Friday, 4 July 2025
Hard News Team

'ชัยชนะ'  ชี้ 'ณัฐวุฒิ' อ้างเรื่องโควิดทำให้คนไม่ออกมาชุมนุมไล่ 'บิ๊กตู่'  เพื่อกลบเกลื่อนเป้าหมายทางการเมืองของตัวเอง - แนะควรเอาเวลาเดินหน้าหาสมาชิกพรรคฯ เพื่อลงเลือกตั้ง  ดีกว่าสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อ้างว่า การชุมนุมที่แยกอโศก เมื่อวานนี้ (5 กันยายน)  ประชาชนไม่สามารถมาชุมนุมแสดงพลังขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด - 19 ว่า ถือเป็นเรื่องที่ตนคิดไว้แล้วว่า นายณัฐวุฒิ จะต้องหาข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนสาเหตุที่แท้จริง เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วที่คนออกมาชุมนุมกับนายณัฐวุฒิ และเครือข่าย ไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้น เนื่องจากว่า คนส่วนใหญ่ต่างรู้ทันแล้วว่า นายณัฐวุฒิ ต้องการมวลชนเพื่อเป็นเงื่อนไขและข้อต่อรองทางการเมืองของตนเอง และการไปจัดกิจกรรมย่านใจกลางธุรกิจเหมือนที่เคยทำเมื่อปี 2553 นั้น สะท้อนว่า นายณัฐวุฒิ ยังใช้วิธีการเดิมๆ ที่จะก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

เพื่อหมายของตนเอง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของผู้คนที่ทำมาหากินและดำเนินธุรกิจอยู่ในย่านอโศก รวมทั้ง คนที่เคยหลงลมปากของนายณัฐวุฒิ คงเข็ดขยาดหากจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต เพื่อแลกกับโอกาสทางการเมืองของผู้อื่น ดังนั้น ตนทราบมาว่า นายณัฐวุฒิ ได้จับมือกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง และนักการเมืองบางส่วน เพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้น แทนที่เอาเวลาที่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง นายณัฐวุฒิ ควรเดินหน้าเพื่อหาคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมเป็นสมาชิกพรรคฯ เพื่อส่งตัวแทนลงแข่งขันในสนามการเลือกตั้ง มากกว่าการใช้มวลชนลงถนนเพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองออกมาใช้มาตรการตามกฎหมายเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อย เพราะเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้น 

"ยอมรับว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลและทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้นำเสียงสะท้อนเหล่านั้น มาเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอปัญหาและนำมาแก้ไขเพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพึงพอใจมากที่สุด ทั้งนี้ การที่นายณัฐวุฒิ ออกมาอ้างเรื่องการระบาดไวรัสโควิด - 19 ทำให้คนออกมาน้อยนั้น ก็ต้องถามกลับไปว่า นายณัฐวุฒิ ได้จัดกิจกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและการควบคุมโรคระบาด ซึ่งสร้างความไม่สบายใจต่อผู้เข้าร่วมหรือไม่ หรือจำนวนคนไม่พอที่จะสร้างเงื่อนไขต่อรองเพื่อประโยชน์ของตนเอง จึงต้องออกอาการหงุดหงิดถึงปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้น ดังนั้น ผมเห็นว่า หากนายณัฐวุฒิ ต้องการมวลชนที่สนับสนุนแนวคิดของตนเองจริงๆแล้ว ควรดำเนินการหาสมาชิกพรรคฯ ที่นายณัฐวุฒิ ร่วมก่อตั้งกับนายจาตุรนต์และบุคคลอื่นๆ และคัดเลือกผู้เหมาะสมลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคฯ จะดีกว่าการหาวิธีการเพื่อสร้างภาพว่า มีคนมาร่วมกิจกรรมกับนายณัฐวุฒิ และเครือข่าย เพราะนอกจากมีคนจับได้ไล่ทันแล้ว นายณัฐวุฒิ ก็ต้องเหนื่อยที่จะต้องหาเหตุผลอื่นๆ มากลบเกลื่อนความล้มเหลวของนายณัฐวุฒิ ที่ไม่สามารถระดมคนเพื่อเป้าหมายของตัวเองได้"  นายชัยชนะกล่าว

“โฆษก ปชป.” เชื่อมั่น “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ด้วยยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” มุ่งมั่นทำประโยชน์ให้เกษตรกรและพี่น้องประชาชนทุกคน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการชี้แจงของรัฐมนตรีของพรรคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา สามารถชี้แจงได้ดี มีเหตุผล และไม่ปรากฎเรื่องทุจริตใดๆ ซึ่งได้ทำให้พี่น้องประชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงาน ด้วยความมุ่งมั่น คิดถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและพี่น้องเกษตรกรเป็นที่ตั้ง  โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบภายใต้วิสัยทัศน์ “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” ใช้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”

ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ จับมือกันทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตร รวมถึงเป็นประเทศที่มีอาหารคุณภาพของโลก มีหลักสำคัญเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและผู้ประกอบรวมถึงพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านการค้าให้กับประเทศ

ทั้ง 2 กระทรวงมีจุดหมายร่วมกันคือการสร้างฐานข้อมูลเพื่อให้มีการใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกัน มีระบบฐานข้อมูลกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และควบคุมความสมดุลของจำนวนและคุณภาพการผลิตควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วนมากที่สุด โดยจะเห็นว่าพืชผลการเกษตรในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีการปรับปรุงพัฒนาระบบการผลิตและทำการตลาด มีตัวเลขปรากฏผลเป็นไปด้วยดี

นายราเมศ ยังกล่าวต่ออีกด้วยว่า การร่วมกันทำงานของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นความตั้งใจที่ยึดเอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศเป็นหลักสำคัญ โดยสินค้าเกษตรที่พี่น้องเกษตรกรผลิต จากการดูแลของกระทรวงเกษตรฯ จะได้ส่งต่อไปยังช่องทางที่ก่อให้เกิดรายได้โดยกระทรวงพาณิชย์ที่จะดูแลเรื่องการตลาด ทั้งนี้ก็เชื่อมั่นว่าหลัก “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

ปชป. นัดประชุม ส.ส. เตรียมลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสาม

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนได้นัด ส.ส. ของพรรครวมทั้งรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องเข้าประชุมร่วมกันในวันอังคารที่ 7 ก.ย. นี้ เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) ซึ่งเป็นการพิจารณาเพื่อลงมติในวาระที่สาม

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ เราได้พิจารณาให้ความเห็นชอบตั้งแต่วาระรับหลักการ จนถึงการพิจารณาในวาระที่สอง ไม่ใช่เพราะเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเป็นผู้เสนอ และผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระรับหลักการเท่านั้น แต่เป็นเพราะการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะช่วยทำให้รัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น

ถึงแม้การแก้ไขครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมองโดยทั่วไปแล้วดูเหมือนว่า ส.ส. แก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของประชาชนเพราะการเลือกตั้งแบบเดิมจะใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เลือกทั้ง ส.ส. เขต และ ส.ส. บัญชีรายชื่อไปพร้อมกัน แต่เมื่อแก้ไขแล้วจะใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือ เลือก ส.ส. เขต 1 ใบ เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือเลือกพรรคอีก 1 ใบ เท่ากับเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อจำกัด

นอกจากนั้นยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเพิ่มมากขึ้น และทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งตามไปด้วย

ส่วนที่บางฝ่ายวิตกว่าการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จะทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้เปรียบว่าเราไม่ควรมองการได้เปรียบเสียเปรียบเฉพาะการเลือกตั้งแต่ละครั้ง แต่เราควรมองเรื่องของหลักการพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยระยะยาวมากกว่าการคิดถึงประโยชน์จากการเลือกตั้งเฉพาะหน้าเท่านั้น

สำหรับการที่พรรคการเมืองบางพรรคจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำได้หรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่จะยื่นเรื่องให้วินิจฉัย แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่มีอะไรขัดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

“โฆษกรัฐบาล” ขอบคุณแรงหนุน ”บิ๊กตู่” แจง นายกฯ ไม่อยากเห็นแบ่งแยก-เกลียดชัง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมขอบคุณทุกฝ่าย โดยเฉพาะขอบคุณประชาชนทั่วประเทศที่ต่างให้กำลังใจผ่านช่องทางต่างๆสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ทำงานต่อไป

โดยจะ เร่งทำงานเพื่อให้ประชาชนปลอดโรค ปลอดภัย ซึ่งเห็นได้จากจำนวนตัวเลขผู้หายป่วยที่มีมากกว่าผู้ติดเชื้อใหม่รายวันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดการฉีดวัคซีนของไทยก็สะสมไปแล้วกว่า 36 ล้านโดส รวมทั้งจะเริ่มกระจายชุดตรวจ ATK จำนวน 8.5 ล้านชุดให้กับประชาชนฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.นี้ เป็นต้นปีด้วย แต่เมื่อตัดภาพมาที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งจัดแคมเปญให้ประชาชนมาลงชื่อ “รวมพลไล่ประยุทธ์” โดยระบุว่ามีล้านกว่าคนมาลงชื่อไว้นั้น ยังน่าสงสัยว่าสามารถที่จะยืนยันตัวตนได้จริงหรือไม่

นายธนกร กล่าวว่า เพจรักลุงตู่ ที่มีการลงคะแนนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์กว่า 5.1 ล้านคนด้วยว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดทำ ซึ่งที่ผ่านมาตนเคยแจ้งแล้วว่า ไม่ต้องการเห็นภาพความแตกแยก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงพลังความสามัคคีของคนในชาติ ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนบ้านเมืองไปสู่จุดหมายร่วมกัน ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงไม่ต้องการให้เกิดกระแสแบ่งแยกหรือความเกลียดชังแม้กระทั่งในโลกออนไลน์ก็ตาม

“แรมโบ้” เย้ย “เต้น - บก.ลายจุด” คนร่วมชุมนุมน้อยเพราะคนรู้ไส้ รู้พุง ไม่ตกเป็นเครื่องมือคนที่สู้แล้วรวย สู้เพื่อนายใหญ่ทางไกล สู้เพื่อรับโบนัส เดินตามแกนนำสามนิ้วที่คิดล้มสถาบัน เตรียมแจ้งความเอาเข้าคุกเพิ่มที่สน.ทองหล่อและสน.บางเขน วันที่ 8 กันยายนนี้

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำ นปช.ไม่ยอมรับสิ่งเกิดขึ้นในสภาฯ และนายกฯไม่ใช่นายกฯอีกต่อไป พร้อมกับ ยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องโรคระบาด ที่เป็นข้อจำกัดในการชุมนุม การปักหลักค้างแรม โดยนายเสกสกลระบุว่าก่อนหน้านี้ตนเองเคยเตือนนายณัฐวุฒิและนายสมบัติไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ควรที่จะออกมาเคลื่อนไหวในขณะที่มีการระบาดเชื้อโควิด-19 เพราะอาจจะเกิดคลัสเตอร์ขึ้นมาใหม่และเป็นภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งแกนนำอย่างนายเพนกวิน นายอานนท์ นายไมค์ นส.รุ้ง ปนัสยา และอีกหลายคนก็เคยติดเชื้อโควิดจากการชุมนุมมาหมดแล้ว ทำให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่ผู้ชุมนุมกว้างมากขึ้น

การที่นายณัฐวุฒิและนายสมบัติออกมากังวลว่าโรคระบาดเป็นข้อจำกัดในการชุมนุม และไม่สามารถการค้างแรมได้ ซึ่งตนเองมองว่าเหตุผลของนายณัฐวุฒิและนายสมบัติฟังไม่ขึ้น แท้ที่จริงควรออกมาพูดมาคิดก่อนการออกมาชุมนุม ตนและทุกฝ่ายก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ควรออกมาชุมนุม การที่ประชาชนไม่ร่วมการชุมนุมเหตุผลเพราะให้ความร่วมมือต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาโควิดและรู้ว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และมวลชนส่วนใหญ่รู้เช่นเห็นชาติคนพวกนี้ว่า นายณัฐวุฒิและนายสมบัติเดินตามม็อบ 3 นิ้วที่คิดล้มล้างสถาบันเบื้องสูง ยิ่งนายณัฐวุฒิมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยเข้าร่วมชุมนุมปี53 รู้ไส้รู้พุงหมดแล้วว่าหากเข้าร่วมการชุมนุมจะตกเป็นเครื่องมือของนายณัฐวุฒิที่หลอกให้ออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่อนายใหญ่ ที่อยู่ต่างประเทศและสู้เพื่อพรรคการเมืองของนายใหญ่ หากสำเร็จก็จะได้โบนัสก้อนใหญ่ เหมือนที่เคยได้รับมาแล้วสุดท้ายก็ทิ้งมวลชนคนเสื้อแดง ที่ร่วมต่อสู้ไม่สนใจใยดีเหมือนที่เคยก้าวข้ามศพมวลชนไปเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์อะไรเลย หวังเพื่อผลประโยชน์ตนเองมากกว่า มวลชนจึงไม่เชื่อถือ เพราะผลจากการกระทำในปี 53 เป็นเครื่องชี้วัดอยู่แล้วว่าสู้เพื่ออะไรกันแน่ จากคำว่า ไพร่กลายไปเป็นรัฐมนตรี เดินทางไปไหนมีรถตำรวจนำหน้า เสื้อไพร่สีแดงไม่ควรนำมาใส่หลอกลวงมวลชน เพราะไม่มีใครเชื่อถือแล้ว

ส่วนการที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด โพสต์ปลุกระดมมวลชนว่า ถ้าประชาชนล้าก่อน พล.อ.ประยุทธ์จะปิดเกม ตนเองก็มองว่าขณะนี้บ้านเมืองอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และนายกฯก็คงไม่ได้ไปปิดเกมใคร ซึ่งตนเองมองว่าคนที่จะเปิดเกมตัวเองน่าจะเป็นตัวนายณัฐวุฒิ และนายสมบัติมากกว่า เพราะยิ่งเคลื่อนไหวคนเข้าร่วมชุมนุมก็ยิ่งน้อยลงนั้นเป็นเพราะมวลชนรู้ทันหมดแล้วและนายสมบัติก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคดี เพราะการเคลื่อนไหวผิดทั้ง พ.ร.ก ฉุกเฉิน พ.ร.บ. โรคติดต่อ ผิดกฎหมายอาญาม.116 และอื่นๆอีกหลายยกระทง

ซึ่งตนและทนายความจะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายณัฐวุฒิ นายสมบัติและพวกเพิ่มเติม ที่สน.นางเลิ้ง สน.บางเขน ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เพราะความผิดของคนพวกนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ บ้านเมืองต้องยึดกฎหมาย ใครทำผิดต้องเอาเข้าคุกให้ได้ ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเด็ดขาด"

ปันน้ำใจส่งข้าวกล่องปันอิ่ม ช่วยคนเลี้ยงช้างอโยธยา หลังรายได้วูบหายช่วงวิกฤติโควิด ขณะที่พันธมิตรจิตอาสา เดินหน้าข้ามจังหวัดช่วยคนในพื้นที่สีแดง โดยไม่มีวันหยุด

จากเหตุการณ์ช้างพังคำหล้าอายุ 89 ปี ช้างจากปางช้างอโยธยา ต.ไผ่ลิง  อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ล้มป่วยจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ จึงต้องใช้เชือกรัดที่ลำตัว แล้วคล้องกับรถแม็คโครขนาดใหญ่ ของเทศบาลเมืองอโยธยา เพื่อช่วยพยุงดึงร่างให้ลุกขึ้นยืนทรงตัวอยู่ได้ สาเหตุขาดอาหารกินที่ไม่เพียงพอ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับมีอายุมาก ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

วันที่ 5 กันยายน​ 2564 ที่หมู่บ้านช้างอโยธยา นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายเกียรติยศ ศรีสกุล ประธานชมรมช่างภาพสื่อมวลชนพระนครศรีอยุธยา และผู้แทนมูลนิธิสหชาติ นำข้าวกล่องพร้อมทาน จาก ”ครัวปันอิ่ม” พร้อมหน้ากากผ้า และสเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ มอบแก่ควาญช้าง และครอบครัว เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ได้มีแรงต่อสู้ที่กับวิกฤติโควิด-19 

น.ส.บุณยาพร บุญเกิด พนักงานต้อนรับหมู่บ้านช้าง เปิดเผยว่า ช่วงสถานการณ์ Covid-19 ระบาด ตลาดน้ำอโยธยา ปิดให้บริการ ทำให้ผู้ดูแลช้างไม่มีรายได้ นักท่องเที่ยวไม่ได้มาเที่ยว ขาดทุนทรัพย์ในการซื้ออาหารมาเลี้ยงช้าง แต่ยังมีผู้ใจบุญนำอาหารมาเลี้ยงอยู่บ้าง ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากช้างมีหลายเชือก ต้องนำอาหารมาแบ่งปันกัน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พังคำหล้า ได้รับอาหารไม่เพียงพอ และขาดสารอาหาร ทำให้หมดแรงและล้มป่วยลง และนอกจากช้างแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือ คนเลี้ยงช้าง หรือ ควาญช้าง ที่มีครอบครัวอยู่หลายคน ขาดรายได้ จึงวิงวอนผู้เกี่ยวข้องช่วยลงมาดูพวกเขาด้วย  

ด้าน นางสอน คำสุข อายุ 85 ปี เจ้าของช้างพังคำหล้า กล่าวว่า วันนี้พังคำหล้าได้ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองได้ หลังจากที่ได้รับอาหารจากผู้ใจบุญที่นำมาบริจาคให้ได้กิน ช่วงโควิดจะนำพังคำหล้าไปปล่อยให้กินหญ้าซึ่งได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จนร่างกายผอมโซล้มป่วยลง พรุ่งนี้ได้รับแจ้งจะมีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะมาตรวจเช็คร่างกายให้

วันเดียวกัน ที่ศาลาประชาคม หมู่ 3 ต.แคตก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.) สถาบันพระปกเกล้า นำโดย นางถวิล เพิ่มเพียรสิน อดีตรองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นางสาวพรทิพย์ เตชะสมบูรณา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือ เวิลด์เมดิคอลซัพพลาย จำกัด นายภูริวัจน์ ปุณยวุฒิปรีดา กรรมการผู้จัดการ บจก.เอสพีวี ปิโตรเลียม นายประเสริฐ เพิ่มเพียรสิน และนางสุกัญญา จรรยา ผู้จัดการ มูลนิธิสหชาติ ร่วมส่งมอบข้าวกล่องพร้อมทาน “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ของเครือซีพี พร้อมถุงยังชีพส่งความสุขและความห่วงใย  อาทิ ข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำปลา มาม่า ไข่ น้ำดื่ม หน้ากากผ้า สเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ และเครื่องตรวจวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มอบแด่ชาวบ้านชุมชนหมู่ 3 ต.แคตก ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด โดยมีนายแพทย์ ศุภกร จิบสมานบุญ ผู้อำนวยการศูนย์โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแคตก พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านร่วมรับมอบ 

ทางด้านนายแพทย์ศุภกร จิบสมานบุญ เปิดเผยว่า ตำบลแคตกมีประชากร 1,200 คน และมีผู้ติดเชื้อโควิด 40 คน โดยได้ทำการรักษาจนหาย แล้วกลับไปทำงานบ้างแล้ว สำหรับมาตรการป้องกันได้เชิญชวนประชาชนทุกคนไปรับการฉีดวัคซีน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนกันมากแล้ว อีกทั้งยังรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักการ์ดอย่าตก กินร้อนช้อนกลาง และขอขอบพระคุณ ผู้ใหญ่ใจดี กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา ที่นำสิ่งขอมาแบ่งปันความสุขถึงท้องถิ่นห่างไกลในครั้งนี้ 

​​​​​​

กล้าพอไหม? ถามใจ​ 'ลุง​ -​ ลุง​ -​ ลุง​'​ ดู!!

หลังละครโรงใหญ่ของบรรดาผู้ทรงเกียรติริมน้ำเจ้าพระยา​ จบการแสดงลง...

ผลตอบรับใน 6 ตัวแสดงหลักฟากผู้คุ้มกฎหมายประเทศ​ ก็ได้รับความไว้วางใจไปตามบทที่ควรจะเป็น...

อาจจะมีแต้มรับรองหล่นหายไปมากบ้าง น้อยบ้าง ต่างกรรมต่างวาระ แต่ก็ไม่ได้มาจากคมเขี้ยวฝ่ายค้าน​ช่วยเปิดแผลอะไรใด ๆ นอกจากมาแสดงลิเกแข่งกับตัวแสดงหลักทั้ง 6 คน

ถึงกระนั้น​ เสียงโหวตในครั้งนี้​ ก็มีคำถามให้หวนมองไปถึงท่าทีของตัวแสดงหลัก โดยเฉพาะเจ้าของคณะที่เกือบหงายหลัง​ เพราะมีทีมงานเล่นไม่ซื่อ แอบไปขายตั๋วผีหน้างานดักซะงั้น!!

เหตุการณ์ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยเฉพาะเรื่องของการโหวตไว้วางใจนั้น​ ไม่ใช่สิ่งผิดคาด!!

หากไม่มีใครคิดคดหยิบตั๋วหลักหน้าเวทีไปขายเพื่อต่อรองอะไรบางอย่าง ? หรือพูดง่าย ๆ​ ก็คือมีข่าวการล็อบบี้ผลโหวตเพื่อโค่นนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยคนในพรรคพลังประชารัฐ

ตัวละครที่วันนี้เชื่อว่าคงไม่ลับอะไรมากนักแล้วอย่าง 'แก๊ง 4 ช.'​ หรือ​ 4 รัฐมนตรีช่วย​ จึงได้ฉายแสงเต็มสตรีม นำโดยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, นางนฤมล ภิญโญศีลวัฒน์ รมช.แรงงาน, นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม โดยสมาชิกกลุ่ม4ช. อีกคนคือ สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่ไม่ได้ร่วมกันก่อการในครั้งนี้

ว่ากันว่า​ เหตุของเหตุ​ มาจากผู้กองธรรมนัสอยากให้เกิดความสั่นสะเทือน​ จนสามารถเชื่อมคนแดนไกลเจ้าของพรรคฝ่ายค้านตัวจริงอย่าง Tony ลูกพี่เก่าให้มาร่วมสังฆกรรมด้วย

การสั่นคลอนนี้​ ต้องทำกันอย่างเต็มกำลัง และมั่นใจว่าอย่างไรเสีย​ ต้องต่อรองได้​ เพราะอย่างน้อยตนก็ถือว่าเป็นผู้ขับเคลื่อนพรรค​

ทีมงานของตนก็เป็นเหรัญญิกพรรค เป็นลูกรักของพี่ใหญ่หัวหน้าพรรคอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

การจะอ้างชื่อพี่ใหญ่แล้วเรียก ส.ส. มาเสี้ยม หรือจะมากะเกณฑ์ให้เห็นตามก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะตัวผู้กองธรรมนัสเอง​ ก็เชี่ยวชาญการดำเนินงานทางลับ ทางล็อบบี้ มีผลการทำงานลุล่วงมานับไม่ถ้วน เป็นที่วางใจถึงกับตั้งเป็นเลขา ฯ พรรค

ฉะนั้นเมื่อมีการจัดแสดงในโรงละครโรงใหญ่อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นมาได้​ การจะล้มเวทีด้วยยอดขายบัตรไม่ถึงเป้า​ ก็น่าจะไม่ยาก และน่าจะทำให้ตัวละครหลักถูกเปลี่ยนตามบทที่ตัวเองอยากให้เป็น

แต่ผู้กองธรรมนัส​ คงลืมไปว่าถึงแม้ตัวจะเป็นหน่วยจารชน เป็นเลขา ฯ ผู้มีอำนาจเต็ม แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าของคณะ ไม่ใช่หัวหน้าพรรค แค่การอ้างชื่อพี่ใหญ่หัวหน้าพรรคข้ามหัว ส.ส. อีกหลายคนในพรรคไปเพื่อเล่นงาน รมต.ของพรรค ไปเล่นงานเป็นน้องรักของพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ พี่ใหญ่แห่ง 3 ป. พี่ใหญ่ของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “ย่อมจบไม่สวย”

การโต้กลับของอดีตผู้นำทัพที่ชื่อ “บิ๊กตู่” จึงเกิดขึ้น!!

แม้จะมีพรรษาทางการเมืองเพียงไม่กี่ปี​ แต่ถ้าจะรบด้วยแบบไม่ระดมสมองระดับเสธ.มาออกแผน ไม่มีทางเอาอดีต ผบ.ทบ.ชื่อ “บิ๊กตู่” ลงได้แน่

นี่ยังไม่นับความอหังการที่แก๊ง 4 ช. ไปลูบคม “บิ๊กป๊อก” พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประมาณว่าข้ามีดี แบ็กข้าไม่ว่า ท้าชนได้ทุกคน

สรุปงานนี้ผู้กองเจอของแข็ง นายกฯ ประยุทธ์ โต้กลับแบบนิ่ง ๆ ไม่โวยวาย ไม่บุ่มบ่าม ปิดม่านไว้หลายชั้น แสดงหน้าม่านไปตามบทผู้ถูกอภิปราย จนหลายคนเดาไม่ออกว่านายกฯ จะมาไม้ไหน

ทางโต้กลับของนายกฯ คือ​ การไปเจรจากับรุ่นใหญ่จนจบ จับมือกับเหล่าตัวแสดงเอกผู้สร้างคณะ แถมประกบจบทุกเรื่องกับกลุ่ม ส.ส.ผู้ไม่แปรพรรคและล็อกบทป้องกันกลุ่ม ส.ส.ผู้คิดเป็นอื่นจบทุกอักขระ

ปิดท้ายด้วยตอนพิเศษจากเจ้าของคณะอย่าง “บิ๊กป้อม” ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ด้วยบทเด็ดขาดขึงขังก่อนการประชุมร่วมส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐว่า “ปัญหาในพรรคไม่มีอะไร นายกฯ ไปผมก็ไป” เอวังฯ ละครก็เริ่มแสดงต่อโดยที่บรรดาผู้ต่อรองตัวแสดงได้แต่มองตามตาปริบ ๆ เตรียมรับกรรมที่ได้ก่อขึ้น

จากแหล่งข่าวแว่วมาว่าทีมงาน 4 ช. นำโดยผู้กองธรรมนัสกำลังเตรียมการเพื่อไปขอขมากับ​ ”บิ๊กตู่”

แต่เอาเข้าจริง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ 4 ช. ไปปรามาสความแนบแน่นของ 3 ป.แห่งบูรพาพยัคฆ์ คงคิดว่าแค่ความสัมพันธ์เก่าก่อนน่าจะไม่มีผลเท่าไร

เมื่อมาเล่นการเมืองแล้ว ผยองว่าทีมตัวเองและพวกก็เป็นเสาหลักของพรรค​ คุมทั้งส.ส. ประสานกลุ่ม หาเงินและคุมขุมกำลังพรรคเหนือกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในพรรค

นี่แหละอยากเป็นตัวละครหลักจน “ลืม”

ลืมไปว่าตัวละครหลักตัวอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้เล่นละครในครั้งนี้​ ก็ยังอยู่กันครบ โดยเฉพาะ “กลุ่มสามมิตร” และคงลืมไปจริง ๆ ว่าถึงแม้ตัวผู้นำ 4 ช. จะร่วมสร้างพรรคกันมา แต่คนอื่น ๆ ในแก็งก็แค่ตัวประกอบที่ถูกดึงมาทีหลัง

บางคนก็เคยหักกับตัวแสดงหลักก่อนหน้าระดับรัฐมนตรีมาแล้ว ซึ่งส.ส. ในพรรคก็พร้อมแทงสวนหากพลาดเหมือนกัน

งานนี้แก๊ง 4 ช.​ เจ็บแน่!! ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพราะตัวแสดงระดับแกนนำผู้ก่อตั้งพรรคยังโดนลบบทบาทการแสดงไปแล้วหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อ.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ นายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.อุตสาหกรรม นายสนธิ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พาณิชย์ เราก็เคยเห็นมาแล้ว

ครั้งนี้คือเรื่องใหญ่ของพรรครัฐบาลที่น่าติดตามกันอย่างยิ่งว่า “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะสวมหัวใจเสือ เถือหนังของบรรดาพวกลักลอบขายตั๋วผี ต่อรองบท เพื่อล้มการแสดงกลางโรงละครอย่างแก๊ง 4 ช.​ หรือไม่ ? และในแบบไหน ? เพราะเชื่อว่าพี่ใหญ่เจ้าของคณะคงเอือมเต็มทน

เรื่องนี้น่าจะไม่ต้องตามกันยาวคงได้คิวลงวิกในเร็ววันนี้แน่นอน

รวมพลังพันธมิตรจิตอาสา ปันน้ำใจ คลายทุกข์ 'ชาวชุมชนคลองเตย-สื่อภาคสนาม' ร่วมสู้ภัยโควิดก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน

(4 ก.ย.​ 64) ที่ลานหน้าสำนักงานมูลนิธิรวมน้ำใจ ถนนพระราม 4 เขตคลองเตย นางสาวสุดทินี แสงดี ประธานชุมชนริมคลองสามัคคี คลองเตย นางมาเรียม ป้อมดี ประธานชุมชนพัฒนาใหม่ พร้อมด้วยคณะกรรมการชุมชน และอาสาสมัครป้องกันภัยเขตคลองเตย ร่วมรับมอบอาหาร "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" เพื่อส่งต่อให้ผู้พักอาศัยในชุมชนได้ปันอิ่ม โดยจัดแบ่งเป็น 3 ส่วน เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชนริมคลองสามัคคี ชุมชนพัฒนาใหม่ และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) เขตคลองเตย  

โดยมี นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นำทีมพันธมิตรจิตอาสา จากองค์กรต่างๆ อาทิ มูลนิธิสหชาติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เว็บไซต์ข่าว จั่นเจา canchaonews.com หนังสือพิมพ์ ดีดี โพตส์นิวส์ ร่วมส่งมอบสิ่งของเครื่องใช้ในการบรรเทาทุกข์ อาทิ ข้าวกล่องปันอิ่มหลากหลายเมนู ขนมครัวซอง หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย พร้อมสเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ 

นางสาวสุดทินี แสงดี เปิดเผยว่า ชุมชนของเรามีผู้พักอาศัย 700 คน ตั้งแต่เกิดการแพร่ระเบิดเชื้อโควิด มีผู้ติดเชื้อ 170 คน และทำการรักษาจนหายดี ปัจจุบันเหลือเพียง 10 คน ส่วนการดูแลเป็นไปตามระบบของสาธารณสุข ขอขอบคุณพันธมิตรจิตอาสา และเครือซีพี ที่ร่วมแบ่งปันห่วงใย มอบความสุขช่วยคลายทุกข์ ให้คนในชุมชนแห่งนี้ 

ด้าน นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า พันธมิตรจิตอาสาเดินหน้าลงพื้นที่ชุมชนต่างๆอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด ในการทำหน้าที่เป็นสะพานบุญ นำสิ่งของเครื่องใช้ ที่ได้รับการสนับสนุนจ อาทิ ขนมครัวซองต์ จากร้าน Susan Croissant เอกมัย สเปรย์ฉีดแลกอฮอล์ กองพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม หน้ากากผ้า มูลนิธิสหชาติ รวมทั้งอาหารพร้อมทานจาก ”น้องเทนนิส” ที่ส่งกำลังใจผ่านข้าวกล่อง “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ผนึกกำลังบริษัทในเครือซีพี และห้างสรรพสินค้า โลตัส ส่งถึงมือผู้ได้รับความเดือดร้อน ผู้ที่ต้องแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อได้มีอาหารที่ดีได้รับประทาน 

นอกจากนี้ พันธมิตรจิตอาสา ยังบรรเทาทุกข์คนสื่อภาคสนามที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มอบสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องตรวจออกซิเจนปลายนิ้วแก่นายสุรเชษฐ ศิลานนท์ ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย และมอบอาหารให้กับคุณยายและหลาน ที่ได้รับความเดือดร้อน ยืนเช็ดกระจกรถเวลาติดไฟแดงบริเวณหน้ากรมศุลกากร

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีทิ้งกระจาดครั้งยิ่งใหญ่ สู้ภัยมหาวิกฤตโควิด-19

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีทิ้งกระจาดครั้งยิ่งใหญ่ สู้ภัยมหาวิกฤตโควิด-19 ยกทัพคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ลงพื้นที่แจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพฯ 

(4 ก.ย.​ 64) ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำพริก เจลแอลกอฮอล์ บรรจุถุงผ้าดิบ พร้อมเงินสดที่ในปีนี้กลุ่มบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด ได้ร่วมบริจาคทำบุญ นำออกแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร (รวม 50 เขต) เขตละ 500 ชุด รวมจำนวน 25,000 ชุด รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 15 ล้านบาท

โดยมี นายชวลิต ตวงสิทธิสมบัติ ประธานบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด นายชาติชาย กุละนำพล ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย นายพันธ์ศักดิ์ เจริญสุข ผู้อำนวยการเขตสาทร นายยุทธนา ป่าไม้ ผู้อำนวยการเขตภาษีเจริญ  พ.ต.อ มนัส รุ่งนาค ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 1  พ.ต.อ.พนม เชื้อทอง ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 2 พร้อมด้วย อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ อาสาสมัครศิลปิน อาสาสมัครกู้ภัย และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวาน ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า ในปีนี้ ด้วยวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่รุนแรง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้เพิ่มชุดเครื่องอุปโภคบริโภคจากปีที่แล้วอีก 10,000 ชุด การแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคในปีนี้ มูลนิธิฯ ได้ประสานงานกับสำนักงานเขตทุกเขต ในการจัดเตรียมสถานที่และชุมชนในพื้นที่ เพื่อจัดระเบียบ ตั้งจุดคัดกรองประชาชนในแต่ละจุดตามหลักการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งจัดกำลังอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในทุกๆ จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ เพื่อเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาในการลงพื้นที่แจกจ่ายสิ่งของ 

งานประเพณีทิ้งกระจาด เป็นงานบุญประเพณีสำคัญของชาวพุทธที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่สมัยพุทธกาลกว่าสองพันปี กำหนดจัดขึ้นในเดือน 7 ตามจันทรคติของจีน เป็นการทำบุญใหญ่ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปแล้วพร้อมกับการแจกทานให้ผู้ยากไร้ เป็นงานบุญที่ครบพร้อมทั้งการทำบุญและทำทาน โดยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้บำเพ็ญบุญประเพณีนี้ต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปีกว่า 80 ปี 

ตลอดระยะเวลากว่า 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ได้ช่วยกันบริจาค และสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศลของมูลนิธิฯ ตลอดมา ทำให้มูลนิธิฯ สามารถขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#ป่อเต็กตึ๊ง ยึดมั่นอุดมการณ์ อยู่เคียงข้างทุกวิกฤต

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง110ปีความดีที่ยั่งยืน

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

'เฉลิมชัย'​ ระบุผลคะแนนไว้วางใจ สะท้อนความเป็นปึกแผ่นของพรรคร่วม วอน!! ให้แก้ไขปัญหาประเทศให้จบไปก่อน ช่วยกันทำให้โควิดเบาลงให้ได้

(4 ก.ย. 64)​ ที่อาคารรัฐสภา​ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจสูงที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า... 

"ก็ต้องถือว่ารัฐบาลได้รับการไว้วางใจทั้งหมด ส่วนคะแนนที่ออกมา ต้องขอไปตรวจสอบคะแนนดูก่อน คิดว่าคะแนนที่ออกมาอย่างนี้ถือว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น และทุกคนผ่านการตรวจสอบครั้งนี้ทั้งหมด" 

ส่วนที่ผู้สื่อข่าวระบุว่า จากการที่นายเฉลิมชัย ได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุด และมีเสียงสนับสนุนจากโลกโซเชียลให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายเฉลิมชัย รู้สึกประหลาดใจ และฝากขอบคุณ พร้อมกับปฏิเสธว่าไม่หรอก ซึ่งคะแนนที่ออกมาในวันนี้ก็เป็นภาพที่ชัดเจนว่ารัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น เหนียวแน่น และเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี 

สำหรับการที่มีบางส่วนเรียกร้องให้ยุบสภานั้น นายเฉลิมชัย ระบุว่า ก็ต้องดูสถานการณ์ทุกอย่างว่าเหมาะสม หรือสมควรหรือไม่ ตรงนี้ท่านนายกฯ ท่านมีวิจารณญาณอยู่แล้ว ถ้าจะถามยุบสภาตนก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่อำนาจของตน แต่คิดว่าวันนี้ควรแก้ไขปัญหาประเทศให้จบไปก่อน ช่วยกันทำให้โควิดมันเบาลงให้ได้ หรืออยู่ในสถานการณ์ปกติให้ได้ แล้วสถานการณ์อื่นๆ ก็ว่ากันอีกเรื่องนึง แต่ก็ยืนยันว่าวันนี้พรรคร่วมรัฐบาลเป็นปึกแผ่น

ผู้สื่อข่าวสอบถามความรู้สึกถึงการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งที่ไม่น่าจะถูกอภิปรายในครั้งนี้ นายเฉลิมชัย ตอบว่า ก็ดี ได้มีโอกาสชี้แจง เพราะบางครั้งถ้ามีเรื่องอะไรที่ยังคาใจอยู่ แล้วเราไม่มีโอกาสได้ชี้แจง มันก็จะยังคาใจอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราได้ชี้แจงโดยชัดเจนแล้ว มันก็จะมีคำตอบให้คนฟังเขาได้คิดดูว่าอะไรถูกอะไรผิด 

​​​​​


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top