Saturday, 10 May 2025
Hard News Team

‘เจือ ราชสีห์’ ยื่นหนังสือ ก.คมนาคม เร่งโครงการสะพานเชื่อม อ.เมือง - อ.สิงหนคร

(9 ธ.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์  ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยื่นหนังสือให้กับ นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้การสนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เชื่อมอำเภอเมืองสงขลากับอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา

โดยระบุว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดสงขลาและนักท่องเที่ยว ประสบกับปัญหาและความเดือดร้อน ในการข้ามฟากไป มา ระหว่างอำเภอเมืองสงขลา ไปยังอำเภอสิงหนคร ด้วยแพขนานยนต์ โดยเมื่อพิจารณา ลักษณะทางภูมิศาสตร์จังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นเมืองที่สำคัญประกอบไปด้วย สถานศึกษา ศูนย์ราชการ และศูนย์การค้าทางเศรษฐกิจ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ แต่ไม่สามารถเดินทางเข้าออก ไปยังตัวเมืองสงขลาได้อย่างสะดวก เพราะเส้นทางการเดินทางมีเพียงแค่ 2 ทาง คือ เดินทางผ่านสะพานติณสูลานนท์ มีระยะทาง ๒๐ กิโลเมตร และการเดินทางโดยการใช้แพขนานยนต์ จากฝังหัวเขาแดง ไปอำเภอสิงหนคร ไปยัง อำเภอเมืองสงขลา 

ซึ่งปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว ใช้วิธีการเดินทางด้วยแพขนานยนต์ เพื่อข้ามทะเลสาบ เนื่องจากมีระยะทางที่ใกล้กว่า สามารถลดระยะเวลาการทางได้ จึงทำให้มีผู้ใช้บริการแพขนานยนต์เป็นจำนวนมากที่ต้องมารอต่อแถวเข้าคิวเพื่อซื้อตั๋ว โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนช่วงเวลาเช้าและช่วงเวลาเย็น จึงส่งผลให้เกิดปัญหาในการเดินทางเป็นอย่างมาก

นายเจือ ราชสีห์ ย้ำว่า เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงขอความอนุเคราะห์ให้รัฐบาลสนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ซึ่งโครงการดังกล่าว สามารถช่วยให้พี่น้องประชาชน และนักท่องเที่ยว ได้รับความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางสัญจรไป-มา ประหยัดเวลา ระยะทาง และลดค่าใช้จ่ายประจำวันได้ ตลอดถึงสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสงขลาเป็นอย่างมาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมพร้อมดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการจราจร การจัดงานกาชาด ประจำปี 2567 พร้อมเชิญชวนร่วมสนุกในร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ภายในงานด้วย

(9 ธ.ค. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการดูแลความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และการออกร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในงานกาชาด ประจำปี 2567 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 22 ธันวาคม 2567 รวม 12 วัน ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์ ผบช.สกบ.รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สยาม บุญสม จตร.รรท.ผบช.น. , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้กำชับการรักษาความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวกการจราจร โดยรอบบริเวณพื้นที่การจัดงานและพื้นที่ต่อเนื่อง , สืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรักษาความปลอดภัย , จัดทำแผนเผชิญเหตุ แผนการเคลื่อนย้ายประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย หรือโรงพยาบาลฉุกเฉิน , ระดมกวาดล้างอาชญากรรม และการพิจารณาการตั้งจุดตรวจจุดสกัดบริเวณโดยรอบพื้นที่การจัดงาน

ในด้านการรักษาความปลอดภัยภายในงานกาชาด ประจำปี 2567 กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดคัดกรอง (walk through) บริเวณทางเข้า โดยรอบสวนลุมพินี มีการสุ่มตรวจใช้แอปพลิเคชัน Crime on Mobile กับบุคคลต้องสงสัย เพื่อตรวจสอบหมายจับการกระทำผิดอาญา และผู้ที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

ในส่วนของการจราจรนั้น คาดว่าตลอดการจัดงานกาชาด ประจำปี 2567 จะมีประชาชนเดินทางไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทำให้การจราจรโดยรอบติดสะสม จึงได้กำชับให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ต่อเนื่องอย่างเต็มกำลัง พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่สนใจมาร่วมงานเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถประจำทาง รถไฟฟ้า BTS MRT รถยนต์นั่งสาธารณะ เพื่อลดปัญหาการจราจรในพื้นที่รอบบริเวณงาน หรือจอดรถนอกพื้นที่และต่อรถที่จัดให้บริการฟรีได้

สำหรับประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานโดยรถยนต์ส่วนตัว จะมีจุดจอดรถจำนวน 4 จุด คือ ลานจอดรถประตูถนนราชดำริ จอดได้ประมาณ 150 คัน , ลานจอดรถสวนลุมพินี ทางเข้าประตู 1 ถนนวิทยุ จอดได้ประมาณ 200 คัน , จุดจอดรถสวนป่าเบญจกิติ จอดรถยนต์ได้ประมาณ 300 คัน จอดรถจักรยานยนต์ได้ประมาณ 400 คัน และจุดจอดรถสนามกีฬาแห่งชาติ จอดได้ประมาณ 100 คัน โดยจุดจอดรถสวนป่าเบญจกิติ และสนามกีฬาแห่งชาติ จะมีรถ Shuttle Bus รับ-ส่งผู้ที่มาร่วมเที่ยวชมงาน 

นอกจากนี้ ยังมีอาคารจอดรถเอกชนที่สามารถรองรับรถของประชาชนที่จะเดินทางไปร่วมงานกาชาด ซึ่งมีค่าบริการที่จอดรถ ได้แก่ อาคาร one Bangkok จอดได้ประมาณ 3,000 คัน , อาคารสินทร ถนนวิทยุ จอดได้ 1,200 คัน , อาคารเคี่ยนหงวน ถนนวิทยุ จอดได้ 50 คัน , โครงการเวลา หลังสวน จอดได้ 200 คัน , อาคารออลซีซั่น ถนนวิทยุ จอดได้ 3,000 คัน , เดอะ เมอคิวรี่ ทาวเวอร์ จอดได้ 390 คัน และศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จอดได้ 2,000 คัน

ทั้งนี้ ในปีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นเจ้าภาพหลักในการออกร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจออกร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ตั้งอยู่บริเวณโซน 5 โดยในส่วนของร้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การจัดนิทรรศการ “ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร” , กิจกรรมยิงปืนอัดลม (บีบีกัน) ปาลูกโป่ง หนุ่มน้อยตกน้ำ ขี่ม้าพาเพลิน , การออกร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งการแสดงของม้าตำรวจ และสุนัขตำรวจ

สำหรับร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจ จะจัดตกแต่งในรูปแบบสวนอังกฤษย้อนยุค ซึ่งจะมีทางเชื่อมต่อกับร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจมีกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนาน ได้แก่ กิจกรรมจับสลากพฤกษากาชาด ลุ้นรับของรางวัลมากมาย และเลือกช็อปสินค้าที่น่าสนใจ ราคาย่อมเยา จากสมาคมแม่บ้านตำรวจและชมรมแม่บ้านตำรวจทั่วประเทศ พร้อมพบกับศิลปินดาราจำนวนมากที่จะมาร่วมสนุกที่ร้านทุกวัน

กิจกรรมในส่วนของเวทีกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสมาคมแม่บ้านตำรวจ ผู้ร่วมงานจะเพลิดเพลินไปกับการแสดงดนตรีในสวน การแสดงของบุตรหลานข้าราชการตำรวจ เล่นเกมชิงรางวัล และพบกับศิลปินดารามากมายที่สลับสับเปลี่ยนมาร่วมสนุกบนเวทีในทุกวันด้วย

ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานกาชาดประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร” ระหว่างวันที่ 11 - 22 ธันวาคม 2567 รวม 12 วัน ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร เวลา 11.00 - 22.00 น. วันสุดท้ายปิด 23.00 น. และแพลตฟอร์มงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย 

“ปชป.” สนับสนุนสันนิบาตสหกรณ์ฯ.เดินหน้าโครงการ“สภาสหกรณ์แห่งชาติ”ยกระดับอัพเกรดขบวนการสหกรณ์ของไทย

(9 ธ.ค. 67) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่ 1ได้รับมอบจากดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เข้าร่วมการประชุมและบรรยายตามคำเชิญของนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานคณะกรรมการดำเนินการสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.)ในวาระการประชุมของสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยเรื่องโครงการจัดตั้งสภาสหกรณ์แห่งชาติ“ที่โรงแรมเอเซียแอร์พอร์ตวันนี้โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์

มีนโยบายสนับสนุนขบวนการสหกรณ์และสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานโดยเฉพาะในช่วงที่เป็นแกนนำรัฐบาลได้ปรับปรุงพรบ.สหกรณ์ปี2511ที่ใช้มา31ปีให้ทันสมัยในปี2542 ดังนั้นเมื่อสันนิบาตสหกรณ์ฯ.ริเริ่มโครงการจัดตั้งสภาสหกรณ์แห่งชาติจึงพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ “ขบวนการสหกรณ์ของไทยเกิดขึ้นมากว่า100ปีตั้งแต่ปี2458จนเติบใหญ่มีสมาชิกกว่า10ล้านคนในสหกรณ์7ประเภทจำนวนกว่า6,000สหกรณ์เป็นองค์กรธุรกิจใหญ่ที่สุดมีทรัพย์สินเงินทุนหมุนเวียนและธุรกิจไม่น้อยกว่า5ล้านล้านบาทมากกว่างบประมาณแผ่นดินเกือบ2เท่ามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตลอดมา 

ดังนั้นเมื่อสันนิบาตสหกรณ์ฯ.ริเริ่มโครงการจัดตั้งสภาสหกรณ์แห่งชาติจึงพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และพร้อมร่วมคิดร่วมจัดทำร่างพระราชบัญญัติ“สภาสหกรณ์แห่งชาติ” เช่นเดียวกับการที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตได้ตราพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติพ.ศ. 2553เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรและภาคเกษตรกรรมของประเทศ“ ทั้งนี้นายอลงกรณ์ได้เสนอ2แนวทางในการจัดตั้งสภาสหกรณ์แห่งชาติ เช่น การตรากฎหมายใหม่หรือปรับปรุงกฎหมายเดิมยกฐานะสันนิบาตสหกรณ์ฯ.เป็นสภาสหกรณ์ฯ.หรือเป็นสภาสหกรณ์และเกษตรกรแห่งชาติภายใต้การปรับปรุงกฎหมายสภาเกษตรกรแห่งชาติซึ่งต้องหารือกับคณะกรรมการสภาเกษตรกรแห่งชาติว่าขัดข้องหรือไม่อย่างไรเพื่อให้ขบวนการสหกรณ์แข็งแกร่งและเป็นเอกภาพ นอกจากนั้นกฎหมายการจัดตั้งจะต้องตอบโจทย์การบริหารสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส ต้นทุนเงินสหกรณ์และดอกเบี้ย ความสามารถในการประกอบธุรกิจแบบอเนกประสงค์ทันต่อยุคดิจิตอล รวมทั้งการให้มีองค์กรอิสระทำหน้าที่กำกับดูแลและสนับสนุนในรูปแบบRegulatorในสาขากิจการประกันภัย สาขากิจการสื่อสารโทรคมนาคม สาขากิจการไฟฟ้าฯลฯแทนกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินการภายใต้คณะกรรมการกำกับกิจการที่เป็นองค์อิสระ.

พิชัย ถกทูตจีน จับมือแก้ปัญหาสินค้านำเข้าไม่ได้มาตรฐาน ก่อนประชุมใหญ่ 16 หน่วยงานบ่ายนี้ พร้อมขอจีนเร่งซื้อ มันสำปะหลัง วัว ข้าว จากไทยต่อเนื่อง 

เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะ โดยมี นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเข้าร่วม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าของสองประเทศในประเด็นต่างๆ ทั้งการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และการขอความร่วมมือรับซื้อสินค้าเกษตร ทั้งข้าวและมันสำปะหลังจากไทย เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรไทย

นายพิชัย กล่าวว่า นับตั้งแต่รับตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์ ได้พบปะพูดคุยกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาความร่วมมือระหว่างจีนและกระทรวงพาณิชย์ และเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 67 ที่ผ่านมา ท่านทูตฯเองได้สละเวลา และยกคณะมาประชุมที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมกัน เพื่อปลดล็อกความกังวลเรื่องสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย  ซึ่งในเรื่องนี้เราตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาโดยคำนึงถึงมิตรภาพ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในทุกมิติ ไม่ทำให้กังวลหรือกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เน้นการปฏิบัติตามหลักระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งฝ่ายจีนเข้าใจเป็นอย่างดี และได้ช่วยเหลือกันในหลายเรื่องจนสำเร็จ 

ล่าสุดตนได้รับรายงานว่า เมื่อ 11 พ.ย.67​ ที่ผ่านมา ทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ TEMU ก็ได้ดําเนินการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยใช้ชื่อบริษัท เวลโค เทคโนโลยี จํากัด และทางจีนก็ยินดีที่จะส่งเสริมการส่งออกสินค้า SME ไทยให้เข้าไปจำหน่ายในจีนทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรูปแบบใหม่

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรีห่วงใยปัญหาต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ (9 ธ.ค. 67) ตนได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ กับ 16 หน่วยงาน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งออกมาตรการที่จะส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนั้น ตลาดจีนเป็นตลาดใหญ่ ตนจึงได้ขอความร่วมมือจากทางการจีนพิจารณารับซื้อสินค้าเกษตรจากไทย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อพี่น้องเกษตรกรไทยอย่างยิ่ง และจากการหารือกันในเบื้องต้น ทางจีนยินดีที่จะสนับสนุนเกษตรกรไทย โดยจะพิจารณาซื้อข้าวจากไทยอีก 280,000 ตัน จากสัญญา 1 ล้านตันให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะได้ปิดดีลครบสัญญาการซื้อขายข้าว G to G ระหว่าง COFCO และกรมการค้าต่างประเทศ ที่ลงนามใน MOU กันไว้ตั้งแต่ปี 2558

พร้อมทั้งเร่งผลักดันผู้นำเข้าจีนให้รับซื้อมันสําปะหลังของไทย ที่ผลผลิตกำลังจะออกมามากในช่วงนี้ เพื่อช่วยเกษตรกรไทยกว่า 7 แสนครัวเรือน เนื่องจากราคามันสำปะหลังตกต่ำ ทั้งยังจะผลักดันให้ สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) และกรมปศุสัตว์ไทย บูรณาการกันและเร่งขับเคลื่อนให้จีนสามารถนำเข้าโคมีชีวิตจากประเทศไทยได้

“ในปี 2568 จะเป็นปีเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน กระทรวงพาณิชย์จะมีกิจกรรมร่วมกับทางการจีนหลายเรื่อง เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยและจีนต่อไป โดยในช่วงบ่ายวันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม และทางการจีนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ เข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างเต็มที่ ตัวท่านทูตหานได้กล่าวในการหารือเป็นอย่างดีว่า ความสัมพันธ์ไทยจีนเหมือนป่าไม้ใหญ่ที่ต้องเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ต่อไปภายภาคหน้า แต่ปัญหาต่างๆ เหมือนหนอน ซึ่งตัวเล็กมาก ต้องจับออกไป เพื่อให้ป่าอุดมสมบูรณ์ต่อไป ผมคิดว่านี่เป็นแนวทางแก้ปัญหาที่เดินมาถูกทาง เราต้องส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี และการค้าของสองฝ่ายให้เติบโตยิ่งขึ้นไป” นายพิชัยกล่าว

สมุทรปราการ - โค้งสุดท้าย!! “อำนวย บุญริ้ว” ลงพื้นที่หาเสียงหมู่บ้านพฤกษา 15 ประชาชนจำนวนมากแห่ต้อนรับ

(9 ธ.ค. 67) นายกนาจ หรือนายอำนวย บุญริ้ว อดีตนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ หมายเลข 1 พร้อมด้วยคณะสมาชิกในนามกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่ ภายใต้สโลแกน “มีปัญหาหันมาเมื่อไหร่ก็เจอ” 

ลงพื้นที่หาเสียงภายในตลาดหมู่บ้านพฤกษา 15 ถนนตำหรุ-บางพลี ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ โดยช่วงเช้าได้เข้ากราบไหว้สักการะองค์หลวงปู่ทวด และศาลพระภูมิเจ้าที่ บริเวณตลาดนัด หมู่บ้านพฤกษา 15 เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนลุยหาเสียงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเดินชู้ป้าย แจกแผ่นพับแนะนำตัวผู้สมัคร และชูนโยบายในการบริหารงานและแผนพัฒนาท้องถิ่นของกลุ่มพัฒนาแพรกษาใหม่ 10 ข้อ

1. พัฒนากลุ่มอาชีพให้เข้มแข็งและมีศักยภาพมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ 2. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้แข็งแรง สะดวก ปลอดภัย ตอบสนองทักษะชุมชน 3. พัฒนาระบบการศึกษาให้อนาคตของท้องถิ่นมีคุณภาพการศึกษาที่ทันสมัยและเท่าเทียม 4. พัฒนาคุณภาพผู้สูงอายุให้มีความภาคภูมิใจในตนเองดำรงชีพอย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี 5. ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศแก่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข 6. ส่งเสริมยกระดับการบริการประชาชน อย่างรวดเร็วเป็นธรรม โปร่งใส่ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง 7. ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยไร้มลพิษ 8. ส่งเสริมระบบสาธารณสุขสะดวก รวดเร็วทั่วถึง ตรงต่อความต้องการของประชาชน 9. พัฒนาเทคโนโลยีให้ประชาชนเข้าถึงโดยง่ายและสร้างโอกาสที่หลากหลาย 10. พัฒนาองค์กรให้ประชาชนมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ เพื่ออนาคตของทุกคน

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีทั้งจากพ่อค้า แม่ค้า และพี่น้องประชาชนหมู่บ้านพฤกษา 15 ทั้งนี้ประชาชนจำนวนมากยังได้นำดอกกุหลาบ พวงมาลัยนำมามอบให้กับ นายอำนวย บุญริ้ว อดีตนายกฯ และอวยพรขอให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งบรรยากาศการหาเสียงเป็นไปอย่างอบอุ่น 

นอกจากนี้ขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนพี่น้องประชาชน และกลุ่มเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป อย่าลืมออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง นายกเทศมนตรี ในวันอาทิตย์ ที่ 15 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น ณ. หน่วยเลือกตั้งที่ท่านมีรายชื่ออยู่

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ขอนแก่น - มทบ.23 และส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น จัดงานรวมพลังมวลชนขอนแก่นสามัคคี และพิธีสวนสนามกระทำสัตย์ปฏิญาณตนของ นศท.

เมื่อวันที่ (8 ธ.ค. 67) เวลา 1400 น. พลตรี กิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23 ให้การต้อนรับ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งกรุณาเป็นประธาน ในพิธีการจัดกิจกรรม “วันรวมพลังมวลชนขอนแก่นสามัคคี” และพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร ประจำปี 2567 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมในการแสดงพลังของมวลชนกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีแนวความคิด อุดมการณ์ในการเทิดทูนสถาบันหลักของชาติ ตลอดจนการแสดงศักยภาพของ “เยาวชน คนรุ่นใหม่” นักศึกษาวิชาทหาร และนักเรียน/นักศึกษา ที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ ณ สนามกีฬา 50 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่น กิจกรรมประกอบด้วย การร่วมประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและตัวแทนกลุ่มพลังมวลชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น หน้าห้องสารสินอาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น ต่อจากนั้นเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการ เทิดพระเกียรติและนิทรรศการเทคโนโลยีทางทหารซึ่งได้รับการสนับสนุนจากส่วนราชการสถาบันการศึกษา และบริษัทภาคเอกชนในพื้นที่ การเดินพาเหรดรวมพลังของมวลชนกลุ่มต่างๆ, พิธีอัญเชิญ “ธงชาติไทย”, การปฏิญาณตนเป็น “พลเมืองดี และพลังแผ่นดิน”, การแสดงของเยาวชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น, การแสดงของนักศึกษาวิชาทหาร, การแสดงดนตรีร่วมสมัย และพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร สังกัด ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบที่ 23 ซึ่งจะเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ความเข้มแข็ง และความพร้อมเพรียง ของนักศึกษาวิชาทหาร ซึ่งจะเป็นกำลังพลสำรองที่มีคุณภาพ และ มีความสำคัญของประเทศชาติ โดยได้รับการสนับสนุนการจัดกิจกรรม จากกรมกิจการพลเรือนทหารบก และภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ในการนี้นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น  รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะหลักสูตรประชาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาคที่ 2 หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐภาคเอกชน สถานศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติ ขอนแก่นเข้มแข็ง รวมพลังมวลชนขอนแก่นสามัคคี

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวหลังกลุ่มกบฏยึดเมืองหลวงซีเรียเเละโค้นรัฐบาลอัล - อัสซาด ได้สำเร็จ

(9 ธ.ค. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันเสาร์ ขณะเข้าร่วมพิธีเปิดมหาวิหารนอเทรอดามในกรุงปารีสว่า “นี่ไม่ใช่การสู้รบของสหรัฐ” พร้อมระบุว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย ไม่สมควรได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งต่อไป  

ปัจจุบัน สหรัฐมีกำลังทหารราว 900 นายประจำการในซีเรีย ส่วนใหญ่ทำงานร่วมกับพันธมิตรชาวเคิร์ดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อป้องกันการฟื้นตัวของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)  

การแสดงจุดยืนนี้เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มกบฏในซีเรียเปิดปฏิบัติการโจมตีอย่างรวดเร็วเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องตอบโต้ก่อน เนื่องจากกองทัพอากาศซีเรียและรัสเซียเพิ่มการโจมตีพลเรือนในจังหวัดอิดลิบ ฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้าน  

สงครามกลางเมืองในซีเรียดำเนินมานานกว่า 13 ปี โดยเริ่มจากการลุกฮืออย่างสันติของประชาชนเมื่อปี 2554 เพื่อต่อต้านการปกครองของตระกูลอัล-อัสซาด ความขัดแย้งนี้ทำให้ประชาชนหลายล้านคนเสียชีวิตและต้องอพยพหนีภัยไปยังต่างประเทศ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตอกย้ำปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” มอบห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ มาตรฐาน ISO7 มูลค่ากว่า 4.1 ล้านบาท แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม มอบโอกาสการรักษา ช่วยเหลือชาวนครพนมอย่างยั่งยืน

(9 ธ.ค. 67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ และคณะกรรมการมูลนิธิ ร่วมในพิธีมอบห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ มาตรฐาน ISO7 มูลค่า 4,180,000 บาท (สี่ล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม จังหวัดนครพนม  โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช กล่าวขอบคุณ และคณะกรรมการฯ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม ร่วมรับมอบ ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

การสนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ริเริ่มสนับสนุนครั้งใหญ่เนื่องในโอกาสครบรอบ 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เมื่อปีพ.ศ.2563 รวมทั้งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  โดยได้มีการสนับสนุนเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการมอบครุภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบรถพยาบาลติดตั้งอุปกรณ์ มอบรถ X-Ray เคลื่อนที่ระบบดิจิทัล เป็นต้น รวมมูลค่าการสนับสนุนทางการแพทย์ไม่ต่ำกว่า 197 ล้านบาท

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และเฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ครองแชมป์ชื่อเด็กชายยอดนิยมในอังกฤษ แซงหน้าชื่อสไตล์ผู้ดี ‘อเมเลีย-โอลิเวอร์’

(9 ธ.ค. 67) สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักร (ONS) เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2024 ว่า ‘มูฮัมหมัด’ (Muhammed) กลายเป็นชื่อที่พ่อแม่ชาวอังกฤษและเวลส์นิยมตั้งให้เด็กผู้ชายแรกเกิดมากที่สุดในปี 2023 โดยมีเด็กชายชื่อมูฮัมหมัดถึง 4,661 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่มี 4,177 คน ส่งผลให้ชื่อดังกล่าวครองอันดับ 1 ของชื่อเด็กผู้ชายยอดนิยม แซงหน้า โนอาห์ (Noah) และ โอลิเวอร์ (Oliver) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ  

สำหรับเด็กผู้หญิง ชื่อ โอลิเวีย (Olivia) ยังคงครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 ตามมาด้วย อเมเลีย (Amelia) และ ไอยลา (Isla) ที่อยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 เช่นเดิม  

เกร็ก ซีลีย์ (Greg Ceely) หัวหน้าศูนย์ติดตามสุขภาพประชากรของ ONS กล่าวว่าวัฒนธรรมป็อปมีอิทธิพลต่อการตั้งชื่อเด็กอย่างมาก โดยชื่อนักร้องชื่อดัง เช่น บิลลี (Billie), ลานา (Lana), ไมลีย์ (Miley), รีฮานนา (Rihanna) และเอลตัน (Elton) กลายเป็นชื่อที่พบได้บ่อยในหมู่เด็กเกิดใหม่  

ในทางกลับกัน ชื่อราชวงศ์อังกฤษ กลับได้รับความนิยมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยชื่อ จอร์จ (George)ตกไปอยู่อันดับที่ 4 มีเด็กเพียง 3,494 คนเท่านั้นที่ใช้ชื่อนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ตัวเลขลดลงต่ำกว่า 4,000 คน ขณะที่ วิลเลียม (William) และหลุยส์ (Louis) ตกไปอยู่อันดับที่ 29 และ 45 ตามลำดับ  

ชื่อจากภาษาอาหรับ เช่น อัยมาน (Ayman) และ ฮัสซัน (Hasan) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นถึง 47% และ 43% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของชุมชนชาวเอเชียใต้และชาวมุสลิมในสหราชอาณาจักร  

ปัจจุบัน ชาวเอเชียใต้จากประเทศอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ คิดเป็น 4.3% ของประชากรทั้งหมดในอังกฤษ โดยชาวอินเดียถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษและเวลส์ มีจำนวนประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน หรือ 2.5% ของประชากรอังกฤษทั้งหมด

สสว. เผยตัวเลขดัชนี SMESI ต.ค. สูงสุดรอบ 3 เดือน อานิสงส์มาตรการกระตุ้น ศก. – แจกเงินหมื่น - ฤดูท่องเที่ยว

(9 ธ.ค. 67) ดัชนี SMESI ต.ค. 67 ฟื้นตัวแตะระดับ 52.2 กลับสู่ระดับความเชื่อมั่นในรอบ 3 เดือน ด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งผลให้ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกและการท่องเที่ยวแต่ละภูมิภาค เติบโตอย่างชัดเจน SME คาดการณ์กำลังซื้อจะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังขอให้ภาครัฐช่วยดูแลต้นทุนและเพิ่มศักยภาพแข่งขัน

นางสาวปณิตา  ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รักษาการ ผอ.สสว. เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ว่า ดัชนี SMESI ประจำเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 52.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.6 ปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจนและกลับสู่ระดับความเชื่อมั่นอีกครั้ง หลังจากชะลอลงต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่นต่อเนื่อง 3 เดือน 

ทั้งนี้มาจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคผ่านการแจกเงิน 10,000 บาท เฟสแรก ที่มีผลตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลดีกับกลุ่มธุรกิจการค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และเห็นแนวโน้มการใช้จ่ายในกลุ่มสินทรัพย์คงทน เช่น รถจักรยานยนต์ เครื่องจักร อุปกรณ์ทางการเกษตร เป็นต้น บางกลุ่มมากขึ้น นอกจากนี้ หลายพื้นที่ยังได้รับผลบวกจากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว รวมถึงงานเทศกาลบุญและประเพณีประจำปี ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงสั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี 

เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า องค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ ต้นทุน (ต่อหน่วย) กำไร และการจ้างงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 59.3, 56.2, 41.5, 55.5 และ 50.4 จากระดับ 54.9, 52.7, 39.4, 49.8 และ 49.9 ในขณะที่องค์ประกอบด้านการลงทุนโดยรวม ปรับตัวจากระดับ 51.1 ของเดือนก่อนหน้า ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.4 แสดงให้เห็นถึงความกังวลของผู้ประกอบการที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงยังไม่เชื่อมั่นในการลงทุนมากนักแม้เริ่มมีสัญญาณบวกในองค์ประกอบอื่น ๆ

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายสาขาธุรกิจ ประจำเดือนตุลาคม 2567 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ภาพรวมทุกภาคธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 52.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 50.7 ซึ่งในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของกำลังซื้อในกลุ่มสินค้าคงทนเป็นสำคัญ ทั้งสินค้าในกลุ่มอัญมณี เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ 

รวมถึงกลุ่มการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและความงาม ผลจากอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐฯ ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 52.1 ปรับตัวดีขึ้นมาจากระดับ 49.7 สาเหตุจากกลุ่มการค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ผู้บริโภคเร่งการจับจ่ายใช้สอยปริมาณมากในครั้งเดียวเพิ่มขึ้นชัดเจน สะท้อนการกักตุนสินค้าของกลุ่มผู้ได้รับมาตรการกระตุ้นฯ รวมถึงบางส่วนยังมีการรวมเงินกันเพื่อซื้อสินค้าคงทนในกลุ่มจักรยานยนต์ ทั้งมือ 1 และมือ 2 ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 51.7 ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 48.5 เป็นผลจากกิจกรรมการท่องเที่ยวในช่วงต้นฤดูกาลท่องเที่ยว ทั้งพื้นที่ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคเหนือ ส่งผลดีต่อเนื่องในกลุ่มบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการผ่อนคลาย สันทนาการ รวมถึงกลุ่มบริการนวดและสปา ภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 54.9 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.3 โดยภาคธุรกิจการเกษตรปรับตัวดีขึ้น จากช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวในหลายพื้นที่เพาะปลูกสำคัญของภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างไรก็ตามในพื้นที่ภาคเหนือยังเผชิญกับผลผลิตที่เสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นช่วงก่อนหน้านี้

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค พบว่า ทุกภูมิภาคปรับตัวดีขึ้น และกลับเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นจากแรงหนุนของมาตรการรัฐ และการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว 

โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.7 ภาคเศรษฐกิจขยายตัวชัดเจน จากแรงหนุนของการแจกเงิน 10,000 บาท ส่งผลให้เกิดการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต่อครั้งในปริมาณมากจากกลุ่มร้านค้าส่ง รวมถึงการขยายตัวในกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องประดับ และสินค้าและบริการเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ 

ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 50.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 47.1 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจในพื้นที่มีแนวโน้มดีขึ้นและกลับเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นอีกครั้ง จากการขยายตัวของกำลังซื้อที่เร่งตัวสูงขึ้น ทั้งจากมาตรการกระตุ้นของรัฐ และจากกำลังซื้อของภาคธุรกิจการเกษตรในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ยังเห็นการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลบุญกฐิน 

ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 51.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 48.5 ของเดือนก่อนหน้า เศรษฐกิจในพื้นที่เริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของอุทกภัยที่ยาวนานกว่า 2 เดือน ด้วยแรงหนุนของกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวได้ ในขณะที่ภาคการก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ได้รับผลดีจากการซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่เสียหาย จากมาตรการเยียวยาผลกระทบของอุทกภัยในขณะที่สินค้าเกษตรในหลายพื้นที่เผชิญกับปัญหาผลผลิตเสียหาย 

ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 51.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 48.2 ของเดือนก่อนหน้า โดยภาคธุรกิจในพื้นที่เริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้งจากแรงหนุนของกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากรัสเซียเป็นสำคัญ เนื่องจากประเทศต้นทางเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ในขณะที่การจับจ่ายใช้สอยของคนในพื้นที่ได้แรงผลักดันบางส่วนจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งเห็นการรวมเงินก้อนเพื่อซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่และมือสองเพิ่มขึ้นชัดเจน 

ภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 53.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.5 มีสาเหตุมาจากกิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงในช่วงต้นเดือนยังได้รับแรงหนุนจากเทศกาลสารทเดือนสิบ ที่กระตุ้นให้ผู้คนในพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับสวัสดิการรัฐฯ มาจับจ่ายใช้สอย 

เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 51.5 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.2 โดยภาคธุรกิจขยายตัวเล็กน้อย จากมาตรการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลดีกับร้านค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น กิจกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่ยังมาจากรูปแบบการใช้บริการระยะสั้นเพื่อรอเดินทางสู่สถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคอื่นเป็นหลัก

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 54.5 ปรับตัวดีขึ้น ตามความคาดหวังการพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องของกำลังซื้อจากปัจจัยชั่วคราว อาทิ การกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ และแรงส่งของช่วง High season โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ SME ยังคงไม่แสดงแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติม แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แล้วก็ตาม อาจเนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

ในด้านการให้ความช่วยเหลือที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการอย่างเร่งด่วน คือต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง และหามาตรการป้องกันในระยะยาว รวมไปถึงด้านการควบคุมราคาสินค้า/วัตถุดิบซึ่งกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน เช่น โครงการเงินดิจิทัลควรมีการเร่งดำเนินการพิจารณากลุ่มผู้มีสิทธิได้รับเงินกลุ่มอื่น ๆ เพิ่มเติม หรือมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายช่วงเทศกาลส่งท้ายปี นอกจากนี้ การส่งเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดหรือการต่อสู้กับคู่แข่งในระดับสากล เช่น การส่งเสริมทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาหรือการเพิ่มทักษะแรงงาน การส่งเสริมการเปิดตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่ง สสว. มีบริการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ SME จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผ่าน https://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ หรือสามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top