Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

‘สุริยะ’ เตรียมลงพื้นที่ดูเหตุเครนสร้างทางด่วนพระราม 2 ถล่ม พร้อมเล็งลงโทษบริษัทลดชั้นผู้รับเหมา - ห้ามรับงาน 2 ปี

(29 พ.ย.67) สุริยะสั่งอธิบดีกรมทางหลวงบินด่วนดูเหตุเครนสร้างทางด่วนพระราม 2 ถล่ม ก่อนตามลงพื้นที่เย็นนี้ เล็งตัดคะแนนลดชั้นผู้รับเหมา ห้ามรับงาน 2 ปี ส่วนสาเหตุขอรอตรวจสอบ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเหตุการณ์คานเหล็กก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถล่มเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาแล้ว พบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย สูญหาย 2 คน บาดเจ็บ 10 คน ได้สั่งการให้อธิบดีกรมทางหลวง ที่ขณะนี้มาปฏิบัติงานกับตนเองที่จังหวัดเชียงใหม่ให้กลับไปดูในพื้นที่เพื่อไปดูสาเหตุ

และช่วงเย็นวันนี้ตนก็จะกลับไปตรวจพื้นที่ ก่อนที่จะกลับมาปฏิบัติภารกิจต่อที่จังหวัดเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เคยเน้นย้ำกับผู้รับเหมามาโดยตลอด คือการปฏิบัติภารกิจด้วยความปลอดภัย แต่หากมีอุบัติเหตุทางกรมทางหลวง ก็มีสมุดพกที่จะประเมินตัดคะแนนผู้รับเหมา และประสานกับกรมบัญชีกลาง เพื่อลดชั้นผู้รับเหมา

ปัจจุบันผู้รับเหมาชั้นพิเศษมีแต่ปรับขึ้น แต่ผลงานไม่ดีไม่มีการปรับลง ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกรมบัญชีกลาง และอย่างกรณีที่เกิดขึ้นนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต บริษัทผู้รับเหมาที่ทำให้เกิดเหตุจะถูกตัดสิทธิไม่ให้เข้ามารับงาน ซึ่งอาจจะถึง 2 ปี หลังจากนั้นหากปรับปรุงจนดีขึ้นอาจจะคืนสิทธิ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงคมนาคมเห็นถึงความสำคัญและความปลอดภัยกับสาธารณะ

นายสุริยะกล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นคนละบริษัทกับที่เคยเกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมาบริษัทนี้มีผลงานค่อนข้างดี ส่วนข้อผิดพลาดเกิดจากอะไรขอกลับไปตรวจสอบก่อน แต่เมื่อเกิดเหตุก็ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างทันที ส่วนจะให้หยุดกี่วันขอกลับไปตรวจสอบ ก่อนกำหนดวันอีกครั้ง

นายสุริยะยังกล่าวว่า ตนเองเคยให้สัมภาษณ์ และยืนยันว่าถนนพระราม 2 อยากให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2568 แต่ระยะหลังมีสถานการณ์โควิดที่เกิด จึงทำให้ผู้รับเหมาสามารถขอขยายสัญญาออกไปได้จนถึงสิ้นปี 2568 ซึ่งตามสัญญาถือเป็นสิทธิของผู้รับเหมาที่สามารถทำได้ แต่ได้ขอความร่วมมือในเบื้องต้นให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนปี 2568

ส่วนกรณีที่ประชาชนหวาดกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอีก จะมีมาตรการอย่างไร นายสุริยะกล่าวว่า ปัญหาคือ เมื่อไม่มีมาตรการที่จะลดชั้นผู้รับเหมา ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วจะไม่เป็นไร ซึ่งผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ถ้าเกิดลดชั้นจะทำให้กระทบต่อธุรกิจ ดังนั้น หากมีมาตรการเรื่องการลดชั้นออกมา ก็จะทำให้ผู้รับเหมาเกรงกลัว ทำให้อุบัติเหตุลดลง

นายสุริยะยังกล่าวถึงการขยายระยะเวลาก่อสร้างให้ผู้รับเหมา อาจจะทำให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด ผู้รับเหมาก็มีสิทธิได้รับการขยายสัญญา ไม่ใช่แค่ผู้รับเหมาที่พระราม 2 แต่ผู้รับเหมาทุกโครงการก็ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปด้วยเช่นกัน พร้อมย้ำว่า ส่วนตัวอยากให้มีการก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ก็ต้องเน้นถึงความปลอดภัยเป็นหลักด้วย

มูลนิธิบุณยะจินดา เพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัวมอบรางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบและพลเมืองดี ทุนสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจ ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

จากการปฏิบัติหน้าที่ และทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2567 จำนวน 1,998,000 บาท

(29 พ.ย.67) เวลา 13.30 นาฬิกาที่ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐพันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ประธานกรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว เป็นประธานในพิธีมอบถ้วยรางวัลและประกาศเกียรติยศแก่ข้าราชการตำรวจและพลเมืองดี ผู้มีผลงานดีเด่นเป็นต้นแบบ มอบทุนสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจ ผู้ที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2567 โดยมี พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ, พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี, พล.ต.อ.ไกรสุข สินศุข,พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร, พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา, พล.ต.อ.สุพร พันธุ์เสือ,พล.ต.ท.หญิง ศิริจันทร์ จันทร์แสงสว่าง, พล.ต.ต.ปราโมทย์ อ่อนปาน, คุณกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี กรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาฯ เข้าร่วมในพิธีฯ

คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ประธานกรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาฯกล่าวว่า “มูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว ได้มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสนองคุณความดีและตอบแทนคุณประโยชน์แก่ข้าราชการตำรวจผู้เสียสละ และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมเป็นประจำในทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของ พล.ต.อ.พจน์  บุณยะจินดา อดีตประธานมูลนิธิบุณยะจินดาฯ ที่มีปณิธานที่จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ อำนวยประโยชน์เพื่อสังคมและส่วนรวมตลอดไป

ในปีนี้ มูลนิธิบุณยะจินดา ฯ มอบรางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม รางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบรางวัลพลเมืองดี  มอบทุนสงเคราะห์แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และมอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,998,000 บาท (หนึ่งล้านเก้าแสนแปดหมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยมอบเป็นรางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม 1 รางวัล 50,000 บาท ข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบ 3 กลุ่ม (สัญญาบัตร, ประทวน และดีเด่นในด้านต่าง ๆ) 22 รางวัล เป็นเงิน 400,000 บาท, พลเมืองดี 2 รางวัลเป็นเงิน 20,000 บาท,มอบทุนสงเคราะห์ฯ 133 ทุน เป็นเงิน 505,000 บาท และมอบทุนการศึกษาฯ จำนวน 120 ทุนเป็นเงิน 1,023,000 บาท”

สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลและทุนประเภทต่าง ๆ มีรายละเอียด ดังนี้
1. รางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม จำนวน 1 รางวัล มอบประกาศเกียรติยศสดุดีวีรกรรม และเงิน 50,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ผู้ได้รับรางวัล คือ พ.ต.ท. กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป. สน.ท่าข้าม บช.น. โดยมอบรางวัลให้กับทายาทคือ พ.ต.ท.หญิง ชนม์ณกานต์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ฝ่ายควบคุมอัตรากำลัง อต.สกพ. (ภรรยา) และร.ต.ท.วันรัฐธ์ จันยะรมณ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.สำโรงใต้จ.สมุทรปราการ (บุตร)

วีรกรรมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 เวลา 21.45 นาฬิกา พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม ได้รับแจ้งเหตุว่ามีการทะเลาะวิวาทภายในครอบครัวและ มีอาวุธปืนในครอบครอง จึงได้รีบเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ โดยขณะเข้าไประงับเหตุ ปรากฏว่าคนร้ายในเบื้องต้นทราบว่า นายบุญมา หรือ เฮียตุ๊ง อายุ 49 ปี ผู้ก่อเหตุเป็นบิดา ได้ทะเลาะกับลูกภายในบ้าน และได้จับลูกสาววัย 15 ปีเป็นตัวประกัน พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ พยายามเข้าไปเจรจาเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน แต่กลับถูกฝ่ายบิดายิงสวน พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ ด้วยอาวุธปืน 3 นัด เข้าที่บริเวณอกด้านขวา 1 นัด หน้าอกด้านซ้าย 1 นัด และง่ามนิ้วมือซ้าย 1 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำหรับประวัติของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ เกิดวันที่ 16 เมษายน 2508 อายุ 59 ปี บรรจุครั้งแรกเมื่อปี 2537 ในตำแหน่งรองสารวัตร ปี 2551 เลื่อนตำแหน่งเป็นสารวัตร 
ปี 2558 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้กำกับการ ปี 2560 ดำรงตำแหน่งเป็น รอง ผกก.สส. 
สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และได้รับการแต่งตั้งเป็นรอง ผกก.ป. สภ.รามัน จ.ยะลา ปี 2563 ย้ายเป็น รอง ผกก.ป.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ปี 2565 โยกเป็น รอง ผกก.ป.สน.บางมด  และปี 2566 จนถึงปัจจุบันเป็น รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม

2. รางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบ 3 กลุ่ม จำนวน 22 รางวัล รวมเป็นเงิน 400,000 บาท

2.1 กลุ่มสัญญาบัตร ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศและเงินรางวัล 100,000 บาท จำนวน 1 รางวัล คือ พ.ต.ท.อภิชาติ จันจุฬารอง ผกก.สส.3 บก.สส.จชต.ภ.9

2.2 กลุ่มชั้นประทวน มอบถ้วยรางวัลเกียรติยศและเงินรางวัล จำนวน 3 รางวัลๆละ 40,000 บาท รวมเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้ได้รับรางวัล คือ
(1) จ.ส.ต.พิสุทธิ์ ศรีนอง ผบ.หมู่กก.ปพ.ภ.จว.ยะลา/ผบ.หมู่
งานสืบสวนคดีความมั่นคงและคดีพิเศษ ศปก.ตร.สน. ภ.9
(2) จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ เวลา ผบ.หมู่ กก.ตชด.23 บช.ตชด.
(3) ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ  หลวงสอน ผบ.หมู่ งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการ
พระราชดำริ 2 กก.6 บก.จร.บช.น.

2.3 ข้าราชการตำรวจดีเด่นในด้านต่าง ๆ 5 ด้าน (ด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมดีเด่น, ด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติดดีเด่น, ด้านสืบสวนดีเด่น, ด้านจราจรดีเด่น และ ด้านสอบสวนดีเด่น) มอบในประกาศเกียรติบัตรและเงินรางวัล จำนวน 18 รางวัลๆละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 180,000 บาท ผู้ได้รับรางวัล คือ

ด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
(1) พ.ต.อ.นิกร    ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จว.ภูเก็ต ภ.8
(2) พ.ต.ท.เอกลักษณ์ จิตชาญวิชัย รอง ผกก.ป. สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ภ.6
(3) พ.ต.ท.วิเชียร  คำชุมภู สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ
ต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. บช.สอท.
(4) พ.ต.ท.อมรศักดิ์ กลิ่นเมฆ ผบ.ร้อย ตชด.417 กก.ตชด.41
บก.ตชด.4 บช.ตชด.

ด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(1) พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จว.สระบุรี ภ.1
(2) พ.ต.อ.พรชัย สุวรรณวงศ์ ผกก.สส.2 บก.สส.จชต. ภ.9
(3) พ.ต.อ.อนุสรณ์ ดังก้อง ผกก.สภ.ตรอน จว.อุตรดิตถ์ ภ.6
(4) พ.ต.ท.นิธิศ รอดคลองตัน รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ภ.4
(5) พ.ต.ต.ชินวัตร บัวรอด สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.2 

ด้านสืบสวน
(1) พ.ต.อ.ธัชพงศ์ วงศ์พัฒนานิวาศ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก ภ.6
(2) พ.ต.อ.พีระ อัศวพิบูลย์ผล ผกก.สส.ภ.จว.สุพรรณบุรี ภ.7
(3) พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1
(4) พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย สตม.
(5) ด.ต.ยุทธนา สารบูรณ์ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส.

ด้านจราจร
(1) พ.ต.อ.เจน โสภา ผกก.กลุ่มงานจราจร ภ.จว.เชียงใหม่ ภ.5
(2) พ.ต.ท.กฤษณกันต์ เกรียงทวีชัย รอง ผกก.จร.สภ.เมืองชลบุรี ภ.2
(3) พ.ต.ท.ณัฐฐ์ฐนนท์ สีฟ้า รอง ผกก.จร.สภ.เมืองอุบลราชธานี ภ.3

ด้านสอบสวน
(1) ร.ต.อ.สุรชาติ ไชยทองรัตน์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองหนองบัวลำภู
จว.หนองบัวลำภู .ภ.4
        
3. รางวัลพลเมืองดี มอบประกาศเกียรติคุณพลเมืองดีและเงินรางวัล จำนวน 2 รางวัลๆละ 10,000 บาท  ผู้ได้รับรางวัล คือ
3.1 พลเมืองดี 4 ราย คือ นายไสว มีสุข , นายปรีชา ฉันทสุทธา, นายกรกฤช แสงสิริ และ นายมีทรัพย์ พาหมณ์น้อย

วีรกรรมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 19.38 นาฬิกา เกิดเหตุ ชิงทองที่ร้านทองบางกอกโกลด์ ในห้างสรรสินค้าโลตัส สาขามหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาครพื้นที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร ภ.จว.สมุทรสาครโดยคนร้ายเป็นชาย 1 คน รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อคลุมไรเดอร์ สวมหมวกกันน็อคสีขาวปิดบังใบหน้า สามถูงมือผ้า นุ่งกางเกงขายาวสีดำ ทราบชื่อต่อมาคือ นายคำพันธ์ ศรีหาสุข อายุ 24 ปี กระโดนข้าม ตู้กระจกหน้าร้าน บุกเข้าไปชิงทองรูปพรรณบนแผงโชว์ที่อยู่ด้านหลังของพนักงาน 3 คน กวาดสร้อยคอทองคำใส่กระเป๋าสะพายได้ จากนั้นนายคำพันธ์ฯ ได้กระโดดออกทางเดินวิ่งหลบหนีไปทางหน้าห้าง ที่มีกลุ่มคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง(พลเมืองดี) 4 คนช่วยกันสกัดจับคนร้าย (นายคำพันธ์ฯ) แต่คนร้ายได้วิ่งหลบหนีออกไปทางถนนพระราม 2 ขาออก โดยมีพลเมืองดีวิ่งติดตามและคนร้ายเสียหลักตกน้ำข้างทาง พลเมืองดีและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันจับกุมคนร้ายได้พร้อมของกลาง เป็นสร้อยคอทองคำ จำนวน 45 เส้น น้ำหนักรวม 124 บาท, สร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 39 เส้น น้ำหนักรวม 81 บาท น้ำหนักทองรวมทั้งสิ้น 205 บาท คิดเป็นมูลค่า 8.6 ล้านบาท ,มีดพับสีดำ 1 ด้าม และสิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก       

3.2 พลเมืองดี 1 ราย คือ นายวินัย  เนียมเทศ วีรกรรมเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เวลา 16.30 นาฬิกา เกิดเหตุหญิงอายุ 50 ปี กระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยา ลอยคอขอความช่วยเหลืออยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ใต้สะพานเจษฎาบดินทร์ ช่วงฝั่งขาออก มุ่งหน้าบางศรีเมืองต.สวนใหญ่ จ.นนทบุรี พื้นที่ สภ.เมืองนนทบุรี ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.กรชนก บุญมี ช่วงระหว่างกระโดดและลอยคอรอความช่วยเหลือ นายวินัย เนียมเทศ (พลเมืองดี) ขณะที่พาลูกและภรรยามาผูกเปลนั่งเล่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเห็นเหตุการณ์ จึงได้รีบกระโดลงน้ำไปช่วยเหลือ น.ส.กรชนกฯ ทันที และพาตัวขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัยในสภาพหายใจรวยริน และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาสากู้ภัยให้นำส่งโรงพยาบาล

4.มอบทุนสงเคราะห์แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ 133 ราย รวมเป็นเงิน 505,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
4.1 เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท จำนวน 9 ราย
4.2 ทุพพลภาพ รายละ 10,000 บาท จำนวน 1 ราย
4.3 บาดเจ็บสาหัส รายละ 5,000 บาท จำนวน 23 ราย
4.4 บาดเจ็บ รายละ 2,000 บาท จำนวน 100 ราย

5.มอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจ 120 ทุน รวมเป็นเงิน 1,023,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
5.1 ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่อง ระดับปริญญาโทต่างประเทศ

‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ประกาศตามหาสร้อยคอ 5 บาท บอกคนหาพบพร้อมยกสร้อยทองให้ ขอคืนแค่พระ 3 องค์

(29 พ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ต้นปราการ’ ได้โพสต์ข้อความประกาศตามหาสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 5 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 4 องค์ ได้แก่หลวงปู่ทวด ,หลวงปู่ทิม, หลวงพ่อโอภาสี , และพระราหู ซึ่งเป็นสร้อยคอทองคำประจำกายของ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ดารานักแสดงชื่อดัง ซึ่งกำลังนำทีมงานมูลนิธิร่วมกตัญญูลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดภาคใต้ โดยคาดว่าจะหล่นหายขณะเปลี่ยนเสื้อ หลังจากเสร็จสิ้นช่วยเหลือชาวบ้านที่ยะลา

โดย บิณฑ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สวัสดีครับเพื่อนๆ ครับ ผมมีเรื่องรบกวนพี่ๆเพื่อน ๆ ครับ คือเมื่อวานนี้ ช่วงเวลาประมาณเวลาห้าทุ่ม ผมได้ทำภารกิจ ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนออกจากพื้นที่จนภารกิจเสร็จเรียบร้อย ก็เปิดรถ เพื่อจะเปลี่ยนเสื้อที่เปียกเพราะฝนตกตลอดทั้งวัน แต่ด้วยเป็นเสื้อคอกลมคอเต่า อาจจะทำให้สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาทพร้อมพระเลี่ยมทอง หลุดออกไปจากคอ

“แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าสร้อยคอได้หายไปแล้ว มารู้สึกอีกทีก็เกือบถึงปัตตานี เพราะเมื่อคืนนี้ที่จังหวัดยะลาไม่มีที่พักเลย ต้องนั่งรถมาพักที่ปัตตานี เลยแจ้งให้กู้ภัยที่ยะลาตามหา ในเวลานั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น จึงอยากจะรบกวนทุกๆท่านนะครับที่อยู่บริเวณบนสะพานตรงที่น้ำท่วม และทำภารกิจกันเมื่อคืนนี้ ถ้าใครพบเจอสร้อยคอทองคำ พร้อมกับพระเลี่ยมทองของผม 3 องค์”

“ขอความกรุณาเอาพระมาคืนผมครับ ส่วนสร้อยคอผมยินดีที่จะให้ไป ผมขอพระคืนครับ เพราะมีคุณค่าทางจิตใจของผมครับ ผมพยายามหารูปถ่ายของพระกับสร้อยหาไม่มีครับ ยังไงถ้าท่านใดเจอนะครับกราบขอบพระคุณมากครับ ผมขอแค่พระครับ”

ถ้าท่านใดเจอสามารถติดต่อมาเบอร์นี้ได้เลยนะครับ 063-773-0936 ชื่อยอดนะครับ
กราบขอบพระคุณมากครับผม

‘อดีตดาราซีรีส์เน็ตฟลิกซ์’ ถูกจับคาสนามบินอังกฤษ หลังลักลอบขนกัญชาเกือบ 40 กก. จากภูเก็ต

(29 พ.ย. 67) อดีตดาราซีรีส์เรียลิตีเน็ตฟลิกซ์ ถูกจับได้ขณะพยายามลักลอบขนยาเสพติดมูลค่า 150,000 ปอนด์ (ราว 6.5 ล้านบาท) ด้วยเที่ยวบินจากไทย เข้าสู่สหราชอาณาจักร

โอลกา เบดนารสกา (Olga Bednarska) วัย 27 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ สนามบินแมนเชสเตอร์ เรียกตรวจ และจากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ 2 ใบ พบว่ามีกัญชาซุกซ่อนอยู่ภายใน 40 กิโลกรัม

อินฟลูเอนเซอร์สาว ซึ่งเคยปรากฏตัวในเรียลิตีโชว์ทางเน็ตฟลิกซ์ 'Too Hot to Handle' อ้างว่าเธอรับกระเป๋าทั้ง 2 ใบ มาจากเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า 'เท็กซ์'

เบดนารสกา อ้างว่า เท็กซ์ จ้างเธอให้ขึ้นเครื่องบินจากภูเก็ตในเที่ยวบินดังกล่าว โดยเพื่อนรายนี้วานให้เธอช่วยนำกระเป๋าเสื้อผ้าและนาฬิกากลับไปอังกฤษ

สุดท้ายแล้ว เธอถูกจับกุมและต่อมายอมรับสารภาพ ในความผิดเกี่ยวกับการตบตาหลบหลีกข้อห้ามนำเข้ายาเสพติดประเภท บี

ทั้งนี้ เบดนารสกา อยู่ภายใต้การควบคุมตัวมาตั้งแต่ถูกจับกุมเมื่อเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม เธอถึงกับร่ำไห้ระหว่างการพิจารณาคดี เมื่อรอดพ้นจากโทษจำคุก เนื่องจากศาลให้รอลงอาญาไว้ก่อน

ผู้พิพากษา จอห์น พอตเตอร์ บอกว่าอดีตสตาร์เรียลิตีโชว์รายนี้ พาตัวเองตกเป็นหนี้ 16,000 ปอนด์ เนื่องจากพยายามมีไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา แต่ด้วยวิถีชีวิตที่เลยเถิดเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นเธอจึงเลือกหนทางแห่งการก่ออาชญากรรมในการปลดหนี้

เธอ ตอบตกลงบินไปประเทศไทย ในทริปที่มีคนออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด สำหรับไปขนสินค้าออกนอกประเทศ แลกกับเงิน 18,000 ปอนด์

ในวันที่ 10 ตุลาคม เธอได้พบกับคนรู้จักรายหนึ่งชื่อ 'เท็กซ์' ก่อนเช็กอินเข้าพักในโรงแรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จากนั้นบุคคลรายดังกล่าวก็มอบเงินให้ เบดนารสกา ไปใช้จ่าย ซึ่งเธอก็นำไปซื้อกระเป๋าสัมภาระ 2 ใบ เพื่อลักลอบขนสินค้า

เบดนารสกา ถูกขอให้อำพรางสินค้าดังกล่าว ที่เธอเชื่อว่าเป็นเพียงเสื้อผ้าและนาฬิกา และไม่มีความตั้งใจเกี่ยวข้องกับมันมากกว่านั้น

ต่อมาครั้งที่บินกลับอังกฤษเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม เบดนารสกา ถูกเรียกตรวจโดยพวกเจ้าหน้าที่ศุลกากร เธอบอกกับเจ้าหน้าที่ไปว่า เธอเป็นคนแพ็กกระเป๋าด้วยตนเอง

เบดนารสกา ถูกร้องขอให้ปลดล็อกกระเป๋า แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเธอไม่มีรหัส สุดท้ายเธอยอมให้ข้อมูลกับพวกเจ้าหน้าที่ว่า เธอเพิ่งได้รับมอบกระเป๋าทั้ง 2 ใบ ที่สนามบินต้นทาง

จากนั้นพวกเจ้าหน้าที่จึงทำการรื้อค้น และพบว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่บริเวณใต้เสื้อผ้าในกระเป๋าสัมภาระใบดังกล่าว เป็นห่อกัญชาหลายมัด น้ำหนักรวม 39.4 กิโลกรัม ว่ากันว่ามีมูลค่าราว ๆ 157,600 ปอนด์

ผู้พิพากษาพอตเตอร์ กล่าวว่า "คุณตัดสินใจไว้วางใจคนบางคนที่คุณแทบไม่รู้จักเลย คุณดำเนินการภายใต้คำสั่งของคนอื่น ๆ เป็นไปได้เพื่อผลตอบแทนเพิ่มเติม"

"ผมมั่นใจว่าคุณสามารถจินตนาการได้เองว่า ยาเสพติดนี้จะทำร้ายชุมชนของเรามากแค่ไหน คุณส่งเสริมเรื่องนี้โดยตรง ด้วยการยินยอมทำในสิ่งที่คุณทำ" ผู้พิพากษาระบุ

เบดนารสกา ถูกพิพากษาจำคุก 20 เดือน แต่โทษให้รอลงอาญา 2 ปี นอกจากนี้แล้วเธอยังถูกสั่งให้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดตามที่กำหนดเป็นเวลา 15 วัน

ครบรอบ 17 ปี สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จัดใหญ่ภายใต้แนวคิด 'เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน'

เมื่อวันที่ (27 พ.ย.67) สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จัดงานครบรอบ 17 ปี (25 ปี รวมพลคนข่าวเกษตร) ภายใต้แนวคิด 'เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน' ที่อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยได้รับเกียรติจากนายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน และดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความเป็นกลางทางคาร์บอน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดี ภายในงานมีการจัดนิทรรศการและบูธแสดงสินค้าด้านการเกษตรจากหน่วยงานต่างๆ และเกษตรกรกว่า 20 บูธ และเป็นการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างสื่อมวลชนสายเกษตร ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการและเกษตรกร 

นายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคปัจจุบัน หากเราไม่เปลี่ยนแปลงการทำการเกษตรจากแบบดั้งเดิม ก็จะไม่สามารถก้าวพ้นความยากจนไปได้ และหากยังไม่เปลี่ยนวิธีการ ก็จะไม่สามารถเพิ่มขีดศักยภาพการแข่งขัน เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจที่พี่น้องเกษตรกร ซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ เป็นฐานรากทางเศรษฐกิจของประเทศ ถึงแม้ว่า GDP ภาคการเกษตรของประเทศจะมีอัตราที่ไม่สูงนักเมื่อเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ แต่ก็มีความจำเป็นที่ประเทศไทยหรือแม้แต่ประเทศมหาอำนาจที่จะต้องดูแลคนที่อ่อนแอกว่า ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่คนที่อยู่ในภาคเกษตรกลับอยู่ในสถานะความยากจน ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับเกษตรกร โดยนำนวัตกรรมใหม่ๆที่จะนำไปสู่กระบวนการผลิตที่เรียกว่าเกษตรเพิ่มมูลค่าหรือเกษตรพรีเมี่ยม ซึ่งไม่จำเป็นต้องผลิตจำนวนมาก ผลิตน้อยๆแต่ต้องเปี่ยมด้วยคุณภาพ ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรหลายๆอย่างของพี่น้องเกษตรกร สามารถนำมาดัดแปลงเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มมูลค่า ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้ 

“แต่ความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับภาคการเกษตร ยังยึดมั่นที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ จึงฝากความหวังไว้กับทุกภาคส่วน และส่วนที่หนีไม่พ้นเป็นอย่างยิ่งคือ การสร้างความเข้าใจถึงมิติความสำคัญภาคการเกษตร ในการที่จะสื่อสารนโยบายสำคัญของรัฐบาลไปสู่พี่น้องเกษตรกรและประชาชนทั่วไป นั่นคือบทบาทของสื่อมวลชน ดังนั้นในวันนี้ถือว่าสื่อมวลชนภาคการเกษตร ได้ทำงานอย่างสุดความสามารถที่จะเป็นสะพานเชื่อม เพื่อนำข่าวสารที่สร้างสรรค์และถูกต้องไปสื่อให้เกษตรกรหรือประชาชน ดังนั้นผู้สื่อข่าวสายเกษตร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคเกษตรของไทย

นายภิญโญ แพงไธสง นายกสมาคมสื่อมวลชลเกษตรแห่งประเทศไทย กล่าวว่าสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทยมีอายุครบ 17 เต็มในปี 2567 นี้ แต่หากนับตั้งแต่การรวมตัวของพี่น้องสื่อมวลชนสายเกษตรฯ ที่ตั้งเป็นชมรมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย ก็นับรวมได้ 25 ปีได้ หากเปรียบกับคนเราก็เข้าสู่เบญจเพศ เป็นวัยหนุ่มวัยสาวที่มีไฟมีพลังมากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้มีกิจกรรมมากมายทั้งด้านวิชาการและด้านสังคม โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นแต่ละครั้ง ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาชิกฯ ผู้ประกอบการเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ สำหรับในปีนี้ สมาคมฯได้จัดงานภายใต้แนวคิด“เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน” เพื่อเป็นสื่อกลางในฐานะสื่อมวลชน อันจะนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการส่งเสริมเกษตรกรในการยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561 - 2580 ที่ได้กำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน มีการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ลดความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาประชากร เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน สร้างความเจริญทางรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการให้ความสำคัญกับการยกระดับรายได้ของกลุ่มเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐบาลในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ภายใต้แนวคิด "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริมเพิ่มรายได้" อีกด้วย

สำหรับในปีนี้ สมาคมฯยังได้มีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ “รางวัลขวัญใจสื่อมวลชน” ให้กับเกษตรกรผู้มีความคิดสร้างสรรค์สร้างมูลค่าสินค้าเกษตรและมีคุณูปการต่อวงการเกษตร จำนวน 10 ท่าน ได้แก่
 
1.ไพฑูรย์ ฝางคำ วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาอาชีพเกษตร สู่ความยั่งยืนด้วยการปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำ สร้างกระบวนการรวมกลุ่ม สร้างเครือข่าย สร้างพลังในการขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ด้วยการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต พัฒนาคุณภาพมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เพิ่มมูลค่า สร้างอาชีพ สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องเกษตรกร

2.จุไรรัตน์ เชิดชิด วิสาหกิจชุมชนข้าวฮางบ้านสุขสำราญ ต.ฝั่งแดง อ.นากลาง จ. หนองบัวลำภู เป็นแกนนำในการรวมกลุ่มชาวนาในพื้นที่เพื่อปลูกแปรรูปครบวงจรจึงช่วยสร้างงาน สร้างรายได้กลับสู่ท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ในนาม “กลุ่มข้าวฮางบ้านสุขสำราญ” ภายใต้การส่งเสริมของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

3.คุณกมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ “ไร่แสงสกุลรุ่ง” อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี เป็นคนรุ่นใหม่ ที่สนใจเลี้ยง“ผำ” พืชน้ำที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้ให้กับครอบครัวและต่อยอดให้กับเกษตรกรในชุมชน แปรรูปสร้างความแตกต่างในตลาด เพิ่มมูลค่าและยอดขายให้สูงขึ้น

4.อร่าม ทรงสวยรูป เกษตรกรผู้สืบสานพันธุ์ข้าวไทย จากจังหวัดนครราชสีมา อดีตช่างภาพรางวัลพูลิตเซอร์ วัย 56 ปี ผันตัวเองเป็นชาวนาตามรอยบรรพบุรุษ เรียนรู้วิถีธรรมชาติ และยึดธรรมะเป็นที่มั่น ได้สร้างสุขทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งมีรายได้จากการทำเกษตรอินทรีย์ ยกระดับครอบครัวและยังช่วยสืบสานพันธุ์ข้าวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

5.วัฒนชัย เกตุพลอย เกษตรกรจาก อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เจ้าของสายพันธุ์ขนุนทองพลอย ที่ให้ผลตลอดปี ผลใหญ่ตั้งแต่ 20-60 กก. ซังน้อย เนื้อแน่น รสชาติหวานกรอบ ยางน้อย เนื้อสีเหลืองทอง โดยร่วมกับคณาจารย์หลายท่านจากหลากหลายสถาบันการศึกษา ในการวิจัยขนุนให้มีอายุหลังเก็บเกี่ยวให้นานขึ้น เหมาะกับการนำเนื้อมาแปรรูป และวางจำหน่ายตามร้านค้าโมเดิร์นเทรดชั้นนำทั่วประเทศ 

6.นางสาวธิติมา ตะรุสะ ประธานวิสาหกิจชุมชนภูริธาราพรรณ ต.ห้วยป่าหวาย อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ผู้ยึดแนวทางหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9  มาปฏิบัติ โดยได้รับโอกาสจากสำนักงานเกษตรอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ให้เข้าร่วมอบรมเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือ Young Smart Farmer (YSF) และได้นำความรู้ที่อบรมมาปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ในสวนเพิ่มบุญ ของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น กระชาย เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดต่อยอดพัฒนาสินค้าทางการเกษตร นำกระชายมาแปรรูป เพื่อสร่างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ ภายใต้วิสาหกิจชุมชนภูริธาราพรรณ

7.วิสัน วงศ์เมือง เกษตรกรหัวก้าวหน้าแห่งตำบลสุขไพบูลย์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ผู้สืบทอดความรู้และเทคนิคจากครอบครัว ผสมผสานกับความรู้สมัยใหม่ จนสามารถพัฒนาคุณภาพของผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้จากการปลูกกล้วยหอมทองทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น และเป็นต้นแบบให้เกษตรกรรายอื่นอีกด้วย

8.ชาลี จิตรประสงค์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งฉะเชิงเทรา เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อย ปี พ.ศ.2549 เจ้าของ สาริกาฟาร์ม ผู้มุ่งมั่นที่จะผลิตกุ้งสด สะอาด ปลอดภัยไร้สารตกค้าง เพื่อการส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศ ที่มีคุณภาพ อย่างใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ 

9.สมบัติ สุขนันท์ เจ้าของสวนสมบัติอาณาจักรกล้วย ต.ไทรใหญ่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี  และปลูกกล้วย กว่า 500 ไร่ ที่ปลูกกระจายในพื้นที่จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี พิจิตร และเชียงใหม่ และเป็นนักสะสมสายพันธุ์กล้วยแปลก กล้วยหายากเกือบ 250 สายพันธุ์ เช่น แส้หางม้า สายน้ำผึ้งเตี้ย นากค่อม นิ้วนางรำ หอมแคระ กล้วยเทพพนม กล้วยขนุน กล้วยน้ำว้าดำ กล้วยร้อยปลี เป็นต้น 

10.สิริพงศ์ วราศัย หรือที่คนในวงการกล้วยไม้ เรียกว่า อาจารย์โรจน์ ผู้คร่ำวอด ในวงการล้วยส่งออกรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศ  ที่สืบทอดธุรกิจมาจากรุ่นคุณพ่อ ที่ทำธุรกิจกล้วยไม้เป็นรายแรกของไทย โดยรับช่วงต่อมาตั้งแต่ปี 2525 ทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ 

นับว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรหัวก้าวหน้า ที่จะเป็นแกนนำหรือต้นแบบให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ได้หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าสูงในอนาคตต่อไป

นายกฯกัมพูชายัน 'คลองฟูนันเตโช' ไร้ปัญหาเรื่องเงินกับจีน แม้เริ่มก่อสร้าง 3 เดือนแต่ไร้คืบ

(28 พ.ย. 67) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ปฏิเสธรายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่า โครงการเมกะโปรเจกต์คลองฟูนันเตโช ซึ่งกัมพูชาร่วมทุนกับจีน และเริ่มการก่อสร้างไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว กำลังเผชิญปัญหาการเงินจากการที่รัฐบาลจีนลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในจีนที่อ่อนแอลง แม้กัมพูชาจะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีน

ฮุน มาเนต ระบุว่า โครงการนี้ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการดำเนินงานได้ และรัฐบาลของเขากำลังดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยปฏิบัติตามคำสั่งที่ชัดเจนเพื่อจำกัดผลกระทบต่อประชาชนในระดับรากหญ้า กัมพูชายังมีหุ้นส่วนสำรองหลายรายที่พร้อมจะช่วยดูแล หากโครงการใดล้มเหลว พร้อมทั้งยืนยันว่ากลุ่มทำงานยังคงดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต สอดคล้องกับคำยืนยันของรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล ประธานคณะกรรมาธิการพิเศษโครงการก่อสร้างคลองฟูนันเตโช ซึ่งกล่าวว่าโครงการยังคงดำเนินไปตามแผน และได้ปฏิเสธรายงานจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่าโครงการล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางการเงินของจีน

โครงการคลองฟูนันเตโชมีแผนจะเริ่มเปิดใช้งานในช่วงต้นปี 2028 โดยมีงบการลงทุนมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 58,000 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของจีดีพีกัมพูชา โดยในตอนแรกรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่าจีนจะเป็นผู้ช่วยเหลือการลงทุนทั้งหมด แต่ภายหลังมีการแก้ไขเป็นจีนจะออกเงินช่วยเหลือ 49% และบริษัทต่าง ๆ ของกัมพูชาจะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนที่เหลือ 51%

แม้โครงการเริ่มต้นด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แต่ความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะสถานที่จัดพิธีที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง และมีการรายงานถึงปัญหาด้านเงินทุนที่ไม่ตรงกันระหว่างจีนและกัมพูชา รวมถึงความกังวลของจีนที่มีต่อโครงการนี้

ก่อนหน้านี้ รอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา รัฐบาลจีนได้ลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศลง แม้ในประเทศที่จีนมองว่าเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เช่น กัมพูชา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากัมพูชามีหนี้สินกับจีนถึงหนึ่งในสามของหนี้ทั้งหมด

คาดว่าในปี 2026 จีนจะระดมทุนให้กับกัมพูชาน้อยลง โดยลดจาก 240 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 เหลือเพียง 35 ล้านดอลลาร์ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ ซึ่งในครึ่งแรกของปี 2024 กัมพูชายังไม่ได้รับเงินกู้ใหม่จากจีนเลย

สำหรับโครงการคลองฟูนันเตโชถือเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตต้องการผลักดัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากแม่น้ำโขงผ่านกรุงพนมเปญไปยังอ่าวไทย ลดการพึ่งพาการขนส่งทางทะเลจากเวียดนาม คลองนี้จะมีความกว้าง 100 เมตร ลึก 5.4 เมตร และยาว 180 กิโลเมตร คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 16%

โครงการนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2024 ด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยตรงกับวันคล้ายวันเกิดของฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ผู้ริเริ่มโครงการนี้และถูกสานต่อมาในรัฐบาลรุ่นลูก

ไบเดนเหลือเงินอัดฉีดยูเครนกว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ หลังทิ้งทวนรีบแจกอาวุธให้เซเลนสกีไม่อั้น

(29 พ.ย.67) ประธานาธิบดีโจ ไบเดนในช่วงเดือนสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งกำลังเร่งอัดฉีดทั้งเงินและอาวุธให้กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการรับมือกับสงครามจากรัสเซีย เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีจุดยืนไม่สนับสนุนการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน

ล่าสุด ไบเดนได้อนุมัติงบประมาณและอาวุธมูลค่า 725 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 24,934 ล้านบาท) ให้กับยูเครน เพื่อช่วยให้สามารถสู้ศึกรัสเซียได้ก่อนที่วาระการดำรงตำแหน่งของเขาจะสิ้นสุดในเดือนมกราคมนี้ การช่วยเหลือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในหลายครั้งที่ไบเดนเร่งมอบให้ยูเครนในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่กมลา แฮร์ริส แพ้การเลือกตั้ง

งบประมาณดังกล่าวมาจาก 'อำนาจเบิกจ่ายอาวุธของประธานาธิบดี' หรือ Presidential Drawdown Authority (PDA) ซึ่งอนุญาตให้สหรัฐฯ เบิกจ่ายอาวุธจากคลังของตนเพื่อช่วยเหลือพันธมิตรในกรณีฉุกเฉิน ปัจจุบันสหรัฐฯ มีงบประมาณภายใต้ PDA ไม่น้อยกว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 223,957 ล้านบาท ที่ไบเดนสามารถใช้ในการส่งมอบอาวุธให้กับยูเครนในช่วงที่เหลือของการดำรงตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า เพนตากอนได้ถึงขีดจำกัดในการส่งอาวุธให้ยูเครนทุกเดือนโดยไม่กระทบต่อความสามารถในการป้องกันของกองทัพสหรัฐฯ และการขนส่งยุทโธปกรณ์ไปยังยูเครนก็เริ่มประสบปัญหาด้านโลจิสติกส์

หากไบเดนต้องการใช้เงิน 6.5 พันล้านดอลลาร์ให้หมดภายในเวลาที่เหลือในตำแหน่ง นั่นหมายความว่าเขาจะต้องใช้เงินมากกว่า 110 ล้านดอลลาร์ต่อวันในการจัดหาอาวุธ ซึ่งเกินขีดความสามารถของโรงงานผลิตอาวุธในสหรัฐฯ และยังมีข้อจำกัดในการส่งมอบอาวุธไปยังแนวหน้า

ในรายงานของ WSJ เจ้าหน้าที่รัฐสภาสหรัฐฯ กล่าวยืนยันว่า แม้ไบเดนจะเร่งรัดการแจกจ่ายเงินให้ยูเครนมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถใช้เงินทั้งหมดได้ทันภายในเวลาน้อยกว่าเดือน เนื่องจากมีข้อจำกัดทั้งจากผู้ผลิตอาวุธและการขนส่งของกองทัพสหรัฐฯ

บิ๊กต่าย สั่งเปิด 'ปฏิบัติการเด็ดปีกผู้ค้ารายย่อย' ทั่วประเทศ วิสามัญนักค้ายาฯ 1 ศพ

จากนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภา วันที่ 12 ก.ย.67 ว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยจะเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิต และจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปราม และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการขับเคลื่อนงานของตำรวจ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช.รรท.รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา,พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุมและขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย พร้อมกันในทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนีและยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ (29 พ.ย.67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้เดินทางมาติดตามผลการปิดล้อมตรวจค้นเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.  และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งได้กำหนดให้ ตำรวจภูธรภาค 1 - 9, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมบูรณาการกับ เจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันนี้ โดยมีผลการปิดล้อมฯ ดังนี้ จำนวน 907 เครือข่าย เป้าหมายปิดล้อมตรวจค้น 3,146 จุดตรวจค้น ผู้ต้องหาตามหมายจับ 277 หมายจับ สามารถจับกุมผู้ต้องหา คดียาเสพติด 4,642 คดี ผู้ต้องหา 4,784 คน จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 453 หมายจับ ตรวจยึดของกลาง ได้แก่ ยาบ้า 44,202,186เม็ด, ไอซ์ 2,225 กก., คีตามีน 3.93 กก, เฮโรอีน 27.64 กก., ยาอี 1,222 เม็ด อาวุธปืน 241 กระบอก ตรวจยึดอายัดทรัพย์สินรวมมูลค่า 579,008,424 ล้านบาท  

สำหรับการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดในครั้งนี้ ดำเนินการกวาดล้างทั้งเครือข่ายรายใหญ่และรายย่อย เน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อย ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชน ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนที่อยู่ในชุมชนว่า ผู้ค้ายาต้องอยู่อย่างหวาดผวา และจากสถิติการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้วงตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 - 26 พ.ย.67 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศสามารถจับกุมผู้ค้าเสพติดได้ถึง 281,491 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติดเป็น ยาบ้า 1,125,147,367 เม็ด, ไอซ์ 34,590 กก., เฮโรอีน 1,992 กก., คีตามีน 7,092 กก. และยาอี 239,343 เม็ด สามารถยึดอายัดทรัพย์สินที่รวมมูลค่ากว่า 12,640,409,374 บาท

ตำรวจ ปส. ทลายเครือข่ายชาติพันธุ์ ลอบขนยาเสพติด ส่งลงพื้นที่ภาคกลางยึดยาบ้ากว่า 6 ล้านเม็ด, ไอซ์เกือบ 1 ตัน

สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 ว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปราม และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย การขับเคลื่อนงานของตำรวจ

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช.รรท.รอง ผบ.ตร/ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี  ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. บช.ปส. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จตร.รรท.ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.ปส, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง รอง ผบช.ปส., ผบก.ปส.1 - 4, ผบก.สกส. และ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ              

ลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุม และขยายผลเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนี และยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ บช.ปส.ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร และ ป.ป.ส. โดย พล.ท.ภัณห์ สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, นายบัณฑิต ลีลาพตะ นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ร่วมจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญของ บช.ปส. โดยมีการจับกุม ดังนี้
บก.ปส.3

คดีที่ 1 เครือข่ายนักบินข้ามถิ่น ยาบ้า 5,000,000 เม็ด (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 บก.ปส.3) จากการสืบสวนของ ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 พบว่า มีเครือข่ายค้ายาเสพติดจะลำเสียงยาเสพติด                  

จากพื้นที่ชายแดน อ.แม่ฟ้าหลวง จว.เชียงราย วันที่ 23 พ.ย.67 พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายใช้รถกระบะลำเลียงสิ่งของต้องสงสัยจำนวนมาก จากพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมา ในเขตพื้นที่บ้านนะ ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง ก่อนจะมาเก็บซุกซ่อนไว้ในพื้นที่เพื่อลำเลียงส่งต่อให้กับเครือข่าย ในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย                   

อีกทอดหนึ่ง จนเวลาประมาณ 00.30 น. ของ วันที่ 24 พ.ย.67 รถกระบะต้องสงสัยออกจากพื้นที่ ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง โดยมีเครือข่ายขับขี่จักรยานยนต์ นำทางและสำรวจเส้นทาง กระทั่ง เวลา 04.00 น. พบรถกระบะ คันดังกล่าว ขับมุ่งหน้าไปยังตัว อ.เมืองเชียงราย ชุดจับกุมจึงวางกำลังเพื่อสกัดจับ แต่เครือข่ายพยายายามขับรถหลบหนีเข้าไปบริเวณสวนสับปะรด พื้นที่หมู่บ้านแคววัวดำ หมู่ 12 ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย ก่อนจะทิ้งรถหลบหนีไป จากการตรวจค้นรถกระบะ พบสิ่งของจำนวนมากถูกผ้าใบสีดำคลุมมิดชิด บริเวณท้ายกระบะ ตรวจสอบเป็นยาบ้า จำนวน 3,000,000 เม็ด และพบยาบ้าซุกซ่อนในห้องโดยสารอีกจำนวน 2,000,000 เม็ด รวมจำนวน 5,000,000 เม็ด

คดีที่ 2 เครือข่ายนักวิ่งชายแดนยาบ้า ไอซ์ 299 กิโลกรัม (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 บก.ปส.3) จากการสืบสวนของตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 พบเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ลีซอ มีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติด จากแนวชายแดนทางด้าน อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ โดยใช้รถกระบะและรถสิบล้อ จึงได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมเรื่อยมา กระทั่งวันที่ 26 พ.ย.67 พบชายต้องสงสัย 2 ราย ขับรถกระบะบรรทุกลังบรรจุส้มมาวางไว้บริเวณพื้นที่ว่างตรงข้ามรีสอร์ทแห่งหนึ่งใน อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ ก่อนจะมีคนขับรถสิบล้อจอดรถแล้วลงมายกลังบรรจุส้มทั้งหมดขึ้นรถ และขับออกไปโดยมีรถกระบะขับนำหน้า เข้าไปในพื้นที่บ้านห้วยจะค่าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ และจอดบริเวณสวนท้ายหมู่บ้าน กระทั่งประมาณ 20.00 น. รถสิบล้อได้ขับออกมาจากบริเวณดังกล่าว โดยใช้เส้นทางเชียงใหม่-พร้าว มุ่งหน้าพื้นที่ภาคกลาง จนมาถึงบริเวณ อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา ก่อนเข้าจอดที่ปั๊มน้ำมัน บริเวณถนนสายเอเชีย-บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา ต่อมาวันที่ 27 พ.ย.67 เวลาประมาณ 13.00 น. มีรถกระบะตู้ทึบขับเข้ามาจอดบริเวณปั๊มน้ำมัน และขับออกไปพร้อมกับรถสิบล้อ ก่อนเข้าไปจอดยังบริเวณโกดัง 11/7 ม.7 ต.ลำโพ อ.บางบัวทอง จว.นนทบุรี ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 คน พร้อมของกลาง ไอซ์ 299 กิโลกรัม

บก.สกส.
คดีที่ 3 เครือข่ายนักบินพบพระ ไอซ์ 500 กก. (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ไพฑูรย์ งามลาภ ผกก.1 บก.สกส.)
ตำรวจ กก.1 บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส., สภ.ด่านช้าง, ป.ป.ส.ภาค 1 และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันจับกุมนายจิรชีพ และ นายนู่ ชาติพันธุ์ม้ง หลังชุดจับกุมพบว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ จว.ตาก จะลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ชายแดน จว.แม่ฮ่องสอน มาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑล กระทั่งวันที่ 24 พ.ย.67 พบกลุ่มรถยนต์ของเครือข่าย ขับขี่ในลักษณะนำ และตาม ห่างกันประมาณ 2-3 กิโลเมตร จากพื้นที่ จว.แม่ฮ่องสอน ใช้เส้นทางผ่าน เชียงใหม่ - แพร่ - สุโขทัย ผ่าน จว.อุทัย - ชัยนาท มุ่งหน้า จว.สุพรรณบุรี จึงจัดชุดสะกดรอยติดตาม จนเวลา 14.50 น. รถยนต์ทั้ง 3 คืน คือ รถโตโยต้า Fortuner สีดำ หมายเลขทะเบียน 7กฬ 31xx กทม., รถยนต์ หมายเลขทะเบียน บ5 99xx ตาก และรถยนต์ หมายเลขทะเบียน 3ฒฮ 50xxx กทม. ขับเข้าไปจอดริมถนน หลังโรงพยาบาลหันคา ต.หันคา อ.หันคา จว.ชัยนาท ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นรถทั้ง 3 คัน พบด้านหลังของรถโตโยต้า Fortuner สีดำ มีกระสอบต้องสงสัย 25 กระสอบ ถูกปิดด้วยผ้าบังอำพรางไว้ ตรวจสอบภายในมีไอซ์บรรจุรวม 500 กก. เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา"ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน หรือ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ"
บก.ปส.1

คดีที่ 4 เครือข่ายนักบินสมุทรปราการ ยาบ้า 998,000 เม็ด (ผู้นำเสนอ พ.ต.ท.บดินทร์ ร้อยกรอง รอง ผกก.2 บก.ปส.1) สืบเนื่องช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ตำรวจ กก.2 บก.ปส.1 ได้จับกุม น.ส.คณาปพัฒน์ กับพวก พร้อมยาบ้า1.2 ล้านเม็ด จากนั้นได้สืบสวนขยายผล พบว่า กลุ่มของเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติด จากภาคเหนือ จึงเฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 22 พ.ย.67 รถเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอยู่มีความเคลื่อนไหว ในเส้นทาง จว.เชียงใหม่ ต่อเนื่องลงมาใน จว.เชียงราย-ลำปาง-สุโขทัย-พิษณุโลก-พิจิตร-นครสวรรค์ ตำรวจจึงจัดชุดติดตาม และสกัดจับกุมได้ทั้งหมด 3 คัน ในพื้นพื้นที่ จว.สิงห์บุรี ต่อเนื่อง จว.อยุธยา คือ 1. รถยนต์โตโยต้า แคมรี่หมายเลขทะเบียน ชห 18xx กทม. มีนายฐานทัพ เป็นผู้ขับขี่ โดยสารมากับ น.ส.เพชรรัตน์ (แฟนสาว) ทำหน้าที่ขับนำขบวน, 2. รถกระบะโตโยต้า วีโก้ 7กส 33xx กทม. มี นายวัชรพล เป็นผู้ขับขี่ และ 3. รถยนต์ฟอร์ด เอฟเวอเรส ฆง 5xx กทม. ซึ่งมีนายสำไรมาณ เป็นผู้ขับขี่โดยสารมากับ น.ส.ศศิประภา (แฟนสาว) จากการตรวจสอบพบยาบ้ารวมจำนวน 998,000 เม็ด บรรจุอยู่ในกล่องพัสดุ 5 กล่อง วางอยู่ในห้องโดยสารของรถยนต์ฟอร์ด เบื้องต้นแจ้งข้อหา "ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการเพื่อการค้า แพร่กระจายสู่ประชาชนฯ" ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ บช.ปส. ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - 28 พ.ย.67 สามารถจับกุมขบวนการค้า ยาเสพติดทุกคดีได้ 166 คดี ผู้ต้องหา 175 คน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 43,842,893 เม็ด, ไอซ์ 2,757 กก. เฮโรอีน 28 กก. และ คีตามึน 190 กก. ยึดอายัดทรัพย์สินผู้ค้ายาเสพติด 410,461,353 ล้านบาท

บริษัทจีนสร้างเคเบิลใต้น้ำลึกทุบสถิติ ทนสภาวะความลึกถึงร่องมาเรียน่า

(29 พ.ย. 67) สื่อจีนรายงานว่า ทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัยการเดินเรือต้าเหลียน ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์หลายแห่งของจีน ได้ทำการทดลองวางสายเคเบิลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ให้สามารถทนต่อแรงดันใต้น้ำและการกัดกร่อนได้สมุทรได้ยิ่งขึ้น ระบบใหม่นี้มีชื่อว่า Haiwei GD11000

หลี่ เหวินฮวา หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของโครงการ Haiwei GD11000 เปิดเผยว่า จากการทดลองสายเคเบิลชนิดใหม่นี้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากกว่า 15 ตัน มีอัตราความเร็วในการวางระบบใต้ทะเลที่  393.7 ฟุตต่อนาที อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการทดสอบความลึกที่มากกว่า 4 กิโลเมตร จากการทดสอบในทะเลจีนใต้ โดยเหวินฮวา ยืนยันว่า จากการทดสอบในหลายสภาวะใต้สมุทร Haiwei GD11000 เป็นเคเบิลที่สามารถทนความลึกได้ถึงระดับ 11,000 เมตร (36,089 ฟุต) ซึ่งเทียบเท่ากับความลึกของ Challenger Deep ของร่องลึกมาเรียน่า

เหวินฮวา กล่าวว่า จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ Haiwei GD11000 สามารถเป็นเคเบิลใต้น้ำที่วางระบบในมหาสมุทรทั่วโลกได้ในทุกความลึกและทุกสภาวะของพื้นใต้สมุทร สำหรับระบบเคเบิ้ลใต้น้ำลึก สถิติก่อนหน้านี้เป็นของบริษัท Prysmian ผู้ผลิตสายเคเบิลและผู้ให้บริการติดตั้งสายเคเบิลของอิตาลีที่เคยทำไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมโดยบริษัทได้วางสายเคเบิลที่ความลึก 2,150 เมตร (7,053 ฟุต)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top