Monday, 21 July 2025
Hard News Team

โฆษกรัฐบาลยืนยันผลสำเร็จ 'นายกฯ' เข้าร่วมการประชุมผู้นำโลก COP26 บทบาทผู้นำไทยโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศ โชว์ศักยภาพ และแนวนโยบายไทยที่โดดเด่น พร้อมเอาชนะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะเดินทางกลับประเทศไทยภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเป็นคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร โดยจะเดินทางถึงประเทศไทยช่วงเย็นวันนี้

การเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ (World Leaders Summit) COP26 ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เป็นการแสดงบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นการเดินทางระหว่างประเทศของนายกรัฐมนตรีในรอบ 2 ปี แสดงให้เห็นว่าไทยเน้นย้ำ ให้ความสำคัญ ถึงความมุ่งมั่นของไทยร่วมกับประชาคมโลกในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยได้แสดงเจตจำนงในการยกระดับการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ด้วยทุกวิถีทาง เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ. 2065 โฆษกประจำสำนักฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าร่วมการประชุม COP26 เป็นเพียงบทบาทหนึ่งของประเทศไทยในการร่วมกับประชาคมโลกเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ได้วางนโยบายของรัฐบาลให้ทุกส่วนงาน ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมได้ดำเนินการทั้งในส่วนของการจัดทำและปรับปรุงนโยบาย กฎหมายและการปฏิบัติเกี่ยวกับด้านพลังงาน อุตสาหกรรม การขนส่ง และการเกษตร เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก รวมนี้ ในอนาคตไทยยังได้วางแนวทางการขับเคลื่อนและพร้อมบูรณาการการทำงานอย่างแข็งขัน ไว้ด้านต่างๆ อาทิ

ก้าวสำคัญ!! พัฒนาโลจิสติกส์ฮาลาล สู่ ฮับฮาลาลโลก

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” เป็นประธานในการเปิดงานการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างสถาบันฮาลาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และโรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS) เมื่อ​ 1 พ.ย.64​ โดยมี พล.ต.ต สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รศ.ดร.อิสมาแอ อำลี ประธานฝ่ายกิจการฮาลาล คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย, รศ.ดร.จุฑามาส ศตวุข รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, นายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยและประธานโรงเรียนธุรกิจการขนส่งการค้าระหว่างประเทศ​ (ITBS), ผศ.ดร.อัสมัน แตอาลี ผู้อำนวยการสถาบันฮาลาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องผ่านระบบ Facebook Live เพื่อประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือด้านองค์ความรู้ความเข้าใจด้านฮาลาลอย่างต่อเนื่อง แก่บุคลากรในสถานประกอบการ รองรับการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอาหาร ฮาลาลของประเทศไทยที่จะเติบโตในอนาคต

สสว. จับมือพันธมิตรภาคเอกชน เสริมแกร่ง SME ดันองค์กรที่มีความหลากหลาย เป็นคู่ค้ายูนิลีเวอร์

สสว. จับมือ SME D Bank และภาคเอกชน ได้แก่ ยูนิลีเวอร์ กูเกิล ประเทศไทย และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมสร้างโครงการส่งเสริมธุรกิจ SME ที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นเกิน 51% มีความหลากหลายในองค์กร ผลักดันให้เป็นซัพพลายเออร์ของยูนิลีเวอร์ในอนาคต

สสว. จับมือ ธพว. และภาคเอกชน ได้แก่ ยูนิลีเวอร์ กูเกิล ประเทศไทย และ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme หรือ UNDP) ร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อส่งเสริมธุรกิจ SME ที่มีสัดส่วนผู้ประกอบการผู้หญิง กลุ่ม LGBTQI+ ผู้พิการ หรือกลุ่มชาติพันธุ์เป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นร้อยละเกิน 51 ของผู้ถือหุ้นหลัก เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ โดยให้โอกาสในการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาซัพพลายเออร์ 

โดยมีผู้ประกอบการมากกว่า 100 ราย ตอบรับเพื่อเข้าร่วมโครงการ และได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา เพื่อต้อนรับผู้ประกอบการ SME ที่เข้าร่วมโครงการสู่การฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างทักษะและศักยภาพการทำธุรกิจ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ความรู้ในเรื่องของวัฒนธรรมองค์กรเพื่อความหลากหลาย ความรู้ทางด้านดิจิทัล และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเตรียมผู้ประกอบการสำหรับโลกแห่งการทำงานในอนาคต ตลอดช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 นี้ ผ่านช่องทางการอบรมออนไลน์ และเมื่อผ่านการอบรม จะสามารถเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเพื่อเป็นซัพพลายเออร์ของยูนิลีเวอร์ต่อไป

เผยผลสอบ! เรือดำน้ำสหรัฐฯ ชน 'วัตถุปริศนา' ที่แท้ปะทะ 'ภูเขาใต้ทะเล' ในทะเลจีนใต้

เรือดำน้ำนิวเคลียร์ลำหนึ่งของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ได้รับความเสียหายรุนแรงในอุบัติเหตุขณะกำลังดำอยู่ในทะเลจีนใต้เมื่อเดือนที่แล้ว เป็นผลจากการชนเข้ากับภูเขาใต้ทะเลที่ไม่อยู่ในแผนภูมิ จากคำชี้แจงของกองทัพเรืออเมริกาในวันจันทร์ (1 พ.ย.)

กองเรือที่ 7 แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งปฏิบัติการในแปซิฟิกตะวันตก เปิดเผยว่าการสืบสวนได้ข้อสรุปว่าเรือดำน้ำยูเอสเอส คอนเนคทิคัต ชนเข้ากับรูปทรงทางธรณีวิทยาหนึ่ง ไม่ใช่เรือ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม

"การสืบสวนได้ข้อสรุปว่าเรือดำน้ำยูเอสเอส คอนเนคทิคัต เกยภูเขาใต้ทะเลที่ไม่อยู่ในแผนภูมิลูกหนึ่ง ระหว่างปฏิบัติการในน่านน้ำสากลในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก" โฆษกกองเรือที่ 7 แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ทางอีเมล

‘ไทยภักดี’ หนุนบังคับใช้ ม.112 อย่างเต็มที่ ยืนหนักแน่น ยึดหลักนิติธรรม - นิติรัฐแท้จริง

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี เผยแพร่แถลงการณ์ของพรรค กรณีพรรคการเมืองฝ่ายค้านมีการพูดเรื่องการเสนอพิจารณาแก้ไขมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา โดยระบุว่า พรรคไทยภักดี ตระหนักว่าในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกคุกคาม และด้อยค่าอย่างหนักจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี 

โดยมีการเคลื่อนไหวกระทำความผิดกฎหมายอย่างเป็นขบวนการเพื่อละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ มีพฤติกรรมแสดงออกถึงความอาฆาตมาดร้าย เช่น การเผาพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สาธารณะ การพ่นสีตามท้องถนน การชูถือป้ายถ้อยคำหยาบคายหมิ่นสถาบันฯ เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาคนไทยทั้งประเทศ พฤติกรรมดังกล่าว ไม่ใช่ข้อเสนอแนะทางวิชาการโดยสุจริตแต่อย่างใด แต่กลับมีเป้าประสงค์ที่จะล้มล้างสถาบันฯ ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงร้ายแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยใดในประเทศไทยมาก่อน

เมื่อกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีเหล่านี้กระทำความผิดและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย กลับออกมารณรงค์ต่อต้าน และยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ มาตรา 116 ตลอดจนผลักดันให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้ง ๆ ที่ตนเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเหล่านี้อย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก นับว่าเป็นพฤติกรรมที่ย้อนแย้ง และกระทำไปเพื่อให้สามารถนำมาใช้ยกอ้างให้ตนพ้นจากความผิดที่ได้กระทำไปแล้ว นับว่าเป็นการกระทำที่ขาดความชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง

เหลือแต่ความทรงจำ!! ทุบทิ้งแล้ว ‘โรงหนังสกาลา’ ปิดตำนานโรงหนังสุดคลาสสิก

ทุบทิ้งแล้ว ‘โรงภาพยนตร์สกาลา’ ปิดตำนานโรงหนังยุคบุกเบิกสุดคลาสสิก เตรียมส่งมอบพื้นที่ให้เซ็นทรัลพัฒนา หรือซีพีเอ็น พัฒนาพื้นที่ต่อหลังคว้าสิทธิ์ในพื้นที่ 30 ปี

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังซีพีเอ็นชนะการประมูลพื้นที่ที่ดิน Block A จากสํานักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเวลา 30 ปี คิดเป็นค่าตอบแทนกว่า 7,750 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงภาพยนตร์สกาลา ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์สแตนด์อโลนขนาด 1,000 ที่นั่ง เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2512 หรือกว่า 50 ปี

และพื้นที่อาคารพาณิชย์สูง 3-4 ชั้น จํานวน 79 คูหา ส่วนใหญ่ประกอบกิจการเป็นคลินิก ร้านอาหาร ร้านค้าสินค้าแฟชั่น เครื่องสําอาง ธนาคาร โรงเรียนกวดวิชา ฯลฯ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกปทุมวัน จุดตัดระหว่างถนนพญาไทกับถนนพระรามที่ 1 ตรงข้ามกับสยามดิสคัฟเวอรี่ มีเนื้อที่โครงการทั้งหมดประมาณ 7 ไร่ 31 ตารางวา

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก Foto momo โพสต์ภาพรวมไปถึงคลิปไลฟ์สดทางเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการปรับปรุงพื้นที่รื้อถอน-ทุบทิ้งโรงภาพยนตร์สกาลา ก่อนส่งมอบให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN นำไปพัฒนาตามแผนงานต่อไป

‘ดร.นิว’ ซัดกลุ่มการเมือง หวังล้มล้างการปกครอง ดันยกเลิก ม.112 ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นตัวประกัน

'ดร.นิว' ชำแหละ คณะการเมืองหนักแผ่นดิน ใช้ม.112 เป็นบันไดก้าวแรกไปสู่การล้มล้างการปกครองเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ในขณะที่อีกพรรคการเมืองหนักแผ่นดินหนึ่งต้องการจับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นตัวประกัน เพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างน่ารังเกียจ

2 พ.ย. 64- ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Suphanat Aphinyan หัวข้อ ม.112 กับเกมการเมืองของคนหนักแผ่นดิน โดยระบุว่า

ม.112 สามารถยกเลิกได้เหมือนกับในบางประเทศ ก็ต่อเมื่อกฎหมายไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะผู้คนมีความเจริญถึงขั้นที่ไม่มีใครทำผิดกฎหมาย จนในท้ายที่สุดไม่มีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายนั้นไปเองโดยธรรมชาติ ดังนั้นการสนับสนุนให้ยกเลิก ม.112 ที่แท้จริง คือ การไม่ทำผิด ม.112 เพื่อให้ ม.112 สูญหายไปเองตามกาลเวลา 

แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยยังมีคนหนักแผ่นดินกลุ่มหนึ่งคอยสร้างเงื่อนไขของความจำเป็นที่ยังต้องมี ม.112 อยู่ ซึ่งคนหนักแผ่นดินกลุ่มนี้กำเริบเสิบสาน ยุยงปลุกปั่นให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสถาบันพระมหากษัตริย์กันเป็นว่าเล่น กล้าบิดเบือนให้ร้าย หวังบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ตลอดจนปั่นกระแสโซเชียลมีเดีย บิดเบือนหลอกใช้ผู้อื่นโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน เป็นเครื่องมือในการทำผิดติดคุกตะรางแทนตัวเอง ยกตัวอย่าง เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่คอยระมัดระวังตัวไม่ให้ตัวเองทำผิด ม.112 แต่กลับยุยงปลุกปั่นหลอกใช้ให้ผู้อื่นทำผิด ม.112 แทนตัวเอง 

โดยในปัจจุบัน "การติดคุกด้วยความผิด ม.112" เป็นการให้ข้อมูลเท็จ จากการบิดเบือนของสื่อที่ไร้จรรยาบรรณในสังคมไทย เพราะศาลยังไม่ได้มีการตัดสินผู้ที่ถูกดำเนินคดี ม.112 แม้แต่รายเดียว และการติดคุกของผู้ที่ถูกดำเนินคดี ม.112 มีสาเหตุที่แท้จริงมาจากการที่ศาลเคยให้ประกันตัวแล้ว แต่ผู้ต้องหากลับก่อเหตุซ้ำซากในลักษณะเดียวกัน จนศาลมองว่าเป็นการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายโดยปราศจากความเคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ศาลจึงไม่อนุญาตให้ประกันตัวอีก 

ดังนั้นการติดคุกของแกนนำม็อบสามนิ้วจึงมาจากการก่อเหตุซ้ำซาก จนถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมอีกหลายครั้งหลายหน ไม่ใช่จากการถูกจำคุกเนื่องจากถูกตัดสินว่ามีความผิดใน ม.112 ตามที่มีการบิดเบือนจากสื่อไร้จรรยาบรรณให้เกิดความเข้าใจผิดแต่อย่างใด

การโจมตี ม.112 จึงเป็นเพียงแค่เกมการเมืองของคนหนักแผ่นดิน พรรคการเมืองกับคณะการเมืองหนักแผ่นดินกลุ่มหนึ่งต้องการบ่อนทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นบันไดก้าวแรกไปสู่การล้มล้างการปกครองเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ในขณะที่อีกพรรคการเมืองหนักแผ่นดินหนึ่งต้องการจับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นตัวประกัน เพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างน่ารังเกียจ 

'รัฐบาล' เชิญชวนผู้ประกอบการเข้าร่วม 'SHA และ SHA Plus+'  หนุนท่องเที่ยววิถี New Normal ยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย สร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย รองรับการเปิดประเทศ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการเปิดประเทศในวันที่  1 พ.ย.ที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยต้องปรับตัวเพื่อรับกับการท่องเที่ยววิถี New Normal ที่จะเกิดขึ้น ข้อมูลภาพรวมล่าสุดของสถานประกอบการทั่วประเทศที่ผ่านมาตรฐาน  SHA มี จำนวน 18,722 ราย และ SHA Plus+ มีจำนวน 4,396 ราย ( ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2564)  จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ ให้สมัครเข้าร่วมได้ที่  www.thailandsha.com

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ลงทะเบียน SHA Plus+ จะต้องผ่านเกณฑ์ SHA และต้องมีพนักงานในสถานประกอบการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ไม่น้อยกว่า 70% ของพนักงานทั้งหมด และพนักงานต้อนรับ (Frontline) ที่ต้องพบเจอนักท่องเที่ยวต้องฉีดครบ 100% ร่วมกันยกระดับมาตรฐานการบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบ New Normal ที่สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ให้บริการก็มีความปลอดภัยด้วย

นางสาวรัชดา กล่าวว่า โครงการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย  (Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA)) เป็นโครงการความร่วมมือของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับกรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ โดยนำมาตรการความปลอดภัยด้านสาธารณสุขผนวกกับมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพของสถานประกอบการ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวว่าทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดี มีความสุข และความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจากสินค้าและบริการประเทศไทย 

ภายใต้โครงการฯ จะมีสัญลักษณ์ SHA ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสินค้าและบริการรวมทั้งด้านสุขอนามัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 โดยมีมาตรการทางสาธารณสุขเป็นหัวใจหลัก อาทิ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การบันทึกประวัติผู้ให้บริการและผู้รับบริการหรือนักท่องเที่ยว การสวมใส่หน้ากากอนามัยและถุงมือตลอดเวลา การจัดให้มีสถานที่ล้างมือและจุดบริการแอลกอฮอลล์ การมีระบบจัดการขยะ และของเสียที่ถูกสุขอนามัย การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตร การกำหนดแนวเส้นการใช้บริการอย่างชัดเจน และเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาด ส่วนสัญลักษณ์ SHA Plus+ คือมาตรฐาน SHA ดั้งเดิม ที่เพิ่มเงื่อนไขเข้าไปว่า พนักงานต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 แล้วไม่ต่ำกว่า 70% ของทั้งองค์กร และ 100% กับพนักงานหน้าด่าน (Frontline) ที่ต้องพบเจอแขกทุกวัน

“โดยกิจการที่สามารถขอรับมาตรฐาน SHA และ SHA Plus+ ได้ มี 10 หมวด ได้แก่ 1. ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2. โรงแรม/ที่พัก และสถานที่จัดประชุม 3. นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว 4. ยานพาหนะ 5. บริษัทนำเที่ยว 6. สุขภาพและความงาม 7. ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 8. กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9. โรงละคร โรงมหรสพและการจัดกิจกรรม และ 10. ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่นๆ” นางวาวรัชดา กล่าว

 

พลังงานชงครม.กู้เงิน 2 หมื่นล.ตรึงดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท

นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธาน ได้เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินตามที่สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนำเสนอ เพื่อเตรียมพร้อมสภาพคล่องในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท ช่วยลดผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนในช่วงที่สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง โดยขั้นตอนจากนี้จะเสนอร่างนี้ให้กับที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบต่อไป 

ทั้งนี้ยืนยันว่า การเตรียมกู้เงินในครั้งนี้ ก็เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทเนื่องจากน้ำมันดีเซล เป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจหากปล่อยให้มีราคาสูงเกินไปจะกระทบต่อผู้ประกอบการ ค่าขนส่ง ค่าสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งกระทรวงพลังงานจะควบคุมการใช้เงินกู้อย่างเข้มงวด และเป็นไปตามข้อกฎหมายที่กำหนดเอาไว้

'บิ๊กตู่' เผย ร่วมประชุม COP 26 ถือว่าคุ้ม ได้พบผู้นำหลายประเทศ พร้อมร่วมมือกับไทย 

นายกฯ เผย การเดินทางเข้าร่วมประชุม COP 26 ถือว่าคุ้ม ได้พบปะพูดคุยกับผู้นำประเทศต่าง ๆ หลายท่านรู้จักและคุ้นเคยกันดี ในหลายประเด็น “เขาพูดกับผมอย่างเดียวว่าพร้อมที่จะร่วมมือกับไทย พร้อมที่จะเดินหน้าในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าการลงทุน”

(2 พ.ย. 64) เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมหารือและการกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมระดับผู้นำในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ว่า ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับผู้นำประเทศต่าง ๆ ซึ่งหลายท่านรู้จักและคุ้นเคยกันดี ในหลายประเด็น ได้พูดคุยกันถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่ดีที่มีกันมาอย่างยาวนาน เพราะหลายคนก็ไม่ได้พบกันหลายปีพอสมควร แต่หลายคนก็อยู่ด้วยกันโดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคอาเซียน

“อย่างไรก็ตามผู้นำประเทศต่าง ๆ เขาพูดกับผมอย่างเดียวว่าพร้อมที่จะร่วมมือกับไทย พร้อมที่จะเดินหน้าในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าการลงทุน แม้แต่ในกลุ่มประเทศอาเซียน อย่างเวียดนาม ได้ยืนยันว่าจะต้องดำเนินการทุกอย่างให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการเจรจาทวิภาคีและพหุภาคี หรืออย่างเกาหลีใต้ เยอรมนี และได้ใช้โอกาสในการพูดคุยเชิญชวนบรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ มาเข้าร่วมประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือการประชุมเอเปค ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมในปี 2565 ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ในการประชุมอาเซียนที่ผ่านมาก็ได้มีการเรียนเชิญไปบ้างแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top