Friday, 4 July 2025
Hard News Team

รวมพลังพันธมิตรจิตอาสา ปันน้ำใจ คลายทุกข์ 'ชาวชุมชนคลองเตย-สื่อภาคสนาม' ร่วมสู้ภัยโควิดก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน

(4 ก.ย.​ 64) ที่ลานหน้าสำนักงานมูลนิธิรวมน้ำใจ ถนนพระราม 4 เขตคลองเตย นางสาวสุดทินี แสงดี ประธานชุมชนริมคลองสามัคคี คลองเตย นางมาเรียม ป้อมดี ประธานชุมชนพัฒนาใหม่ พร้อมด้วยคณะกรรมการชุมชน และอาสาสมัครป้องกันภัยเขตคลองเตย ร่วมรับมอบอาหาร "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" เพื่อส่งต่อให้ผู้พักอาศัยในชุมชนได้ปันอิ่ม โดยจัดแบ่งเป็น 3 ส่วน เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชนริมคลองสามัคคี ชุมชนพัฒนาใหม่ และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) เขตคลองเตย  

โดยมี นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นำทีมพันธมิตรจิตอาสา จากองค์กรต่างๆ อาทิ มูลนิธิสหชาติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เว็บไซต์ข่าว จั่นเจา canchaonews.com หนังสือพิมพ์ ดีดี โพตส์นิวส์ ร่วมส่งมอบสิ่งของเครื่องใช้ในการบรรเทาทุกข์ อาทิ ข้าวกล่องปันอิ่มหลากหลายเมนู ขนมครัวซอง หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย พร้อมสเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ 

นางสาวสุดทินี แสงดี เปิดเผยว่า ชุมชนของเรามีผู้พักอาศัย 700 คน ตั้งแต่เกิดการแพร่ระเบิดเชื้อโควิด มีผู้ติดเชื้อ 170 คน และทำการรักษาจนหายดี ปัจจุบันเหลือเพียง 10 คน ส่วนการดูแลเป็นไปตามระบบของสาธารณสุข ขอขอบคุณพันธมิตรจิตอาสา และเครือซีพี ที่ร่วมแบ่งปันห่วงใย มอบความสุขช่วยคลายทุกข์ ให้คนในชุมชนแห่งนี้ 

ด้าน นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า พันธมิตรจิตอาสาเดินหน้าลงพื้นที่ชุมชนต่างๆอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด ในการทำหน้าที่เป็นสะพานบุญ นำสิ่งของเครื่องใช้ ที่ได้รับการสนับสนุนจ อาทิ ขนมครัวซองต์ จากร้าน Susan Croissant เอกมัย สเปรย์ฉีดแลกอฮอล์ กองพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม หน้ากากผ้า มูลนิธิสหชาติ รวมทั้งอาหารพร้อมทานจาก ”น้องเทนนิส” ที่ส่งกำลังใจผ่านข้าวกล่อง “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ผนึกกำลังบริษัทในเครือซีพี และห้างสรรพสินค้า โลตัส ส่งถึงมือผู้ได้รับความเดือดร้อน ผู้ที่ต้องแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อได้มีอาหารที่ดีได้รับประทาน 

นอกจากนี้ พันธมิตรจิตอาสา ยังบรรเทาทุกข์คนสื่อภาคสนามที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มอบสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องตรวจออกซิเจนปลายนิ้วแก่นายสุรเชษฐ ศิลานนท์ ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย และมอบอาหารให้กับคุณยายและหลาน ที่ได้รับความเดือดร้อน ยืนเช็ดกระจกรถเวลาติดไฟแดงบริเวณหน้ากรมศุลกากร

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีทิ้งกระจาดครั้งยิ่งใหญ่ สู้ภัยมหาวิกฤตโควิด-19

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีทิ้งกระจาดครั้งยิ่งใหญ่ สู้ภัยมหาวิกฤตโควิด-19 ยกทัพคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ลงพื้นที่แจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพฯ 

(4 ก.ย.​ 64) ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำพริก เจลแอลกอฮอล์ บรรจุถุงผ้าดิบ พร้อมเงินสดที่ในปีนี้กลุ่มบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด ได้ร่วมบริจาคทำบุญ นำออกแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร (รวม 50 เขต) เขตละ 500 ชุด รวมจำนวน 25,000 ชุด รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 15 ล้านบาท

โดยมี นายชวลิต ตวงสิทธิสมบัติ ประธานบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด นายชาติชาย กุละนำพล ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย นายพันธ์ศักดิ์ เจริญสุข ผู้อำนวยการเขตสาทร นายยุทธนา ป่าไม้ ผู้อำนวยการเขตภาษีเจริญ  พ.ต.อ มนัส รุ่งนาค ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 1  พ.ต.อ.พนม เชื้อทอง ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 2 พร้อมด้วย อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ อาสาสมัครศิลปิน อาสาสมัครกู้ภัย และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวาน ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า ในปีนี้ ด้วยวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่รุนแรง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้เพิ่มชุดเครื่องอุปโภคบริโภคจากปีที่แล้วอีก 10,000 ชุด การแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคในปีนี้ มูลนิธิฯ ได้ประสานงานกับสำนักงานเขตทุกเขต ในการจัดเตรียมสถานที่และชุมชนในพื้นที่ เพื่อจัดระเบียบ ตั้งจุดคัดกรองประชาชนในแต่ละจุดตามหลักการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งจัดกำลังอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในทุกๆ จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ เพื่อเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาในการลงพื้นที่แจกจ่ายสิ่งของ 

งานประเพณีทิ้งกระจาด เป็นงานบุญประเพณีสำคัญของชาวพุทธที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่สมัยพุทธกาลกว่าสองพันปี กำหนดจัดขึ้นในเดือน 7 ตามจันทรคติของจีน เป็นการทำบุญใหญ่ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปแล้วพร้อมกับการแจกทานให้ผู้ยากไร้ เป็นงานบุญที่ครบพร้อมทั้งการทำบุญและทำทาน โดยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้บำเพ็ญบุญประเพณีนี้ต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปีกว่า 80 ปี 

ตลอดระยะเวลากว่า 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ได้ช่วยกันบริจาค และสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศลของมูลนิธิฯ ตลอดมา ทำให้มูลนิธิฯ สามารถขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#ป่อเต็กตึ๊ง ยึดมั่นอุดมการณ์ อยู่เคียงข้างทุกวิกฤต

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง110ปีความดีที่ยั่งยืน

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

'เฉลิมชัย'​ ระบุผลคะแนนไว้วางใจ สะท้อนความเป็นปึกแผ่นของพรรคร่วม วอน!! ให้แก้ไขปัญหาประเทศให้จบไปก่อน ช่วยกันทำให้โควิดเบาลงให้ได้

(4 ก.ย. 64)​ ที่อาคารรัฐสภา​ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจสูงที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า... 

"ก็ต้องถือว่ารัฐบาลได้รับการไว้วางใจทั้งหมด ส่วนคะแนนที่ออกมา ต้องขอไปตรวจสอบคะแนนดูก่อน คิดว่าคะแนนที่ออกมาอย่างนี้ถือว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น และทุกคนผ่านการตรวจสอบครั้งนี้ทั้งหมด" 

ส่วนที่ผู้สื่อข่าวระบุว่า จากการที่นายเฉลิมชัย ได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุด และมีเสียงสนับสนุนจากโลกโซเชียลให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายเฉลิมชัย รู้สึกประหลาดใจ และฝากขอบคุณ พร้อมกับปฏิเสธว่าไม่หรอก ซึ่งคะแนนที่ออกมาในวันนี้ก็เป็นภาพที่ชัดเจนว่ารัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น เหนียวแน่น และเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี 

สำหรับการที่มีบางส่วนเรียกร้องให้ยุบสภานั้น นายเฉลิมชัย ระบุว่า ก็ต้องดูสถานการณ์ทุกอย่างว่าเหมาะสม หรือสมควรหรือไม่ ตรงนี้ท่านนายกฯ ท่านมีวิจารณญาณอยู่แล้ว ถ้าจะถามยุบสภาตนก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่อำนาจของตน แต่คิดว่าวันนี้ควรแก้ไขปัญหาประเทศให้จบไปก่อน ช่วยกันทำให้โควิดมันเบาลงให้ได้ หรืออยู่ในสถานการณ์ปกติให้ได้ แล้วสถานการณ์อื่นๆ ก็ว่ากันอีกเรื่องนึง แต่ก็ยืนยันว่าวันนี้พรรคร่วมรัฐบาลเป็นปึกแผ่น

ผู้สื่อข่าวสอบถามความรู้สึกถึงการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งที่ไม่น่าจะถูกอภิปรายในครั้งนี้ นายเฉลิมชัย ตอบว่า ก็ดี ได้มีโอกาสชี้แจง เพราะบางครั้งถ้ามีเรื่องอะไรที่ยังคาใจอยู่ แล้วเราไม่มีโอกาสได้ชี้แจง มันก็จะยังคาใจอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราได้ชี้แจงโดยชัดเจนแล้ว มันก็จะมีคำตอบให้คนฟังเขาได้คิดดูว่าอะไรถูกอะไรผิด 

​​​​​

'สกพอ.'​ ร่วมมือ 'อบจ.ระยอง -​ เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่'​ เร่งเครื่องพัฒนาไม้ผลครบวงจร

ตามโครงการ EFC แผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี นำร่องชาวสวนทุเรียนผลิตได้ตรงตลาด รักษาคุณภาพรสชาติด้วยห้องเย็นทันสมัย จัดระบบขายได้ตลอดปี สร้างรายได้สูงให้เกษตรกร

วันที่ 4 กันยายน 2564 นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมเป็นประธานและสักขีพยาน การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาไม้ผลอย่างครบวงจร ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 
(อีอีซี) ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) และแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมี นางสาวพจณี  อรรถโรจน์ภิญโญ รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง (อบจ.ระยอง) และนายโชติชัย  บัวดิษ ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ผลจังหวัดระยอง ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม 3 องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง

โดยบันทึกข้อตกลงฯ ครั้งนี้ จะช่วยยกระดับผลไม้ไทย ให้มีคุณภาพมาตรฐานพรีเมียมระดับสากล ตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการทำตลาดด้วยนวัตกรรมใหม่ ตรงความต้องการตลาดผู้บริโภครายได้สูง และสนับสนุนโครงการระบบห้องเย็นตามโครงการ EFC ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ มีความร่วมมือสำคัญ ๆ 4 ด้าน ได้แก่... 

1) สนับสนุนกลุ่มเกษตรกรไม้ผล ได้พัฒนาทักษะการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการผลิต แปรรูป การค้าการตลาดยุคใหม่อย่างครบวงจร สร้างโอกาสเข้าถึงทรัพยากร เพิ่มอำนาจต่อรองตลอดช่วงการผลิตสินค้า

2) ยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทย สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคตลาดในและต่างประเทศ รักษาเสถียรภาพราคา ลดความเสี่ยงให้เกษตรกร

3) พัฒนาการเก็บรักษา ยืดอายุผลผลิตให้คุณภาพ รสชาติเดิมได้นาน ด้วยการใช้ประโยชน์ระบบห้องเย็น (Blast Freezer & Cold Storage)

4) ส่งเสริมการวิจัยและต่อยอดการแปรรูปไม้ผลมูลค่าสูง ร่วมกับพันธมิตร ให้ตรงความต้องการตลาด และสนับสนุนด้านการตลาดสมัยใหม่อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ ระยะแรกกลุ่มที่เข้าร่วมลงนามเพื่อผลิตทุเรียนพรีเมียม จะมีเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่ 16 กลุ่ม เกษตรกรประมาณ 700 ราย พื้นที่ประมาณ 8,200 ไร่ โดยจะผลิตทุเรียนได้ประมาณปีละ 13,000 ตันต่อปี และจะขยายเครือข่ายสมาชิกให้มากขึ้น จากความร่วมมือของ อบจ.และเกษตรจังหวัดที่สนับสนุนร่วมกัน รวมทั้งขยายผลเพิ่มเติมในกลุ่มไม้ผลอื่นๆ ต่อไป

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ กล่าวว่า สาระสำคัญการลงนามความร่วมมือ ครั้งนี้ จะสอดคล้องกับโครงการ EFC ที่เป็นโครงการหลักของแผนพัฒนาเกษตรในอีอีซี ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ การสร้างสินค้าให้มีคุณภาพตามความต้องการตลาด โดย สกพอ. มุ่งเน้นตลาดกลุ่มลูกค้าทุเรียนพรีเมียม การวางระบบการค้าสมัยใหม่ ผ่านระบบ e-Commerce และ e-Auction ผลผลิตที่ส่งออกต้องตรวจสอบและย้อนกลับได้ สร้างมูลค่าให้ทุเรียนของภาคตะวันออก การลงทุนห้องเย็นด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เก็บรักษาให้มีความสดใหม่ และการจัดระบบสมาชิกชาวสวนผลไม้ สหกรณ์ที่เข้าร่วม ให้พัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพพรีเมียม

โดยการผลิตทุเรียนของไทย คาดว่าในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า จะสูงถึง 2 ล้านตัน ปัจจุบันผลผลิตจากระยอง​ คิดเป็น 10% หรือกว่า 1 แสนตันต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งระบบห้องเย็น ภายใต้โครงการ EFC จะสามารถจัดเก็บผลผลิต เพื่อขายในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวหรือช่วงขาดแคลนได้ โดยจะจัดเก็บทุเรียนได้ประมาณ 4,000 ตันต่อรอบ ซึ่งหากจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจะจัดเก็บได้มากกว่า 10,000 ตันต่อปี ช่วยรักษาความสด คงรสชาติ สร้างเสถียรภาพทางราคา สามารถส่งออกทุเรียนออกขายช่วงเทศกาลสำคัญ ที่มีความต้องการเป็นจำนวนมาก ขายได้ราคาสูง หรือกำหนดราคาเองได้ รวมทั้งรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศให้กินทุเรียนของระยองได้ตลอดปี สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน

'บลูเทค ซิตี้'​ มอบน้ำดื่มสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

'บลูเทค ซิตี้'​ มอบน้ำดื่มสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

(2 ก.ย.64) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ทีมงานฝ่าย CSR ของโครงการนิคมอุสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ มอบน้ำดื่ม จำนวน 300 แพ็ค เพื่อสนับสนุนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ที่ปฏิบัติงานร่วมการทดสอบระบบบริหารจัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมี นายสุพจน์ สกุลธรรม หัวหน้างานประชาสัมพันธ์และเลขานุการอธิการบดี เป็นผู้รับมอบ

โดยวันนี้ยังเป็นวันที่มีการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา ล็อตการผลิตในไทยพร้อมกันทั่วประเทศด้วย ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนซิโนแวคที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์นั้น สามารถรองรับประชาชนที่จะเข้ามารับบริการวัคซีนฯได้ประมาณวันละ 2,000 คน

สถานทูตจีนในไทย​ เรียกร้อง!! ยุติด้อยค่า​ 'วัคซีนจีน'​ หลังบางกลุ่ม มุ่งทำร้ายความหวังดีจีนไม่เลิก

ไม่นานมานี้​ ทางเฟซบุ๊ก Chinese​ Embassy Bangkok​ สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน​ ประจำประเทศไทย​ ได้โพสต์ข้อความว่า... 

คัดค้านการกล่าวหาวัคซีนจีนโดยไร้เหตุ
โดย โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทย

ปีนี้ ประเทศจีนได้ส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยในโอกาสแรก เพื่อเป็นการสนับสนุนประเทศไทยในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยได้พยายามเอาชนะกับความยากลำบากที่ความต้องการในการใช้วัคซีนภายในประเทศยังสูงอยู่ และจำนวนวัคซีนที่ผลิตยังไม่เพียงพอ ซึ่งวัคซีนจีนทุกโดสก็เป็นมิตรไมตรีจิตรอันจริงใจที่รัฐบาลและประชาชนจีนมีต่อรัฐบาลและประชาชนไทย

วัคซีนที่ฝ่ายจีนส่งมอบให้ฝ่ายไทยนั้น ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอนามัยโลกให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินได้ และได้ผ่านการวิจัยและทดลองในมนุษย์ในระยะต่างๆ ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยาของไทยอย่างเคร่งครัด เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีการรับรองคุณภาพ

การกลายพันธุ์ของตัวไวรัสโคโรนาเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่บริษัทผลิตวัคซีนของจีนติดตามโดยตลอด บริษัทซิโนแวคได้ทำการทดสอบแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ระหว่างเซรั่มของผู้ฉีดวัคซีนซิโนแวคกับไวรัสกลายพันธ์ุต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลออกมาอย่างดี 

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศชิลีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาล อาการหนักและเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 86% 

ผลการวิจัยของรัฐบาลอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ถึง 92% และ 95% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสกลายพันธ์ุเป็นอย่างดี ไม่ใช่วัคซีน “คุณภาพต่ำ” ตามที่กล่าวหาอย่างแน่นอน

เมื่อเร็วๆ นี้ บางคนและบางองค์การของประเทศไทยได้ด้อยค่าและใส่ร้ายวัคซีนจีนโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ซึ่งเป็นการกล่าวหามุ่งร้ายที่ไม่เคารพข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และเป็นการทำร้ายความหวังดีของฝ่ายจีนในการสนับสนุนประชาชนไทยต่อสู้กับโรคระบาด

>> สถานทูตจีนจึงขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้บุคคลและองค์การที่เกี่ยวข้อง​ ยุติการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้

ฝ่ายจีนยินดีที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยต่อไป โดยยึดมั่นในความจริงใจและความหวังดีอย่างมากที่สุด ให้ความช่วยเหลือกับฝ่ายไทยในการต่อสู้กับโรคระบาด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะเอาชนะกับโรคโควิด-19 โดยเร็ว และกลับคืนสู่ภาวะปกติในการดำรงชีวิตและทำงานในเร็ววัน

ที่มา: https://www.facebook.com/846555798724560/posts/4352763731437065/

'3 ปัจจัย' สำคัญที่ทำให้ประเทศ 'เวียดนาม' ก้าวกระโดด

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (เอ้) อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง เวียดนาม (จะ) ชนะไทย? โดยมีเนื้อหาดังนี้

...พี่เอ้สารภาพ คิดอยู่หลายคืน ว่าจะเขียนเรื่องเวียดนามกับไทยดีไหม ขอออกตัวก่อนว่า เขียนให้คิด ให้สู้ ให้เกิดพลัง ให้ฮึกเหิม มิใช่เขียนบ่นหรือเขียนให้ท้อ หรือไม่เขียนเพื่อโทษใคร...

เอาล่ะครับ พร้อมอ่านหรือยัง

ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ กมลา แฮริส เยือนอาเซียนอย่างเป็นทางการ ลงเครื่องพบผู้นำสิงค์โปร์ 3 วัน เพื่อกระชับความร่วมมือ สนับสนุนสิงคโปร์เป็นศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับโลก ก่อนบิน (ข้ามประเทศไทย) ไปคุยกับผู้นำเวียดนามอีก 2 วัน แล้วบินกลับกรุงวอชิงตัน

ไม่มาประเทศไทย...

ครั้งนี้ สิงคโปร์ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ ได้ทั้งความเชื่อมั่นในการเมืองระหว่างประเทศ ว่าคือ "ศูนย์กลาง หรือ ผู้นำชาติอาเซียน" ได้ทั้งกำลังการลงทุน และได้ทั้งกำลังมันสมอง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของชาติ ไม่ว่ากัน เพราะสิงคโปร์กับอเมริกา ผูกพันกันต่อเนื่อง ยาวนาน

แต่...เวียดนาม ประเทศสังคมนิยม เคยทำสงครามกับสหรัฐ วันนี้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐ และกำลังก้าวขึ้นเป็น "จีน 2"  ในเอเชีย

ทำไมเวียดนามถึงก้าวกระโดด? (ข้ามประเทศไทย) พี่เอ้ตอบตรง ๆ เพราะเขามีปัจจัยหลัก ดังนี้

1.) มีปริมาณ "กำลังคน" ประชากรมากกว่าไทย มีคน 100 ล้าน และไม่ใช่แค่คนระดับใช้แรงงาน แต่ยังมีคนระดับชั้นมันสมองเพิ่มมากขึ้น จากการพัฒนาการศึกษา "เชิงคุณภาพ" ต่อเนื่อง อย่างจริงจัง ขณะที่ไทย...

ลองพิสูจน์จากเด็กเวียดนามที่ได้รับทุน (ของไทย) มาเรียนปริญญาโท-เอก ที่คณะวิศวะลาดกระบัง ทุกคนทั้งเก่งคณิตศาสตร์ (มากกว่าเด็กไทย) ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งกว่า และยังขยันสุด ๆ น่ากลัวมาก แต่อาจารย์ไทยชอบมาก เพราะทำงานวิจัยได้ยอด รับผิดชอบสูง น่าประทับใจ

นี่แค่ เด็กเวียดนามระดับกลาง ๆ เพราะระดับตัวท๊อป จะไปเรียนต่อที่อเมริกา ซึ่งวันนี้มีมากกว่า 24,000 คน!!! ซึ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่มีเด็กไทยเรียนอยู่ในอเมริกาเพียง 6,000 คน น้อยกว่าเวียดนาม 4 เท่า!!!!

หมายความว่า เวียดนามกำลังมี "คนระดับมันสมอง" โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งคือรากฐานของการยกระดับประเทศ มากกว่าไทย (หลายเท่า)

2.) มีเงิน มีงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเวียดนามปีที่ผ่านมา เติบโตที่สุดของโลก! ขณะที่ประเทศอื่น รวมทั้งไทย ติดลบ! และแค่ครึ่งปีนี้ โตไปมากกว่า 5% แล้ว และจะร้อนแรงยิ่งขึ้น...

เพราะเกิดการลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล (มากกว่าลงทุนในไทยไปนานหลายปีแล้ว) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีบริษัทเกาหลีมาลงทุน 4,000 กว่าบริษัท ขณะที่มาไทย 400 บริษัท และมีบริษัทชั้นนำของโลกทุกแขนงกำลังมุ่งสู่เวียดนาม

ทำให้เกิดการส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่มมหาศาล ซึ่งตอนนี้เวียดนามส่งออกมากกว่าไทยไปแล้วครับ และกำลังจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ หากเราไม่คิดสู้!

3.) มีความรักชาติ เป็นชาตินิยมสูง ถือเป็นจุดแข็งของเวียดนาม เด็กเวียดนามทุกคนเรียนรู้ "ประวัติศาสตร์ชาติ" รู้จัก "การต่อสู้ของลุงโฮ" ท่านโฮจิมินห์ บิดาของชาติ (เคยมาอยู่เมืองไทย) รู้เรื่องราว การต่อสู้ ด้วยความทรหด อดทน ไม่ยอมแพ้ ให้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างชาติ

ทั้งคนเวียดนาม ปลูกฝังค่านิยม การรักการอ่าน การขยันเรียนแบบสุด ๆ โรงเรียนเวียดนาม แม้ไม่ใหญ่ ไม่สวย เหมือนโรงเรียนไทย แต่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก ลองดูคะแนนมาตรฐาน PISA Score เด็กเวียดนามทำได้คะแนนสูงสุดในอาเซียน เกือบเท่าเด็กสิงคโปร์!

คนอเมริกันเชื้อสายเวียดนามในสหรัฐ ก็เรียนเก่ง (ที่ MIT ที่พี่เอ้เรียนจบมา ก็มีเด็กอเมริกันเวียดนามเยอะมาก) ประสบความสำเร็จสูงมาก แม้แต่คุณหมอ พญ. ดร. พริสซิลลา ชาน ภรรยาคนสวยของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ผู้ก่อตั้งเฟชบุ๊ค ก็เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม คนเหล่านี้ยังสนับสนุนประเทศเวียดนามทุกรูปแบบ เต็มที่

พี่เอ้ไม่อยากให้คนไทยมองข้ามเรื่องนี้ รุ่นพ่อแม่เราเกิดมา ก็ไม่แพ้เกาหลี วันนี้เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปแล้ว รุ่นพี่เอ้เกิดมาก็ไม่แพ้สิงคโปร์ ไม่แพ้มาเลเซีย วันนี้เขากระโดดไปไกลแล้ว

และวันนี้ พี่เอ้ยอมรับว่า "ทำใจไม่ได้" ที่เรากำลังเป็นรองเวียดนาม

แม้เราไม่ได้อิจฉาเวียดนาม และก็ไม่ได้ชื่นชมว่าจะดีเก่งกว่าไทยไปซะทุกเรื่อง เพียงแต่อยากให้ คนไทยเรียนรู้ข้อเท็จจริง เพื่อนำมาวางแผนสู้ พัฒนาชาติไทย ต้องไม่ยอมแพ้!!!
เพราะพี่เอ้ยังมั่นใจ #คนไทยไม่แพ้ใครในโลก และ #จะทำก็ทำได้

ขอเป็นกำลังใจ ให้คนไทยทุกคนครับ สู้ ๆ

'ดร.สันต์' ชี้!! หากไทยติด 5-6 ล้าน ค่าเฉลี่ยตายต้อง 5% แต่กดได้ 1% สะท้อนความจริงคือคนไทยต่างร่วมมือ

ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าภายในประเทศ ระบุว่า... 

Covid-19 : บทเรียนจากชัยชนะของไต้หวัน 'สัจพจน์' ที่เราได้จากตัวเลขที่นั่น เพื่อพิสูจน์ความจริงและความลวงในบ้านเรา 

>> เรื่องราวของไต้หวัน:
ไต้หวันเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการระบาดของ Alpha อย่างหนักหน่วง และสามารถเอาชนะมันได้แบบลงสู่ Zero New Case ด้วยมาตรการในแบบฉบับ Lockdown ล้วน ๆ ยาวนาน 3 เดือน โดยแทบไม่มีวัคซีนช่วยเลย 

ไม่เคยมีใครทำได้ ประเทศที่สามารถคุม Alpha ได้สำเร็จ คือ คุมไม่ให้ระบาดหนักแต่แรก ในประเทศอื่น ๆ ที่ระบาดหนักแล้วกดลงได้ ก็ไม่เคยกดลงจนเป็นศูนย์ได้เลย 

ข้อมูลที่ไต้หวันมีความสำคัญและเที่ยงตรงมากเพราะ ไต้หวันมีการตรวจเชื้อมหาศาล ในระดับที่เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าไม่มีตกหล่น 

ไต้หวัน Test ไปถึง 5 ล้านครั้งในระดับผู้ติดเชื้อ 16,000 คิดเป็น %Positive แค่ 0.32% เทียบกับไทยเราที่ติดเชื้อไป 1.2 ล้าน เพิ่งตรวจไปได้แค่ 8 ล้านกว่าคนเท่านั้น 

กราฟชัยชนะของไต้หวันจึงเป็น Sample ของ Full Wave ของ Alpha ที่สมบูรณ์และมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะทำให้เราทราบคุณสมบัติต่าง ๆ ของไวรัสครบถ้วน  

>> สัจพจน์:
1.) การลงสู่ Zero New Case เป็นไปได้สำหรับ Alpha ใช้เวลาไม่นานและคุ้มค่าแก่การรอคอย ไต้หวันทำได้ใน 3 เดือนด้วย Lockdown Level 3 โดยที่ยังไม่ได้ใช้ระดับสูงสุดคือ Level 4 เลยด้วย  

2.) ถ้าระบาดวงกว้างแล้วคุมไม่ทัน อัตราการตายจะสูงมากระดับ 5% ไต้หวันล้มเหลวในการคุมการระบาดช่วง 20 วันแรกที่ไม่ยอม Lockdown ทำให้การแพร่ระบาดเป็นวงกว้างไม่ทันตั้งตัว โดยการติดเชื้อตั้งแต่ พ.ค. ประมาณ 15,000 เสียชีวิตถึง 825 คน คิดเป็น 5.5% อัตราการเสียชีวิตสูงมากสำหรับประเทศที่มั่งคั่งแบบไต้หวัน ในขณะที่ Wave ก่อนหน้าที่คุมได้เร็ว ติดเชื้อแค่ 1,130 คน เสียชีวิต 12 คน คิดเป็นแค่ 1% 

3.) Time Constant ของกราฟ %Increase ในการลงสู่ Zero New Case คือ 9.1 เท่ากับที่จีนและไทยเคยทำไว้ใน Wave ของไวรัสอู่ฮั่น หมายถึงการ Lockdown จริงจังยังมีประสิทธิภาพมากกับ Alpha 

บทพิสูจน์ความจริงความลวงในประเทศไทย:
ประเทศไทย ประชากรอายุ 15-64 ปี มี 70.7% ส่วนไต้หวัน ประชากรอายุ 15-64 ปี มี 71.96 % มีโครงสร้างประชากรคล้ายกัน

ปัญหาที่ 1.) ตัวเลขรายงานผู้ติดเชื้อต่ำกว่าความจริงมาก? ของจริงน่าจะติดเชื้อระดับ 5-6 ล้านคนแล้ว?  
>> เฉลย: ถ้ามีการติดเชื้อที่ Undetected ขนาดนั้น ก็จะเป็นการระบาดไปทั่วที่ไม่ได้ควบคุม จะมีอัตราการตายที่มากกว่า 5% คือมีคนตายระดับมากกว่า 300,000 คนภายใน 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่าคงไม่ใช่ เพราะคงเก็บศพไม่ทันแน่นอน จะต้องเป็นภาพของศพเกลี่อนทุกมุมถนน 

ปัญหาที่ 2.) เราอาจจะเข้าใกล้ Herd Immunity แล้วคือติดเชื้อ 30 ล้านคนภายในปีนี้? และที่เหลือก็คือด้วยวัคซีน เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตัวอื่น ๆ 
>> เฉลย: ถ้าติดเชื้อ 30 ล้านคนภายใน 3-4 เดือน ก็คือจะตายกัน 1,500,000 คนขึ้นไป ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่าเกิดขึ้นไม่ไหวแน่ และไม่มีไข้หวัดใหญ่ธรรมดาใด ๆ จะฆ่าเราได้เกลื่อนขนาดนี้ 

ปัญหาที่ 3.) ตายด้วยอุบัติเหตุมากกว่า คนจะอดตาย ฆ่าตัวตายมากกว่า จะกลัวโควิดกันมากเกินไปมั้ย เปิดเศรษฐกิจไปเลย Herd Immunity ไปเลยไม่ต้องรอวัคซีน?
>> เฉลย: ต้องจำไว้ว่าอัตราการตายจะคือ 5% โดยที่เกิดจากการใช้ชีวิตปกติ คุณอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ออกไปขับรถซิ่งคุณก็ตายได้ คุณไปกินข้าวในร้านอาหารคุณก็ตายได้ คุณไปทำงาน ไปเดินห้างก็ตายได้ ไวรัสเลือกคุณให้ตายไม่ใช่คุณเลือกที่จะเสี่ยงหรือจะจบชีวิตตัวเอง และจะตายกันมากกว่าเยอะถ้าเล่น Herd Immunity แบบไม่ใช้วัคซีน

บทสรุป
ปัญหาที่ 4.) บุคลากรสาธารณสุขไทย และระบบสุขภาพของไทยเอาไม่อยู่?

>> ต้องบอกตามตรงว่า ประเทศที่ตัวเลขการระบาดมาถึงจุดนี้แล้วและมาเร็วขนาดนี้ แต่ยังสามารถรักษาอัตราการเสียชีวิตไว้ที่ระดับ ต่ำกว่า 1% ได้นี่คือหายากมาก 

เรามีอัตราการเสียชีวิตต่ำมากทั้ง ๆ ที่การระบาดเกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน 2-3 เดือน ขณะที่ไต้หวันซึ่งมีคุณสมบัติทางสังคมหลาย ๆ อย่างคล้ายเรา มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 5.5% ทั้งที่การระบาดไม่มากเท่าเรา 

เราต้องรับรู้จริง ๆ นะครับว่า ถ้าบุคลากรสาธารณสุขไทย ไม่ทุ่มเทสุดตัวขนาดนี้ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน รวมทั้งประชาชนทั่วไปไม่มากขนาดนี้ ไม่มีทางที่เราจะช่วยผู้คนเอาไว้ได้มากมายหลายหมื่นชีวิตแบบนี้แน่นอน 

ไม่มีข้อเฉลยใดที่จะสำคัญไปกว่าข้อที่ 4 นี้อีกแล้วครับ มันสำคัญมากที่เราต้องรู้ และต้องขอบคุณพวกเขาจริง ๆ ครับ ซึ่งพวกเขายังไม่ได้พักกันเลยตลอด 4 เดือนแล้ว 

>> และคำขอบคุณที่ดีที่สุด คือ อย่าเพิ่งรีบออกจากบ้านไปเสี่ยงรับเชื้อเพราะอดใจไม่ไหวแล้ว

>> ขอให้อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่าครับ อีกไม่นานเกินรอครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/100000921874426/posts/6379240792116587/

'หมอยง' แนะ เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง-ตั้งครรภ์ เผยเริ่มคิดสูตรเข้ม 3 สู้เชื้อกลายพันธุ์

นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Yong Poovorawan' ระบุว่า... 

จากการระบาดของสายพันธุ์ Delta กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว 

ประเทศที่ฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก 80 เปอร์เซ็นต์ในผู้ใหญ่แล้วเช่น อิสราเอล ซึ่งมีประชากรเพียง 9 ล้านคน ก็มีผู้ป่วยต่อวันเป็นพันและเข้าสู่หลักหมื่นแล้ว เมื่อเปรียบเทียบต่อประชากรแล้ว มากกว่าประเทศไทยเสียอีก 

ในอเมริกาเอง ก็มากกว่าแสนต่อวันแล้ว อัตราการเสียชีวิตลดลง ก็ยังวันละประมาณ 1,000 จากข้อมูล CDC’s COVID Data Tracker วันที่ 2 กันยายน มีผู้ป่วยใหม่ 153,728 คน เสียชีวิต 1,209 ราย

ประเทศไทยเองก็เป็นสายพันธุ์ไวรัส Delta เกือบทั้งหมด มาเป็นเดือนแล้ว 

วัคซีนที่ใช้อยู่ในโลกนี้ จะลดประสิทธิภาพในการป้องกันลง แต่ยังสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ และลดอัตราการเสียชีวิต

ขณะนี้ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เราจึงต้องรีบให้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยง และสตรีตั้งครรภ์

เรายังมีความหวังว่า ถ้าอัตราการให้วัคซีนเป็นอย่างขณะนี้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราก็สามารถที่จะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ 

ทีมของเรายังมุ่งมั่นในการทำการศึกษาวิจัย การใช้วัคซีนตามทรัพยากรที่เรามีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

การศึกษาวิจัยขณะนี้ กำลังศึกษาว่าจะให้เข็มที่ 3 อย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด และใช้ทรัพยากรที่น้อยที่สุด ที่จะป้องกันสายพันธุ์ที่เปลี่ยนไป 

เพื่อเตรียมรองรับการให้วัคซีนเข็มที่ 3 ที่จะต้องใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน

ขอโทษด้วยที่หายไปนาน เพราะไปมัวเก็บขยะอยู่

#หมอยง


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=6228387063870525&id=100000978797641

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม EEF เสนอกุญแจสำคัญ 3 ดอก สู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนภายหลังโควิด-19 

ตามเวลาประเทศไทย (ซึ่งตรงกับเวลา 18.08 น. ของเมือง Vladivostok) ที่มหาวิทยาลัย Far Eastern Federal เมือง Vladivostok สหพันธรัฐรัสเซีย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม Eastern Economic Forum (EEF) ครั้งที่ 6 ในช่วงการประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ภายใต้หัวข้อ “Through crisis towards rejuvenation” A search for ways of growth in a post-pandemic period ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมการประชุม EEF ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างผู้นำร่วมกันหาแนวทางสู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ทางออกจากวิกฤตโควิด-19 ที่หลายประเทศกำลังเผชิญรวมทั้งไทยคือ การที่ทุกประเทศสามารถเข้าถึงและมีการกระจายวัคซีนได้อย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำและเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะของโลก และขอให้ประเทศที่มีวัคซีนเพียงพอแล้ว แบ่งปันและเร่งกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคโดยเร็ว  
 
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับประชากรในประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรอย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนชนิดต่าง ๆ ซึ่งบางโครงการอยู่ในขั้นตอนทดลองในมนุษย์ มีผลที่น่าพอใจ จึงเห็นได้ว่า ไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางการกระจายวัคซีนของภูมิภาค 
 
จากสถานการณ์โควิด-19 IMF และธนาคารโลกได้รายงานตัวเลขคนยากจนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 100 ล้านคนในปี 2020 ตอกย้ำความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นและจะดำเนินต่อไปถึงยุคหลังโควิด-19 โดยเฉพาะประเด็นช่องว่างของการพัฒนาและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทุกประเทศจึงต้องร่วมกันยึดมั่นระบบพหุภาคีนิยมและเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันให้มากขึ้นบนพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอมุมมองของไทยเกี่ยวกับกุญแจสำคัญ 3 ดอก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ภายใต้วิถีปกติใหม่ ดังนี้ 
 
กุญแจสำคัญดอกแรก คือ การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการรักษาสมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความเท่าเทียมทางสังคม และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยไทยได้ประยุกต์ใช้ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ Bio-Circular-Green Economy (BCG) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการต่อยอดความเข้มแข็งของไทยในด้านเกษตรกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งไทยยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกประเทศ 
 
กุญแจสำคัญดอกที่สอง คือ การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมและแรงงาน รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ห่วงโซ่อุปทานระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม MSMEs โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนการค้ารูปแบบเดิมให้เป็นการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะการปรับกฎระเบียบของภาครัฐให้รองรับการค้าแบบดิจิทัล การปรับโครงสร้างภาคแรงงานที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ได้ ซึ่งรวมถึงการ upskill และ reskill ตลอดจนเร่งจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคเพิ่มเติม รวมถึงสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ ไทยจะเดินหน้าหารือกับประเทศสมาชิก EAEU รวมทั้งรัสเซีย และคาซัคสถานต่อไป 
 
กุญแจสำคัญดอกที่สาม คือ การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนแนวความคิดในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกัน ซึ่งไทยอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างดีเลิศ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ทันสมัย พร้อมเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยส่งเสริม นอกจากนี้ การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไทยได้ดำเนินโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus พร้อมเสนอให้มีการหารือเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติด้านการเดินทาง และการใช้เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกและกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่จะมีขึ้นในอนาคต 
 
วิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง การจะกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมได้นั้น ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจอย่างจริงจังในทุกระดับซึ่งไทยได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ทั้งในกรอบ UN และองค์กรระดับภูมิภาค โดยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC ในปีหน้า ไทยจะผลักดันวาระที่มุ่งไปสู่การฟื้นตัวหลังโควิด-19 โดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว และการส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งต้องขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยหวังจะขับเคลื่อนภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีภูมิคุ้มกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top