- พื้นที่จังหวัดนราธิวาส / ใช้พื้นที่ ค่ายจุฬาภรณ์
- พื้นที่จังหวัดพังงา และภูเก็ต ใช้พื้นที่ ฐานทัพเรือพังงา

5.) จัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม ให้การสนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ประกอบด้วย
- ที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
- ที่ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
- ที่สนามฝึกกองทัพเรือ บ้านจันทเขลม จังหวัดจันทบุรี
และยังให้จัดตั้งคลินิกให้บริการวัคซีน โควิด ให้กับกำลังพล และประชาชนทั่วไป มีการจัดทีมสอบสวนโรค เมื่อพบผู้ป่วยต้องสงสัยในพื้นที่ที่กองทัพเรือรับผิดขอบ และให้มีการจัดทีมคัดกรอง และตรวจ เมื่อได้รับการประสานให้มีการสนับสนุนเพิ่มเติมกับหน่วยงานภายนอก

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือเน้นย้ำให้ข้าราชการกองทัพเรือ เพิ่มความระมัดระวังทั้งแก่ตนเองและสมาชิกในครอบครัวในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคระบาดตามที่รัฐบาลกำหนด และมาตรการเพิ่มเติม 18 ข้อ ตามที่ผู้บัญชาการทหารเรือเคยได้ให้ไว้แล้ว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รอบใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top