Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

สภา กทม.อนุมัติจ่ายหนี้บีทีเอส 1.4 หมื่นล้านแล้ว ‘ชัชชาติ’ ระบุจ่ายก่อนวันสุดท้าย ช่วยลดดอกเบี้ย

(29 พ.ย.67) ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 3) ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เข้าร่วมประชุม

นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. ได้รายงานผลการพิจารณาร่างข้อบัญญัติดังกล่าว โดยเริ่มจากชื่อร่าง หลักการ เหตุผล คําปรารภ ตัวร่างข้อบัญญัติ เรียงตามลําดับจนจบ ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญฯ ได้ร่วมกันพิจารณารายละเอียดและมีมติให้ผ่านงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ…. จำนวน 14,549,503,800 บาท โดยใช้เงินสะสมจ่ายขาดของ กทม. เนื่องจาก กทม.มีความประสงค์ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2567

ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครมีมติเห็นชอบร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. จำนวนเงิน 14,549,503,800 บาท โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม 43 คนเห็นชอบให้ประกาศใช้ 33 คน งดออกเสียง 10 คน ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณเร่งดำเนินการเบิกจ่าย เพื่อเป็นประโยชน์ในการลดภาระดอกเบี้ยของ กทม.

ด้าน นายชัชชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ภายในระยะเวลา 34 วัน หลังจากนี้ เมื่อมีการประกาศข้อบัญญัติดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา จะมีการชำระหนี้ให้กับบีทีเอส ภายในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ หรือไม่เกินต้นเดือน ม.ค. 68 โดยจะไม่มีการตั้งคณะกรรมการก่อนชำระหนี้แล้ว เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด โดยคิดคำนวณตามที่ศาลระบุ ซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายหนี้เต็มยอดเงิน 14,549,503,800 บาท เพราะตัวเลขนี้คิดในกรณีที่ต้องจ่ายวันสุดท้าย (22 มกราคม 2568) ตามคำสั่งของศาล

‘3 Account อวตาร’ รับงานปล่อยข่าวปลอม ตั้งป้อมโจมตีกล่าวหา ‘ผู้บริหาร ปตท.’ ด้วยข้อมูลเท็จ

(29 พ.ย.67) จับตาตำรวจไซเบอร์ พุ่งเป้า ‘3 Account อวตาร’ รับงานปล่อยข่าวโจมตี-กล่าวหา ‘กลุ่มผู้บริหารปตท.’ ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ เตรียมเอาผิดข้อหาหนัก เผยผู้อยู่เบื้องหลังคือ 'กลุ่มที่ทุจริตปาล์มน้ำมันอินโดฯ-สต๊อกลม' ที่ดิ้นพล่าน ต้องการดิสเครดิตผู้บริหารในปัจจุบัน

จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จทางโลกออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นที่แอบอ้างว่า “DSI สรุปสำนวน เชื่อว่าผู้ว่าฯปตท.และ CEO OR เข้าข่ายทุจริต ผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ, ฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งเนื้อหาของข่าวดังกล่าว เป็นการระบุแบบคลุมเครือ ไม่ได้มีการระบุชื่อตัวบุคคลอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการอ้างตำแหน่ง เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับบุคคลทั่วไปที่รับข่าวสารทางโลกสังคมออนไลน์ อีกทั้งยังมีการรวบรวมหลายประเด็นที่เกิดขึ้นใน 'อดีต' แล้วนำมาร้อยเรียงรวมกันแบบเหวี่ยงแห โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งทำลายตัวบุคคลที่ยังอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต อื้อฉาวใน 'อดีต' แต่อย่างใด

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ (ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ : ศปอส.ตร.) ถึงกรณีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จดังกล่าวนี้ ทำให้ทราบว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบ Account ที่มีการโพสต์ประเด็นดังกล่าว ไปยังกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีจำนวนการโพสต์ ดังนี้

-ราชสมัคร xxx จำนวน 4 โพสต์
-ออสติน พระxxxxxx จำนวน 2 โพสต์
-Tom Srixxx จำนวน 1 โพสต์

และเมื่อได้ตรวจสอบพฤติกรรมของ Account ทั้งหมด พบว่า 3 Account ดังกล่าว ได้มีการทิ้งระยะห่างเวลาในการโพสต์ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เน้นไปที่ 'กลุ่มการเมือง' ที่เปิดเป็นสาธารณะ อีกทั้งยังมีการใช้รูปภาพเเละเนื้อหาเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

1.Account : ราชสมัคร xxx โพสต์ประเด็นดังกล่าวในลักษณะเดียวกันนี้ จำนวนทั้งสิ้น 4 กลุ่ม ซึ่งที่ผ่านมา หน้าโปรไฟล์มักเเชร์ข่าวเกี่ยวกับ 'การออม/การเงิน/การลงทุน'

2.Account : ออสติน พระxxxxxx และ Tom Srixxxx มีการเข้าร่วมกลุ่ม เเละโพสต์ประเด็นดังกล่าวร่วมกัน

3.ทั้ง 3 Account ไม่ใช้รูปตนเอง เเละตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปรถ, รูปการ์ตูน เเละรูปสัตว์ทะเล

ข้อมูลเท็จ-บิดเบือน
ทั้งนี้จากการตรวจสอบในเชิงลึกพบว่า กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวเท็จ-ข่าวปลอมในเรื่องนี้ คือกลุ่มบุคคลกลุ่มที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว และ บุคคลกลุ่มเดียวกันนี้ ยังเกี่ยวข้องกับกรณี 'สต๊อกลม' ของ GGC มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บางคดียังคงอยู่ในกระบวนการสอบสวน ซึ่งดำเนินไปอย่างล่าช้าในหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่บางคดี ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วว่า อดีตผู้บริหารของ GGC และผู้ค้า “ร่วมกันกระทำความผิด” ในกรณีดังกล่าว

ที่ผ่านมา ยังพบว่า บุคคลกลุ่มดังกล่าว ยังมีพฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์จากการขายไบโอดีเซลให้กับกลุ่ม ปตท. ในราคาที่สูงกว่าปกติ แต่ผู้บริหาร ปตท.ในปัจจุบัน ได้ดำเนินมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวอีก เช่น การปฏิเสธการฮั้วประมูลไบโอดีเซล รวมถึงการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาคดีในกรณี “สต๊อกลม” ทำให้บุคคลกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ได้ดำเนินการตอบโต้ มีการใช้ 'ทนายความ' ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่ม ปตท. จำนวน 100 หุ้น โดยที่ไม่มีประวัติการลงทุนในตลาดหุ้นมาก่อน จากนั้นได้มีการยื่นข้อร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ โดยพุ่งเป้ามาที่ 'ผู้บริหาร ปตท.ในปัจจุบัน' ที่มีบทบาทในการดำเนินมาตรการป้องกันดังกล่าว ประกอบกับข้อร้องเรียนที่ได้มีการยื่นมา โดยอ้างสถานะการเป็นผู้ถือหุ้น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่งได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว และ 'ไม่พบข้อบกพร่อง' หรือ 'ประเด็นที่มีมูลความผิด' ตามที่มีการร้องเรียนแต่อย่างใด

ในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้แจ้งว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 นั้น ระบุไว้ชัดเจนว่า

1.การกด Like ฐานข้อมูลหรือข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงเสี่ยง เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี

2.การกด Share ข้อมูลที่มีความผิดโดยไม่ไตร่ตรองก่อน ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี

3.การเป็นแอดมินเพจ ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าว มีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯอย่างชัดเจน ถือเป็นความผิดมาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

4.การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น โดยเฉพาะการใส่ข้อความ รูปภาพ อันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ถือเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท

ททท. - มิชลิน เปิด 462 ลิสต์ ร้านอาหารชวนกิน ‘ศรณ์’ คว้ารางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ ร้านแรกในไทย

เมื่อวันที่ (28 พ.ย.67) ททท. และมิชลิน จัดงานเปิดตัวคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568  (The MICHELIN Guide Thailand 2025) ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ โดยเปิดรายชื่อ 462 ร้านที่ผ่านการคัดสรร ให้ตีพิมพ์ลงในคู่มือฯ ฉบับล่าสุดแล้ว ทั้งประกาศข่าวดี  ‘ศรณ์’ ได้รับการประกาศชื่อเป็นร้านอาหารที่คว้ารางวัลระดับ ‘สามดาวมิชลิน’ อันทรงเกียรติมาครองได้สำเร็จเป็นร้านแรกในไทย และยังมีพิธีมอบรางวัลและฉลองความสำเร็จให้กับบุคลากรและทีมงานร้านอาหารที่ได้รับรางวัล ‘ดาวมิชลิน’ และรางวัลพิเศษอื่น ๆ อีกด้วย

คู่มือฉบับปีล่าสุดนี้บรรจุรายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรรวมทั้งสิ้น 462 แห่ง เป็นร้านที่ได้รับรางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ 1 ร้าน (เลื่อนระดับจาก ‘สองดาวมิชลิน’), รางวัล ‘สองดาวมิชลิน’ 7 ร้าน (เลื่อนระดับจาก ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ 1 ร้าน), รางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ 28 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 4 ร้าน และเลื่อนระดับจาก MICHELIN Selected 1 ร้าน), รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ 156 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 20 ร้าน) และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected อีก 270 ร้าน  (ติดอันดับครั้งแรก 44 ร้าน) โดยในจำนวนร้านใหม่ที่ติดอันดับครั้งแรกในคู่มือฯ ฉบับล่าสุดซึ่งเป็นฉบับที่ 8 ของไทย เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่ง ‘มิชลิน ไกด์’ ขยายขอบเขตเข้าดำเนินการสำรวจและจัดอันดับเป็นปีแรก รวมทั้งสิ้น 20 ร้าน (ร้านระดับ ‘บิบ กูร์มองด์’ 5 ร้าน และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected 15 ร้าน)

เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก กล่าวแสดงความเห็นว่า “การที่ประเทศไทยมีร้านอาหารได้รับรางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ เป็นร้านแรก ทำให้ปี 2568 เป็นปีสำคัญของไทยในหน้าประวัติศาสตร์แวดวงอาหารระดับสากล  รายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความรุ่มรวยและหลากหลายของอาหารไทย แต่ยังแสดงให้เห็นว่าศาสตร์และศิลป์ด้านอาหารการกินของไทยโอบรับวัฒนธรรม ความทันสมัย และเทรนด์ใหม่ ๆ เอาไว้อย่างลงตัว”

‘ศรณ์’ สร้างประวัติศาสตร์ คว้า ‘สามดาวมิชลิน’ มาครองเป็นร้านแรกในไทย  
ศรณ์ ร้านอาหารใต้ที่ถ่ายทอดศิลปะการปรุงอาหารผ่านฝีมืออันเป็นเลิศ ตลอดจนการผสมผสานอย่าง  ลงตัวระหว่างตำรับโบราณและนวัตกรรมสมัยใหม่ รังสรรค์อาหารขึ้นอย่างประณีต พิถีพิถัน และลุ่มลึก นำเสนอประสบการณ์การรับประทานที่น่าตื่นเต้นและกลมกล่อมอย่างไม่มีที่ติซึ่งได้รับการจัดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2562 เป็นครั้งแรก โดยได้รับรางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ เพียงหนึ่งปีต่อมาก็ได้รับการเลื่อนระดับเป็นร้าน ‘สองดาวมิชลิน’ และสามารถครองสถานะระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปี และล่าสุดก้าวสู่การเป็นร้านอาหารระดับตำนานในฐานะที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดระดับ ‘สามดาวมิชลิน’ มาครองเป็นร้านแรกในประเทศไทย ตอกย้ำถึงความเป็นเลิศ คุณภาพ และความสม่ำเสมอ  กลายเป็นสุดยอดร้านอาหารที่ควรค่าแก่การเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรดั้นด้นเดินทางเพื่อไปชิมสักครั้ง

รางวัล ‘สองดาวมิชลิน’ มีร้านติดอันดับเพิ่มหนึ่งแห่ง คือ ‘โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค’ ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 มีร้านอาหารคว้ารางวัลระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ เพิ่มขึ้นเพียงร้านเดียว โดยได้รับการเลื่อนระดับจาก ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ คือ โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค

สำหรับร้านอาหาร บ้านเทพา, เชฟส์เทเบิล, กา, เมซซาลูน่า, อาหาร และซูห์ริง ยังคงครองสถานะ    ‘สองดาวมิชลิน’ เอาไว้ได้ ทำให้ประเทศไทยมีร้านระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ จำนวนทั้งสิ้น 7 ร้าน

รางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ มีร้านติดอันดับเพิ่มขึ้น 5 ร้าน
สำหรับรางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ ซึ่งมีร้านใหม่ติดโผ 5 ร้าน ในจำนวนนี้ 4 ร้านได้รับการจัดอันดับในคู่มือ  ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย เป็นครั้งแรก ได้แก่ อัคคี จังหวัดนนทบุรี, เอวองท์ กทม.,  โกท กทม.และ อาวลิส จังหวัดพังงา ส่วนอีก 1 ร้านได้รับการเลื่อนระดับจากร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected คือ โคด้า

รางวัล MICHELIN Green Star หรือ 'ดาวมิชลินรักษ์โลก' มีร้านติดอันดับเพิ่มขึ้นหนึ่งร้าน คือ ‘บ้านเทพา’

นอกจาก พรุ, ฮาโอมา และ จำปา ซึ่งครองรางวัล MICHELIN Green Star หรือ 'ดาวมิชลินรักษ์โลก' ที่มอบให้กับร้านอาหารซึ่งดำเนินกิจการและมีแนวปฏิบัติประจำวันด้านการประกอบอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแล้ว ยังมีร้านอาหารร่วมครองรางวัลนี้อีก 1 ร้านในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 ได้แก่ บ้านเทพา ร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่เชฟและทีมงานไม่เพียงทุ่มเทใส่ใจในเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังริเริ่มโครงการเพื่อขับเคลื่อนชุมชนให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย 

รางวัลพิเศษ 4 รางวัล
ปัจจุบัน คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย มอบรางวัลพิเศษรวม 4 รางวัล ให้กับบุคลากรมืออาชีพจากร้านอาหารที่ติดอันดับในคู่มือฯ ซึ่งมีความสามารถโดดเด่นและมีบทบาทในการยกระดับประสบการณ์ด้านอาหารให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

รางวัล MICHELIN Guide Young Chef Award
MICHELIN Guide Young Chef Award เป็นรางวัลพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนโดย 'บลองแปง' (Blancpain) แบรนด์นาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ รางวัลนี้มอบให้กับสุดยอดเชฟรุ่นใหม่ที่แสดงศักยภาพโดดเด่นตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ด้วยคุณสมบัติและทักษะความสามารถในการรังสรรค์อาหารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ 'อู๋' สิทธิกร จันทป เชฟและเจ้าของร้านอัคคี

รางวัล MICHELIN Guide Opening of the Year Award
MICHELIN Guide Opening of the Year Award เป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนโดยธนาคารยูโอบี (UOB) มอบให้กับบุคลากรและทีมงานซึ่งประสบความสำเร็จในการเปิดร้านอาหารใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดที่โดดเด่นในการนำเสนออาหารอย่างสร้างสรรค์ จนกลายเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจจากวงการอาหารในประเทศ สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ดิมิทริออส มูดิออส (Dimitrios Moudios) เชฟและเจ้าของร่วม (Co-Owner Chef) ของร้าน Ōre  

รางวัล MICHELIN Guide Service Award
MICHELIN Guide Service Award เป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มอบให้สุดยอดบุคลากรของร้านอาหารที่ทุ่มเทให้กับการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การทานอาหารที่ยอดเยี่ยม สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ยุพา สุขเกษม ผู้จัดการร้านบ้านเทพา  

รางวัล MICHELIN Guide Sommelier Award 
MICHELIN Guide Sommelier Award เป็นรางวัลที่มอบให้กับ 'ซอมเมอลิเยร์' หรือผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น โดยให้บริการอย่างมืออาชีพ และมีความชำนาญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับไวน์ชนิดต่าง ๆ รวมถึงการจับคู่ไวน์กับเมนูอาหาร เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านอรรถรสสูงสุด โดยผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ฐานสิทธิ์ วาสินนท์ จากร้าน โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค ณ โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ

'รองนายกฯ ประเสริฐ' รับหนังสือสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า วอนรัฐบาลแก้ไขแก้กฎหมาย ลดความขัดแย้ง รัฐ-ประชาชน ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

(29 พ.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมารับฟังข้อเรียกร้องของกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า ซึ่งรวมตัวชุมนุมกว่าหลายพันคน บริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

นายประเสริฐ ยืนยันการรับทราบปัญหาและรับหลักการของสมัชชาคนอยู่กับป่าและพี่น้องประชาชน เพื่อนำเรียนต่อนายกรัฐมนตรี และจะนำสู่กระบวนการขั้นตอนการแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วมต่อไป ภายใต้บังคับกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการดำเนินการตามบันทึกนี้ จึงได้ลงนามบัณทึกไว้

โดยการประชุม ครม.สัญจรครั้งนี้นอกจากจะมุ่งเน้นการพัฒนาภาคเหนือแล้ว ยังเป็นเวทีสำคัญในการรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยข้อเรียกร้องจากกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562  พ.ศ. 2567 และร่าง พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 รวม 2 ฉบับ จะส่งผลกระทบกับประชาชนที่มีที่ทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์ จำนวน 462,444 ครัวเรือน หรือ 1,849,792 คน และจะส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างรัฐกับชุมชนคนอยู่ในป่ามากยิ่งขึ้น

สำหรับข้อเสนอของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าที่ยื่นต่อรัฐบาลมี 4 ประการ ดังนี้ 1.ขอให้ยุติการนำ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ไปประกาศใช้กับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ จนกว่าจะมีการปรับแก้กฎหมาย 

2.ขอให้รัฐบาลจัดตั้งกลไกในรูปแบบที่เป็นคณะกรรมการหรือคณะทำงานจัดเวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เป็นรายอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทุกๆ พื้นที่ี เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ภายในระยะเวลา 60 วัน

3.ขอให้รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีจะต้องเร่งเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562  โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทั้งนี้ให้นำเสนอร่างสู่การพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี ภายใน 90 วัน ก่อนเสนอเข้าสภา 

4.ในระหว่างที่มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับ รัฐบาลจะต้องชะลอยับยั้งการเตรียมประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 23 แห่ง จนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับแล้วเสร็จ  เว้นแต่ในกรณีที่พื้นที่เตรียมการฯ นั้นดำเนินการกันขอบเขตชุมชน พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ป่าชุมชนแล้วเสร็จ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

‘สุริยะ’ เตรียมลงพื้นที่ดูเหตุเครนสร้างทางด่วนพระราม 2 ถล่ม พร้อมเล็งลงโทษบริษัทลดชั้นผู้รับเหมา - ห้ามรับงาน 2 ปี

(29 พ.ย.67) สุริยะสั่งอธิบดีกรมทางหลวงบินด่วนดูเหตุเครนสร้างทางด่วนพระราม 2 ถล่ม ก่อนตามลงพื้นที่เย็นนี้ เล็งตัดคะแนนลดชั้นผู้รับเหมา ห้ามรับงาน 2 ปี ส่วนสาเหตุขอรอตรวจสอบ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเหตุการณ์คานเหล็กก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถล่มเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาแล้ว พบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย สูญหาย 2 คน บาดเจ็บ 10 คน ได้สั่งการให้อธิบดีกรมทางหลวง ที่ขณะนี้มาปฏิบัติงานกับตนเองที่จังหวัดเชียงใหม่ให้กลับไปดูในพื้นที่เพื่อไปดูสาเหตุ

และช่วงเย็นวันนี้ตนก็จะกลับไปตรวจพื้นที่ ก่อนที่จะกลับมาปฏิบัติภารกิจต่อที่จังหวัดเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เคยเน้นย้ำกับผู้รับเหมามาโดยตลอด คือการปฏิบัติภารกิจด้วยความปลอดภัย แต่หากมีอุบัติเหตุทางกรมทางหลวง ก็มีสมุดพกที่จะประเมินตัดคะแนนผู้รับเหมา และประสานกับกรมบัญชีกลาง เพื่อลดชั้นผู้รับเหมา

ปัจจุบันผู้รับเหมาชั้นพิเศษมีแต่ปรับขึ้น แต่ผลงานไม่ดีไม่มีการปรับลง ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกรมบัญชีกลาง และอย่างกรณีที่เกิดขึ้นนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต บริษัทผู้รับเหมาที่ทำให้เกิดเหตุจะถูกตัดสิทธิไม่ให้เข้ามารับงาน ซึ่งอาจจะถึง 2 ปี หลังจากนั้นหากปรับปรุงจนดีขึ้นอาจจะคืนสิทธิ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงคมนาคมเห็นถึงความสำคัญและความปลอดภัยกับสาธารณะ

นายสุริยะกล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นคนละบริษัทกับที่เคยเกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมาบริษัทนี้มีผลงานค่อนข้างดี ส่วนข้อผิดพลาดเกิดจากอะไรขอกลับไปตรวจสอบก่อน แต่เมื่อเกิดเหตุก็ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างทันที ส่วนจะให้หยุดกี่วันขอกลับไปตรวจสอบ ก่อนกำหนดวันอีกครั้ง

นายสุริยะยังกล่าวว่า ตนเองเคยให้สัมภาษณ์ และยืนยันว่าถนนพระราม 2 อยากให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2568 แต่ระยะหลังมีสถานการณ์โควิดที่เกิด จึงทำให้ผู้รับเหมาสามารถขอขยายสัญญาออกไปได้จนถึงสิ้นปี 2568 ซึ่งตามสัญญาถือเป็นสิทธิของผู้รับเหมาที่สามารถทำได้ แต่ได้ขอความร่วมมือในเบื้องต้นให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนปี 2568

ส่วนกรณีที่ประชาชนหวาดกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอีก จะมีมาตรการอย่างไร นายสุริยะกล่าวว่า ปัญหาคือ เมื่อไม่มีมาตรการที่จะลดชั้นผู้รับเหมา ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วจะไม่เป็นไร ซึ่งผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ถ้าเกิดลดชั้นจะทำให้กระทบต่อธุรกิจ ดังนั้น หากมีมาตรการเรื่องการลดชั้นออกมา ก็จะทำให้ผู้รับเหมาเกรงกลัว ทำให้อุบัติเหตุลดลง

นายสุริยะยังกล่าวถึงการขยายระยะเวลาก่อสร้างให้ผู้รับเหมา อาจจะทำให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด ผู้รับเหมาก็มีสิทธิได้รับการขยายสัญญา ไม่ใช่แค่ผู้รับเหมาที่พระราม 2 แต่ผู้รับเหมาทุกโครงการก็ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปด้วยเช่นกัน พร้อมย้ำว่า ส่วนตัวอยากให้มีการก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ก็ต้องเน้นถึงความปลอดภัยเป็นหลักด้วย

มูลนิธิบุณยะจินดา เพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัวมอบรางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบและพลเมืองดี ทุนสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจ ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

จากการปฏิบัติหน้าที่ และทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2567 จำนวน 1,998,000 บาท

(29 พ.ย.67) เวลา 13.30 นาฬิกาที่ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐพันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ประธานกรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว เป็นประธานในพิธีมอบถ้วยรางวัลและประกาศเกียรติยศแก่ข้าราชการตำรวจและพลเมืองดี ผู้มีผลงานดีเด่นเป็นต้นแบบ มอบทุนสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจ ผู้ที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2567 โดยมี พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ, พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี, พล.ต.อ.ไกรสุข สินศุข,พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร, พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา, พล.ต.อ.สุพร พันธุ์เสือ,พล.ต.ท.หญิง ศิริจันทร์ จันทร์แสงสว่าง, พล.ต.ต.ปราโมทย์ อ่อนปาน, คุณกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี กรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาฯ เข้าร่วมในพิธีฯ

คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ประธานกรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาฯกล่าวว่า “มูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว ได้มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสนองคุณความดีและตอบแทนคุณประโยชน์แก่ข้าราชการตำรวจผู้เสียสละ และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมเป็นประจำในทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของ พล.ต.อ.พจน์  บุณยะจินดา อดีตประธานมูลนิธิบุณยะจินดาฯ ที่มีปณิธานที่จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ อำนวยประโยชน์เพื่อสังคมและส่วนรวมตลอดไป

ในปีนี้ มูลนิธิบุณยะจินดา ฯ มอบรางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม รางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบรางวัลพลเมืองดี  มอบทุนสงเคราะห์แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และมอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,998,000 บาท (หนึ่งล้านเก้าแสนแปดหมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยมอบเป็นรางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม 1 รางวัล 50,000 บาท ข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบ 3 กลุ่ม (สัญญาบัตร, ประทวน และดีเด่นในด้านต่าง ๆ) 22 รางวัล เป็นเงิน 400,000 บาท, พลเมืองดี 2 รางวัลเป็นเงิน 20,000 บาท,มอบทุนสงเคราะห์ฯ 133 ทุน เป็นเงิน 505,000 บาท และมอบทุนการศึกษาฯ จำนวน 120 ทุนเป็นเงิน 1,023,000 บาท”

สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลและทุนประเภทต่าง ๆ มีรายละเอียด ดังนี้
1. รางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม จำนวน 1 รางวัล มอบประกาศเกียรติยศสดุดีวีรกรรม และเงิน 50,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ผู้ได้รับรางวัล คือ พ.ต.ท. กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป. สน.ท่าข้าม บช.น. โดยมอบรางวัลให้กับทายาทคือ พ.ต.ท.หญิง ชนม์ณกานต์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ฝ่ายควบคุมอัตรากำลัง อต.สกพ. (ภรรยา) และร.ต.ท.วันรัฐธ์ จันยะรมณ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.สำโรงใต้จ.สมุทรปราการ (บุตร)

วีรกรรมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 เวลา 21.45 นาฬิกา พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม ได้รับแจ้งเหตุว่ามีการทะเลาะวิวาทภายในครอบครัวและ มีอาวุธปืนในครอบครอง จึงได้รีบเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ โดยขณะเข้าไประงับเหตุ ปรากฏว่าคนร้ายในเบื้องต้นทราบว่า นายบุญมา หรือ เฮียตุ๊ง อายุ 49 ปี ผู้ก่อเหตุเป็นบิดา ได้ทะเลาะกับลูกภายในบ้าน และได้จับลูกสาววัย 15 ปีเป็นตัวประกัน พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ พยายามเข้าไปเจรจาเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน แต่กลับถูกฝ่ายบิดายิงสวน พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ ด้วยอาวุธปืน 3 นัด เข้าที่บริเวณอกด้านขวา 1 นัด หน้าอกด้านซ้าย 1 นัด และง่ามนิ้วมือซ้าย 1 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำหรับประวัติของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ เกิดวันที่ 16 เมษายน 2508 อายุ 59 ปี บรรจุครั้งแรกเมื่อปี 2537 ในตำแหน่งรองสารวัตร ปี 2551 เลื่อนตำแหน่งเป็นสารวัตร 
ปี 2558 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้กำกับการ ปี 2560 ดำรงตำแหน่งเป็น รอง ผกก.สส. 
สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และได้รับการแต่งตั้งเป็นรอง ผกก.ป. สภ.รามัน จ.ยะลา ปี 2563 ย้ายเป็น รอง ผกก.ป.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ปี 2565 โยกเป็น รอง ผกก.ป.สน.บางมด  และปี 2566 จนถึงปัจจุบันเป็น รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม

2. รางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบ 3 กลุ่ม จำนวน 22 รางวัล รวมเป็นเงิน 400,000 บาท

2.1 กลุ่มสัญญาบัตร ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศและเงินรางวัล 100,000 บาท จำนวน 1 รางวัล คือ พ.ต.ท.อภิชาติ จันจุฬารอง ผกก.สส.3 บก.สส.จชต.ภ.9

2.2 กลุ่มชั้นประทวน มอบถ้วยรางวัลเกียรติยศและเงินรางวัล จำนวน 3 รางวัลๆละ 40,000 บาท รวมเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้ได้รับรางวัล คือ
(1) จ.ส.ต.พิสุทธิ์ ศรีนอง ผบ.หมู่กก.ปพ.ภ.จว.ยะลา/ผบ.หมู่
งานสืบสวนคดีความมั่นคงและคดีพิเศษ ศปก.ตร.สน. ภ.9
(2) จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ เวลา ผบ.หมู่ กก.ตชด.23 บช.ตชด.
(3) ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ  หลวงสอน ผบ.หมู่ งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการ
พระราชดำริ 2 กก.6 บก.จร.บช.น.

2.3 ข้าราชการตำรวจดีเด่นในด้านต่าง ๆ 5 ด้าน (ด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมดีเด่น, ด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติดดีเด่น, ด้านสืบสวนดีเด่น, ด้านจราจรดีเด่น และ ด้านสอบสวนดีเด่น) มอบในประกาศเกียรติบัตรและเงินรางวัล จำนวน 18 รางวัลๆละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 180,000 บาท ผู้ได้รับรางวัล คือ

ด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
(1) พ.ต.อ.นิกร    ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จว.ภูเก็ต ภ.8
(2) พ.ต.ท.เอกลักษณ์ จิตชาญวิชัย รอง ผกก.ป. สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ภ.6
(3) พ.ต.ท.วิเชียร  คำชุมภู สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ
ต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. บช.สอท.
(4) พ.ต.ท.อมรศักดิ์ กลิ่นเมฆ ผบ.ร้อย ตชด.417 กก.ตชด.41
บก.ตชด.4 บช.ตชด.

ด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(1) พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จว.สระบุรี ภ.1
(2) พ.ต.อ.พรชัย สุวรรณวงศ์ ผกก.สส.2 บก.สส.จชต. ภ.9
(3) พ.ต.อ.อนุสรณ์ ดังก้อง ผกก.สภ.ตรอน จว.อุตรดิตถ์ ภ.6
(4) พ.ต.ท.นิธิศ รอดคลองตัน รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ภ.4
(5) พ.ต.ต.ชินวัตร บัวรอด สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.2 

ด้านสืบสวน
(1) พ.ต.อ.ธัชพงศ์ วงศ์พัฒนานิวาศ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก ภ.6
(2) พ.ต.อ.พีระ อัศวพิบูลย์ผล ผกก.สส.ภ.จว.สุพรรณบุรี ภ.7
(3) พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1
(4) พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย สตม.
(5) ด.ต.ยุทธนา สารบูรณ์ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส.

ด้านจราจร
(1) พ.ต.อ.เจน โสภา ผกก.กลุ่มงานจราจร ภ.จว.เชียงใหม่ ภ.5
(2) พ.ต.ท.กฤษณกันต์ เกรียงทวีชัย รอง ผกก.จร.สภ.เมืองชลบุรี ภ.2
(3) พ.ต.ท.ณัฐฐ์ฐนนท์ สีฟ้า รอง ผกก.จร.สภ.เมืองอุบลราชธานี ภ.3

ด้านสอบสวน
(1) ร.ต.อ.สุรชาติ ไชยทองรัตน์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองหนองบัวลำภู
จว.หนองบัวลำภู .ภ.4
        
3. รางวัลพลเมืองดี มอบประกาศเกียรติคุณพลเมืองดีและเงินรางวัล จำนวน 2 รางวัลๆละ 10,000 บาท  ผู้ได้รับรางวัล คือ
3.1 พลเมืองดี 4 ราย คือ นายไสว มีสุข , นายปรีชา ฉันทสุทธา, นายกรกฤช แสงสิริ และ นายมีทรัพย์ พาหมณ์น้อย

วีรกรรมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 19.38 นาฬิกา เกิดเหตุ ชิงทองที่ร้านทองบางกอกโกลด์ ในห้างสรรสินค้าโลตัส สาขามหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาครพื้นที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร ภ.จว.สมุทรสาครโดยคนร้ายเป็นชาย 1 คน รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อคลุมไรเดอร์ สวมหมวกกันน็อคสีขาวปิดบังใบหน้า สามถูงมือผ้า นุ่งกางเกงขายาวสีดำ ทราบชื่อต่อมาคือ นายคำพันธ์ ศรีหาสุข อายุ 24 ปี กระโดนข้าม ตู้กระจกหน้าร้าน บุกเข้าไปชิงทองรูปพรรณบนแผงโชว์ที่อยู่ด้านหลังของพนักงาน 3 คน กวาดสร้อยคอทองคำใส่กระเป๋าสะพายได้ จากนั้นนายคำพันธ์ฯ ได้กระโดดออกทางเดินวิ่งหลบหนีไปทางหน้าห้าง ที่มีกลุ่มคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง(พลเมืองดี) 4 คนช่วยกันสกัดจับคนร้าย (นายคำพันธ์ฯ) แต่คนร้ายได้วิ่งหลบหนีออกไปทางถนนพระราม 2 ขาออก โดยมีพลเมืองดีวิ่งติดตามและคนร้ายเสียหลักตกน้ำข้างทาง พลเมืองดีและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันจับกุมคนร้ายได้พร้อมของกลาง เป็นสร้อยคอทองคำ จำนวน 45 เส้น น้ำหนักรวม 124 บาท, สร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 39 เส้น น้ำหนักรวม 81 บาท น้ำหนักทองรวมทั้งสิ้น 205 บาท คิดเป็นมูลค่า 8.6 ล้านบาท ,มีดพับสีดำ 1 ด้าม และสิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก       

3.2 พลเมืองดี 1 ราย คือ นายวินัย  เนียมเทศ วีรกรรมเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เวลา 16.30 นาฬิกา เกิดเหตุหญิงอายุ 50 ปี กระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยา ลอยคอขอความช่วยเหลืออยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ใต้สะพานเจษฎาบดินทร์ ช่วงฝั่งขาออก มุ่งหน้าบางศรีเมืองต.สวนใหญ่ จ.นนทบุรี พื้นที่ สภ.เมืองนนทบุรี ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.กรชนก บุญมี ช่วงระหว่างกระโดดและลอยคอรอความช่วยเหลือ นายวินัย เนียมเทศ (พลเมืองดี) ขณะที่พาลูกและภรรยามาผูกเปลนั่งเล่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเห็นเหตุการณ์ จึงได้รีบกระโดลงน้ำไปช่วยเหลือ น.ส.กรชนกฯ ทันที และพาตัวขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัยในสภาพหายใจรวยริน และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาสากู้ภัยให้นำส่งโรงพยาบาล

4.มอบทุนสงเคราะห์แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ 133 ราย รวมเป็นเงิน 505,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
4.1 เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท จำนวน 9 ราย
4.2 ทุพพลภาพ รายละ 10,000 บาท จำนวน 1 ราย
4.3 บาดเจ็บสาหัส รายละ 5,000 บาท จำนวน 23 ราย
4.4 บาดเจ็บ รายละ 2,000 บาท จำนวน 100 ราย

5.มอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจ 120 ทุน รวมเป็นเงิน 1,023,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
5.1 ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่อง ระดับปริญญาโทต่างประเทศ

‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ประกาศตามหาสร้อยคอ 5 บาท บอกคนหาพบพร้อมยกสร้อยทองให้ ขอคืนแค่พระ 3 องค์

(29 พ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ต้นปราการ’ ได้โพสต์ข้อความประกาศตามหาสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 5 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 4 องค์ ได้แก่หลวงปู่ทวด ,หลวงปู่ทิม, หลวงพ่อโอภาสี , และพระราหู ซึ่งเป็นสร้อยคอทองคำประจำกายของ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ดารานักแสดงชื่อดัง ซึ่งกำลังนำทีมงานมูลนิธิร่วมกตัญญูลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดภาคใต้ โดยคาดว่าจะหล่นหายขณะเปลี่ยนเสื้อ หลังจากเสร็จสิ้นช่วยเหลือชาวบ้านที่ยะลา

โดย บิณฑ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สวัสดีครับเพื่อนๆ ครับ ผมมีเรื่องรบกวนพี่ๆเพื่อน ๆ ครับ คือเมื่อวานนี้ ช่วงเวลาประมาณเวลาห้าทุ่ม ผมได้ทำภารกิจ ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนออกจากพื้นที่จนภารกิจเสร็จเรียบร้อย ก็เปิดรถ เพื่อจะเปลี่ยนเสื้อที่เปียกเพราะฝนตกตลอดทั้งวัน แต่ด้วยเป็นเสื้อคอกลมคอเต่า อาจจะทำให้สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาทพร้อมพระเลี่ยมทอง หลุดออกไปจากคอ

“แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าสร้อยคอได้หายไปแล้ว มารู้สึกอีกทีก็เกือบถึงปัตตานี เพราะเมื่อคืนนี้ที่จังหวัดยะลาไม่มีที่พักเลย ต้องนั่งรถมาพักที่ปัตตานี เลยแจ้งให้กู้ภัยที่ยะลาตามหา ในเวลานั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น จึงอยากจะรบกวนทุกๆท่านนะครับที่อยู่บริเวณบนสะพานตรงที่น้ำท่วม และทำภารกิจกันเมื่อคืนนี้ ถ้าใครพบเจอสร้อยคอทองคำ พร้อมกับพระเลี่ยมทองของผม 3 องค์”

“ขอความกรุณาเอาพระมาคืนผมครับ ส่วนสร้อยคอผมยินดีที่จะให้ไป ผมขอพระคืนครับ เพราะมีคุณค่าทางจิตใจของผมครับ ผมพยายามหารูปถ่ายของพระกับสร้อยหาไม่มีครับ ยังไงถ้าท่านใดเจอนะครับกราบขอบพระคุณมากครับ ผมขอแค่พระครับ”

ถ้าท่านใดเจอสามารถติดต่อมาเบอร์นี้ได้เลยนะครับ 063-773-0936 ชื่อยอดนะครับ
กราบขอบพระคุณมากครับผม

‘อดีตดาราซีรีส์เน็ตฟลิกซ์’ ถูกจับคาสนามบินอังกฤษ หลังลักลอบขนกัญชาเกือบ 40 กก. จากภูเก็ต

(29 พ.ย. 67) อดีตดาราซีรีส์เรียลิตีเน็ตฟลิกซ์ ถูกจับได้ขณะพยายามลักลอบขนยาเสพติดมูลค่า 150,000 ปอนด์ (ราว 6.5 ล้านบาท) ด้วยเที่ยวบินจากไทย เข้าสู่สหราชอาณาจักร

โอลกา เบดนารสกา (Olga Bednarska) วัย 27 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ สนามบินแมนเชสเตอร์ เรียกตรวจ และจากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ 2 ใบ พบว่ามีกัญชาซุกซ่อนอยู่ภายใน 40 กิโลกรัม

อินฟลูเอนเซอร์สาว ซึ่งเคยปรากฏตัวในเรียลิตีโชว์ทางเน็ตฟลิกซ์ 'Too Hot to Handle' อ้างว่าเธอรับกระเป๋าทั้ง 2 ใบ มาจากเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า 'เท็กซ์'

เบดนารสกา อ้างว่า เท็กซ์ จ้างเธอให้ขึ้นเครื่องบินจากภูเก็ตในเที่ยวบินดังกล่าว โดยเพื่อนรายนี้วานให้เธอช่วยนำกระเป๋าเสื้อผ้าและนาฬิกากลับไปอังกฤษ

สุดท้ายแล้ว เธอถูกจับกุมและต่อมายอมรับสารภาพ ในความผิดเกี่ยวกับการตบตาหลบหลีกข้อห้ามนำเข้ายาเสพติดประเภท บี

ทั้งนี้ เบดนารสกา อยู่ภายใต้การควบคุมตัวมาตั้งแต่ถูกจับกุมเมื่อเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม เธอถึงกับร่ำไห้ระหว่างการพิจารณาคดี เมื่อรอดพ้นจากโทษจำคุก เนื่องจากศาลให้รอลงอาญาไว้ก่อน

ผู้พิพากษา จอห์น พอตเตอร์ บอกว่าอดีตสตาร์เรียลิตีโชว์รายนี้ พาตัวเองตกเป็นหนี้ 16,000 ปอนด์ เนื่องจากพยายามมีไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา แต่ด้วยวิถีชีวิตที่เลยเถิดเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นเธอจึงเลือกหนทางแห่งการก่ออาชญากรรมในการปลดหนี้

เธอ ตอบตกลงบินไปประเทศไทย ในทริปที่มีคนออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด สำหรับไปขนสินค้าออกนอกประเทศ แลกกับเงิน 18,000 ปอนด์

ในวันที่ 10 ตุลาคม เธอได้พบกับคนรู้จักรายหนึ่งชื่อ 'เท็กซ์' ก่อนเช็กอินเข้าพักในโรงแรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จากนั้นบุคคลรายดังกล่าวก็มอบเงินให้ เบดนารสกา ไปใช้จ่าย ซึ่งเธอก็นำไปซื้อกระเป๋าสัมภาระ 2 ใบ เพื่อลักลอบขนสินค้า

เบดนารสกา ถูกขอให้อำพรางสินค้าดังกล่าว ที่เธอเชื่อว่าเป็นเพียงเสื้อผ้าและนาฬิกา และไม่มีความตั้งใจเกี่ยวข้องกับมันมากกว่านั้น

ต่อมาครั้งที่บินกลับอังกฤษเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม เบดนารสกา ถูกเรียกตรวจโดยพวกเจ้าหน้าที่ศุลกากร เธอบอกกับเจ้าหน้าที่ไปว่า เธอเป็นคนแพ็กกระเป๋าด้วยตนเอง

เบดนารสกา ถูกร้องขอให้ปลดล็อกกระเป๋า แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเธอไม่มีรหัส สุดท้ายเธอยอมให้ข้อมูลกับพวกเจ้าหน้าที่ว่า เธอเพิ่งได้รับมอบกระเป๋าทั้ง 2 ใบ ที่สนามบินต้นทาง

จากนั้นพวกเจ้าหน้าที่จึงทำการรื้อค้น และพบว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่บริเวณใต้เสื้อผ้าในกระเป๋าสัมภาระใบดังกล่าว เป็นห่อกัญชาหลายมัด น้ำหนักรวม 39.4 กิโลกรัม ว่ากันว่ามีมูลค่าราว ๆ 157,600 ปอนด์

ผู้พิพากษาพอตเตอร์ กล่าวว่า "คุณตัดสินใจไว้วางใจคนบางคนที่คุณแทบไม่รู้จักเลย คุณดำเนินการภายใต้คำสั่งของคนอื่น ๆ เป็นไปได้เพื่อผลตอบแทนเพิ่มเติม"

"ผมมั่นใจว่าคุณสามารถจินตนาการได้เองว่า ยาเสพติดนี้จะทำร้ายชุมชนของเรามากแค่ไหน คุณส่งเสริมเรื่องนี้โดยตรง ด้วยการยินยอมทำในสิ่งที่คุณทำ" ผู้พิพากษาระบุ

เบดนารสกา ถูกพิพากษาจำคุก 20 เดือน แต่โทษให้รอลงอาญา 2 ปี นอกจากนี้แล้วเธอยังถูกสั่งให้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดตามที่กำหนดเป็นเวลา 15 วัน

ครบรอบ 17 ปี สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จัดใหญ่ภายใต้แนวคิด 'เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน'

เมื่อวันที่ (27 พ.ย.67) สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จัดงานครบรอบ 17 ปี (25 ปี รวมพลคนข่าวเกษตร) ภายใต้แนวคิด 'เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน' ที่อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยได้รับเกียรติจากนายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน และดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความเป็นกลางทางคาร์บอน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดี ภายในงานมีการจัดนิทรรศการและบูธแสดงสินค้าด้านการเกษตรจากหน่วยงานต่างๆ และเกษตรกรกว่า 20 บูธ และเป็นการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างสื่อมวลชนสายเกษตร ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการและเกษตรกร 

นายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคปัจจุบัน หากเราไม่เปลี่ยนแปลงการทำการเกษตรจากแบบดั้งเดิม ก็จะไม่สามารถก้าวพ้นความยากจนไปได้ และหากยังไม่เปลี่ยนวิธีการ ก็จะไม่สามารถเพิ่มขีดศักยภาพการแข่งขัน เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจที่พี่น้องเกษตรกร ซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ เป็นฐานรากทางเศรษฐกิจของประเทศ ถึงแม้ว่า GDP ภาคการเกษตรของประเทศจะมีอัตราที่ไม่สูงนักเมื่อเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ แต่ก็มีความจำเป็นที่ประเทศไทยหรือแม้แต่ประเทศมหาอำนาจที่จะต้องดูแลคนที่อ่อนแอกว่า ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่คนที่อยู่ในภาคเกษตรกลับอยู่ในสถานะความยากจน ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับเกษตรกร โดยนำนวัตกรรมใหม่ๆที่จะนำไปสู่กระบวนการผลิตที่เรียกว่าเกษตรเพิ่มมูลค่าหรือเกษตรพรีเมี่ยม ซึ่งไม่จำเป็นต้องผลิตจำนวนมาก ผลิตน้อยๆแต่ต้องเปี่ยมด้วยคุณภาพ ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรหลายๆอย่างของพี่น้องเกษตรกร สามารถนำมาดัดแปลงเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มมูลค่า ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้ 

“แต่ความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับภาคการเกษตร ยังยึดมั่นที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ จึงฝากความหวังไว้กับทุกภาคส่วน และส่วนที่หนีไม่พ้นเป็นอย่างยิ่งคือ การสร้างความเข้าใจถึงมิติความสำคัญภาคการเกษตร ในการที่จะสื่อสารนโยบายสำคัญของรัฐบาลไปสู่พี่น้องเกษตรกรและประชาชนทั่วไป นั่นคือบทบาทของสื่อมวลชน ดังนั้นในวันนี้ถือว่าสื่อมวลชนภาคการเกษตร ได้ทำงานอย่างสุดความสามารถที่จะเป็นสะพานเชื่อม เพื่อนำข่าวสารที่สร้างสรรค์และถูกต้องไปสื่อให้เกษตรกรหรือประชาชน ดังนั้นผู้สื่อข่าวสายเกษตร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคเกษตรของไทย

นายภิญโญ แพงไธสง นายกสมาคมสื่อมวลชลเกษตรแห่งประเทศไทย กล่าวว่าสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทยมีอายุครบ 17 เต็มในปี 2567 นี้ แต่หากนับตั้งแต่การรวมตัวของพี่น้องสื่อมวลชนสายเกษตรฯ ที่ตั้งเป็นชมรมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย ก็นับรวมได้ 25 ปีได้ หากเปรียบกับคนเราก็เข้าสู่เบญจเพศ เป็นวัยหนุ่มวัยสาวที่มีไฟมีพลังมากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้มีกิจกรรมมากมายทั้งด้านวิชาการและด้านสังคม โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นแต่ละครั้ง ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาชิกฯ ผู้ประกอบการเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ สำหรับในปีนี้ สมาคมฯได้จัดงานภายใต้แนวคิด“เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน” เพื่อเป็นสื่อกลางในฐานะสื่อมวลชน อันจะนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการส่งเสริมเกษตรกรในการยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561 - 2580 ที่ได้กำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน มีการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ลดความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาประชากร เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน สร้างความเจริญทางรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการให้ความสำคัญกับการยกระดับรายได้ของกลุ่มเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐบาลในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ภายใต้แนวคิด "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริมเพิ่มรายได้" อีกด้วย

สำหรับในปีนี้ สมาคมฯยังได้มีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ “รางวัลขวัญใจสื่อมวลชน” ให้กับเกษตรกรผู้มีความคิดสร้างสรรค์สร้างมูลค่าสินค้าเกษตรและมีคุณูปการต่อวงการเกษตร จำนวน 10 ท่าน ได้แก่
 
1.ไพฑูรย์ ฝางคำ วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาอาชีพเกษตร สู่ความยั่งยืนด้วยการปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำ สร้างกระบวนการรวมกลุ่ม สร้างเครือข่าย สร้างพลังในการขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ด้วยการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต พัฒนาคุณภาพมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เพิ่มมูลค่า สร้างอาชีพ สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องเกษตรกร

2.จุไรรัตน์ เชิดชิด วิสาหกิจชุมชนข้าวฮางบ้านสุขสำราญ ต.ฝั่งแดง อ.นากลาง จ. หนองบัวลำภู เป็นแกนนำในการรวมกลุ่มชาวนาในพื้นที่เพื่อปลูกแปรรูปครบวงจรจึงช่วยสร้างงาน สร้างรายได้กลับสู่ท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ในนาม “กลุ่มข้าวฮางบ้านสุขสำราญ” ภายใต้การส่งเสริมของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

3.คุณกมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ “ไร่แสงสกุลรุ่ง” อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี เป็นคนรุ่นใหม่ ที่สนใจเลี้ยง“ผำ” พืชน้ำที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้ให้กับครอบครัวและต่อยอดให้กับเกษตรกรในชุมชน แปรรูปสร้างความแตกต่างในตลาด เพิ่มมูลค่าและยอดขายให้สูงขึ้น

4.อร่าม ทรงสวยรูป เกษตรกรผู้สืบสานพันธุ์ข้าวไทย จากจังหวัดนครราชสีมา อดีตช่างภาพรางวัลพูลิตเซอร์ วัย 56 ปี ผันตัวเองเป็นชาวนาตามรอยบรรพบุรุษ เรียนรู้วิถีธรรมชาติ และยึดธรรมะเป็นที่มั่น ได้สร้างสุขทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งมีรายได้จากการทำเกษตรอินทรีย์ ยกระดับครอบครัวและยังช่วยสืบสานพันธุ์ข้าวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

5.วัฒนชัย เกตุพลอย เกษตรกรจาก อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เจ้าของสายพันธุ์ขนุนทองพลอย ที่ให้ผลตลอดปี ผลใหญ่ตั้งแต่ 20-60 กก. ซังน้อย เนื้อแน่น รสชาติหวานกรอบ ยางน้อย เนื้อสีเหลืองทอง โดยร่วมกับคณาจารย์หลายท่านจากหลากหลายสถาบันการศึกษา ในการวิจัยขนุนให้มีอายุหลังเก็บเกี่ยวให้นานขึ้น เหมาะกับการนำเนื้อมาแปรรูป และวางจำหน่ายตามร้านค้าโมเดิร์นเทรดชั้นนำทั่วประเทศ 

6.นางสาวธิติมา ตะรุสะ ประธานวิสาหกิจชุมชนภูริธาราพรรณ ต.ห้วยป่าหวาย อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ผู้ยึดแนวทางหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9  มาปฏิบัติ โดยได้รับโอกาสจากสำนักงานเกษตรอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ให้เข้าร่วมอบรมเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือ Young Smart Farmer (YSF) และได้นำความรู้ที่อบรมมาปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ในสวนเพิ่มบุญ ของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น กระชาย เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดต่อยอดพัฒนาสินค้าทางการเกษตร นำกระชายมาแปรรูป เพื่อสร่างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ ภายใต้วิสาหกิจชุมชนภูริธาราพรรณ

7.วิสัน วงศ์เมือง เกษตรกรหัวก้าวหน้าแห่งตำบลสุขไพบูลย์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ผู้สืบทอดความรู้และเทคนิคจากครอบครัว ผสมผสานกับความรู้สมัยใหม่ จนสามารถพัฒนาคุณภาพของผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้จากการปลูกกล้วยหอมทองทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น และเป็นต้นแบบให้เกษตรกรรายอื่นอีกด้วย

8.ชาลี จิตรประสงค์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งฉะเชิงเทรา เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อย ปี พ.ศ.2549 เจ้าของ สาริกาฟาร์ม ผู้มุ่งมั่นที่จะผลิตกุ้งสด สะอาด ปลอดภัยไร้สารตกค้าง เพื่อการส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศ ที่มีคุณภาพ อย่างใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ 

9.สมบัติ สุขนันท์ เจ้าของสวนสมบัติอาณาจักรกล้วย ต.ไทรใหญ่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี  และปลูกกล้วย กว่า 500 ไร่ ที่ปลูกกระจายในพื้นที่จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี พิจิตร และเชียงใหม่ และเป็นนักสะสมสายพันธุ์กล้วยแปลก กล้วยหายากเกือบ 250 สายพันธุ์ เช่น แส้หางม้า สายน้ำผึ้งเตี้ย นากค่อม นิ้วนางรำ หอมแคระ กล้วยเทพพนม กล้วยขนุน กล้วยน้ำว้าดำ กล้วยร้อยปลี เป็นต้น 

10.สิริพงศ์ วราศัย หรือที่คนในวงการกล้วยไม้ เรียกว่า อาจารย์โรจน์ ผู้คร่ำวอด ในวงการล้วยส่งออกรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศ  ที่สืบทอดธุรกิจมาจากรุ่นคุณพ่อ ที่ทำธุรกิจกล้วยไม้เป็นรายแรกของไทย โดยรับช่วงต่อมาตั้งแต่ปี 2525 ทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ 

นับว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรหัวก้าวหน้า ที่จะเป็นแกนนำหรือต้นแบบให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ได้หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าสูงในอนาคตต่อไป

นายกฯกัมพูชายัน 'คลองฟูนันเตโช' ไร้ปัญหาเรื่องเงินกับจีน แม้เริ่มก่อสร้าง 3 เดือนแต่ไร้คืบ

(28 พ.ย. 67) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ปฏิเสธรายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่า โครงการเมกะโปรเจกต์คลองฟูนันเตโช ซึ่งกัมพูชาร่วมทุนกับจีน และเริ่มการก่อสร้างไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว กำลังเผชิญปัญหาการเงินจากการที่รัฐบาลจีนลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในจีนที่อ่อนแอลง แม้กัมพูชาจะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีน

ฮุน มาเนต ระบุว่า โครงการนี้ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการดำเนินงานได้ และรัฐบาลของเขากำลังดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยปฏิบัติตามคำสั่งที่ชัดเจนเพื่อจำกัดผลกระทบต่อประชาชนในระดับรากหญ้า กัมพูชายังมีหุ้นส่วนสำรองหลายรายที่พร้อมจะช่วยดูแล หากโครงการใดล้มเหลว พร้อมทั้งยืนยันว่ากลุ่มทำงานยังคงดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต สอดคล้องกับคำยืนยันของรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล ประธานคณะกรรมาธิการพิเศษโครงการก่อสร้างคลองฟูนันเตโช ซึ่งกล่าวว่าโครงการยังคงดำเนินไปตามแผน และได้ปฏิเสธรายงานจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่าโครงการล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางการเงินของจีน

โครงการคลองฟูนันเตโชมีแผนจะเริ่มเปิดใช้งานในช่วงต้นปี 2028 โดยมีงบการลงทุนมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 58,000 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของจีดีพีกัมพูชา โดยในตอนแรกรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่าจีนจะเป็นผู้ช่วยเหลือการลงทุนทั้งหมด แต่ภายหลังมีการแก้ไขเป็นจีนจะออกเงินช่วยเหลือ 49% และบริษัทต่าง ๆ ของกัมพูชาจะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนที่เหลือ 51%

แม้โครงการเริ่มต้นด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แต่ความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะสถานที่จัดพิธีที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง และมีการรายงานถึงปัญหาด้านเงินทุนที่ไม่ตรงกันระหว่างจีนและกัมพูชา รวมถึงความกังวลของจีนที่มีต่อโครงการนี้

ก่อนหน้านี้ รอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา รัฐบาลจีนได้ลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศลง แม้ในประเทศที่จีนมองว่าเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เช่น กัมพูชา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากัมพูชามีหนี้สินกับจีนถึงหนึ่งในสามของหนี้ทั้งหมด

คาดว่าในปี 2026 จีนจะระดมทุนให้กับกัมพูชาน้อยลง โดยลดจาก 240 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 เหลือเพียง 35 ล้านดอลลาร์ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ ซึ่งในครึ่งแรกของปี 2024 กัมพูชายังไม่ได้รับเงินกู้ใหม่จากจีนเลย

สำหรับโครงการคลองฟูนันเตโชถือเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตต้องการผลักดัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากแม่น้ำโขงผ่านกรุงพนมเปญไปยังอ่าวไทย ลดการพึ่งพาการขนส่งทางทะเลจากเวียดนาม คลองนี้จะมีความกว้าง 100 เมตร ลึก 5.4 เมตร และยาว 180 กิโลเมตร คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 16%

โครงการนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2024 ด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยตรงกับวันคล้ายวันเกิดของฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ผู้ริเริ่มโครงการนี้และถูกสานต่อมาในรัฐบาลรุ่นลูก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top