Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

‘มาสด้า’ เปิดตัว!! ปิกอัพทรงพลัง BOLD NEW MAZDA BT-50 เครื่องยนต์ใหม่ เกียร์ใหม่!! ไปดูได้ในงาน Motor Expo 2024

(30 พ.ย. 67) นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว Bold New Mazda BT-50 ในประเทศไทยครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญยิ่ง เนื่องจาก มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญต่อฐานการผลิตและส่งออกในประเทศไทย เลือกประเทศไทยเพื่อแนะนำและวางจำหน่ายที่แรกของโลก มาพร้อมความสดใหม่หลากหลายด้าน โดยเฉพาะการออกแบบที่มาสด้าบรรจงสรรสร้างอย่างพิถีพิถัน สวยสง่างามจาก โคโดะ ดีไซน์ ภายในเพิ่มความหรูหราพรีเมี่ยมอีกระดับ ภายนอกแข็งแกร่งดุดันในสไตล์ญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ล่าสุด ขนาด 2.2 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้พละกำลังแรงขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น รวมถึงการใส่อุปกรณ์เพิ่มมากขึ้น ใส่ระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาให้อย่างครบครัน โดยรวมเอาจุดเด่นสำคัญ ๆ ของรถมาสด้า มาผนวกเข้ากับจุดแข็งที่เกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตร ทำให้กลายเป็นรถปิกอัพที่มีความสมดุลในทุก ๆ ด้านอย่างลงตัว ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มองหารถกระบะที่ให้ทั้งสมรรถนะสูงแรงและดีไซน์ที่โดดเด่นแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะ  สามารถใช้งานได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง หรือการเดินทางไปทำกิจกรรม Outdoor ที่ต้องการทั้งสมรรถนะและความอเนกประสงค์ของรถปิกอัพเพื่อตอบสนองการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ

แม้มาสด้าจะมีรถยนต์หลากหลายรุ่นวางจำหน่ายในตลาด แต่รถปิกอัพเป็นหนึ่งในโมเดลสำคัญ ถือกำเนิดขึ้นจากเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น มาตั้งแต่ปี 1961 คือ มาสด้า B1500 บี-ซีรีส์ ซึ่งรุ่นนี้เปรียบเสมือนจุดกำเนิดของยานพาหนะที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด ช่วยให้ทุกช่วงเวลาบนท้องถนนเต็มไปด้วยความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญสูงสุดกับตลาดประเทศไทย และประเทศไทยคือฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์และรถปิกอัพที่ใหญ่สุดของมาสด้า ดังนั้น การเปิดตัว Bold New Mazda BT-50 แห่งแรกของโลก โดยเฉพาะคนไทยจะได้เป็นเจ้าของคนแรก การเปิดตัวปิกอัพ Bold New Mazda BT-50 ‘Dignity into Power’ จะเป็นการกลับมาอีกครั้งแบบ Revolutionary Change เพื่อสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้ตลาดรถปิกอัพเมืองไทย ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่น ด้วยสไตล์ที่แตกต่าง สง่างามทรงพลังทุกมุมมอง จากการออกแบบของ โคโดะ ดีไซน์ จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้พบเห็นจากการผนวกคุณสมบัติที่ดีที่สุดของรถปิกอัพ ด้วยจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า ผสานอย่างลงลงตัวกับจุดเด่นที่ดีที่สุดจากความร่วมมือกับพันธมิตร

‘Bold New Mazda BT-50’ มาพร้อมแนวคิด ‘Dignity into Power’ พลังแกร่ง สะท้อนตัวตน’ ดึงเอาความแข็งแกร่ง ความเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณให้ออกมาโลดแล่นบนเส้นทางของการใช้ชีวิตที่ไร้ลิมิต เป็นการนำเสนอรถปิกอัพที่มีภาพลักษณ์ แกร่ง เข้ม ดุดัน เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่มองหาปิกอัพที่มาพร้อมอรรถประโยชน์การใช้งานด้วยปิกอัพที่มีสมรรถนะสูง แต่ก็ยังต้องการปิกอัพที่มีดีไซน์สง่างามสไตล์ญี่ปุ่น โดยไม่ซ้ำแบบใคร เพื่อสะท้อนถึงบุคลิกอันโดดเด่นเป็นตัวของตนเอง ‘Bold New Mazda BT-50’ จะมาเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ โดยจัดเต็มมาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย มาพร้อมสมรรถนะในการขับขี่แบบรถปิกอัพเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 ที่มาพร้อมเฟืองท้ายแบบ Diff-lock รวมถึงระบบการขับขี่แบบออฟโร้ด (Off-Road Mode) ในขณะที่ยังคงมอบความนุ่มสบายให้กับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารเสมือนรถยนต์นั่งตามแบบฉบับรถยนต์มาสด้า 

‘TOAVH’ ปรับทัพ!! ธุรกิจดีลเลอร์ ดัน!! ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ สู้ศึกตลาดรถ

(30 พ.ย. 67) นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน กลุ่มบริษัทในเครือ ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง (TOAVH) เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายในการขยายธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ทาง TOAVH ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับชั้นแนวหน้าของจีน จำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ DEEPAL, ZEEKR, OMODA&JAECOO และ AION และทุ่มงบการลงทุน จำนวน 220 ล้านบาท ในการก่อสร้างและปรับโฉมโชว์รูม-ศูนย์บริการ เพื่อรองรับการบริการให้แก่ลูกค้าทั้งด้านการขายและบริการหลังการขายที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบสำหรับรถยนต์ทั้ง 4 แบรนด์

ดังนั้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน และขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ของตลาดรถยนต์มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการแข่งขันทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อรองรับการขยายธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ในอนาคต

ทาง TOAVH จึงได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรในกลุ่มธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ด้วยการควบรวมบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ทุกแห่งเข้ามาอยู่ภายในสังกัดการบริหารงานของ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ โดยมี ‘จิระพล รุจิวิพัฒน์’ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร กำกับดูแลด้านบริหารจัดการโดยรวมของทุกบริษัทในเครือ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และบรรจุเป้าหมายโดยรวมขององค์กร

‘จิระพล’ นับเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่มากประสบการณ์และเป็นผู้บริหารหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมให้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งด้านการขาย การบริการหลังการขาย และการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และประสิทธิภาพที่โดดเด่นในการบริหารงานธุรกิจดังกล่าว ซึ่งผมมั่นใจว่า ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ภายใต้การบริหารของ ‘จิระพล’ จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ของ TOAVH เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนแน่นอน นายณัฏฐวุฒิ กล่าว

ปัจจุบัน ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ รวมทั้งสิ้น 7 แบรนด์  โดยมีโชว์รูม-ศูนย์บริการ ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล, จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งหมด 16 สาขา ได้แก่

1.ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ MERCEDES-BENZ ในนาม บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ พัทยา จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขาเลียบด่วน-เอกมัยรามอินทรา กับสาขาพัทยา จ.ชลบุรี เฟส 1 บนพื้นที่พัทยา-นาจอมเทียน และเฟส 2 พื้นที่พัทยาใต้

2.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ DEEPAL ในเครือ CHANGAN ในนาม บริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ ชลบุรี จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขารามคำแหง และสาขาชลบุรี

3.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ZEEKR ในนาม บริษัท ไพรม์มัส เพรสทีจ จำกัด โดยมีสาขาที่ราชพฤกษ์ และป๊อปอัพ สโตร์ ที่เดอะมอลล์ บางแค

4.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ OMODA&JAECOO ในนามบริษัท ไพรม์มัส โอแอนด์เจ พระราม 9 จำกัด มี 1 สาขา คือ ที่พระราม 9

5.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ AION ในนาม บริษัท ไพรม์มัส มอเตอร์ส อมตะนคร จำกัด มีสาขาตั้งอยู่ที่อมตะนคร จ.ชลบุรี

6.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ MG ในนามกลุ่มบริษัท เบส ออโต้ เซลส์ มีสาขาทั้งหมด 7 แห่ง ได้แก่ สาขาเพชรเกษม65, สาขาบางนา กม.5, สาขาบายพาส ชลบุรี, สาขาศรีราชา, สาขาพัทยา นาจอมเทียน และศูนย์ซ่อมสี-ตัวถัง อมตะนคร, สาขาแม่โจ้ และสาขาหางดง เชียงใหม่

7.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ SUZUKI ในนาม บริษัท ไอทีโอเอ ออโต้เซลส์ มีสาขาอยู่ที่ศรีราชา  จ.ชลบุรี

นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ได้เปิดเผยว่า เป้าหมายหลักของธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของ ไพรม์มัส กรุ๊ป ไม่ได้คำนึงการทำตัวเลขยอดขายเป็นหลัก หากให้ความสำคัญกับการเปิดประสบการณ์และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการที่ครบวงจร จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ด้านรถยนต์โดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ พร้อมคัดสรร

ผลิตภัณฑ์รถยนต์แบรนด์ต่างๆ ที่หลากหลายรุ่นและเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีระดับสูง ทั้งยกระดับการบริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับลูกค้าเราในทุกแบรนด์ ตามสโลแกน “เรื่องรถ ให้ไพรม์มัส ดูแล

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์และการบริการระดับพรีเมี่ยมของรถยนต์ทั้ง 7 แบรนด์ ได้แก่ Deepal, Mercedes-Benz, Zeekr, Omoda&Jaecoo, Aion, MG และ Suzuki ในช่วงงาน Motor Expo ทาง ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ จึงได้นำจัดแสดงรถยนต์ให้เลือกชมและเป็นเจ้าของได้อย่างสะดวกสบายที่โชว์รูมและศูนย์บริการของเราทุกแห่ง โดยจะมีการเปิดจองรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย อาทิ ส่วนลดเงินสด, ดอกเบี้ย 0%, เลือกผ่อนเริ่มต้น 222 บาทต่อวัน หรือโปรช่วผ่อน 4 เดือน มูลค่า 100,000 บาท เป็นต้น

และพิเศษ! ในงาน Test Drive Day Primus Expo เฉพาะที่โชว์รูมรถยนต์ MG และ Suzuki ทุกสาขา รับเพิ่ม!! ทองคำ มูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. ถึง 15 ธ.ค. นี้

‘อินเตอร์ลิ้งค์ฯ’ ได้รับรางวัลเกียรติคุณ จาก ‘สถาบันไทยพัฒน์’ ตอกย้ำ!! ความมุ่งมั่น ด้านความยั่งยืน – ความโปร่งใส ขององค์กร

(30 พ.ย. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ได้รับรางวัล ‘Sustainability Disclosure Recognition’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จากสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่องค์กรที่ให้ความสำคัญในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างครบถ้วน และโปร่งใส โดยเน้นการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล  

พิธีมอบรางวัลนี้ ดร.ชลิดา  อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ เข้ารับรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Recognition ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ จัดขึ้นโดยสถาบันไทยพัฒน์ โดยมี องค์กรชั้นนำในหลายอุตสาหกรรมเข้าร่วมมากมาย มีองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ (Award) 58 แห่ง ประกาศเกียรติคุณ (Recognition) 57 แห่ง และกิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) 29 แห่ง รวมทั้งสิ้น 144 รางวัล 

โดยการมอบรางวัลการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ในปี 2567 แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัล ได้แก่ 

• Sustainability Disclosure Award มีองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ จำนวน 58 แห่ง 

• Sustainability Disclosure Recognition มีองค์กรที่ได้รับประกาศเกียรติคุณ จำนวน 57 แห่ง 

• Sustainability Disclosure Acknowledgement มีองค์กรที่ได้รับกิตติกรรมประกาศ จำนวน 29 แห่ง

และบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้รับการยกย่องในฐานะองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านการบริหารงานที่โปร่งใส พร้อมรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม และยืนยันว่าจะเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องในอนาคต

นับว่า บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือ สิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ ได้มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนที่ครอบคลุม เรื่องการบริหารจัดการ ด้าน ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบเชิงบวกที่องค์กรมีต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับว่ารางวัลนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายที่ 12.6 ร่วมกัน โดยปัจจุบัน SDC มีองค์กรสมาชิกจำนวน 167 ราย โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการ และการช่วยเหลือชุมชน ตลอดจนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ดร.ชลิดา อนันตรัมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การได้รับรางวัลนี้ เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างความไว้วางใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน อีกทั้ง รางวัลนี้ถือเป็นการยืนยันถึงการทำงานของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการ แต่ยังใส่ใจต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม เราจะเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนอย่างมั่นคง”  

ด้วยความมุ่งมั่นในแนวทางดังกล่าว อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จะยังคงเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่ตอบโจทย์แก่ยุค พร้อมร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจ และสังคมที่ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

‘ศาลแพ่ง’ ยกฟ้อง!! ‘ไทยไบโอ อินโนเวชั่น’ จากกรณีผิดสัญญา!! ซื้อขาย น้ำมันปาล์มดิบ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 67) บริษัท โกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC แจ้งตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับข้อพิพาทของบริษัท กรณีบริษัท ไทยไบโอ อินโนเวชั่น จำกัด (เดิมชื่อบริษัท อนันตา กรีน จำกัด) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท โดยอ้างว่าบริษัทผิดสัญญาซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ และเรียกร้องให้บริษัทฯ คืนเงินและชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 595.10 ล้านบาท และดอกเบี้ยนั้น 

ศาลแพ่งมีคำพิพากษายกฟ้องทำให้บริษัทไม่ต้องชำระค่าเสียหายใดตามฟ้อง อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด คู่ความฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธณณ์ได้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หรือตามกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายได้ 

‘อีซูซุ’ ยกขบวน!! ยนตรกรรม สุดล้ำ ขุมพลังดีเซล แห่งอนาคต 2.2 Ddi MAXFORCE โชว์ตัวครั้งแรก ในงาน Motor Expo 2024

(30 พ.ย. 67) อีซูซุจำลองบรรยากาศสนามแข่งรถ ยกขบวนยนตรกรรมสุดยอดสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่! 2.2 Ddi MAXFORCE The FORCE of FUTURE พลังใหม่…กำหนดโลก โดยนำ อีซูซุ ดีแมคซ์ และ มิว-เอ็กซ์ ใหม่!! ภายใต้ชื่อเครื่องยนต์  MAXFORCE ร่วมโชว์งานแรกใน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 (The 41st Thailand International Motor Expo 2024) ณ อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์  เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2567 

กลุ่มตรีเพชร โดย มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า อีซูซุได้เปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่!! ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก ซึ่งเป็นขุมพลังที่แรงขึ้น เร็วขึ้น ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม และมีค่า CO2 ต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือทำงานควบคู่กับพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ในอนาคต พร้อม ใหม่! ISUZU 3.0 Ddi MAXFORCE ที่มี ใหม่!! ECM แบบ MULTI-CORE โดยมีให้เลือกทั้งในอีซูซุ ดีแมคซ์ และ มิว-เอ็กซ์ ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายวันแรกในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 และได้นำรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่! 2.2 Ddi MAXFORCE และ ใหม่!! 3.0 Ddi MAXFORCE The FORCE of FUTURE พลังใหม่…กำหนดโลก ร่วมโชว์ครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024 โดยจำลองบรรยากาศของสนามแข่งรถ พร้อม ISUZU SAFETY CAR และกิจกรรม MAXFORCE 360° XPERIENCE ผ่าน VR มุมมอง 360 องศา เพื่อสัมผัสประสบการณ์ความแรงและเร็วเสมือนนั่งกับนักแข่งรถในสนามจริง นอกจากนี้ยังได้นำอีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ 1.9 Ddi Blue Power ไลฟ์สไตล์ปิกอัพสายพันธุ์สปอร์ต และรถแต่งหลากหลายสไตล์มาร่วมโชว์ รวมทั้งสิ้น 15 คัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลของโลก และตอบโจทย์ครบครันด้านความอเนกประสงค์ที่เหนือกว่าทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์

ใหม่! ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก ได้รับการพัฒนาใหม่ ให้เป็นเครื่องยนต์แห่งอนาคต ตอบโจทย์การใช้งานมากยิ่งขึ้น ด้วยพละกำลังสูงขึ้นแรงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที  ออกตัว เร่งแซงเร็วขึ้น กับแรงบิดช่วงออกตัวสูงขึ้นถึง 56%  แต่ประหยัดน้ำมันยิ่งกว่าเดิมสูงสุด 10% และมีค่า CO2  ต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน  ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานอีซูซุเป็นระยะทางเทียบเท่า 2.2 ล้านกิโลเมตร จนมั่นใจว่าเครื่องยนต์นี้มีความแรง ทนทาน และประหยัดน้ำมันเหมาะสมกับตลาดรถยนต์เมืองไทยมากที่สุด พร้อมที่จะถ่ายทอดสมรรถนะอันยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน ถือเป็นเทคโนโลยีดีเซลที่จะกำหนดอนาคตแห่งการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จัดพิธีประดับเครื่องหมายยศนายทหารสัญญาบัตรและนายทหารประทวน

พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นประธาน ในพิธีประดับเครื่องหมายยศ ให้แก่นายทหารสัญญาบัตรและนายทหารชั้นประทวน ที่ได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้น จำนวน 46 นาย ณ ห้องรามาธิบดินทร์ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้กล่าว ให้โอวาทแก่ผู้ร่วมพิธีว่า การที่ท่านทั้งหลายได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้นนั้น ย่อมถือได้ว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ในการปฏิบัติงานอย่างดี สำหรับผู้ที่ได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้น ตามแนวทางการรับราชการ ซึ่งเป็นไปตามหลักการบริหารกำลังพลที่ได้ให้ความเชื่อมั่นในความเจริญก้าวหน้าของอาชีพรับราชการอีกระดับหนึ่ง ในการปฏิบัติงานของหน่วยที่ผ่านมา มีปัจจัยแห่งความสำเร็จเกิดมาจากความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจ จากกำลังพลทุกนาย ซึ่งท่านเป็นส่วนหนึ่งแห่งความสำเร็จในครั้งนี้ และที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ราชการนั้น จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละ ความจริงจัง และจริงใจ ทั้งต่อหน่วยงานและเพื่อนร่วมงาน อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการยิ่ง ๆ ขึ้นไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

ผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดนเยี่ยมบำรุงขวัญครอบครัวกำลังพลในหมู่เรือลาดตระเวนชายแดน (มชด./1)

นาวาเอก กฤษดา จิระไตรพร รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่1/ผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน ได้ทำการเยี่ยมบำรุงขวัญครอบครัวกำลังพลในหมู่เรือลาดตระเวนชายแดน (มชด./1) เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจให้กับครอบครัวของกำลังพล การเยี่ยมบำรุงขวัญในครั้งนี้ ผู้บังคับหมวดเรือฯ ได้ให้ความสนใจและดูแลครอบครัวของกำลังพลที่ออกไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ชายแดน จำนวน 3 ครอบครัว โดยมีการพูดคุยและรับฟังปัญหาต่างๆ ของครอบครัว เพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนที่จำเป็นในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ เสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการให้การสนับสนุนทางด้านสวัสดิการ แก่ครอบครัวของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งถือเป็นการสร้างความมั่นคงและความร่วมมือในหน่วยงานและสังคม

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

โฆษก สธ. เผย สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน 4 จังหวัดชายแดนใต้รับมือวิกฤตน้ำท่วม พร้อมจัดตั้งศูนย์พักพิงให้ความช่วยเหลือกว่า 2,000 ราย 

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ยังอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง น้ำขึ้นสูงขึ้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นห่วงมากและสั่งการให้ทุกผ่ายในกระทรวงสาธารณสุขทำงานให้เต็มที่ จากข้อมูลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่รายงานเข้ามาส่วนกลาง สรุปว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย เสียชีวิต 7 ราย ปัจจุบันเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน หรือ eoc 4 จังหวัด คือ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

ขณะเดียวกัน สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคเขตที่ 12(สคร. 12) ร่วมกับ สสจ. สงขลา ประเมินความเสี่ยงศูนย์พักพิงชั่วคราวอำเภอหาดใหญ่ สงขลาจำนวน 2 แห่งเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมและสำรวจทรัพยากรคงคลังของวัสดุอุปกรณ์เวชภัณฑ์ และเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยาตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างทันท่วงทีในพื้นที่น้ำท่วม ควรสื่อสารความเสี่ยง การเฝ้าระวังโรคที่มากับน้ำท่วมการป้องกันตนเองเรื่อง พลัดตกหกล้ม เนื่องจากการลื่นของพื้น การถูกไฟฟ้าช็อต และการลงเล่นน้ำในสถานที่ต่างๆ การจัดศูนย์พักพิงในภาวะวิกฤตน้ำท่วมเป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อรองรับผู้ประสบภัย

“รายงานล่าสุุดแจ้งว่า มีการเปิดศูนย์พักพิงที่จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา รวม 47 ศูนย์พักพิง รองรับผิดประสบภัย 4,500 ราย ผู้รับบริการ 2,217 ราย ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่า ผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วมจะไม่มีที่พักพิง”

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า ระยะ 2 - 3 วันที่ผ่านมานี้ บุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ได้ระดมมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์โดยฉับพลัน เช่น เคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ประสบภัยไปยังศูนย์อพยพหรือโรงพยาบาลที่มีความปลอดภัย เคลื่อนย้ายผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่มีความเสี่ยงสูง ไปยังโรงพยาบาลที่มีความปลอดภัย ประสานระบบส่งต่อทีมแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศ (Sky Doctor) สำรองเตียงในโรงพยาบาลที่ไม่เสี่ยงอุทกภัย เพื่อรองรับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย  กรณีปิดหน่วยบริการ ให้มีจุดบริการทดแทน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนในพื้นที่ในการป้องกันภัยจากอุทกภัยที่สำคัญ ได้แก่ การจมน้ำ ไฟดูด แมลงและสัตว์มีพิษกัดต่อย

โฆษกกระทรวงสธ. ฝ่ายการเมืองกล่าวต่อไปว่า ผู้รับผิดชอบได้ดำเนินการส่งทีมด้านการแพทย์และสาธารณสุขไปดูแลประชาชนรวม 503 ทีม แบ่งเป็นทีมสอบสวนโรค 191 ทีม ทีมเยียวยาจิตใจ 112 ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม 2 ทีม ทีมการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 68 ทีม และกู้ชีพกู้ภัย 130 ทีม สามารถดูแลประชาชนรวม 2,011 คน นอกจากนี้ ที่โรงพยาบาลปัตตานี มีการเปิดโรงครัวสำหรับผู้ป่วย ญาต เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและญาตที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ ที่น่าดีใจก็คือ คณะพยาบาลศาสตร์ มอ.ปัตตานีได้ส่งอัตรากำลังมาช่วยโรงพยาบาลในการขยายหอผู้ป่วยในครั้งนี้ด้วย ด้วยความร่วมมือกันหลายๆ จึงขอให้พี่น้องประชาชนที่ได้วางใจว่า กระทรวงสาธารณสุขจะดูแลผู้ที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้อย่างดีที่สุด

“ รายงานล่าสุดจากนายรุซตา สาและ ผู้อำนวยการรพ.ปัตตานี ว่า สถานการณ์ จากรพ.ปัตตานี วันนี้ระดับน้ำรอบๆรพ.สูงกว่าเมื่อวาน ประมาณ 5-10 ซม.  ระบบสนับสนุนประปา มีน้ำเพียงพอ 48 ชม และทางผู้ว่าฯ จะมีการสนับสนุนรถมาเติมกรณีร้องขอ ระบบออกซิเจน เพียงพอ  อย่างไรก็ตามมีการตามบริษัทให้มาเติมในวันนี้เพื่อเติมเต็ม ด้าน โภชนา วันนี้ได้รับสนับสนุนวัตถุดิบ ข้าวสาร ไก่ ไข่ จากแพทยสมาคมฯ และ CPF ส่งวัตถุดิบ ไข่ 10,000 ฟอง ไก่ 200 ตัว เพื่อทำอาหารให้กับบุคลากร ผู้ป่วย และญาติ และอาจจะเปิดครัวใหญ่ เพื่อทำอาหารกระจายยังทุกรพ ใน 3 จังหวัด  ทีม refer รพ.ปัตตานี สามารถเปิดบริการได้เต็มศักยภาพ” นางสาวตรีชฎากล่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขอบคุณตำรวจทุกหน่วยที่ร่วมดูแลประชาชนพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ กำชับปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งต่อเนื่อง

(30 พ.ย. 67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ติดตามรายงานสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ พบว่าปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวม 78 อำเภอ 515 ตำบล 3,552 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 553,921 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 9 ราย โดยเฉพาะให้เฝ้าระวังพื้นที่ติดแม่น้ำใหญ่ในจังหวัดต่างๆ ที่พบว่ามีระดับน้ำเพิ่มขึ้น ได้แก่ คลองท่าดี จ.นครศรีธรรมราช , ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ด้าน จ.พัทลุง , ลุ่มน้ำแม่น้ำตรัง จ.ตรัง , แม่น้ำละงู จ.สตูล , แม่น้ำปัตตานี จ.ปัตตานี , แม่น้ำสายบุรี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส 

จากรายการการปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พบว่าหน่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจภูธรภาค 8 , ตำรวจภูธรภาค 9 , ตำรวจภูธรจังหวัด , ตำรวจพื้นที่ , ตำรวจสอบสวนกลาง (ตำรวจทางหลวง , ตำรวจน้ำ) , ตำรวจท่องเที่ยว , ตำรวจตระเวนชายแดน ฯลฯ บูรณาการการทำงานเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกมิติอย่างรวดเร็วตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน โดยพบว่าตำรวจพื้นที่ได้ออกตรวจเยี่ยมประชาชนผู้ประสบภัย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ให้เกิดอาชญากรรมซ้ำเติม , มอบสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน , จัดเตรียมเรือท้องแบนและกำลังพลเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย ช่วยเหลือเคลื่อนย้ายประชาชนและสิ่งของจำเป็นไปยังที่ปลอดภัย ส่วนบริเวณถนนที่มีน้ำท่วมผิวการจราจรในเส้นทางสายหลักและสายรอง ได้มีการทำแผนผังเส้นทางสำรองและป้ายบอกทางให้ชัดเจน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน , ตัดต้นไม้ล้มบนถนนกีดขวางทางจราจร รวมถึงการช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนหลังน้ำลดอีกด้วย

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขอขอบคุณและให้กำลังใจข้าราชการตำรวจทุกนาย ทุกหน่วย ที่ร่วมแรงร่วมใจให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ทุกจังหวัด รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสก่อเหตุซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน จึงขอให้คงการปฏิบัติอย่างเข้มงวด เข้มแข็ง ต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ หากพื้นที่ใดต้องการความช่วยเหลือ หรือขาดแคลนสิ่งใด ขอให้แจ้งมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทันที ผู้บังคับบัญชาพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้การปฏิบัติในการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทางสายด่วน 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘พีระพันธุ์’ ตรึงค่าไฟฟ้ามาแล้วกว่า 1 ปี พร้อมทำทุกวิถีทางหวังช่วยลดภาระให้ประชาชน

(29 พ.ย.67) งานแรก ๆ หลังจากการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ เมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2566 คือการออกมาตรการอย่างเข้มใน 6 เดือนแรกของการกำกับดูแลระบบพลังงานโดยรวมของไทยดังนี้ 

(1) พลังงานไฟฟ้า ได้ผลักดันการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนและสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้สูงขึ้นตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ มีการเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูลและเขื่อนสิรินธรที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ 

(2) น้ำมัน ทำการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมันโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกลไกทางภาษีด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง เร่งรัดในการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน และสร้างเสถียรภาพให้กับราคาเชื้อเพลิงพลังงาน 

และ (3) ก๊าซ มีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลงและเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ ติดตามเร่งรัดการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า

โดยที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ทำให้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้านั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทั้งหมด ไม่ว่าการออกใบอนุญาตผลิตกระแสไฟฟ้า การกำหนดราคาค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะค่า FT (Fuel Adjustment Charge (at the given time)) ซึ่งใช้ในการคำนวนเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ อันเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมได้ โดย กกพ.เป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน

นับแต่ กกพ.ชุดแรกเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาต่างให้ กกพ.เป็นผู้ดำเนินการกำหนดราคาค่าไฟฟ้า ดังนั้น ‘ค่า FT’ จึงถูกกำหนดให้เป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่ กกพ. ได้พิจารณา แต่สำหรับ ‘พีระพันธุ์’ แล้วการตรึงค่าไฟฟ้านั้นทำได้ด้วยการใช้มาตรการต่าง ๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่ของกระทรวงพลังงานในการทำให้ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่า FT ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ได้ใช้ความพยายามในการแสวงหาวิธีการและมาตรการใหม่ ๆ เพื่อทำให้ค่า FT ต่ำที่สุด อาทิ มาตรการที่กำลังทำอยู่คือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) โดยนอกจากจะได้มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG อันเป็นก๊าซหุงต้มที่พี่น้องประชาชนคนไทยใช้กันมากที่สุดแล้ว ยังมีการสำรองก๊าซ LNG อันเป็นก๊าซเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของบ้านเราในปัจจุบันก็จะถูกสำรองเก็บไว้ด้วยเพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงทางพลังงานที่สำคัญของประเทศ

ดังเช่น ค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนมกราคม-เมษายน พ.ศ. 2568 ตามที่ประกาศ ถ้าเป็นไปตามที่ กกพ.เสนอจะอยู่ที่หน่วยละ 5.49 บาท ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ไม่เห็นด้วย กกพ. จึงเสนอให้ราคาคงที่หน่วยละ 4.18 บาทเหมือนเดิม แต่ ‘พีระพันธุ์’ ยังขอให้ลดลงอีกหน่อยจนเหลือหน่วยละ 4.15 บาท ทำให้มีการลดอัตราค่าไฟฟ้าจริงหน่วยละ 1.34 บาท ไม่ใช่  3 สตางค์ตามที่สังคมไทยโดยรวมเข้าใจเช่นนั้น ซึ่งสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบบริหารจัดการในการซื้อขายกระแสไฟฟ้าของประเทศคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดังนั้นความจริงก็คือ ภาระดังกล่าวถูกผลักให้ ‘กฟผ.’ ต้องรับผิดชอบ โดยพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นหนี้ ‘กฟผ.’ เพราะ ‘กฟผ.’ เรียกเก็บค่าไฟฟ้าต่ำกว่าต้นทุนของตัวเองจากนโยบายของรัฐที่จะไม่ให้พี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้ามากจนเกินไป 

ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการทยอยใช้หนี้ดังกล่าวคืนให้กับ ‘กฟผ.’ เพื่อให้ ‘กฟผ.’ นำเงินที่ได้ไปใช้หนี้คืนอีกทอดหนึ่ง ทำให้เกิดสมการที่ใช้ในการเก็บ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ ว่าจะต้องเก็บเท่าไรเพื่อที่ ‘กฟผ.’ จะมีเงินเพื่อนำไปใช้หนี้ตามข้อเสนอของกกพ.ตามแนวทางที่ได้กล่าวมา 

ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ตัดสินใจเสนอให้มีการยืดหนี้แล้วจ่ายบางส่วน ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยรับภาระน้อยกว่าที่กกพ.ได้เสนอมา และในขณะเดียวกัน ‘กฟผ.’ เองก็จะมีเงินเพื่อนำไปชำระหนี้จำนวนหนึ่ง โดยอัตราค่าไฟฟ้าหน่วยละ 5.49 บาท ตามแนวทางแรกที่กกพ.เสนอนั้น ‘กฟผ.’ จะได้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ทั้งยอดจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท แต่ถ้าจ่ายอัตราค่าไฟฟ้าที่หน่วยละ 4.15 บาท ‘กฟผ.’ จะได้เงินเพื่อไปชำระหนี้ 13,000ล้านบาทก่อน ซึ่งทุกวันนี้ ‘กฟผ.’ ต้องแบกรับภาระหนี้แทนพี่น้องประชาชนไทยอยู่ และผู้ใช้ไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องเริ่มผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวคืนให้กับกฟผ.เพื่อไม่ให้ยอดหนี้นั้นแกว่งจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกฟผ.ด้วย

ดังนั้น ค่าไฟฟ้าของเดือนมกราคม-เมษายน พ.ศ. 2568 มีการใช้ไฟฟ้าไป 100 หน่วย ถ้าต้องจ่ายในอัตราที่กกพ.เสนอที่หน่วยละ 5.49 บาท จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเป็นเงิน 549 บาท แต่เป็นหน่วยละ 4.15 บาทตามที่ ‘พี่ตุ๋ย’ พีระพันธุ์เสนอแล้วพี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าจะจ่ายเพียง 415 บาท ซึ่งทำให้จ่ายน้อยลง 134 บาท การแบกรับค่า Ft ของ ‘กฟผ.’ ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนของค่าความพร้อมเดินเครื่องเพื่อจ่ายไฟฟ้า (AP) และต้นทุนของเชื้อเพลิง LNG ที่มีการเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งต้นทุนการผลิตไฟฟ้ารวมทุกอย่างแล้วสูงกว่าราคาที่ขายให้พี่น้องประชาชนคนไทยในปัจจุบัน เมื่อต้นทุนสูงแต่เพื่อให้พี่น้องประชาชนคนไทยจ่ายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน ทำให้ ‘กฟผ.’ ต้องไปกู้เงินมาจ่ายค่าไฟฟ้าที่ซื้อมาจากผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งหนี้จากค่า LNG ที่ ‘กฟผ.’ ซื้อมาจากปตท.ในส่วนที่ ‘กฟผ.’ นำมาผลิตไฟฟ้าเอง และเมื่อมีโอกาสหากมีเงื่อนไขที่สามารถทำให้ต้นทุนลดลงได้อีกแล้ว ‘กฟผ.’ จึงค่อยเรียกเก็บเพิ่มจากพี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อมาเฉลี่ยใช้หนี้ดังกล่าวต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top