Saturday, 15 February 2025
Hard News Team

“แรมโบ้” ซัด เลขาฯก้าวไกล โรคฝีรักษาหาย พรรคร่วมรัฐบาล ทำงานร่วมได้ดี อยู่ครบเทอมแน่

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุรัฐบาลถูกปัญหารุมเร้า ลุแก่อำนาจ พรรคร่วมเริ่มถอยห่าง เชื่ออยู่ไม่ครบเทอม จุดจบทางการเมืองไม่สวย ซ้ำรอยคณะรัฐประหารในอดีต  ว่า ที่ผ่านมานายกฯและรัฐบาลได้ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด แม้จะมีปัญหารุมเร้าบ้างแต่เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาจากการระบาดเชื้อโควิด-19 ที่เห็นได้จากเป็นที่ยอมรับและได้รับการชื่นชมจากประชาชนในประเทศหรือแม้แต่นานาประเทศ

นายเสกสกล กล่าวว่า การบริหารจัดการวัคซีนนั้นนายกฯย้ำอยู่เสมอว่าจะต้องเป็นไปตามกระบวนการ และต้องให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยให้กับประชาชนมากที่สุด ขณะนี้วัคซีนได้ทยอยเข้ามาแล้วอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้การกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็ว นายกฯได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล ซึ่งนายกฯไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องเหล่านี้พยายามทำทุกวิถีทางให้วัคซีนเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด 

นายเสกสกล กล่าวว่า สำหรับการทำงานในรัฐบาล ยืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคงทำงานร่วมกันได้ดี แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ถือเป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตยที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็ยังทำงานร่วมกันได้ดี "นายกฯ และรัฐบาลยังทำงานได้ดี ไม่ได้ทำผิดอะไร จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะอยู่ไม่ครบเทอม อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุนนายกฯอยู่ การที่เลขาธิการพรรคก้าวไกลบอกว่านายกฯ มีปัญหารุมเร้านั้น ตนเองมองว่าปัญหาเดียวที่รุมเร้านายกฯและรัฐบาลในขณะนี้คือปัญหาจากพรรคก้าวไกล และพรรคร่วมฝ่ายค้านมากกว่า เพราะนอกจากจะไม่เคยช่วยทำประโยชน์อะไรเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังคอยที่จะเล่นแต่เรื่องการเมือง โจมตีรัฐบาลทุกเรื่องไม่หยุด ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนเข้าใจผิดนายกฯ รัฐบาล  เพียงเพราะอยากเข้ามาเป็นรัฐบาลเอง"

นายเสกสกล กล่าวว่า ตนอยากบอกว่า ฝียังรักษาหายได้ ไม่น่าเป็นห่วง แต่โรคที่น่าเป็นห่วงกว่า ฝีและร้ายแรงกว่าโควิด-19เสียอีก คือโรคมะเร็งร้ายในหัวสมองของคนที่คิดไม่ดีต่อสถาบัน โดยเฉพาะแกนนำของคณะก้าวหน้า คนในพรรคก้าวไกลบางคน และเหล่าสมุนทั้งหลายที่ออกมาเคลื่อนไหวจาบจ้วง นี่ต่างหากคือมะเร็งร้ายของบ้านเมือง ที่ต้องรีบจัดการคนหล่านี้ อย่าให้เชื้อมะเร็งที่ฝังตัวอยู่ในสมองของคนพวกนี้รุกลามแพร่เชื้อกระจายไปทั่ว เพราะสมองคนเหล่านี้ ไม่เคยคิดหวังดีต่อบ้านเมืองและสถาบัน จึงต้องจัดการกับพวกเชื้อมะเร็งร้ายในสมองของคนพวกนี้อย่างเด็ดขาด ให้มะเร็งร้ายเหล่านี้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยโดยเร็ว คนไทยจะได้มีความสุขใจสุขกายใช้ชีวิตอย่างปกติสุข

"เบญจรงค์" ย้ำเห็นค้านต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสีเขียว ไม่อยากให้ผูกหนี้ค้างชำระ-ต่อสัมปทานเข้าด้วยกัน ชี้ควรเปิดประมูลใหม่และตั้งเงื่อนไขที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด หวังค่าโดยสารถูกลง-ได้ใช้โครงข่ายตั๋วร่วมใยแมงมุม ไม่ต้องรอ 30 ปี ขอทุกฝ่ายคำนึงถึงคนรุ่นต่อไป

นางสาวเบญจรงค์ ธารณา กรรมการบริหารพรรคกล้า ชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติมที่ไม่เห็นด้วยกับการให้เอกชนรับภาระหนี้สิน โดยรัฐจะอนุญาตให้สัมปทานเอกชนในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก 30 ปี โดยย้ำว่าไม่ได้มีปัญหากับทางเอกชนหรือ กทม. เพียงแต่มองว่าไม่ควรเอาเรื่องหนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการพิจารณาว่าจะขยายสัมปทานหรือไม่ เพราะเมื่อหมดสัญญาแล้ว ก็ควรเปิดให้มีการแข่งขันอย่างถูกต้อง เอกชนไม่ว่ารายใหม่หรือเจ้าเดิม ก็จะได้แข่งขันกันอย่างเท่าเทียมกัน บนเงื่อนไขที่รัฐและประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ก็ออกมาคัดค้านการต่อสัญญา และบอกว่า ค่าโดยสารสามารถถูกลงกว่า 65 บาท ตลอดสายได้ 

นางสาวเบญจรงค์ กล่าวว่า ในฐานะคนรุ่นใหม่วันนี้อายุ 26 ปี ใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร เดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องใช้รถไฟฟ้า และยังคงต้องใช้บริการไปอีกหลายปี เชื่อว่าการเปิดแข่งขันสัมปทานรอบใหม่อาจทำให้ค่าโดยสารถูกลงกว่าเดิม รวมถึงอาจเห็นเงื่อนไขความเป็นไปได้ในการใช้ตั๋วร่วมโครงข่ายใยแมงมุมกับระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ในการแข่งขันสัมปทานรอบใหม่ แต่หากขยายสัญญาสัมปทานนับจากปีสิ้นสุดสัญญา 2572 ไปอีก 30 ปี อาจทำให้รัฐและผู้ใช้บริการจะต้องอยู่บนเงื่อนไขเดิมไปอีกถึงปี 2602 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคนรุ่นเดียวกันกับตนเองก็คงอายุเกิน 60 ปี กันไปแล้ว จึงอยากให้การตัดสินใจของทุกฝ่าย คำนึงถึงคนรุ่นต่อไปที่จะใช้บริการด้วย 

ส่วนภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลโดย กทม. กับเอกชน นางสาวเบญจรงค์ กล่าวว่า หากมีหนี้สินเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องที่รัฐควรหาทาง หารายได้มาชำระต่อเอกชน แต่ย้ำไม่ควรนำมา เป็นเงื่อนไขประกอบการพิจารณาว่าจะต่อสัญญาสัมปทานหรือไม่ และขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันหารือถึงการหาแนวทางอื่นที่เหมาะสมมากกว่านี้

นายกฯ เสียใจ-สั่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติไฟไหม้รถบัสที่ขอนแก่น

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบเหตุไฟไหม้รถทัวร์โดยสาร 2 ชั้น บนถนนมิตรภาพ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่นแล้ว โดยเพลิงได้ลุกไหม้รถทัวร์โดยสารจนเสียหายหมดทั้งคันซึ่งมีผู้โดยสารเสียชีวิต 5 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะโดยสารชั้นที่ 2 ของรถทัวร์ ซึ่ง 2 ใน 5 ของผู้เสียชีวิตเป็นเด็ก โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกำชับให้หน่วยงานเร่งดูแล และให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่และดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด

นายกฯยังแสดงความห่วงใยประชาชน ในการเดินทางช่วงวันหยุด โดยขอให้ตรวจสอบสภาพยานพาหนะให้ดีพร้อมเดินทางไกล รวมทั้ง เมาไม่ขับ ยึดกฎจราจร  และบางจังหวัดมีพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางด้วย จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และขอให้หน่วยงาน เช่น คมนาคม ตำรวจ ทหาร ดูแลทั้งเส้นทางคมนาคม ให้เดินทางได้อย่างสะดวก และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่ควรหลีกเลี่ยง พร้อมย้ำว่าขอให้ทุกคนใช้ถนน ยานพาหนะขับขี่อย่างปลอดภัย ไม่ประมาท

คนแห่ใช้มอเตอร์เวย์โคราชสายใหม่!!รถใช้บริการแล้วเกือบ 9 หมื่นคัน

กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์การเดินทางบนทางหลวงสายหลักในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า ตั้งแต่วันที่ 9-12 เมษายน 2564 รวม 4 วัน บริเวณมอเตอร์เวย์สายใหม่ สายบางปะอิน-นครราชสีมา ช่วงปากช่อง-สีคิ้ว ระยะทาง 35.75 กม. ซึ่งเปิดให้วิ่งชั่วคราว โดยให้บริการเดินทางทางแบบวันเวย์ในขาออกจากกรุงเทพฯ พบว่า มีปริมาณรถมาใช้บริการสะสมถึง 89,877 คัน โดยเฉพาะวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา มีปริมาณรถวิ่งมากถึง 19,685 คัน

ส่วนในวันที่ 13 เมษายนนี้  เมื่อเวลา 08.50 น.  สำนักอำนวยความปลอดภัย ได้รายงานข้อมูลปริมาณจราจรเข้าออกกรุงเทพฯ ของวันที่ 12 เม.ย. บนทางหลวงสายหลัก 10 สาย และทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) สาย M7 รวมทั้งหมด 884,475 คัน แบ่งเป็นปริมาณจราจรขาออก 505,697 คัน และปริมาณจราจรขาเข้า 378,778 คัน ลดลง 16.1% เทียบกับสงกรานต์ปี 2562 ขาออก 505,697 คัน ลดลง 16.4%

เด็กพปชร. “เหน็บ” คนก้าวไกล หยุดเป็นพวกหัวหมอ ยกวัคซีนมาเป็นปมการเมือง

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นางสาวทิพานัน ศิริชนะ  อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล อ้างความเห็นของแพทย์ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาและฉีดให้บุคคลากรต่าง ๆ โดยกล่าวหาว่าเป็นวัคซีนแก้เขินหรือวัคซีนคนละครึ่ง ว่า ตนเคารพในความเห็นของแพทย์ เนื่องจากแพทย์มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นและต้องรับผิดชอบในความเห็นของตนเอง แต่นักกการเมืองอย่างนายวิโรจน์ที่นำความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไตมาขยายผลนั่นต่างหาก ที่น่าคลางแคลงใจว่ามีเจตนาที่ดีหรือประสงค์ร้าย ในความพยายามในการบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้พี่น้องประชาชนเกิดความสับสน ทั้งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อโดยตรงและผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน ต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคและลดความรุนแรงไม่ให้ป่วยหรือเสียชีวิตได้ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และยังป้องกันแม้แต่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษที่กำลังแพร่ระบาดจากคลัสเตอร์ทองหล่อในขณะนี้ 

หน้าที่ของส.ส. แม้จะนักการเมืองฝ่ายค้านเอง ไม่ได้มีหน้าที่ในการบริหารประเทศ แต่ก็สามารถช่วยเหลือประขาชนได้ ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช่จ้องทำลายความน่าเชื่อถือว่า ของวัคซีน หรือทำลายความน่าเชือถือของรัฐบาล นำเอาวิกฤติที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพี่น้องประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง“อยากฝากข้อคิดถึงนายวิโรจน์ ว่า มนุษย์ทุกคนมีจริยธรรม มีความรับผิดชอบ  และที่ขาดไม่ได้คือมนุษยธรรม หากยิ่งเป็นนักการเมืองด้วยแล้วต้องคำนึงตรงนี้ให้มาก ท่านจะมีจิตใต้สำนึกที่ดีหรือชั่วก็แล้วแต่สิ่งสั่งสมมา ” นางสาวทิพานัน กล่าว

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า ที่น่าสังเกตก็คือ ความพยายามโจมตีเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนของนายวิโรจน์ส.ส.พรรคก้าวไกลนั้น มีวาะซ่อนเร้นหรือไม่ เหมือนเป็นการรับช่วงต่อจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่เคยออกมาให้ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนก่อนหน้านี้  เป้าหมายยังเป็นการมุ่งด้อยค่า วัคซีนแอสตราเซเนกา ที่บริษัทสยามไบโอไซเอนศ์กำลังผลิตเตรียมส่งมอบในเดือนมิถุนายนนี้มากกว่า 

ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ววัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ได้ผลดี คุณภาพคงที่และปลอดภัยตามแผนจะยื่นให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ตรวจสอบได้ในช่วงกลางเดือนเมษายนนี้  ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดเจนว่า นายวิโรจน์ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน หรือต้องการฉวยโอกาสจากชีวิตประชาชน “ขอให้หยุดพฤติกรรมที่ส่อบิดเบือนใส่ร้าย อย่างอำมหิตเลือดเย็น ซึ่งจะกระทบต่อการทำงานของแพทย์ ที่ทุ่มเทช่วยเหลือทุกชีวิตอย่างหนักและเท่าเทียมกัน  อยากขอวิงวอนพี่น้องประชาชนให้เชื่อหมอ เชื่อข้อมูลที่มีหลักวิชาการ มากกว่าพวกหัวหมอ” นางสาวทิพานัน กล่าว

รัฐบาล ชู “สังคมสูงอายุ” เป็นวาระแห่งชาติ นายกฯ หนุน คนไทยออมเงินใช้ยามชรา

เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายน นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังผู้สูงอายุ ครอบครัวพี่น้องชาวไทย รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานด้านกิจการผู้สูงอายุ โดยหวังให้คนไทยตื่นตัวเรื่องสังคมสูงอายุให้มากเพราะเกี่ยวข้องกับคนทุกคน   รัฐบาลจึงได้กำหนดให้ “สังคมสูงอายุ”เป็นวาระแห่งชาติ และได้สานต่อแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ (พ.ศ.2545-2565) เพื่อสร้างความพร้อมสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ที่คาดการณ์ปี 2564 จะมีประชากรไทย อายุ 60 ปีขึ้นไปในสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จะมีคนไทยอายุถึง 60 ปี ปีละล้านคน รวมถึงในปี 2576 สัดส่วนผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 28 เข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด

สำหรับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุ รัฐบาลกำหนดให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ (25-59 ปี) และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ในส่วนกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการออม การสร้างทัศนคติไม่มองผู้สูงอายุเป็นภาระ การให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลผู้สูงอายุ และการปรับสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพผู้สูงอายุ ส่วนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้สูงอายุ จะเน้นการเสริมทักษะการทำงานใหม่ การสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างที่จ้างผู้สูงอายุ การสร้างงานผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบ สนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพผู้สูงอายุ  ในด้านสุขภาพ รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาระบบการให้บริการสาธารณสุขให้ผู้สูงอายุได้รับการตรวจ ป้องกัน และดูแลสุขภาพในระยะยาวที่บ้านและในชุมชนตามระดับความจำเป็น

นางสาวรัชดา กล่าวว่า นอกจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลการรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ยังพบว่าคนไทยมีอายุยืนขึ้น และผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย ในปี 2563 ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 80.4 ปี ผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 73.2 ปี และในปี 2583 อายุเฉลี่ยทั้งเพศหญิงและชายอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 83.2 ปี และ 76.8 ปี ดังนั้น เพื่อเชิญชวนให้คนไทยออมเงินจะได้มีใช้ในวัยเกษียณ ด้วยการเริ่มต้นการออมขณะที่อายุยังน้อย โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เช่น เกษตรกร รับจ้างทั่วไป  พ่อค้าแม่ค้า  วินมอร์เตอรไซด์ เป็นต้น   

รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการในหลายรูปแบบเพื่อสร้างหลักประกันในวัยเกษียณแก่ประชาชน คือ 1) การออมของผู้มีอาชีพอิสระ เริ่มออมได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ผ่านกองทุนเงินออมแห่งชาติ (กอช.) รัฐบาลช่วยสมทบด้วย ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกกว่า 2.4 ล้านคน  2) สำนักงานประกันสังคม เมื่อปีที่แล้วได้ปรับปรุงกฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีอายุเกิน 60 ปี แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ขณะนี้มีจำนวนผู้ประกันตนกว่า 3.5 ล้านคน และ 3) ล่าสุด มี.ค.ที่ผ่านมา ครม.เห็นชอบร่างกฎหมายตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เพื่อการออมไว้ใช้ยามเกษียณของลูกจ้างในระบบทุกประเภท 

 "นายกรัฐมนตรีกล่าวในหลายโอกาสว่า อยากให้คนไทยทุกช่วงวัย เห็นคุณค่าของการออม ซึ่งถือเป็นการวางแผนชีวิตในระยะยาวสำหรับทุกคน  เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้ มีเงินพอใช้ในการดำเนินชีวิตในช่วงสูงอายุ และยามจำเป็น แม้เวลานี้เราจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19  รายได้ลดลง  ก็ขอให้คำนึงถึงการออมเพื่อบั้นปลายชีวิตด้วย รัฐบาลได้ออกมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเดินหน้าการกระจายการฉีดวัคซีน ซึ่งคาดว่า ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น" นางสาวรัชดา ฯ กล่าว 

จากประท้วงเงียบ สู่ สงกรานต์เงียบ

การประท้วงในเมียนมาเริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากการเคลื่อนไหวที่เรียกว่าอารยะขัดขืนจนมาถึงการตอบโต้กับเจ้าหน้าที่จนวันหนึ่งมีการผุดไอเดียประท้วงเงียบ 1 วันโดยใครที่ไม่เอากับกองทัพให้ทำการ CDM หรืออารยะขัดขืนโดยการปิดห้างร้านไม่ออกไปทำงาน ไม่ขายของ  แต่นั่นคือ 1 วันแต่ล่าสุดมีการประชาสัมพันธ์มาอีกแล้วว่าให้ประท้วงเงียบในช่วงสงกรานต์ (Thingyan Silent Strike) โดยอ้างว่าเป็นการไว้อาลัยแก่คนที่เสียชีวิตไปในการประท้วงไปจนถึงบางคนบอกว่าหากใครเล่นน้ำจะเป็นพวกสนับสนุนเผด็จการ……เอาอย่างนี้กันเลยเหรอ

เทศกาลสงกรานต์หรือเทศกาลตะจ่านในเมียนมาเป็นวันหยุดยาวและมีความหมายของคนเมียนมามาก    แต่ไม่ใช่เพราะการเล่นน้ำแต่เป็นการกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวและมีกิจกรรมทางศาสนา  หลายครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันในการเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่อื่น ๆ หรือเข้าวัดทำบุญหรือไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน  การเล่นน้ำนั้นถือเป็นหนึ่งกิจกรรมในครอบครัวและเป็นหนึ่งกิจกรรมของเพื่อนที่เล่นสนุกกัน  แม้วันที่เขียนนี้วันที่ 12 เมษายนในเมียนมาตามเมืองใหญ่ ๆ จะมีการตั้งเวทีให้เล่นน้ำแต่ปีนี้ก็ยังไม่เห็นมีการตั้งเวทีกิจกรรมแต่อย่างใด

เอาเป็นว่าแม้จะมีกระแสข่าวที่บอกว่ากองทัพจะไม่มีการใช้อาวุธตราบใดที่ไม่มีการประท้วงแต่กองทัพก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้มีเวทีเล่นน้ำเหมือนที่เคยเป็นในช่วงก่อนโควิดเช่นกัน  ดังนั้นการประท้วงสงกรานต์เงียบครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากช่วงสงกรานต์โควิดเมื่อปีที่แล้วที่ทำให้เมืองใหญ่ ๆ ในเมียนมาเสมือนเมืองร้างไร้ผู้คน 

คำถามคือไม่ใช่คนทุกคนที่เอาด้วยกับการประท้วงแม้จะไม่เห็นด้วยกับกองทัพก็ตาม  แต่การที่จะเล่นน้ำสงกรานต์ในปีนี้  ในภาวะการณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรที่จะเอาตัวเองหรือครอบครัวเข้ามาเสี่ยงเพราะในเมียนมาการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ก็ยังไม่ได้ครอบคลุมและคนส่วนใหญ่ในเมียนมาก็เลือกแล้วที่จะไม่ฉีดวัคซีน  ดังนั้นไม่มีทางใดที่จะป้องกันอันตรายทั้งจากทหารและโควิด-19 ได้ดีกเท่ากับการอยู่บ้านซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายกองทัพก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน  เพราะไม่เช่นนั้นกองทัพคงให้ในแต่ละเขตทำการสร้างเวทีสำหรับเล่นน้ำสงกรานต์ไปแล้ว

ที่มา: AYA IRRAWADEE

 

โรม - รัน - แรง ‘ประเทศชาติแบบนี้’ ผมไม่เอา!! | Contributor EP.15

ต่อให้รัฐบาลนี้จะไร้ ‘ประยุทธ์’ ต่อให้รัฐบาลนี้จะได้ใครขึ้นมาใหม่ ต่อให้รัฐบาลใหม่จะเปลี่ยนคนสลับขั้วเพียงใด ตราบใด ‘โครงสร้าง’ ของประเทศ ‘ไม่เปลี่ยน’ รัฐธรรมนูญจากคนเพียงหยิบมือ ‘ไม่ถูกเปลี่ยน’ ประเทศไทยจะยัง ‘ล้าหลัง’ เหมือนเดิม

เพราะสุดท้ายแล้ว ปัญหาการล้มอำนาจ จากทหารจะวนเวียนเข้ามาผ่านรัฐประหาร นักการเมืองเก่าจะฮั้วอำนาจกัน เพื่อให้มีฐานะในสังคม วันนี้ ‘คนรุ่นใหม่’ แม้จะมีกำลังเสียงไม่มาก จึงต้องออกมา และ ‘สะสม’ ให้เกิดเป็นพลัง เพื่อรอนับถอยหลังสู่วันแห่ง ‘ชัยชนะ’ ที่แท้จริง

พบมุมมอง ส.ส.คนรุ่นใหม่วัย 28 สุดร้อนแรง ผู้เขย่าเวทีการเมืองไทยยุคนี้ได้แบบ ‘ออกรส’ ภายใต้บทบาทของสมาชิกพรรคก้าวไกล ที่หวังให้ประเทศไทย ‘ฟัง’ เสียงคนรุ่นใหม่ พร้อมเปิดใจ ‘แก้ไข’ ระเบียบโครงการแห่งโลกเก่าที่นำไทยไปสู่ความล้าหลัง กับเขาผู้นี้... ‘รังสิมันต์ โรม’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคก้าวไกล ใน Contributor EP.15

.

.

.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้! การจ้างงานเจอพิษโควิดเต็มเปา แนะรัฐออกมาตรการช่วย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ได้ทำการสำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์การจ้างงานในองค์กร โดยผลสำรวจระบุว่าสถานการณ์เลิกจ้างในเดือนมีนาคม 64 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 3.4% จาก 7.4% ในเดือนมกราคม 63 แต่อัตราการลดเวลาการทำงานล่วงเวลายังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลการว่างงานจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ที่ระบุว่าอัตราการว่างงานปรับลดลงอยู่ที่ 1.5% ในเดือนธ.ค. 63 แต่จำนวนผู้เสมือนว่างงาน (ทำงานน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน) ยังคงปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2,470 คน บ่งชี้ว่า แม้ว่าจะยังมีงานทำแต่แรงงานส่วนมากมีรายได้ที่ลดลง

สำหรับความเปราะบางของตลาดแรงงานจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันกำลังซื้อของครัวเรือนต่อเนื่อง โดยล่าสุดสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มกลับมาระบาดในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ ที่มีจุดศูนย์กลางระบาดอยู่ในกลางเมืองและแพร่กระจายไปยังจังหวัดอื่น ๆ อาจจะทำให้มีการนำมาตรการควบคุมการระบาดกลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานต่อไปได้ 

ดังนั้น มาตรการจากภาครัฐจึงยังมีความจำเป็นที่จะเข้ามาช่วยประคับประคองเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยมาตรการคนละครึ่งเฟส 2 ได้หมดอายุลงแล้วในเดือนมีนาคม 64 มียอดใช้จ่ายตลอดโครงการถึง 102,065 ล้านบาท และมีผู้เข้าร่วมโครงการอยู่ที่ 14.8 ล้านคน ขณะที่มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อต่าง ๆ ของภาครัฐ ทั้งโครงการเราชนะ และโครงการเรารักกัน (ม.33) จะเริ่มทยอยหมดโครงการในเดือนพฤษภาคม 64

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ยอดผู้ติดเชื้อในไทยวันนี้กว่า 985 ราย ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top