Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

“บิ๊กป้อม” สั่ง ฝ่ายมั่นคง เร่งคดี มาตกรรม นทท.ในจ.ภูเก็ต ชี้ กระทบความรู้สึกชาวภูเก็ต-ความเชื่อมั่นตปท. พร้อมประชุมรับมือสถานการณ์ความเสี่ยงชายแดนช่วงโควิด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สั่งการฝ่ายปกครองตำรวจ ให้ความสำคัญเร่งติดตามสืบสวนคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวสวิสฯที่เสียชีวิตระหว่างท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต ให้นำผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว ให้เฝ้าระวังและเพิ่มความเข้มข้นมาตรการป้องกันดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวในภาพรวม

“คดีดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก ในขณะที่เรากำลังร่วมกันสร้างและเปิดพื้นที่นำร่อง เพื่อฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในช่วงที่ต้องอยู่กับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดต่อเนื่องกันไป  และเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีผลต่อความรู้สึกของชาวภูเก็ต ที่ช่วยกันประคับประคองดูแลมาตการต่างๆให้ภูเก็ตมีความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ผ่านมา จึงขอให้ชาวภูเก็ตร่วมให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็วที่สุด” 

นอกจากนี้พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัญมนตรี  เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคง ร่วมกับ รมว.มหาดไทย รมว.แรงงาน รมช.กลาโหม ผบ.ทสส. รวมทั้ง ผวจ.ชายแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบ VTC เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงชายแดนในห้วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่รุนแรง

ภาพรวมสถานการณ์การลักลอบข้ามแดน ยังพบและจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการแรงงานในประเทศที่ยังมีสูง  มีผู้ลักลอบเข้าเมืองตกค้างตามชายแดนจำนวนมาก เนื่องจากประเทศต้นทางไม่เปิดรับกลับ บางส่วนเป็นชนเผ่าและชนกลุ่มน้อยที่ไม่มีการรับรองสถานภาพ  ขณะเดียวกันสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้านยังรุนแรง พบผู้ติดเชื้อในอัตราที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศเมียนมา ที่มีปัญหาการเมืองและสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิดที่อยู่ในสภาวะวิกฤตและข้อจำกัดของระบบสาธารณสุข ที่อาจส่งผลให้มีการลักลอบเข้าเมืองจากเมียนมามากขึ้น

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ย้ำเป็นนโยบายและสั่งการ ขอให้ฝ่ายปกครอง ทหารและตำรวจ รวมทั้งกระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด โดยให้ผนึกกำลังร่วมเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนและตรวจตราพื้นที่ชั้นใน บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด เพิ่มมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบค้าอาวุธและยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันและควบคุมโรค โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไก “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด” บูรณาการการทำงานร่วมกันและนำเทคโนโลยีมาใช้เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ รวมทั้งให้เพิ่มสถานที่กักกัน ( OQ ) ให้เพียงพอ รองรับการลักลอบข้ามแดนที่มีมากขึ้น

พร้อมกำชับ ต่อสถานการณ์วิกฤตในประเทศเมียนมา  ขอให้ทุกจังหวัดชายแดนเมียนมา เตรียมพร้อมและพัฒนาแผนรองรับผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา โดยให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน จัดให้มีพื้นที่รองรับและสถานกักกันโรคอย่างเพียงพอ รวมทั้งการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ให้ติดตามเฝ้าระวังและทำลายโครงสร้างขบวนการค้าอาวุธสงคราม เพื่อมิให้เป็นเงื่อนไขขยายความรุนแรงในเมียนมาอย่างเด็ดขาด

สำหรับพื้นที่ชั้นใน ขอให้กระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานกับ ตำรวจบังคับใช้กฎหมาย อย่างเฉียบขาดและลงโทษสูงสุดกับผู้นำพาและขบวนการค้าแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้สืบเชื่อมโยงไปถึงการค้ามนุษย์  และขอให้เร่งพิจารณาแนวทางทะยอยนำแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบตามกฎหมาย ภายใต้มาตการ กักตัวควบคุมโรค โดยเริ่มจากผู้ประกอบการที่มีความพร้อม เพื่อบรรเทาความต้องการแรงงานและลดการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมย้ำให้หัวหน้าหน่วยงานทุกระดับลงกำกับ ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตหรือเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

ธุรกิจญี่ปุ่นสู้โควิดไม่ไหว หลังรัฐบาลประกาศมาตรการควบคุมโรค ด้านผู้ประกอบการวอนรัฐช่วยเหลือก่อนล้มละลาย

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของญี่ปุ่นสูญเสียโอกาสทองทางธุรกิจในช่วงวันหยุดฤดูร้อน เนื่องจากรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ผลสำรวจพบกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจต่าง ๆ มากกว่า 1,800 บริษัทปิดกิจการแล้ว

ภายหลังจากญี่ปุ่นได้ขยายเวลาภาวะฉุกเฉินและมาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิดในหลายจังหวัด ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากต้องยกเลิกแผนการเดินทางในช่วงวันหยุดฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ธุรกิจการท่องเที่ยวคึกคัก

นายคิกูมะ จุนโงะ ประธานของสมาคมบริษัทท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่นระบุว่า การตัดสินใจขยายเวลาภาวะฉุกเฉินทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเสียหายอย่างหนัก ส่งผลต่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการจำนวนมาก เขากล่าวว่า บรรดาผู้ประกอบการจะร่วมมือกับมาตรการควบคุมการระบาด แต่ก็เป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่งในการบริหารจัดการ

ตัวแทนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายเงินเยียวยา เพื่อให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ อยู่รอดได้

การสำรวจโดยบริษัทวิจัย เทโกกุ เดต้าแบงก์ พบว่า บริษัท 1,860 แห่ง ต้องปิดกิจการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ถึงต้นเดือนสิงหาคมปีนี้ บริษัทเหล่านี้มีทั้งปิดกิจการไปแล้วหลังจากยื่นขอล้มละลาย หรืออยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อขายทรัพย์สิน

ร้านอาหารคือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ธุรกิจร้านอาหารกว่า 300 แห่งยื่นขอปิดกิจการ ส่วนภาคก่อสร้างมีธุรกิจกว่า 180 แห่งที่ได้รับผลกระทบ อุตสาหกรรมโรงแรมมีประมาณ 100 แห่ง และกลุ่มผู้ค้าส่งอาหารเกือบ 100 แห่งไปไม่รอด

นักวิเคราะห์ระบุว่า เมื่อผู้ประกอบการปิดกิจการก็จะเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อบริษัทต่าง ๆ ข้ามอุตสาหกรรม ทำให้อาจมีบริษัทที่ยื่นขอล้มละลายเพิ่มมากขึ้นอีก เนื่องจากรัฐบาลได้ขยายภาวะฉุกเฉินออกไป

จำนวนผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ในวันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม ญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อที่ 15,263 ราย เฉพาะกรุงโตเกียวยืนยันผู้ติดใหม่ 5,042 คน เป็นสถิติสูงที่สุด


ที่มา : https://mgronline.com/japan/detail/9640000076961


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สศช. คุย คลัง ธปท. ออกมาตรการช่วยเอสเอ็มอี ท่องเที่ยว 

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ ว่า ขณะนี้ รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท โดยจะนำมาใช้สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ล่าสุด สศช. ได้หารือร่วมกับทีมเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะเริ่มดำเนินโครงการช่วยเอสเอ็มอีทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และหากสถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว เศรษฐกิจเริ่มเดินหน้าได้ และควบคุมการระบาดได้ มีวัคซีนเข้ามาตามกำหนด อาจจะต้องหาวิธีการเร่งด่วนมาใช้ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับกระทบต่อไป 

ส่วนภาพรวมโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมใน พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่มีวงเงิน 4 แสนล้านบาท ล่าสุดมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ได้นำไปใช้ในเรื่องการเยียวยาและการสาธารณสุข เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ และด้วยสถานการณ์ขณะนี้มีการระบาดที่มีผลกระทบกับประชาชนวงกว้างมาก จึงต้องเร่งหารือกับหน่วยงานที่ดำเนินโครงการอยู่แล้ว โดยต้องประเมินโครงการก่อนว่าผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร ซึ่งอาจเป็นการต่อโครงการออกไปอีก 1 ปี หรือจะขยายขนาดของโครงการออกไป  

“ในเวลานี้ การดำเนินงานที่เห็นผลได้ชัดคือเรื่องการจ้างงาน เท่าที่ดูตัวเลขการจ้างงานขณะนี้อยู่ที่ 3-4 แสนราย ทำให้อย่างน้อยคนมีรายได้และมีการใช้จ่าย สำหรับผลกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมนั้น ในแง่ของการบริโภคสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่งโดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชน อีกส่วนหนึ่งที่อยู่นอกเหนือแผนฟื้นฟูเป็นเรื่องของการกระตุ้นการบริโภคโดยตรง เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจในภาพใหญ่ค่อนข้างมาก” 

“อุบลศักดิ์” ขอ 72 กมธ.งบ 65 ยุติแตกแยกเรื่องงบกลาง ยัน เพื่อไทยไม่ได้ช่วยนายกฯ-คิดร่วมพรรคใดพรรคหน่ึง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ที่รัฐสภา นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายงบประมาณ 2565 แถลงว่า การประชุมกมธ. ในวันนี้(6 ส.ค.)ถือเป็นวันสุดท้ายและจะต้องมีการพิมพ์เล่มให้เสร็จภายในวันที่ 15 ส.ค.เพื่อนำส่งสภาฯ พิจารณาในวาระ 2-3 ในวันที่ 18-20 ส.ค. ดังนั้นสงครามทางความคิดในเรื่องงบประมาณของกมธ. ทั้ง 72 คนควรยุติได้แล้ว และกมธ.ได้มีมติตั้งอนุกมธ.ให้มีหน้าที่ปรับลดงบประมาณ ซึ่งโครงการใด หน่วยงานไหนที่มีความซ้ำซ้อนหรือรอได้ ก็ปรับลดเพื่อที่จะไปช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 เพราะประชาชนได้รับผลกระทบแสนสาหัส แม้แนวความคิดของกมธ. ทั้ง 72 คนจะต่างกันอย่างหลากหลาย แต่เมื่อมีการปรับลดงบประมาณไปเท่าไหร่ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะต้องไปดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด เพราะการถกเถียงกันไปมาทำให้ประชาชนหมดความศรัทธา ดังนั้นจึงอยู่ที่จิตสำนึกของกมธ.แต่ละคน และตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ชัดเจนอยู่แล้วว่าทำไม่ได้ที่จะแปรไปเป็นอย่างอื่น งบต่างๆ ที่ถูกตัดออกก็ควรที่จะนำเข้างบกลาง ซึ่งหลายคนคิดว่าเอาไปกองให้นายกฯ ใช้นั้นไม่ใช่เพราะนายกฯ ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารจะต้องทำตามกระบวนการ และงบที่ได้ไปนั้น นายกฯ จะใช้หรือไม่ก็ไม่รู้เพราะในอนาคตท่านอาจจะลาออกหรือยุบสภาก็ได้ ซึ่งใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐบาลก็มีสิทธิที่จะบริหารแต่ไม่มีสิทธิใช้ 

นายอุบลศักดิ์ กล่าวต่อว่า อยากเรียกร้องวิงวอนให้สมาชิกทุกฝ่ายหันหน้ามาแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่อยากให้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันทางความคิด แต่เมื่อความคิดไม่ตรงกัน แล้วเสียงข้างมากเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ จึงขอให้ทุกฝ่ายยุติการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติและไม่ต้องไปใส่ความกัน เราจะโทษใครไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญเขียนมาอย่างนี้ จึงขอให้ทุกคนหันหน้ามาแก้ปัญหาและมาช่วยกันตรวจสอบงบประมาณว่าใครทำได้ถึงปลายทางอย่างไร

“ขอยืนยันว่าในฐานะพรรคเพื่อไทยไม่มีเจตนาจะไปช่วยนายกฯ เพราะเราเห็นว่าหากงบที่ถูกปรับลดไม่เอาไปไว้ในงบกลางก็จะเหลือทิ้ง ไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องควรจะนำเงินส่วนนี้มาแก้ปัญหาโดยที่ไม่ต้องกู้ ถ้าพรรคเพื่อไทยช่วยนายกฯ หรือคิดจะไปร่วมกับพรรคนั้นพรรคนี้ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่เตรียมที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ  ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมอยู่แล้ว 136 เสียงสามารถยื่นญัตติได้ด้วยตัวเอง แต่เราเห็นว่าพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านด้วยกัน จึงประนีประนอมและให้โอกาสทุกคนช่วยกันคิด แต่ละคนอาจคิดไม่เหมือนกัน ซึ่งก็คิดได้ จึงคิดว่าฝ่ายค้านไม่มีความแตกแยก แต่อาจจะคิดไม่เท่ากันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” นายอุบลศักดิ์ กล่าว

“สิระ” ยื่น อธิบดีศาลอาญาฯ บี้ ถอนประกัน "ไผ่ ดาวดิน”และพวก 29 คน เหตุก่อวุ่นวาย ผิดเงื่อนไข ตั้งค่าหัวนำจับ 500 บาท ไม่ห่วง ชุมนุม 7ส.ค.เชื่อคนร่วมน้อย

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ในฐานะประธานกรรมาธิการกฎหมายฯยื่นหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ให้พิจารณาถอนประกันตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่ ดาวดิน)กับพวก รวม 29 คน ผู้ต้องหาข้อหาร่วมกันชุมนุม ก่อความวุ่นวาย ร่วมกันพยายามข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จากกรณีที่ชุมนุมกดดันหน้ากองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.)ถนนวิภาวดีรังสิต ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคืนรถบรรทุก6ล้อและเครื่องขยายเสียง ซึ่งถูกยึดเป็นของกลางในคดี และสาดสีแดงใส่รั้วประตูและเจ้าหน้าที่ และพยายามเข้าสถานที่ราชการเพื่อเอาของกลางที่ถูกยึดไว้ ซึ่ง จนท.ตำรวจได้เข้าจับกุม และต่อมาศาลอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 29 คน แต่ผู้ชุมนุมก่อความวุ่นวาย พร้อมทั้งทำลายทรัพย์สินของราชการของสน.ทุ่งสองห้อง หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว

“พฤติการณ์ของนายจตุภัทร์ เป็นการกระทำความผิดในลักษณะเดิม ไม่เกรงกลัว ไม่เคารพกฏหมายบ้านเมือง ที่อาจทำให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่างเพื่อก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวใน กรณีห้ามก่อความวุ่นวายหรือทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาในคดีแรก จึงขอให้อธิบดีผู้พากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตรวจสอบว่ากระทำที่ผิดเงื่อนไขให้ประกันตัวหรือไม่ และให้พิจารณาถอนการประกันตัว ผมในฐานะประธานกรรมาธิการกฎหมายฯ  ไม่ยอมให้คนกลุ่มนี้อยู่เหนือกฎหมาย และนายไผ่ จบนิติศาสตร์ รู้ดีว่าการกระทำใดเป็นการทำผิดกฎหมาย แต่ใช้กำลังทำตัวอยู่นอกกฎหมายตลอดเวลา บุคคลเหล่านี้ไม่ปกติ จะอยู่ร่วมกับคนปกติไม่ได้ และวันนี้ชัดเจนว่านายไผ่และพรรคพวกจงใจก่อม็อบเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ และเจตนาล้มล้างสถาบัน ทั้งนี้มีการออกหมายจับนายไผ่ ดังนั้นประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพบเจอจับกุมได้ทันที และตนตั้งรางวัลนำจับ 500 บาท ซึ่งแพงเกินความจริงแล้ว ตอนแรกจะให้ 5 บาท ก็เกรงใจจึงคิดว่ามีค่าเท่านี้ เหมือนโจร 500” นายสิระ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามถึงการชุมนุมของเยาวชนปลอดแอกในวันที่ 7 ส.ค.นี้ นายสิระ กล่าวว่า ไม่ห่วงการชุมนุมที่จะเกิดขึ้น เพราะเชื่อว่ามีไม่กี่คนที่จะออกไปทำพฤติกรรมเลวแบบนั้น และผู้ปกครองต้องตักเตือนเยาวชนในปกครอง ที่สำคัญเยาวชนต้องรู้ทันแกนนำที่รู้กฎหมาย หากทำแล้วชอบด้วยกฎหมาย ทำไมแกนนำอีแอบ จึงปลอมตัว ปกปิดไปยืนหลังม็อบ เป็นเตี้ยหลังม็อบ ไม่ขึ้นเวทีเปิดเผยตัวให้ชัด แต่หลอกใช้เยาวชน ทั้งนี้สัปดาห์หน้าตนจะไปยื่นเอา ผิดกับส.ส.อีแอบ ที่อ้างว่าไปสังเกตการณ์ในที่ชุมนุมโดยไม่ได้รับการมอบหมาย

“บิ๊กตู่”แสดงความเสียใจกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตที่ภูเก็ต กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสืบสวนข้อเท็จจริง ย้ำให้เข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบกรณี Mrs. Nicole Sauvain-Weisskopf (นางนิโคล โซเวน ไวสคอป) สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ นักท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) เสียชีวิตบริเวณธารน้ำตกโตนอ่าวยน ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา และขอแสดงความเสียใจไปถึงครอบครัวผู้เสืยชีวิตด้วย  

โดยขณะนี้ เจ้าหน้าทีตำรวจทั้งจากส่วนกลางและในพี้นที่ เร่งสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว พร้อมทั้งสั่งให้รายการกลับมาให้ทราบด้วย ทั้งนี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  ได้โทรศัพท์แสดงความเสียใจกับเอกอัครราชทูตสวิสประจำประเทศไทย ไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยตนเอง ซึ่งกระทรวงการต่างเทศจะประสานกับสถานเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เพื่อรายงานความก้าวหน้าทางคดีอย่างต่อเนื่อง 

“นายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดให้ได้โดยเร็ว พร้อมเน้นย้ำให้ทุกส่วนราชการเพิ่มความเข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวตามโครงการฯ ให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เร่งประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับมาตรการด้านสาธารณสฺขและความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติโดยเร็ว พร้อมขอให้คนไทย ช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดรายได้ให้กับประเทศไทยต่อไป” นายอนุชา กล่าว

รองนายกฯ ‘ดอน ปรมัตถ์วินัย’ ต่อสายตรงแสดงความเสียใจต่อทูตสวิส กรณีนักท่องเที่ยวผู้หญิงถูกฆาตกรรมที่น้ำตกโตนอ่าวยน จังหวัดภูเก็ต ด้านผบ.ตร. บินด่วน พร้อมทีมหนุมานกองปราบ ลงพื้นที่ เร่งคลี่คลายคดี

วันที่ 6 สิงหาคม 2564 จากกรณีพบศพนักท่องเที่ยวสาวสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เสียชีวิต คือ MRS. NICOLE SAUVAIN WEISSKOPF (นิโคล ซาเว่น ไวครอป์) สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ อายุ 57 ปี เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาภายใต้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เป็นเจ้าหน้าที่รองหัวหน้าพิธีการทูตสหพันธรัฐสาธารณรัฐเยอรมนี ใช้หนังสือเดินทางประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เดินทางเข้ามาประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 64 ที่ผ่านมา และพักโรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จนครบ 14 วัน จากนั้นได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ จ.กระบี่ ก่อนจะกลับมาพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.วิชิต และมาพบเสียชีวิตดังกล่าว

ล่าสุ นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ ได้โทรศัพท์ด่วนแจ้งข่าวดังกล่าวต่อ นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทีเอดา เอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทยแล้ว

กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตผ่านหัวหน้าสำนักงานหนังสือเดินทางของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศที่จังหวัดภูเก็ต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้โทรศัพท์ถึงเอกอัครราชทูตสวิสประจำประเทศไทยเพื่อแสดงความเสียใจ และย้ำว่าจะเร่งผลชันสูตร และจับกุมผู้ต้องหาโดยเร็วที่สุด และจะประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตสวิสประจำประเทศไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป

ทางด้านพล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของพื้นที่ จังหวัด และภาค 8 เพื่อติดตามและเร่งรัดคลี่คลายคดี เนื่องจากเป็นคดีอุฉกรรจ์และอยู่ในความสนใจของคนไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากมีรายงานว่า ผู้เสียชีวิตเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในภูเก็ตภายใต้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์

โดยตำรวจได้แบ่งทีมทำงานลงพื้นที่สืบสวนออกเป็น 3 ชุด ประกอบด้วย ทีมตรวจสอบไทม์ไลน์ของผู้เสียชีวิต ทีมตรวจสอบสภาพแวดล้อมในบริเวณที่เกิดเหตุและพื้นที่ใกล้เคียง และทีมสอบสวนหาพยานบุคคลและพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยในวันนี้ (6 ส.ค.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จะลงพื้นที่ภูเก็ตเพื่อติดตามความหน้าของคดีด้วยตนเอง พร้อมนำเจ้าหน้าที่หนุมานกองปราบ ลงพื้นที่สืบหาเบาะแสคนร้ายด้วย

ภายหลังการประชุมด่วน พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้อง ผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่จะเข้ามาตามโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์หรือไม่นั้น ขอตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนอีกครั้ง ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตยังอยู่ระหว่างการสอบสวน และรอผลการชันสูตรของแพทย์ว่า เกิดจากอะไรกันแน่

แต่จากที่มีการนำผ้ายางมาคลุมร่างของศพกึ่งห่อกึ่งคลุมนั้น ทำให้วิเคราะห์ได้ว่า ต้องมีคนนำมาคลุมไว้ จึงสันนิษฐานได้ว่าการเสียชีวิตน่าจะไม่ปกติ ส่วนที่มีกระแสข่าวทางโซเซียลมีเดียว่า เป็นการฆ่าข่มขืนหรือข่มขืนแล้วฆ่านั้น ในเรื่องนี้ยังไม่สามารถระบุได้ จะต้องรอผลชันสูตรของแพทย์เท่านั้น

หากดูจากสภาพศพที่เปลือยท่อนร่าง พอจะสันนิษฐานได้ว่า คนร้ายไม่ได้ประทุษร้ายต่อทรัพย์ เนื่องจากทรัพย์สินของผู้ตายยังอยู่ครบ ส่วนว่าผู้ก่อเหตุจะมากับผู้ตายหรือเป็นคนที่มาพบระหว่างที่นักท่องเที่ยวเดินเข้าป่ามาคนเดียว หรือเป็นคนที่นำพานักท่องเที่ยวเข้าไป ในเรื่องนี้ก็ต้องรอผลการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'โมเดอร์นา' เผย วัคซีนป้องกันโควิด-19 ยังคงมีประสิทธิภาพสูงถึง 93% หลังฉีดโดสที่ 2 ผ่านไปแล้ว 4-6 เดือน

6 สิงหาคม 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน โมเดอร์นาเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของโมเดอร์นายังคงมีประสิทธิภาพที่ประมาณ 93% หลังการฉีดโดสที่ 2 ผ่านไป 4-6 เดือน ซึ่งถือว่าลดลงเพียงเล็กน้อยจาก 94% ในผลการทดลองทางคลินิกฉบับดั้งเดิม แต่มากกว่าของวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคที่เหลือราว 84% หลังพ้นระยะ 6 เดือน

รายงานรอยเตอร์และเอเอฟพีกล่าวว่า ผลลัพธ์สุดท้ายของการวิเคราะห์จากการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ที่เป็นระยะสุดท้าย บ่งชี้ว่าประสิทธิภาพของวัคซีนโมเดอร์นามีความคงทนแม้จะผ่านพ้นการฉีดโดสที่ 2 ไปแล้ว 6 เดือน

ตัวเลขประสิทธิภาพที่ยังคงสูงถึงราว 93% นี้ ถูกนำไปเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพของวัคซีนจากบริษัทคู่แข่งที่ใช้เทคโนโลยี mRNA แบบเดียวกันคือ ไฟเซอร์-ไบออนเทค ที่เปิดเผยข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า วัคซีนของพวกเขาประสิทธิภาพลดลงราว 6% ทุก 2 เดือน หรือลดลงเหลือราว 84% หลังฉีดโดสที่ 2 ผ่านไปแล้ว 6 เดือน

บริษัทโมเดอร์นายังกำลังทำการทดลองทางคลินิกวัคซีนบูสเตอร์อีก 3 ชนิดด้วย ซึ่งทั้งหมดสร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีระดับสูงในการต่อต้านไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ที่น่ากังวล ซึ่งรวมถึง แกมมา, บีตา และเดลตา

สเตฟาน บองเซล หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารของโมเดอร์นา กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคมว่า เรายินดีที่วัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์นาแสดงประสิทธิภาพที่คงทนถึง 93% ตลอดเวลา 6 เดือน แต่เราตระหนักดีว่าสายพันธุ์เดลตาเป็นภัยคุกคามใหม่ที่สำคัญ ดั้งนั้นเราจึงยังต้องระมัดระวังต่อไป

วัคซีนที่มีความคงทนนั้นจะทำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถยืดเวลารอได้นานขึ้นหากจำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิอีกโดส หรือบางทีอาจไม่จำเป็นต้องฉีดโดสเสริมเพื่อป้องกันโควิด-19 ก็ยังได้ โดยบองเซลชี้ว่า ความคงทนของวัคซีนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนหลายร้อยล้านคนที่ได้ฉีดวัคซีนของโมเดอร์นาไปแล้ว

ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขทั่วโลกที่กำลังดิ้นรนรับมือไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา กำลังถกเถียงกันว่าวัคซีนบูสเตอร์นั้นมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และจำเป็นหรือไม่ บริษัทไฟเซอร์มีแผนยื่นขออนุญาตวัคซีนโดสที่ 3 ต่อทางการสหรัฐฯ ในเดือนนี้ และบางประเทศ เช่น อิสราเอล ได้เริ่มหรือวางแผนจะฉีดวัคซีนโดสเสริมให้แก่ผู้สูงอายุหรือกลุ่มเสี่ยงกันแล้ว

โมเดอร์นาได้รับอนุมัติจากทางการสหรัฐฯ เพื่อใช้งานแบบฉุกเฉินกับคนวัยผู้ใหญ่เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และถึงขณะนี้วัคซีนโควิด-19 เมื่อเดือนมิถุนายน และคาดว่ากระบวนการขออนุมัติจะเสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคมนี้

ปีนี้โมเดอร์นาทำสัญญาขายวัคซีนโควิดมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะผลิตวัคซีน 800-1,000 ล้านโดส สำหรับปี 2565 บริษัททำข้อตกลงไว้แล้วมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมออปชันเสริมอีกราว 8,000 ล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ 2,000-3,000 ล้านโดส


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/593053


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผบช.สตม.ตรวจเยี่ยม ตม.จังหวัดกาญจนบุรี 

ตามนโยบาย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ให้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วยพล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี, พ.ต.อ.สถิตย์ พรหมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.มานะ นาคทั่ง รอง ผบก.ตม.5 และ พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. เดินทางตรวจเยี่ยม มอบนโยบาย กำชับการปฏิบัติราชการ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.กาญจนบุรี 

พบ พ.ต.อ.หฤทธิ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ฯ ปรท.ผกก.ตม.จว.กาญจนบุรี และข้าราชการ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ปฏิบัติหน้าที่โดยเคร่งครัดและได้ร่วมปฏิบัติกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และ เจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นำโดย นายชำนาญ ชื่นตา  รองผู้ว่าราชการ จว.กาญจนบุรี ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามห้องกัก ของ ตม.จว.กาญจนบุรี โดยให้คำแนะนำในการบริหารเหตุการณ์ เพื่อไม่ให้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยให้ประสานงานกับสาธารณสุขโดยใกล้ชิด และกำชับการปฏิบัติตัวให้อยู่ตามคำแนะนำของสาธารณสุขและปฏิบัติตาม SOP อย่างเคร่งครัด


ทั้งได้ร่วมกันมอบสิ่งของบำรุงขวัญ อาทิ หน้ากากอนามัย, เจลแอลกอฮอล์ และ เครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็น ในการปฏิบัติงาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ ตามนโยบายของ ผบ.ตร.พร้อมทั้งได้มอบนโยบาย กำชับการปฏิบัติราชการดังนี้

1.ให้ศึกษาข้อกำหนดฯฉบับที่ 27 และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะในเรื่องการห้ามออกนอกเคหสถาน  การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ การปฏิบัติในการเข้าช่วยเหลือประชาชนและให้เตรียมพร้อมสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ให้กับตำรวจภูธรในพื้นที่ และถือปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุขหรือ ศบค.กำหนด

2.กำชับการปฏิบัติตามข้อสั่งการ ตร. เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้หน่วยปรับรูปแบบการปฏิบัติงานให้เกิดความเหมาะสมตามแนวทางที่ ตร.กำหนด โดยพิจารณาปรับรูปแบบการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการและการบริการประชาชน

3.จากเหตุคนจีนยิงตำรวจชลบุรี กำชับให้เพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมาย กรณีคนต่างด้าวสัญชาติจีนให้ตรวจสอบ สืบสวนก่อนการอนุญาต และตรวจสอบหลังได้รับอนุญาตว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากพบว่าไม่ถูกต้องให้ดำเนินการเพิกถอนทุกราย ให้มีผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม

4.สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดสายพันธ์ใหม่ ให้มีมาตรการในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ในส่วนของเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด

5.กำชับให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการ ตร. เรื่อง แนวทางการปฏิบัติกรณีคนต่างด้าวเป็นผู้เสียหาย หรือผู้ต้องหาในคดีอาญา หรือถึงแก่ความตายโดยผิดธรรมชาติ

พลังธรรมใหม่ ทำนายม็อบ 7 ส.ค. รุนแรงแน่ เหตุแกนนำเจตนาร้ายหวังล้มล้างสถาบัน จงใจซ้ำเติมทำบ้านเมือง แนะ ตำรวจทำตามกม.เต็มที่ ชี้เหมือนจับโจรกลุ่มหนึ่ง

นายณัฐดนัย ชนิตร์วัฒน์ รองเลขาธิการพรรคพลังธรรมใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เพจเฟซบุ๊กเพจ เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH ปลุกระดมม็อบในวันเสาร์ที่ 7 ส.ค.นี้ โดยนัดบุกพระบรมมหาราชวังว่า ถ้อยคำที่เยาวชนกลุ่มนี้ นำออกมาโพสต์แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า กำลังคิดจะทำอะไรกันอยู่ เหตุผลที่ออกมาก่อความวุ่นวายไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด - 19 หรือการบริหารประเทศของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แต่เป้าหมายหลักคือ การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ตนเชื่อว่าสถานการณ์ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ จะมีความรุนแรงเกิดขึ้น เนื่องจากแกนนำจงใจ และมีเจตนาต้องการก่อความวุ่นวาย ซ้ำเติมทำบ้านเมืองให้วิกฤตหนักกว่าเดิม 

“นายพริษฐ์  ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ล้วนเป็นผู้ต้องหามาตรา 112 มีคดีติดตัวทั้งนั้น มีหลักฐานการแสดงความผิดชัดเจน บรรดาแกนนำหยุดพูดเสียทีว่า เป็นการชุมนุมที่ถูกต้องตามสันติวิธี และหากเกิดการปะทะกันขึ้น กรุณาอย่าโยนความผิดให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกว่าใช้ความรุนแรงละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ดูสิ่งที่พวกคุณกล่าวอ้าง ว่าจาบจ้วงเกินเลยไปถึงเพียงใด ผมเห็นใจเจ้าหน้าที่ ที่ปฎิบัติหน้าที่จริงๆ เพราะทุกคนรู้ดีว่า การชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้ร่วมชุมนุมมีเจตนาในการพกพาอาวุธครบมือเพื่อก่อความวุ่นวาย รวมถึงบรรดาแกนนำสามกีบผิดเงื่อนไขการประกันตัว และศาลสามารถเพิกถอนการประกันตัวได้ นี่คือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” นายณัฐดนัย กล่าว

นายณัฐดนัย กล่าวต่อว่า ตนขอแนะนำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฎิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะวันนี้การกระทำของคนกลุ่มนี้สถานะไม่แตกต่างจากโจร โดยโจรบางคนยังมีสามัญสำนึก รู้ผิดรู้ชั่ว มากกว่า ดังนั้น ถ้าอยู่ข้างนอกแบบคนปกติไม่ได้ ก็ควรเข้าไปอยู่ในคุก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top