Saturday, 10 May 2025
Hard News Team

ภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ ไปได้สวย นักท่องเที่ยวสะสมกว่า 2 หมื่นคน

หลังจากที่รัฐบาลเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ขณะนี้ยอดนักท่องเที่ยวสะสมอยู่ที่เกือบ 20,000 คน มียอดการจองโรงแรมที่ได้เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย SHA Plus ตลอดไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย. 2564) จำนวนกว่า 371,826 คืน มีเที่ยวบินเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน

โดยนักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกมาจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล เยอรมนี และฝรั่งเศส โดยจำนวนนักท่องเที่ยวแซนด์บ็อกซ์ที่เดินทางเข้ามาทั้งหมดนั้น ตรวจคัดกรองพบเชื้อจำนวน 55 คน คิดเป็น 0.28 % และนำเข้าสู่กระบวนการของสาธารณสุขแล้ว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ยิ่งลักษณ์’ จวกรัฐบาลบิ๊กตู่ล้มเหลว ราคาข้าวตกต่ำซ้ำเติมชาวนา หนี้สินล้นพ้นตัว ยิ่งจนลง เสียดายนโยบายปรับโครงสร้างเกษตรที่เคยทำไว้

วันที่ 19 สิงหาคม นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า แม้ประเทศไทยของเราได้ชื่อว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเกษตรกรจะกินดีอยู่ดีค่ะ ชาวนาเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้นแต่ราคารับซื้อกลับลดลงอย่างหนัก ขณะที่ปลายเดือนสิงหาคมนี้ ข้าวเจ้านาปรังฤดูใหม่กำลังจะทะลักออกสู่ตลาดจำนวนมากมายหลายสิบล้านตัน แต่ราคาข้าวแทบทุกชนิดได้ร่วงลงไปก่อนหน้าแล้ว เช่น ข้าวเปลือกเจ้าแห้ง (ความชื้น15%) ราคาเหลือเพียงตันละ 7-8 พันบาท ดิฉันเป็นห่วงมากค่ะ ว่าราคาข้าวปีนี้จะตกตํ่ามากกว่าปีก่อน ซ้ำเติมชีวิตพี่น้องชาวนาไทยจากเดิมที่เดือดร้อน ไม่มีกินมีใช้ มีหนี้สินล้นพ้นตัวอยู่แล้วให้ยากจนลงไปอีก

วันนี้รัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาให้กับชาวนา มองไม่รอบด้าน และไม่ทันต่อสถานการณ์ มีแต่มาตรการเดิม ๆ จนทำให้วิกฤติราคาข้าวบานปลาย ดิฉันมีความเห็นว่า รัฐบาลควรจะหาแนวทางแก้ไขเบื้องต้นอย่างเร่งด่วน ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีค่ะ เช่น การออกมาตรการสนับสนุนต้นทุนการผลิต อย่างเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ค่าเช่านา เพื่อลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการเข้าไปดูแลด้านราคาให้กับชาวนา ขณะเดียวกันต้องแก้ปัญหาการขนส่ง การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ เพราะเมื่อส่งออกได้มากขึ้น ราคาข้าวก็จะสูงขึ้นด้วย ซึ่งจะเป็นการช่วยชาวนาในทางอ้อม เพราะการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวคือการช่วยเศรษฐกิจไทยในภาพรวมทั้งประเทศค่ะ

ดิฉันเสียดายโอกาสในการปรับโครงสร้างเกษตรทั้งระบบที่ได้เริ่มวางรากฐานไว้เมื่อครั้งที่ดิฉันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เช่น การทำเกษตรโซนนิ่ง การลดการผลิตข้าวคุณภาพต่ำ และการปลูกพืชอื่น หลังเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว การพัฒนาพันธุ์ข้าว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มผลิตภาพของแรงงาน ไปจนถึงมาตรการลดต้นทุนโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตร การขยายตลาดใหม่ ๆ เพื่อสร้างโอกาส และมอบอนาคตที่ดีให้กับอาชีพชาวนา ให้สมกับคำว่าชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ จะได้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งค่ะ


ที่มา : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra/photos/a.201001219944341/4639957352715350


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'โฆษกรัฐบาล' ย้ำ หลังพ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ปลดกระท่อมพ้นยาเสพติดให้โทษ มีผล 24 ส.ค.นี้ ส่งผลปล่อยผู้ทำผิด 1,038 ราย ให้ปชช.ปลูก-บริโภค-ซื้อขายใบได้

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 จะมีผลวันที่ 24 ส.ค.นี้ โดยปลดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ทำให้ประชาชนสามารถปลูกและขายได้ รวมทั้งปล่อยผู้กระทำความผิดตามกฏหมายพืชกระท่อมในวันที่ 24 ส.ค. จำนวน 1,038 ราย โดยถือว่าไม่เคยกระทำความผิด สำหรับผู้ถูกจับกุมหรือจำเลยในชั้นต่าง ๆ จะดำเนินการตามแนวทางการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปล่อยตัวผู้กระทำความผิดและผู้ต้องขังคดีความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อมต่อไป

นายอนุชา กล่าวว่า เบื้องต้นภาครัฐจะได้รับประโยชน์เมื่อมีการปลดกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ สามารถลดค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของภาครัฐ ผู้ต้องหาหรือจำเลย 1,691,287,000 บาท โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) ศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลเท่ากับ 76,612 บาท ซึ่งคดีข้อหาพืชกระท่อมที่ขึ้นสู่ศาลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2563 - 30 มิ.ย. 2564 มี 22,076 คดี

นายอนุชา กล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กำชับให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เร่งสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงข้อกฎหมายว่า ประชาชนสามารถปลูกและบริโภคกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน รวมถึงซื้อหรือขายใบกระท่อมโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ หากนำไปผสมยาเสพติดอื่น ๆ เช่น 4 คูณ 100 ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ส่วนการนำเข้าหรือส่งออกไปต่างประเทศในเชิงอุตสาหกรรมต้องขออนุญาตก่อน

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ย้ำให้การปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระสำคัญเร่งด่วน เน้นจับกุม ยึดทรัพย์ ลงโทษทางอาญา เครือข่ายผู้ค้า ควบคู่ไปกับบำบัดโดยนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ต้องรณรงค์สร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันในกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มเสี่ยงที่เป็นแรงงานนอกระบบด้วย”


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"ชวน" คาด ถกงบ 65 จบ 20 ส.ค. ไม่หวั่นม็อบมาสภาฯ ชี้ ที่ผ่านมาไม่มีปัญหา เผย พร้อมเปิดรับ มีมาตรการดูแลความปลอดภัย

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงภาพรวมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในวาระ 2-3 ว่า อภิปรายถึงมาตรา 8 ถือว่าใช้ได้ เพียงแต่งบประมาณของกระทรวงกลาโหมมีการอภิปรายกันยาว โดยวันนี้จะเริ่มอภิปรายที่มาตรา 9 คาดว่าเวลาที่เหลืออีก 2 วันน่าจะเพียงพอกับมาตราที่เหลือ ซึ่งอาจจะจบในวันที่ 20 ส.ค. ช่วงดึกๆ ทั้งนี้ก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี เพราะได้มีการย้ำว่าเป็นการอภิปรายแปรญัตติ อย่าไปอภิปรายเป็นวาระที่ 1 ซึ่งเมื่อวานนี้ตั้งใจจะให้การประชุมเลิกดึกกว่านี้ แต่สมาชิกเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ คนขับรถ จะเดินทางกลับในช่วงเคอร์ฟิวลำบาก แต่เราก็มีหนังสือรับรองไว้แล้ว และได้มีการเตรียมรถรับส่งเจ้าหน้าที่ไว้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่าวันที่ 20 ส.ค. อาจจะมีผู้ชุมนุมมาชุมนุมที่รัฐสภา จะมีการกำชับเรื่องมาตรการดูแลความปลอดภัยอย่างไร นายชวน กล่าวว่า มีการเตรียมไว้แล้ว โดยทั่วไปที่มาชุมนุมที่รัฐสภาไม่มีปัญหามาก และสภาฯ เปิดรับสามารถมายื่นหนังสือได้ และที่สำคัญคือให้เป็นการชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ซึ่งคงไม่ต้องมีการยกระดับการดูแลความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ก็ดูแลตามปกติ เพียงแต่อย่าไปประมาท
 

ไชโย! “จุรินทร์” เคาะจ่ายชดเชยฝายหัวนา 350 ราย 34.66 ล้านบาท หลังรอมา 20 ปี

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้เวลา 14.30  น. มีการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Zoom ณ ห้อง 201 สภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมในฐานะคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาครั้งที่ 2 / 2564 ซึ่งฝ่ายเลขาคือสำนักกฎหมายและที่ดินกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

นางสาวรัชดา กล่าวว่า ที่ประชุมพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย กรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ จำนวน 350 แปลง เนื้อที่ 770-1-59 ไร่ ตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ เฉพาะกลุ่มโนนสัง กลุ่มราษีไศล และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน


 โดยมติที่ประชุม เห็นชอบรายชื่อราษฎรผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่ถูกเขตการก่อสร้างที่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนค่าขนย้าย (ที่ดิน) ตามหลักเกณฑ์แห่งมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2532 ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ทั้งสองคณะ จำนวน 350 แปลง เนื้อที่ 770-1-59 ไร่ เป็นเงิน 34.66 ล้านบาท โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป

"และรองนายกรัฐมนตรีจุรินทร์ยังได้กำชับให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ทั้งนี้ไม่ให้เป็นปัญหายืดเยื้อและให้อำนวยความสะดวกให้กับราษฎรอย่างเต็มที่เนื่องจากที่ผ่านมาใช้เวลาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้นานมากแต่สำเร็จในยุคนี้ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์แก่ราษฎร " รองโฆษกรัฐบาล  กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมครั้งนี้ใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากนายจุรินทร์ต้องการเร่งรัดแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งยืดเยื้อมานานสำหรับการประชุมครั้งนี้นอกจากตัวแทนหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องแล้วยังมีผู้แทนกลุ่มราษฎรในพื้นที่ทุกฝ่ายเข้าร่วมด้วย เช่น ตัวแทนสมัชชาคนจนตัวแทนราษฎรตำบลโนนสัง เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ยืดเยื้อมา 20 ปีเพราะการพิสูจน์สิทธิและการแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่มีผู้แทนหลายกลุ่ม แต่ยุติได้ในคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาชุดนี้เพราะมีนายจุรินทร์ เป็นประธาน เนื่องจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ใช้ข้อมูลประสบการณ์การแก้ไขปัญหาเกษตรกรควบคุมการประชุมให้ความขัดแย้งในตัวแทนชาวบ้านยุติและเกิดความยุติธรรม ซึ่งหลังจากนี้ไปจะมีการนำเข้าอนุมัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและจ่ายเงินให้เกษตรกรตามสิทธิเป็นลำดับถัดไป

เดินหน้า "5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย" ฝ่าวิกฤติโควิด กระทรวงเกษตรฯ ผนึกเครือข่ายเกษตรอินทรีย์คิกออฟสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.ครั้งแรกในไทย “อลงกรณ์”เล็งเป้าตลาดแสนล้านปั้นไทยฮับอาเซียน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการแนวทางและแผนดำเนินการขับเคลื่อน”สภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส.แห่งประเทศไทย”วันนี้ว่า สินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นที่ต้องการของตลาดโลกอย่างมากโดยมีมูลค่ากว่า1แสนล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า3ล้านล้านบาท มีอัตราเติบโตปีละ 20% ตลาดที่สำคัญของโลกคือยุโรปและอเมริกาเหนือ ส่วนตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็วคือ จีน ออสเตรเลีย และอาเซียน สำหรับในประเทศไทยมีมูลค่าตลาด 3,000 ล้านบาท และส่งออก 2,000 ล้านบาท ยังขยายตัวได้อีกมากด้วยนโยบายและกลยุทธ์ใหม่ๆ

คาดว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงเรื่องสุขภาพจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์ทวีมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญกับการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ เพราะจะเป็นประโยชน์กับตัวเกษตรกรและผู้บริโภคในประเทศ รวมทั้งเป็นสินค้าเกษตรแห่งอนาคต(Future Food)ที่มีโอกาสเติบโตในตลาดโลกได้อย่างมากจึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ด้านการผลิต การแปรรูป การบริโภค การค้าสินค้า และ การบริการเกษตรอินทรีย์ ที่มีความยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและได้จัดให้มี "ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2564" โดยมีคณะกรรมการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติและคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นกลไกระดับนโยบายและมีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภายใต้3คณะทำงานได้แก่คณะกรรมการด้านเกษตรอินทรีย์ คณะทำงานด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสานและคณะทำงานด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ


ทั้งนี้รัฐบาลได้จัดงบประมาณปี 2564จำนวน 1.9 พันล้านบาทสนับสนุนโครงการของกระทรวงทบวงกรมต่างๆรวมทั้งสิ้น 209 โครงการเช่นโครงการข้าวอินทรีย์ ที่ขยายพื้นที่ได้ปีละประมาณ 3 แสนไร่ 

สำหรับปี2563ที่ผ่านมาคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่มีดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานได้เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการปี 2564-2565เดินหน้าจัดทำร่าง พรบ.เกษตรกรรมยั่งยืนพร้อมกับอนุมัติให้มีการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติรวมทั้งการจัดทำโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Urban Farming)และโครงการธนาคารสีเขียว(Green Bank) เพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติโควิด19ได้มอบให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)จัดทำหลักเกณฑ์การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม(PGS)พร้อมกับจัดตั้ง”สภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส.(PGS)แห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรก

วันนี้จึงถือเป็นวันดีเดย์ก้าวแรกของสภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส. ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเครือข่ายองค์กรเกษตรอินทรีย์หลักๆเช่น มูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย มูลนิธิ เกษตรกรรมยั่งยืน สมําพันธ์เกษตรอินทรีย์ไทย พีจีเอส สหพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่ง ประเทศไทย  ยังมีกลุ่มเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส ในเครือข่ายอื่นๆ อีกเป็นจํานวนมากที่พร้อมจะร่วมกันขับเคลื่อนสภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส และแผนดําเนินงานขับเคลื่อนระบบ พี จี เอสของประเทศให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
(1) เพิ่มพื้นที่และปริมาณการผลิตเกษตรอินทรีย์
(2) เพิ่มการค้าและการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์
(3) เพื่อให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
(4) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของสินค้าและบริการด้านเกษตรอินทรีย์ในระดับภูมิภาค

การจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวต้องบริหารเชิงกลยุทธ์แบบSand Box Modelให้เกิดความคล่องตัวเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่นทั้งนี้จะต้องพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค การพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์โดยเชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC)อย่างใกล้ชิดด้านการวิจัยพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการอบรมบ่มเพาะเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งการพัฒนาตลาดกลางสินค้าเกษตรอินทรีย์แบบออนไลน์และออฟไลน์เป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค การสร้างแบรนด์ของสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระบบทรัพย์สินทางปัญญาและการเชื่อมโยงการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์จากผลผลิตทั้งพืชและสัตว์กับโครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมเกษตรอุตสาหกรรม ประการสำคัญคือจะต้องมีรวมศูนย์ข้อมูลกลางของเกษตรอินทรีย์ซึ่งสามารถใช้ศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ(National Agriculture Big Data Center:NABC)ได้ทันทีและควรยึดหลัก”Zero Kilometer”คือ”ผลิตที่ไหนขายที่นั่น”จะได้ผลิตตามความต้องการของตลาดที่ใกล้ตัวที่สุดจากในชุมชนสู่ภายในจังหวัดในระดับภาคระดับประเทศและต่างประเทศตาม5ยุทธศาสตร์ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แก่ตลาดนำการผลิต,เทคโนโลยีเกษตร4.0,3S(safety-security-sustainability เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืน,ศาสตร์พระราชาและบูรณาการเชิงรุกทุกภาคส่วน
เพื่อบรรลุเป้าหมาย 4ประการ
(1) เพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 600,000 ไร่ ภายในปี 2564
(2) เพิ่มจำนวนเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 30,000 ราย ภายในปี 2564
(3) เพิ่มสัดส่วนตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศต่อตลาดส่งออกโดยให้มีสัดส่วนตลาดในประเทศร้อยละ 40 ต่อตลาดส่งออกร้อยละ 60
(4) ยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านเพิ่มขึ้น

“สภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส.ต้องบูรณาการ360องศา เปิดกว้างสร้างพันธมิตรทำงานเชิงโครงสร้างและระบบ วันนี้เป็นวันแรกเป็นช่วงของการจัดตั้งและเดินหน้า(Setup Startup)ต่อด้วยการเชื่อมโยงต่อยอดให้สำเร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ สภาเกษตรอินทรีย์เปรียบเสมือนคานงัดที่จะสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่ออนาคตของเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยของเรา”นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

การประชุมสัมนาเชิงปฏิบัติครั้งนี้มีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษมอบนโยบายโดยมีนายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กล่าวรายงาน  ผ่านระบบ zoom cloud meeting โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมกว่า300คนรวมทั้งนายสำราญ สารบรรณ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรและอดีตอธิบดีกรมการข้าว นางจินตนา อินทรมงคล ผู้แทนมูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย นายอนันตโชค ศักดิ์สวัสดิ์ ผู้แทนสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์ไทย พีจีเอส นายอนุรักษ์ เรืองรอบ ตัวแทนสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่งประเทศไทย นายชฤทธิพร เม้งเกร็ด ผู้แทนสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย  นายสมนึก ยอดดำเนิน จากบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด และผู้แทนเกษตรกร และผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านเกษตรอินทรีย์ 

กระทรวงอุตสาหกรรม วอนโรงงานตรวจเข้มมาตรการป้องกันโควิด ด้วย “Bubble and Seal” และเข้าประเมินตนเองออนไลน์ TSC ด้านผลวิเคราะห์ชี้!! ประเมินแล้ว​ ช่วยลดการระบาดโควิด ได้ 4.5 เท่า

นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประชุมหารือร่วมกับ ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงานกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งขับเคลื่อนมาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานที่ยังคงพบ ผู้ติดเชื้อโควิดต่อเนื่อง เพื่อให้การผลิตของภาคอุตสาหกรรมเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งต่อการพยุงเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ  จากการส่งออก การบริโภค การจ้างงานและธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องภายในประเทศ โดยจะดำเนินการร่วมกันดังนี้

1.) ปรับมาตรการ Bubble and Seal และ Factory Isolation ภายในสถานประกอบการ ให้เหมาะสมกับโรงงานทุกขนาด พร้อมกับการสื่อสารให้กับแรงงานและชุมชนเข้าใจถึงเหตุผลที่ไม่หยุดประกอบกิจการ

2.) สร้างความรู้ความเข้าใจและให้คำแนะนำการทำ Bubble and Seal ในรูปแบบ Coaching คือคอยให้คำแนะนำแนวทางและให้ความช่วยเหลือ ทั้งรูปแบบ Online และ Offline เพื่อให้โรงงานทุกขนาดสามารถดำเนินมาตรการได้ พร้อมกันทั่วประเทศ

3.) ปรับเกณฑ์ Good Factory Practice : GFP เพื่อปิดช่องว่างที่เป็นสาเหตุของการแพร่ระบาด โดยเสนอเพิ่มมาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยชุด Antigen Test Kit (ATK) และเข้มงวดการตรวจกำกับหอพัก การรถรับส่งแรงงาน รวมทั้งการเว้นระยะห่างของผู้ปฏิบัติงาน

4.) เร่งขอความร่วมมือโรงงานโดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็กเข้าประเมินตนเอง Online ในแพลตฟอร์ม Thai Stop Covid (TSC) และการสุ่มตรวจประเมินโรงงาน (Onsite) เพื่อแนะนำการใช้มาตรการต่าง ๆ ในเชิงรุก อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้จากฐานข้อมูลที่ได้รับจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าโรงงานที่เข้าประเมิน TSC แล้ว  มีแนวโน้มการติดเชื้อโควิดน้อยกว่าโรงงานที่ไม่ได้เข้าประเมินถึง 4.5 เท่า ดังนั้นจึงขอเชิญชวนโรงงานทุกขนาด ได้เข้าประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม TSC ควบคู่ไปกับการทำ Bubble and Seal เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในโรงงาน

ด้านนายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์วิกฤตกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ศูนย์ CMC : Crisis Management Center กล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจากการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 17 สิงหาคม 2564 พบการระบาดของโรงงานทั้งสิ้น 749 แห่ง มีผู้ติดเชื้อจำนวน 53,135 คน ครอบคลุมพื้นที่ 62 จังหวัด สำหรับ 5 อันดับจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุด คือ จังหวัดเพชรบุรี 4,597 คน ฉะเชิงเทรา 3,648 คน สระบุรี 3,647 คน  สมุทรสาคร 3,571 คน และเพชรบูรณ์ 3,487 คน

ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ อุตสาหกรรมอาหาร 136 โรงงานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 103 โรงงาน อุตสาหกรรมโลหะ 65 โรงงาน อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม 64 โรงงาน และอุตสาหกรรมพลาสติก 57 โรงงาน

“แม้ว่าภาพรวมการระบาดของโควิด-19 ในโรงงาน ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันพบมีผู้ติดเชื้อใหม่ในโรงงานเพิ่มวันละประมาณ 13 แห่ง มีจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละกว่า 800 คน หรือประมาณ 4% ของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันของประเทศ โดยแนวโน้มการระบาดในช่วงนี้จะไม่พบผู้ติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ แต่จะกระจายตัวไปในหลายโรงงาน หลายจังหวัดและพบผู้ติดเชื้อเป็นหลักสิบ

ขณะที่ผู้ติดเชื้อในช่วงเมษายน - 17 สิงหาคม 2564 มีจำนวนผู้หายป่วยและกลับมาทำงานได้แล้วจำนวนมาก เช่น ใน 10 ลำดับโรงงานที่พบการระบาดของเชื้อโควิดมากที่สุด มีผู้ติดเชื้อรวมจำนวน 16,798 คน พบแรงงานหายป่วยแล้ว 12,954 คน หรือคิดเป็น 77% ซึ่งส่วนใหญ่ ผู้ติดเชื้อในโรงงานจะใช้เวลารักษาตัว 14-28 วัน ก็จะกลับมาทำงานได้ เนื่องจากอยู่ในวัยหนุ่มสาว สุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีบางส่วนได้รับการฉีดวัคซีนด้วยแล้ว

สำหรับข้อมูลโดยละเอียดกระทรวงฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการรายงานฯ ให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ครอบคลุมทุกมิติ และพร้อมเชื่อมต่อข้อมูลกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประโยชน์ในข้อมูลร่วมกัน”

นอกจากนี้ ปัจจุบันมีโรงงานเข้าประเมินออนไลน์ใน TSC แล้วจำนวน 20,032 แห่ง คิดเป็น 31% จากโรงงานทุกขนาด 64,038 แห่ง โดยรวมพบโรงงานผ่านเกณฑ์ จำนวน 13,235 แห่ง หรือคิดเป็น 66% และไม่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 6,797 แห่ง หรือคิดเป็น 34% ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับเมื่อเข้าประเมินตนเองในแฟลตฟอร์ม TSC คือ เราจะทราบทันทีว่า สิ่งที่โรงงานดำเนินการอยู่ ผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์ กรณีไม่ผ่านเกณฑ์จะต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในส่วนใด ซึ่งการดำเนินการยกระดับให้ผ่านเกณฑ์ TSC ควบคู่ไปกับการทำ Bubble and Seal จะเป็นมาตรการที่สามารถป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายเดชาฯ กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

บอร์ดกสทช. สั่งยกเลิกการประมูลสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม 28 ส.ค.นี้ เล็งทบทวนเงื่อนไขสอดคล้องกับสถานการณ์ เกิดการแข่งขันเสรี

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงใหม่เกี่ยวกับการประมูล จึงได้มีมติให้ทบทวนมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2564 วาระที่ 5.2.17 เรื่อง การดำเนินการตามกระบวนการคัดเลือกและวันจัดการประมูลสำหรับการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package)

จากนั้นที่ประชุม กสทช. ได้มีมติยกเลิกการประมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package) ที่กำหนดจัดประมูลในวันที่ 28 ส.ค. 64

ทั้งนี้เนื่องจากมีผู้ยื่นขอรับอนุญาตฯ เพียงรายเดียว อาจไม่ทำให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรมในการประมูล พร้อมให้คืนค่าหลักประกันการประมูลและค่าพิจารณาคำขอรับอนุญาตแก่ผู้รับเอกสารการคัดเลือกทุกราย

รวมถึงให้สำนักงานฯ ไปปรับปรุงประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package) ให้มีความเหมาะสม เพื่อรักษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรมในการประมูล

หลังจากข่าวนี้ปรากฎ ทาง 'ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ' หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas สหรัฐอเมริกา ก็ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Suphanat Aphinyan' ว่า...

ก้าวแรกของ "การปฏิวัติประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ"

กสทช. ประกาศยกเลิกการประมูลวงโคจรดาวเทียมรอบใหม่ 28 สิงหาคม 2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

ผมขอขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านที่ได้ร่วมกันตีแผ่ความจริง จนในที่สุดความจริงสามารถกดดันและล้มการประมูลนี้ลงได้เป็นผลสำเร็จ

หากแต่ #ภารกิจทวงคืนกิจการดาวเทียมกลับมาเป็นของประชาชน ยังไม่จบ จนกว่ากิจการดาวเทียมจะกลับมาเป็นของประชาชนโดยสมบูรณ์

ปัญหากิจการดาวเทียมในกำมือของคนส่วนน้อย ได้ตีแผ่ "ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยของชาติ" ได้เป็นอย่างดี ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอำนาจอธิปไตยปวงชนเป็นจริงแค่ในกระดาษ ทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของชาติตกอยู่ในกำมือของคนส่วนน้อย ไม่ต่างจากอำนาจอธิปไตยที่ยังคงอยู่ในมือของคนส่วนน้อย นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของ "ระบอบเผด็จการ" ในประเทศไทย ซึ่งมี "นักธุรกิจการเมือง" ต่างเข้ามาแทรกแซงผลประโยชน์ของรัฐ คอร์รัปชันเชิงนโยบายเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจ แปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้วถือครองผ่านนอมินี ผูกขาดสัมปทานไปเป็นสมบัติส่วนตัว ฯลฯ

การนำกิจการดาวเทียมกลับมาเป็นของประชาชน จึงเป็นการทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ที่จะทำให้ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน ไม่ต่างจากที่เป็นเจ้าของกิจการดาวเทียมแห่งชาติร่วมกัน ซึ่งจะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนของ "การปฏิวัติประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ" ที่ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างทั่วถึง

นี่คือ ก้าวแรกของ "การปฏิวัติประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ" เป็น "โดมิโน่ตัวแรก" ที่เริ่มต้นล้มล้าง "อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย" แล้วทำ "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน" อย่างสันติ

ขณะเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้ให้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...

ภารกิจของพวกเรายังไม่จบครับ สมัยยิ่งลักษณ์ เคยมีมติให้กสทช. ออกใบอนุญาตที่ไม่มีกฎหมายรองรับ มอบให้ไทยคมไปแล้วเมื่อปี 2555 มีอายุ 20 ปี

จะหมดอายุในปี 2575 จึงเป็นที่มา ที่เขาเอาใบอนุญาตนี้ไปส่งไทยคม 7 และไทยคม 8 ขึ้นวงโคจรของชาติและไม่ยอมส่งคืนไทยคม 7 และ 8 ให้ชาติ

หน้าที่คนไทย ต้องช่วยกันทวงไทยคม 7 และ 8 กลับมาเป็นของรัฐ โดยเฉพาะไทยคม 7 เขาไปสมคบกับฮ่องกง ปู้ยี่ปู้ยำ ไปทำมาหากิน ในสมบัติของชาติ และชาติเราเสียหายมาก


ที่มา : https://www.facebook.com/1635406246730420/posts/2981092945495070/

https://www.facebook.com/100001579425464/posts/4459760550753215/

https://www.posttoday.com/economy/news/660911


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘หมอกุ๊บกิ๊บ’ ร่ำไห้ขอโทษ พาแม่และพี่สาว ฉีดไฟเซอร์ เปิดใจไม่ลาออกแล้ว จะขออยู่สู้เพื่อประชาชน

จากกรณีเเพทย์หญิงรายหนึ่งใน รพ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช พาญาติที่ไม่ใช่บุคลากรด่านหน้ามาฉีดวัคซีนไฟเซอร์ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดย นพ.จรัสพงษ์ สุขกรี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่พญ.คนดังกล่าว ได้ฉีดให้พี่สาว ส่วนแม่ยังไม่ได้ฉีด เนื่องจาก ผอ.รพ.นบพิตำ สั่งห้ามฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคคลภายนอกเด็ดขาด ต่อมาแพทย์หญิงได้ยื่นใบลาออกต่อ ผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด แพทย์หญิงกฤตยาณี พูลเพียร หรือ ‘หมอกุ๊บกิ๊บ’ อายุ 27 ปี แพทย์ประจำ รพ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นแพทย์หญิงที่ตกเป็นข่าวดังกล่าว ได้ออกมายกมือไหว้พร้อมหลั่งน้ำตา ยอมรับว่าเห็นแก่ตัว พร้อมขอโทษประชาชนที่คิดน้อย ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอ่อนไหว พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้มีประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาให้กำลังใจ รวมทั้งในโลกโซเชียลได้เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจและเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ตนตัดสินใจจะสู้ต่อไป ไม่ลาออกแล้ว จะสู้กับความจริงเพื่อประชาชน คนไข้ชาวนบพิตำต่อไป ประกอบกับมีผู้ใหญ่ขอร้องและให้กำลังใจ ขอให้ช่วยสู้กับโควิด-19 ต่อไป ตนจึงไม่ขอลาออกอีกแล้ว จะขอตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด

พญ.กฤตยาณี กล่าวต่อว่า มันเป็นวัคซีนที่เหลือก้นขวดทิ้งถังขยะจริง ๆ ทุกคนที่นั่งอยู่ก็เห็น บุคลากรด่านหน้าที่ 66 คน ทุกคนได้รับวัคซีนครบ ยอมรับว่าหมอให้พี่สาวพาคุณแม่มาด้วย แต่แม่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่อย่างใด เพราะหลังฉีดให้พี่สาวก็มีบุคลากรบางท่าน รายงานให้ ผอ.รพ.นบพิตำว่า มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ของบุคลากรด่านหน้าให้กับบุคคลภายนอก ซึ่งเขาก็ทำถูกต้องแล้ว จนทาง ผอ.รพ.กำชับไม่ให้ฉีดให้บุคคลภายนอก แต่หมอเองก็น้อยใจว่า เราทำงานสุ่มเสี่ยงตรงนี้มาต่อเนื่อง แต่เราไม่สามารถที่จะเอาวัคซีนก้นขวดทิ้งไปแล้วกลับมาฉีดให้กับแม่และพี่สาวของเราเพื่อให้เขาปลอดภัยได้ เพราะทุกวันที่หมอมาทำงานที่ รพ.นบพิตำ คลุกคลีกับผู้ป่วย รวมทั้งบุคลากรที่ติดเชื้อก็มี และหมอต้องกลับไปนอนกับแม่ กับพี่สาว ที่ผ่านมาหมอเองเป็นคนเสี่ยงและเสียสละอยู่ด่านหน้า แต่หมอไม่สามารถที่จะดูแลปกป้องคนในครอบครัวของตัวเองได้เลย นี่คือความเห็นแก่ตัวของหมอเอง หมอก็โทษประชาชนทุกคนจริง ๆ ที่หมอเห็นแก่ตัว มันเป็นประเด็นที่อ่อนไหวจริง ๆ

"หลังเกิดเรื่องหมอจะได้รับผลกระทบเยอะมาก มีคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรง หยาบคายในข่าวหลายสังกัด และในเฟซบุ๊กส่วนตัวหมอ และในเพจคลินิกหมอที่หน้า ม.วลัยลักษณ์ ซึ่งหมอได้เรียนชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดไปแล้ว หากเกิดความเสียหายร้ายแรงจะพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป" หมอกุ๊บกิ๊บ กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตร.ควบคุมฝูงชน สาธิตยิงแก๊สน้ำตา ยืนยันปลอกกระสุนโลหะติดอยู่กับปืน หลังมีการเผยแพร่ข่าวปลอมผ่านทางสื่อโซเชียลว่าผู้ชุมนุมถูกกระสุนแก๊สน้ำตายิงเข้าที่ใบหน้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ย้ำแต่ละนัดต้องคำนวณให้ดี เพราะมีราคานัดละ 3,000 บาท และมาจากภาษีประชาชน

วันนี้ (18 ส.ค. 64) เวลา 11.00 น. ที่สนามบุณยะจินดา สโมสรตำรวจ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. พล.ต.ต.ณัฐ สิงห์อุดม รอง ผบช.ตชด. พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผบก.อคฝ. และเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชน บก.อคฝ. ร่วมกันทดสอบและสาธิตการยิงแก๊สน้ำตาที่ใช้ควบคุมฝูงชนในสถานการณ์การชุมนุมที่ผ่านมา

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวว่า การสาธิตยิงแก๊สน้ำตาวันนี้ เพื่อให้เห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เราได้ใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนที่ได้รับอนุมัติตามมติ ครม. ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ถึงแก่ชีวิต โดยวันนี้จะให้ดูกระสุนแก๊สน้ำตาที่ใช้ในปัจจุบันว่าลักษณะก่อนและหลังยิงเป็นอย่างไร และลักษณะกระสุนแก๊สน้ำตาแบบยิง ยืนยันว่าไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งตำรวจคิดว่าหากไม่ทำอะไร จะมีความรุนแรงกว่านี้

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวต่อว่า กรณีเกิดเหตุถกเถียงกัน ว่าผู้ที่ถูกยิงอยู่ในระยะไม่ต่ำกว่า 100 เมตร เราก็จะจำลองดูว่าลักษณะการยิงจริง ๆ ว่ายิงอย่างไร เพราะการยิงแก๊สน้ำตาบางครั้งมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นทิศทางลม พื้นที่ชุมนุม เรามีความจำเป็นต้องยิงไปตามสถานการณ์นั้น ๆ ทั้งนี้แก๊สน้ำตาจะใช้ยิงในระยะไกล ส่วนระยะใกล้ใช้การขว้าง ส่วนกระสุนยางปกติยิงในระยะ 15 เมตร

จากนั้น พ.ต.ท.ศรายุทธ อรุณฉาย รอง ผกก.1 บก.อคฝ. ได้ทำการสาธิตวิธียิงแก๊สน้ำตา ICL-830 cartridge with tear gas projectile ขนาด 38 มม. แบบวิถีโค้ง เพื่อควบคุมฝูงชน จำนวน 3 นัด โดยกำหนดจุดตกบริเวณริมสนามฟุตบอล ห่างจากจุดยิงประมาณ 100 เมตร ผลการสาธิตกระสุนแก๊สน้ำตา ตกใกล้เคียงเป้าหมาย เนื่องจากมีผลกระทบจากกระแสลม

ภายหลังจากการสาธิตดังกล่าว พ.ต.ท.ศรายุทธ ได้อธิบายว่า การยิงแก๊สน้ำตามีระยะยิงอยู่ที่ 50 เมตร 100 เมตร และ150 เมตร แต่ละครั้งจะมีการคาดคะเนจุดตก เพื่อให้ลมพัดเอาควันไปยังจุดที่เป็นเป้าหมาย ยืนยันว่าไม่มีการเล็งใส่ตัวบุคคล และการยิงแต่ละครั้งต้องคิดคำนวณให้ดี เพราะแต่ละลูกมีราคากว่า 3,000 บาท และมาจากภาษีของประชาชน

พ.ต.ท.ศรายุทธ กล่าวต่อว่า มุมที่ทดสอบวันนี้เป็นมุมที่เจ้าหน้าที่ใช้ยิงโดยปกติในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน แสดงให้เห็นว่าตัวปลอกกระสุนที่เป็นโลหะ จะยังคงค้างอยู่ในลำกล้องปืน ไม่สามารถลอยไปทำอันตรายกับผู้ชุมนุมได้ ส่วนที่ลอยออกไปมีเพียงส่วนที่เป็นตัวกระบอกบรรจุแก๊สน้ำตา ซึ่งทำจากพลาสติกสีน้ำเงิน ภายในบรรจุสารแก๊สน้ำตา ซึ่งสามารถลุกไหม้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ชนิดระเบิดเหมือนที่เคยใช้ในการสลายการชุมนุมเมื่อช่วงปี 2551 ดังนั้นชนิดที่ใช้ในปัจจุบันจึงไม่เป็นอันตราย

พ.ต.ท.ศรายุทธ กล่าวอีกว่า การยิงแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ เป็นการยิงเพื่อให้ควันไปยับยั้งการคุกคาม ไม่มีการยิงใส่ตัวชุมนุมโดยตรง เจตนาเพื่อต้องการให้ผู้ชุมนุมสลายตัวไป แต่ยอมรับว่าบางครั้งทิศทางลมมีผลต่อวิถีของแก๊สน้ำตา ทำให้ไม่ไปตกในจุดเป้าหมาย และอาจโดนถูกผู้ชุมนุมได้เช่นกัน แต่ส่วนตัวขณะฝึกซ้อม ก็เคยโดนแก๊สน้ำตากระแทกเข้าที่บริเวณศีรษะเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รับบาดแผลใด ๆ เพียงมีรอยช้ำแดงเท่านั้น

นอกจากนี้ปืนยิงแก๊สน้ำตา เป็นลำกล้องที่ใช้กับกระสุนแก๊สน้ำตาขนาด 38 มม. โดยเฉพาะ และลำกล้องไม่มีเกลียว ทำให้ไม่สามารถใช้คู่กับกระสุนหรือระเบิดชนิดอื่นได้ เพราะมีขนาดใหญ่กว่าตั้งแต่ 40 มม.ขึ้นไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในการสาธิตเห็นยิงเป็นวิถีโค้ง แต่ภาพที่ปรากฎเวลามีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับมวลชน เจ้าหน้าที่จะขึ้นไปอยู่บริเวณจุดสูงข่ม เช่น บนทางด่วน โดยการยิงจะยิงกดลงมาด้านล่าง นั้น ได้มีการกำชับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างไร พ.ต.ท.ศรายุทธ กล่าวว่า ในหน่วยของตน ก่อนจะออกปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง จะมีการสั่งกำชับการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ฝึกเสมอ ส่วนภาพเหตุการณ์การยิงลักษณะจากบนที่สูง หากเป็นหน่วยอื่นตนไม่สามารถให้ความคิดเห็นได้ แต่ถ้าพบในหน่วยของตน จะมีการทบทวนและเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามหลักที่ฝึกมาทุกครั้ง เพราะตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่มีหน้าที่ควบคุมให้สถานการณ์บ้านเมืองสงบ


ที่มา : https://news.ch7.com/detail/508458


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top