Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

‘นายกฯ’ เตรียม!! ลงใต้ 6 ธ.ค. นี้ เพื่อช่วยเหลือชาว ‘สงขลา – ปัตตานี’

(1 ธ.ค. 67) หลังเกิดกระแสดรามาในโซเชียลว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ลงพื้นที่ไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมชายแดนภาคใต้ แต่กลับเดินกับครอบครัวอยู่ที่เชียงใหม่-เชียงราย ซึ่งเป็นช่วงที่มีการประชุม ครม.สัญจร ล่าสุด มีรายงานว่า นายกฯ มีกำหนดการเตรียมลงพื้นที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา และจังหวัดปัตตานี เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจติดตามสถานการณ์น้ำ และเร่งรัดการเยียวยา และฟื้นฟูพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งในวันจันทร์ที่ 2 ธ.ค.จะมีการประชุม ศปช.เพื่อวางกำหนดการ และจุดที่จะลงไปติดตามตรวจเยี่ยม โดยวางไว้เบื้องต้นว่านายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ในวันศุกร์ที่ 6 ธ.ค.นี้

นายกฯ ได้สั่งการไปยัง นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ให้ประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อเร่งรัดให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะจุดที่ขาดแคลนเครื่องมือ และได้ประสานกระทรวงกลาโหมให้ทหารเข้าไปช่วยเหลือประชาชน โดยต้องการให้เร่งรัดขั้นตอนการเยียวยาให้เกิดความรวดเร็ว ไม่ให้ประชาชนต้องรอนาน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ตั้งใจจะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ตั้งแต่เกิดน้ำท่วมในช่วงแรกแล้ว แต่ติดภารกิจการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่วางกำหนดการไว้ก่อนหน้าแล้ว และหากไปในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมหนัก จะเป็นภาระแก่เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนต้องมาคอยต้อนรับ โดยตลอดช่วงที่เกิดสถานการณ์น้ำท่วม นายกฯได้ติดตามและสั่งการนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมกองทัพ ลงไปช่วยประชาชนอย่างเต็มที่ ล่าสุดรัฐบาลได้มีการสั่งเบิกงบภัยพิบัติให้กับพื้นที่ภาคใต้ เพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชน

‘หมอยง’ โพสต์เฟซ!! ย้อนดู 5 ปี โควิด 19 ความยุ่งเหยิง ดรามา ของวัคซีน และเซียนคีย์บอร์ด

(1 ธ.ค. 67) ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ แพทย์อาวุโส นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เรื่องวัคซีน และโรคโควิด-19 โดยมีใจความว่า ...

ย้อนดู 5 ปี โควิด 19, ปีที่ 2 ปีที่ยุ่งเหยิง และดราม่า เกี่ยวกับวัคซีน และเซียนคีย์บอร์ด 

หลังการระบาดใหญ่ทั่วโลก ในปีแรก ทุกคนมุ่งหวัง ที่จะยุติการระบาดด้วยวัคซีน จึงมีการผลิตคิดค้นวัคซีนกันมากมาย มากกว่า 10 platform รวมทั้งของประเทศไทยเองด้วย ประเทศไทยมีการออกข่าวว่าจะผลิตวัคซีนได้สำเร็จภายใน 2 ปี

เมื่อสิ้นปีแรก การผลิตและออกมาใช้จริง ก็เริ่มปรากฏออกมา ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนเชื้อตาย ไวรัสเวกเตอร์ และ mRNA ประสิทธิภาพของวัคซีนได้ลงพิมพ์ ในวารสารต่างๆ จะเห็นว่า mRNA มีประสิทธิภาพสูงสุด มากกว่าไวรัสเวกเตอร์ และเชื่อตาย แต่ผลทั้งหลายเป็นผลระยะสั้นทั้งนั้น ความจริงผลระยะยาวค่อยออกมาทีหลัง 

วัคซีนจึงขาดแคลนในระยะแรก เพราะทุกประเทศแย่งกัน ทางตะวันตก จะไม่รับวัคซีนของจีน และจีนเองก็ไม่รับวัคซีนของทางตะวันตก ประเทศกำลังพัฒนา ส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนจากจีน และ mRNA จะใช้ในทางตะวันตก ไม่เพียงพอ ตลาดเป็นของผู้ขาย จะกำหนดกฎเกณฑ์อย่างไรก็ได้ในการซื้อ เช่นต้องวางเงินก่อน และจะเอาหรือไม่เอาก็ต้องจ่าย ซึ่งขัดกับหลักการจัดซื้อของประเทศไทย และบางบริษัทให้วางเงินก่อนจะผลิตสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่รับรู้ ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องเสียเงินฟรี 

วัคซีนเชื้อตายจึงเข้ามาในประเทศไทยก่อน แล้วตามมาด้วยไวรัสเวกเตอร์ กว่าประเทศไทยจะเริ่มฉีด mRNA ก็เข้าสู่ กันยายน ตุลาคมแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ มีการเรียกร้องเอา mRNA มาเป็นวัคซีนหลัก จะเห็นบนหน้าเพจมากมาย มีดราม่าเกิดขึ้น ด้อยค่าวัคซีนเชื้อตายอย่างหนัก และกาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ประเทศจีน มีอัตราการเสียชีวิตโดยรวม น้อยกว่าประเทศทางตะวันตกอย่างมาก

ปีที่ 2 ความรุนแรงของโรคมาก อยู่มีอัตราตายเกือบ 1% ดังนั้นการรณรงค์ให้วัคซีน จึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และอัตราการครอบคลุม 2 เข็มแรก ได้เร็วมาก โดยทุกแห่งและโรงพยาบาลร่วมมือกันดีมาก

ผมเองทำการศึกษา การกระตุ้นเข็มสามด้วยวัคซีนเชื้อตาย Sinovac เปรียบเทียบกับ ไวรัสเวกเตอร์และ mRNA คณะกรรมการจริยธรรมยังไม่ยอมให้ทำ ตอนหลังเลยต้องเปลี่ยนจากเชื้อตาย Sinovac มาเป็น Sinopharm ถึงได้ทำ แต่ก็เสียดายข้อมูลทางวิชาการ ที่เราไม่มี การฉีดวัคซีนเชื้อตายชนิดเดียวกัน 3 เข็ม เสียดายโอกาสทางวิชาการอย่างมาก

งานวิจัยทางด้าน วัคซีนโควิด ในช่วงนี้หาอาสาสมัครและมีผู้สมัครใจเป็นจำนวนมาก และทำได้อย่างรวดเร็วมาก ต้องขอขอบคุณอาสาสมัครอย่างยิ่ง รวมทั้งแหล่งทุนด้วย ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงมีผลงานให้เห็น โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนต่างชนิดกัน และสูตรต่างๆ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสูตรการฉีดวัคซีนสลับไปมา 3 เข็ม รวมทั้งสิ้น 24 แบบ อย่างไรก็ตามผลลัพธ์สุดท้ายไม่ต่างกันเลย เพราะทั้งหมดเป็นแอนติเจนชนิดเดียวกัน คือ spike protein ของ Wuhan strain 

ในปีนี้เป็นปีที่ ผมเองถูกกล่าวหาให้ร้าย อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ หรือการเมืองทั้งที่จริงแล้วตัวเองไม่เคยไปยุ่งเลยแม้แต่นิดเดียว มุ่งค้นหาทางวิชาการและให้ข้อมูลผู้บริหารและประชาชน เพื่อช่วยปกป้องโรคร้าย การกล่าวให้ร้ายผมเอง ไม่ได้สนใจ แต่คนรอบข้าง ทนไม่ได้ จึงมีการแจ้งความฟ้องร้อง ผู้ที่กล่าวหารุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษา และมีหน้าตาในสังคม

คดีในการฟ้องร้อง บางคดีได้สิ้นสุดแล้ว และบางคดีจนถึงวันนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ที่สิ้นสุดแล้วส่วนใหญ่ศาลจะตัดสิน เป็นเรื่องของการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ถือเป็นคดีอาญา ศาลให้จำคุก 2 ปี และปรับ 3 แสน บาท เข้าแผ่นดิน ถ้าสารภาพก็ลดลงกึ่งหนึ่ง และเกือบทั้งหมดโทษจำให้รอลงอาญา หลายราย ยอมความ มาขอโทษ ก็จะยอมเกือบทุกกรณี แต่จะให้บริจาคเงิน เข้ามูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ แทน โดยตัวเองไม่ไปแตะต้องเงินจำนวนนี้เลย

ยง ภู่วรวรรณ
ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์
ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬา
30 พฤศจิกายน 2567

‘การบินไทย’ หวังผงาด!! ครองมาร์เกตแชร์ภูมิภาค 35% ขยายฝูงบิน 150 ลำ พร้อมปรับแผน เพื่อลดต้นทุนการซ่อม

(1 ธ.ค. 67) สถานการณ์อุตสาหกรรมการบินโลก IATA ประมาณการณ์รายได้รวมของสายการบินในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 119% ของรายได้รวมก่อนโควิด-19 โดยจะมีรายได้สูงถึง 996,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีปัจจัยมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้โดยสาร และการรักษาเสถียรภาพของผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร

ขณะเดียวกัน IATA ยังคาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารทางอากาศทั่วโลกจะเติบโตถึง 2.1 เท่าภายในปี 2586 โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะมีอัตราการเติบโตสูงสุดคิดเป็น 2 ใน 3 โดยประเมินว่าในช่วงปีดังกล่าวจะมีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางทางอากาศสูงถึง 8,600 ล้านคน และสัดส่วน 46% เดินทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

จากแนวโน้มการขยายตัวของปริมาณการเดินทางดังกล่าว บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) วางแผนช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เกตแชร์) ในฐานะสายการบินแห่งชาติที่ครองฐานการบินในประเทศไทย ซึ่งเป็นเดสติเนชั่นยอดฮิตของการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

‘ชาย เอี่ยมศิริ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยมุ่งมั่นจะเป็นสายการบินที่ให้บริการแบบเครือข่าย (Network Airline) เพื่อสร้างเป็นจุดแข็งในการขยายเครือข่ายเส้นทางบินในภูมิภาค โดยการขยายเครือข่ายเส้นทางบินระยะสั้นจะช่วยสร้างความได้เปรียบของบริษัท และเพิ่มความถี่และเวลาของเที่ยวบิน เพื่อเชื่อมต่อจุดบินเมืองใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกับฐานการบินสำคัญอย่างกรุงเทพฯ

โดยภายใต้แผนขยายบริการแบบเครือข่ายนั้น การบินไทยจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนฝูงบินรองรับ พร้อมทั้งปรับปรุงฝูงบินครั้งใหญ่ เพื่อให้การบินไทยสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านการบินอย่างมีประสิทธิภาพ 

ซึ่งปัจจุบันวางเป้าหมาย ‘ลดแบบเครื่องบินเหลือ 4 แบบ’ จากช่วงก่อนเกิดโควิด-19 การบินไทยมีฝูงบิน 8 แบบรวม103 ลำ ส่งผลให้ต้องแบกรับต้นทุนค่าซ่อมและอะไหล่ที่หลากหลาย โดยขณะนี้ได้ทำการปรับลดฝูงบินเหลือ 6 แบบรวม 79 ลำ และจะทยอยปรับลดต่อเนื่องในปี 2572 คาดเหลือ 5 แบบรวม 143 ลำ และท้ายที่สุดในปี 2576 จะเหลือ 4 แบบรวม 150 ลำ

สำหรับปลายทางของการปรับปรุงฝูงบิน ‘การบินไทย’ ในปี 2576 จะมีฝูงบินรวม 150 ลำ แบ่งเป็น เครื่องบินลำตัวกว้าง 98 ลำ และลำตัวแคบ 52 ลำ โดยมีประเภทเครื่องบิน ประกอบด้วย

• โบอิ้ง B777-300ER จำนวน 15 ลำ
• แอร์บัส A350 จำนวน 17 ลำ
• โบอิ้งตระกูล B787 จำนวน 66 ลำ
• แอร์บัส A320/A321 NEO จำนวน 52 ลำ

ทั้งนี้ การผลักดันแผนปรับปรุงฝูงบินดังกล่าว ปัจจุบันการบินไทยได้เจรจาและเข้าทำข้อตกลงกับ Boeing และ GE Aerospace เพื่อจัดหาเครืองบินลำใหม่จำนวน 45 ลำ พร้อมกับสิทธิในการจัดหาเพิ่มอีก 35 ลำ นอกจากนี้การจัดหาเครื่องบินลำตัวแคบ ปัจจุบันได้ทำการเจรจาและเข้าทำข้อตกลงกับ Lessor เพื่อจัดหาเครื่องบินลำใหม่รุ่นแอร์บัสA321 จำนวน 32 ลำ ซึ่งคาดว่าฝูงบินใหม่นี้จะทยอยรับมอบเข้ามาในปี 2570 – 2576

สูตรสำเร็จของการบินจากการวางแผนธุรกิจและปรับปรุงฝูงบินครั้งนี้ มีเป้าหมายจะครองมาร์เกตแชร์สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกลับมาในระดับ 35% ภายในปี 2572 เป็นต้นไป เพิ่มขึ้นหลังการปรับลดเครื่องบินและปรับปรุงฝูงบินในปี 2566 ที่การบินไทยมีจำนวนฝูงบิน 70 ลำ ครองมาร์เกตแชร์ 28% และจะเป็นผลบวกระยะยาวที่ทำให้การบินไทยสามารถบริหารต้นทุนทางการบิน ค่าซ่อมและอะไหล่เครื่องบินที่ลดลง

‘สภาพัฒน์’ เผย!! คนไทย ถูกหลอกทำบุญออนไลน์ มีผู้เสียหายกว่า 2.65 ล้านคน มูลค่า!! พุ่งทะลุ 2.3 พันล้านบาท ‘Gen Z – Gen Y’ ถูกหลอกง่ายที่สุด

(1 ธ.ค. 67) สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการช่วยเหลือ คนไทยส่วนใหญ่มีจิตใจดี ชอบทำบุญ ในปัจจุบันมีการเชิญชวนทำบุญหรือบริจาคเงินช่วยเหลือผ่านช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งคนจำนวนมากได้เข้าไปร่วมทำบุญผ่านวิธีนี้เนื่องจากมีความสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปสถานที่จริงก็สามารถโอนเงินไปร่วมทำบุญได้ อย่างไรก็ตามก็เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการหลอกลวงและฉ้อโกง นอกจากได้เงินไปแล้วยังมีการออกใบอนุโมทนาบัตรปลอมอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีคนที่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงเป็นจำนวนมาก

ข้อมูลจากการแถลงข่าวภาวะสังคมไตรมาสที่ 3/2567 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่าหนึ่งในสถานการณ์ทางสังคมที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ต้องให้ความสำคัญคือ ‘การหลอกลวงจากการทำบุญหรือช่วยเหลือทางออนไลน์’  โดยจากผลการสำรวจสถานการณ์การถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์" ของศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) ในปี 2566พบผู้เคยถูกหลอกลวงโดยอาศัยความสงสารหรือความสัมพันธ์จำนวน 2.65 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายจำนวนรวมสูงถึง 2.3 พันล้านบาท

ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งตกเป็นผู้เสียหายถูกหลอกลวงจากการขอรับบริจาคช่วยเหลือหรือการระดมเงินทำการกุศล โดยหากพิจารณาจำแนกตามกลุ่ม Generation จะพบว่า กลุ่ม Gen Z และ Gen Y เป็นกลุ่มที่ถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวอยู่ที่13% และ 10% ตามลำดับ มากกว่ากลุ่ม Gen Xและ Baby Boomer

โดยที่มีรูปแบบการหลอกลวง เช่น การหลอกโอนเงินไถ่ชีวิตโคกระบือ/การช่วยเหลือสัตว์ บาดเจ็บ การแอบอ้างร่วมบริจาคเงินซื้อถังออกซิเจน ใบอนุโมทนาบัตรออนไลน์อ้างลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ในช่วงวิกฤตต่าง ๆ เช่น สถานการณ์น้ำท่วม ประชาชนจำนวนมากได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่หน่วยงานจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงมีการเปิดร่วมรับบริจาคเงินหรือสิ่งของจำเป็นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยส่งผลให้กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางฉวยโอกาสของมิจฉาชีพ กระทำการหลอกลวงให้โอนเงินช่วยเหลือผ่านการสแกน OR Code หรือบัญชีม้า และการหลอกลวงผู้ประสบภัยโดยมักแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐหลอกลวงให้ผู้ประสบภัยกรอกข้อมูลลงทะเบียนบนเว็บไซต์/ลิงก์ปลอม หรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อรับเงินช่วยเหลือเยียวยา

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบบัญชีธนาคาร เบอร์โทรศัพท์ หรือเว็บไซต์ที่น่าสงสัย ได้ทาง www.checkgon.go.th ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือติดตามมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐจากเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็นทางการเท่านั้น

สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti-Fake News Center) ที่มีการเตือนเรื่องทำบุญออนไลน์ ระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ โดยระบุว่าหากอยากจะทำบุญออนไลน์ต้องตรวจสอบให้ดี ระวังมิจฉาชีพใช้กลโกงหลอกหลวง โดยสิ่งที่ต้องระวังมีดังนี้

• เช่าวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลังออนไลน์ อาจเจอของปลอม ไม่ตรงปกหรือหลอกให้โอนเงิน แต่ไม่ส่งของให้
• เวียนเทียนออนไลน์ มิจฉาชีพอาจหลอกให้กดลิงก์ติดตั้งแอปฯ รีโมทควบคุมโทรศัพท์ เพื่อดูดเงินจากบัญชี หรือหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปทำเรื่องผิดกฎหมาย
• ทำบุญออนไลน์ มิจฉาชีพอาจหลอกให้โอนเงินทำบุญ ด้วยการให้หมายเลขบัญชีปลอม
• สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ดูดวงออนไลน์ อาจเป็นโจรแฝงตัวหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ รูปถ่าย ภาพโป๊เปลือย ข้อมูลบัตรประชาชน เลขบัตรเครดิต ฯลฯ
• ใบอนุโมทนาบัตรออนไลน์ อ้างลดหย่อนภาษี อาจเป็นโจรสวมรอยหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว ก่อนคลิก ก่อนโอน ก่อนกรอกข้อมูลใด ๆ ต้องมีสติ ดูให้ดี มิฉะนั้นอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

‘อาจารย์อุ๋ย’ ชี้!! ‘เมียนมาร์’ ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ยิงเรือประมงไทย ละเมิด!! หลักกฎหมายระหว่างประเทศ จี้!! รัฐบาลดำเนินการตอบโต้

(1 ธ.ค. 67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟสบุ๊กว่า

กรณีที่เรือรบเมียนมายิงเรือประมงไทย 3 ลำ จนทำให้ลูกเรือบาดเจ็บ 2 คน เสียชีวิต 1 คน และจับกุมเรือประมงไทย 1 ลำพร้อมลูกเรือ 31 ไว้นั้น กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) มาตรา 51 ให้สิทธิแก่รัฐสมาชิกในการใช้กำลังป้องกันตนเองโดยใช้อาวุธ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีการรุกล้ำน่านน้ำหรือไม่ ด้วยหลักจารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea) ซึ่งได้เคยวางหลักไว้ในคดี SAINT VINCENT AND THE GRENADINES V. GUINEA ว่า การใช้กำลังอาวุธด้วยการยิงเข้าใส่เรือประมงจนเกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของลูกเรือ ถือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ 

ทั้งนี้ ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐทุกรัฐจักต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอาวุธให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อทำการเข้าจับกุมเรือ แม้ว่าจะเป็นเรือที่ทำผิดกฎหมายก็ตาม เพราะการใช้กำลังอาวุธจะทำให้มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้คนของชาติอื่นต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจะทำให้เกิดความบาดหมางต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็น ซึ่งวิธีที่ยึดถือปฏิบัติกันมาในทางระหว่างประเทศเมื่อพบเรือต่างชาติที่ต้องสงสัย คือการเตือนด้วยเสียงหรืออาณัติสัญญาณในรูปแบบที่เห็นได้ชัดให้เรือต้องสงสัยนั้นหยุด และหากเรือต้องสงสัยนั้นไม่ตอบสนองหรือไม่หยุด เจ้าหน้าที่จึงสามารถเข้าขึ้นเรือและใช้กำลังเข้าควบคุมความสงบเรียบร้อยได้ หรือหากเรือต้องสงสัยนั้นมีการใช้กำลังอาวุธยิงเข้าใส่ เจ้าหน้าที่จึงสามารถใช้อาวุธยิงตอบโต้ได้ หากปรากฎข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่เมียนมายิงเข้าใส่เรือประมงไทยโดยไม่มีการเตือนหรือแจ้งล่วงหน้าให้หยุดเรือจึงเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

ซึ่งรัฐบาลไทยต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาเยียวยาความเสียหาย และปล่อยตัวลูกเรือที่ถูกจับโดยเร็ว มิเช่นนั้นจะต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ (retortion/reprisal) เช่น ส่งทูตกลับประเทศ ปิดน่านน้ำ ปิดชายแดน จำกัดการนำเข้าสินค้า บอยคอตสินค้า ตัดความช่วยเหลือต่าง ๆ กับประเทศเมียนมา ฯลฯ ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำได้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อผดุงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของประเทศไทยและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนไทยที่ประสบเหตุ อย่างเต็มที่ ด้วยความปรารถนาดี 

‘บิ๊กเต่า’ เล็งแจ้ง!! อีกหลายข้อหา ‘สามารถ’ หลังพบเส้นทางการเงิน พบเอี่ยว!! ‘รีดไถผู้ประกอบการ - พนันบอล’ ยัน!! มีหลักฐานชัดเจน

(1 ธ.ค. 67) ที่ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รองผบ.ช.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มกับนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ว่า จากการตรวจสอบยอดเงิน 100 กว่าล้านในบัญชี มีการแตกไปในหลายเส้นทางการเงิน และเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา เราพบร่องรอยการโอนเงินเข้าบัญชีของนายสามารถ ประมาณ 500,000 บาท จึงเรียกเป้าหมายคนดังกล่าวมาพูดคุย พร้อมนำหลักฐานมาแสดง ซึ่งเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์จึงน่าจะมีการแจ้งข้อหานี้กับนายสามารถอีกหนึ่งคดี

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า เรื่องที่ 2 บุคคลใกล้ชิดนายสามารถ ที่มีการเรียกเข้ามาสอบปากคำ ให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ได้บอกถึงเส้นเงิน ที่ตัวเขาเป็นคนถือบัญชี ซึ่งนายสามารถอ้างว่า เป็นเงินใช้หนี้ และให้โอนเข้ามาในบัญชีนี้ และพบว่ามีการโอนเงินเข้ามา 2 ส่วน คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป แต่ไม่ใช่จากนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล แต่เป็นหนึ่งในบอสของ ดิไอคอน ประมาณ 3 ล้านบาท โดยต้องตรวจสอบว่าเป็นการโอนเข้ามา เพราะบอสพอล เป็นคนสั่งการหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาแล้วเป็นการเรียกรับ ตำรวจสอบสวนกลางจะเป็นคนสอบเอง แต่หากพบว่าโอนเข้ามาจากบริษัท ดิไอคอน จะเข้าข่ายคดีฟอกเงินเพิ่มอีกหนึ่งคดี ตอนนี้ได้ประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อที่จะสอบปากคำพยานคนดังกล่าวในสัปดาห์หน้า ส่วนเงินในบัญชีอีกส่วนเป็นการโอนเข้ามาของผู้ประกอบการที่ถูกรีดไถ จำนวน 500,000 บาท ซึ่งมีการแจงความไว้แล้ว

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนอื่นๆที่เราได้มีการตรวจสอบ พบว่าเกิดเหตุในลักษณะนี้ กับอีกหลายคนและอีกหลายส่วน และบางส่วนยังไม่ให้ความร่วมมือ เราจึงพยายามพูดคุย และพบว่าเกี่ยวข้องกับคนในหลายแวดวง ทางข้าราชการ หรือแม้แต่บุคคลที่บริษัท ดิไอคอน จ้างงาน ซึ่งมีเส้นเงินเชื่อมโยง ดังนั้น ต้องมีการตรวจสอบบัญชีอีกหลายส่วน ทั้งนี้ เส้นเงินที่เราแตกออกไปหลายส่วนนั้น อยู่ในจำนวน 100 กว่าล้านบาท ซึ่งเงินบางส่วนเราเห็นแล้วว่าน่าจะเป็นเงินที่มาจากการเล่นพนันบอล ซึ่งพบจากคนใกล้ชิด ประมาณ 30 ล้านบาทและเสียไปประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งยังเหลืออีก 50-60 ล้านบาท ที่ต้องตรวจสอบที่มาที่ไป ดังนั้นตำรวจสอบสวนกลางต้องตรวจสอบให้ละเอียดว่าเส้นเงินไปถึงใครบ้าง เพื่อพยายามที่จะเรียกบุคคลนั้นๆเข้ามาสอบปากคำ และยืนยันว่าจะดำเนินคดีในทุกเรื่อง

เมื่อถามถึงที่นายสามารถ ระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการถูกดำเนินคดี และมีการอดข้าวประท้วง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เราไม่อยากให้มีการอดอาหารประท้วง และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทำไปตามพยานหลักฐาน ไม่ได้กลั่นแกล้ง การตรวจสอบเส้นเงินเป็นวิทยาศาสตร์ และผู้เสียหายก็มีอยู่จริง

"นายสามารถ ต้องยอมรับสภาพว่าสิ่งที่ทำจะทิ้งหลักฐานไว้ สิ่งเหล่านี้กำลังตามหลอกหลอน ให้ต้องถูกดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีใครที่จะไปกลั่นแกล้ง แต่นายสามารถเป็นบุคคลคนหนึ่งที่เราต้องการ นำเข้าสู่การบังคับใช้กฎหมาย และนำเข้าสู่สำนวนคดี เพราะมีคลิปเสียงชัดเจนในการเรียกรับ และมีคำพูดค่อนข้างดูถูกข้าราชการ ในการแต่งตั้งข้าราชการเข้าไปดูแลบอสพอล หรือช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดังนั้น เราต้องมีความพยายาม ต้องดำเนินการแม้บอสพอล จะไม่ได้มีการร้องทุกข์ดำเนินคดี ยืนยัน ไม่มีการกลั่นแกล้งและขอให้ไปสู้กันในชั้นศาล หากมีพยานที่สามารถหักล้างเหตุผลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอดข้าว ขณะนี้ยังมีเวลาแก้ไข หากกระทำผิดก็ต้องชดใช้ ในสิ่งที่ทำไว้" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าว

เมื่อถามต่อว่าจะมีการมอบของขวัญช่วงปีใหม่ให้กับอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีดิไอคอนอีกหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการปัดกวาดทางสังคมให้สะอาด ให้บรรดาอินฟลูเอนเซอร์เพจต่างๆ เข้ามาสู่ระบบเคารพกฎหมาย เพราะที่ผ่านมามีการบูลลี่หน่วยงานรัฐ โดยไม่มีหลักฐาน แต่ยืนยันพวกเราไม่ใช่คนไร้น้ำใจ หรือเป็นคนใจร้าย แต่ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ระบุว่าสิ่งใดที่ทำให้สังคมไขว้เขว ใส่ร้ายสังคม ใส่ร้ายข้าราชการ เราต้องปัดกวาด รวมถึงหากข้าราชการตำรวจมีการกระทำความผิด ก็ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดเอาออกไปเช่นกัน ก็เป็นการกวาดบ้านตัวเอง เป็นการทำทุกหน่วยงานให้เป็นของขวัญให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงปีใหม่

“เชียงราย”วันนี้ที่รอคอย”คนไทยไม่ไร้สิทธิ์! ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย แห่งสหประชาชาติปลื้ม 

(1 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ที่ว่าการอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ว่า พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางมาเป็นประธานในพิธีมอบบัตรประจำตัวให้แก่กลุ่มเด็กนักเรียนที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G และบุคคลที่ได้รับการเพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนราษฎร หรือคนไทยตกหล่น ตามโครงการนำความยุติธรรมเข้าหาประชาชน แก้ไขปัญหาสถานะบุคคลและสัญชาติ โดยมีผู้แทนส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว และมี คณะผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประกอบด้วย 1.) คุณมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่  ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (Ms. Michaela Friberg-Storey, UN Resident Coordinator, Thailand), 2.) คุณแทมมี ชาร์ป ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (Ms. Tammi Sharpe, Representative of UN High Commissioner for Refugees (UNHCR), Thailand), 3.) คุณคยองซอน  คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย (Ms.Kyungsun Kim, Representataive of United Nations Children’s Fund (UNICEF), Thailand), 4.) คุณเจอรัลดีน อองซาร์ค หัวหน้าสำนักงานองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน ประจำประเทศไทย (Ms. Géraldine Ansart, Chief of Mission for the International Organization for Migration (IOM) Thailand) เดินทางมาร่วมในพิธีด้วย โดยมี นายราชัน มีน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำกล่าวต้อนรับ และส่วนราชการ องค์กรปกครองท้อนถิ่นในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ

การมอบบัตรประจำตัวดังกล่าวเกิดจาก กระทรวงยุติธรรม โดย กรมสอบสวนคดีพิเศษ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน สำนักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงราย บูรณาการกับสำนักทะเบียนอำเภอแม่สรวย และ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) โดยกลุ่มบุคคลที่ได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้ประกอบด้วยกลุ่มเด็กนักเรียนที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G จำนวน 3,149 ราย ได้รับการกำหนดเลข 13 หลัก จำนวน 1,020 ราย เหลือจำนวนที่ต้องดำเนินการคัดกรอง จัดทำทะเบียนประวัติ จำนวน 1,665 ราย 

นอกจากนี้ ภายในกิจกรรมยังมีการเปิดรับลงทะเบียนบุคคลที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือในการตรวจสารพันธุกรรม (DNA) จากกระทรวงยุติธรรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเปิดรับลงทะเบียนกลุ่มบุคคลที่จะขอรับความช่วยเหลือในการพัฒนาสถานะทางทะเบียน ซึ่งทั้งสองกลุ่ม กระทรวงยุติธรรมจะบูรณาการร่วมกับสำนักทะเบียนอำเภอแม่สรวย และหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ โดยภายหลังกิจกรรมมอบบัตรประจำตัว จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สรวย เพื่อกำหนดแผนงานในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มบุคคลดังกล่าวเพิ่มเติม

พันตำรวจเอก ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติเป็นอย่างมาก โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม 2567 อนุมัติ หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามา ในอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งรวม แล้วมีจำนวนประมาณ 480,000 คน เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถใช้สิทธิที่ตนพึงมีตาม กฎหมายในด้านต่างๆ อันเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล และกฎหมายระหว่างประเทศ จากนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมได้ร่วมขับเคลื่อนการแก้ไข
ปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติมาอย่างต่อเนื่องผ่านนโยบาย “การนำความยุติธรรมเข้าหา ประชาชนอย่างทั่วถึงและถ้วนหน้า” โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมจะร่วมบูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และองค์กร ระหว่างประเทศ ในการสนับสนุนการปฏิบัติงานกับสำนักทะเบียนอำเภอ เพื่อแบ่งเบา ภาระหน้าที่ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้อย่าง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  

พันตำรวจเอก ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากที่ได้รับฟังรายงานของนายอำเภอแม่สรวย และผู้อำนวยการกองกิจการ อำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเห็นได้ว่า มีการประสานงานและ บูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงยุติธรรม จังหวัดเชียงราย และอำเภอแม่สรวย อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการอำนวยความยุติธรรมด้านสิทธิมนุษยชน ในพื้นที่อำเภอแม่สรวยให้เกิดเป็นรูปธรรม ผมขอแสดงความยินดีกับน้องนักเรียนผู้ได้รับบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะ ทางทะเบียนทุกคนในวันนี้ นอกจากสิทธิทางการศึกษาแล้ว ยังมีสิทธิด้านอื่นที่น้องๆ พึงได้รับ เช่น สิทธิการรักษาพยาบาล ซึ่งจะได้มีการลงทะเบียนเข้ารับสิทธิการ รักษาพยาบาลของกองทุนประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ให้เกิดผล อย่างเป็นรูปธรรมในวันนี้ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในความ ร่วมมือและสนับสนุนภารกิจกันระหว่างหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัด เชียงราย อำเภอแม่สรวย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทุกท่าน ในฐานะผู้มีอำนาจ หน้าที่ตามกฎหมาย ที่ได้ร่วมกันบูรณาการทำงานร่วมกับคณะทำงานของกระทรวง ยุติธรรม ในการผลักดันให้เกิดการพิจารณาสถานะทางทะเบียนตามกระบวนการของ กฎหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีความก้าวหน้าในการ ดำเนินการร่วมกันในระยะต่อไป  

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า คุณมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ได้กล่าวขอบคุณ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐบาลไทย ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และได้จัดงานในวันนี้ขึ้น ซึ่งถือเป็นห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญและมีความหมายกับเด็กทุกคน รวมถึงสะท้อนความยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากลของไทย และความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของรัฐบาลไทยในการยุติปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และขอแสดงความยินดี กับน้อง ๆ เยาวชน ที่ได้บัตรประจำตัวประชาชนทุกคนด้วย ทั้งนี้ ในพื้นที่อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย มีบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติและผู้มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ฯลฯ ซึ่งกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการร่วมกันให้ความช่วยเหลือกลุ่มบุคคลดังกล่าวกับอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย อย่างต่อเนื่อง

พันตำรวจเอก ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังได้ร่วมพูดคุยและแสดงความยินดีกับผู้ปกครองของเยาวชนที่ได้รับบัตรในวันนี้ โดยตัวแทนผู้ปกครองได้มอบผ้าพื้นเมืองให้ไว้เป็นที่ระลึก เป็นการขอบคุณที่เดินทางมาตรวจเยี่ยม และลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่สรวยในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งมีตัวแทนเยาวชนนำกล่าวขอบคุณท่านรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน

พันตำรวจเอก ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีกำหนดการเดินทางทัวร์นกขมิ้นวันนี้เป็นวันที่สามต่อเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย ตามลำดับ หลังปฏิบัติภารกิจร่วมประชุม ครม.สัญจร กับคณะรัฐมนตรี ที่มี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่วานนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ พร้อมคณะ เพิ่งกลับจากการเดินทางลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงบ่าย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีกำหนดการเดินทางไปที่ บ้านรวมมิตร รับฟังรายงานสรุปการดำเนินงานศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมของเรือนจำกลางเชียงราย และเรือนจำและทัณฑสถานเขต 5 กรมราชทัณฑ์
กระทรวงยุติธรรม และมีพิธีมอบบ้านน๊อคดาวน์ เฟส 2 ให้กับประชาชนด้วย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในช่วงค่ำ

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

ธงฟ้าเชียงรายคึกคัก!  พาณิชย์นำสินค้าฉลาดเลือกราคาประหยัด กว่า 500 รายการ ลดสูงสุด 70% ช่วยลดรายจ่าย-มอบความสุขช่วงท้ายปี  

(1 ธ.ค.  67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานมหกรรมธงฟ้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน ที่บริเวณลานหลังเทศบาลตำบลเมืองพาน อ.พาน จ.เชียงราย โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สส.เชียงราย ร่วมด้วย ภายในงาน มีการนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพมาจำหน่ายรวม 10 หมวด กว่า 500 รายการ ลดสูงสุด 70% สำหรับคนฉลาดเลือก อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ซอสปรุงรส น้ำยาซักผ้า ของใช้ประจำวัน เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ช่าง สินค้าซ่อมแซมบ้าน สินค้าทำความสะอาดบ้านเรือน สินค้าชุมชน เป็นต้น 

“เมื่อเดือนที่แล้วทางภาคเหนือมีน้ำท่วม รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์พยายามเข้ามาช่วยเหลือในทันทีและเมื่อน้ำลด กระทรวงพาณิชย์ก็มาช่วยฟื้นฟูและขายสินค้าในราคาถูกให้กับพี่น้องชาวเชียงใหม่และเชียงราย จัดมหกรรมธงฟ้า อยากให้ประชาชนมีความสุขโดยเฉพาะในช่วงใกล้ปีใหม่ ซื้อของตกแต่งบ้าน สินค้าอุปโภค-บริโภค ในราคาถูก อยากให้ทุกคนมีขวัญกำลังใจที่ดี วันนี้ได้มาเห็นหน้าผู้คนเดินซื้อของยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข แม่บ้านก็ชอบมาก ได้ความรู้สึกที่ดีกลับไป ซึ่งคาดว่าจะขายได้หลายล้านบาทแต่ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของคนที่มาจับจ่ายใช้สอย และที่สำคัญรัฐบาลเราดูแลทุกภาค ทางภาคใต้ที่กำลังประสบอุทกภัย กระทรวงพาณิชย์ก็ตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมกระทรวงพาณิชย์ และได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดเข้าไปช่วยกำกับดูแลราคาสินค้า ของห้ามขาด ห้ามแพง ถ้าพบราคาแพงเกินสมควรขอให้แจ้ง 1569 สายด่วนของกรมการค้าภายในจะรีบเข้าไปแก้ไขในทันที“ นายพิชัย กล่าว

ภายในงาน มีการจำหน่ายสินค้าไฮไลต์ สินค้าประมง และสินค้าผลไม้ที่เชื่อมโยงจากกลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในราคาพิเศษทุกวัน อาทิ ไข่ไก่เบอร์ M แผงละ 95 บาท น้ำตาลทรายขาว กิโลกรัมละ 24 บาท น้ำมันพืชปาล์มขวดละ 46บาท ข้าวหอมมะลิ 100% (5 กก.) ถุงละ 150 บาท กุ้งเผา กล่องละ 199 บาท ส้มโอขาวใหญ่ ลูกละ 40 บาท สับปะรดภูแล กิโลกรัมละ 20 บาท และส้มเขียวหวานสีทอง กิโลกรัมละ 30 บาท และมีสินค้าโปรโมชั่น ปลานิลเผา ตัวละ 99 บาท มาให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย ช่วยเพิ่มรายได้ และระบายสินค้าให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ มีการรวบรวมผลผลิตจากกลุ่มเกษตรกร เช่น ส้ม มาจำหน่ายในกิจกรรมของธงฟ้าฯ เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรแบบเชิงรุก ป้องกันไม่ให้ผลไม้ราคาตกต่ำและสินค้าล้นตลาด

“พาณิชย์” เผย ครม.สัญจร เคาะ! มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว-ข้าวโพด ปี 67/68 กว่า 9,900 ล้านบาท ช่วยพี่น้องเกษตรกรไทยยั่งยืน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย ภายหลังการประชุม ครม. สัญจรที่เชียงใหม่ ที่มี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มาตรการเพิ่มช่องทางการตลาด ปี 67/68 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งมาตรการเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้มีเพียงพอต่อความต้องการ รวมงบประมาณทั้งสิ้น กว่า 9,924 ล้านบาท จำแนกเป็น ข้าวเปลือก 3 มาตรการ วงเงิน 9,604 ล้านบาท และข้าวโพด 5 มาตรการ 320 ล้านบาท ดังนี้

ข้าวเปลือก 3 มาตรการ เพื่อดูดซับข้าวเปลือกในช่วงที่ข้าวออกมาจำนวนมาก เป้าหมาย 8.50 ล้านตันประกอบด้วย 

(1) สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงิน 8,362.76 ล้านบาท โดยช่วยค่าฝาก 1,500 บาท/ตัน ในกรณีเข้าร่วมกับสหกรณ์ สหกรณ์รับ 1,000 บาท/ตัน เกษตรกรรับ 500 บาท/ตัน เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง 1–5 เดือน เริ่มตั้งแต่ ครม. มีมติ - 28 ก.พ.2568 และเกษตรกรสามารถนำข้าวไปขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยข้าวหอมมะลิตันละ 12,500 บาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 12,000 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 11,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 10,500 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเหนียว ตันละ 10,000 บาท หากข้าวราคาขึ้น เกษตรกรสามารถไปไถ่ถอนออกมา เพื่อนำมาจำหน่ายได้ 

(2) สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่เป้าหมาย 1 ล้านตัน (+0.5 ล้านตัน) วงเงิน 656.25 ล้านบาท โดยสหกรณ์จ่าย ดอกเบี้ย 1% รัฐช่วยดอกเบี้ย 3.5% ระยะเวลา 15 เดือน ระยะเวลาการจ่ายสินเชื่อตั้งแต่ ครม. มีมติ -30 ก.ย.2568 

และ (3) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต๊อก เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงิน 585 ล้านบาท โดยรัฐช่วยดอกเบี้ย 3% เก็บสต๊อก 2–6 เดือน ระยะเวลารับซื้อตั้งแต่ ครม. มีมติ - 31 มี.ค.2568

นายพิชัย กล่าวอีกว่า มติคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 67/68 เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกร รวมถึงรักษาเสถียรภาพราคาในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก  ซึ่งจะส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และมาตรการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนในการพัฒนาการผลิตของตนเองโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และลดต้นทุนการผลิตรวม 5 โครงการ ประกอบด้วย

(1) สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 0.1 ล้านตัน วงเงิน 35 ล้านบาท โดยสหกรณ์จ่าย ดอกเบี้ย 1% รัฐช่วยดอกเบี้ย 3.5% ระยะเวลา 12 เดือน ระยะเวลาการจ่ายสินเชื่อตั้งแต่ ครม. มีมติ -31 พ.ค.2568

(2) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต๊อก เป้าหมาย 0.2 ล้านตัน วงเงิน 26.67 ล้านบาท โดยรัฐช่วยดอกเบี้ย 3% เก็บสต๊อก 2–4 เดือน ระยะเวลารับซื้อตั้งแต่ ครม. มีมติ - 31 ม.ค. 2568

(3) โครงการเพิ่มช่องทางการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 67/68 วงเงิน 51.50 ล้านบาท

(4) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 67 – 68 วงเงิน 138 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่เกษตรกรนำไปใช้เป็นเงินทุนในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตและคุณภาพ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อาทิ ระบบน้ำหยด วงเงินรายละไม่เกิน 230,000 บาท เป้าหมาย 10,000 ราย รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ย 3% ต่อปี 

และ (5) โครงการส่งเสริมพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประเทศไทย (ปีที่ 1) วงเงิน 69.54 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก เพิ่มคุณภาพผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจะดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูก 32 จังหวัด 

“รัฐบาลนำโดยท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการดูแลราคาสินค้าเกษตรทุกตัวให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์ก็จะเร่งดำเนินมาตรการต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา รวมทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพการเพาะปลูก เพิ่มคุณภาพผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน“ นายพิชัยกล่าว 

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567 : ‘การขอพรให้รวยเป็นบาปหรือไม่?’

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘การขอพรให้รวยเป็นบาปหรือไม่? ’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย พระศรีวัชรวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : การขอพรให้รวยบาปหรือไม่

พระศรีวัชรวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) : การขอให้รวยไม่ได้ถือว่าบาป แต่ใช่ว่าขอพรแล้วจะได้ตามที่ขอ การขอพรนั้นถือเป็นสิทธิส่วนตัว เหมือนกับทุกคนที่มีสิทธิเป็นผู้แทนฯ ทุกคนมีสิทธิเป็นรัฐมนตรี ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม แต่เราจะได้สิทธินั้นหรือไม่ล่ะ ดังนั้นหากต้องการได้สิทธิ ก็จะต้องสร้างเหตุเพื่อให้ได้สิทธินั้นก่อน

เช่นเดียวกับการขอพรให้รวย ซึ่งส่วนใหญ่ก็คงจะขอให้ได้โชคลาภถูกหวยถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 และก็เป็นเรื่องยากที่จะได้ตามที่ขอ แต่ทุกคนก็มีสิทธิที่จะขอโดยไม่เป็นบาปแต่อย่างใด เพราะไม่ได้ไปทำร้ายใคร

แต่ที่สำคัญ เราอย่าไปงอมืองอเท้าขอพรให้พระหรือเทวดาท่านช่วยอย่างเดียวเท่านั้น ต้องทำมาหากินด้วย

เพราะการขอพรจากมนุษย์ก็ดี ทวยเทพก็ดี ไม่ใช่เรื่องผิด สามารถขอได้ แต่อย่าละเลยความบากบั่น วิริยะ อุตสาหะ ในการดำรงชีวิต เราจะหยุดนิ่งไม่ได้ จะไปรอเพียงโชคชะตาไม่ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top