Wednesday, 26 June 2024
Hard News Team

รมว.สุชาติ เผย ตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง จะเปิดจนถึง 30 เม.ย.นี้ ย้ำ สายด่วน 1506 กด 6 ช่วยประสานส่งผู้ประกันตนถึงโรงพยาบาลได้ทันท่วงที

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก 
เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกันใน 5 จังหวัด ขณะนี้ตรวจไปแล้ว 29,065 คน ยืนยันพบผู้ติดเชื้อ 607 คน เน้นย้ำศูนย์ตรวจที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง กรุงเทพมหานครจะเปิดให้บริการไปจนถึงวันที่ 30 เมษายนนี้ จากนั้นจะปิดศูนย์ชั่วคราว และเปิดให้บริการตรวจคัดกรองอีกครั้งในวันที่ 5 – 11 พ.ค.นี้ ด้านผู้ประกันตนกล่าวขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ประสานความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1506 กด 6 นำส่งโรงพยาบาลจนถึงมือหมอได้อย่างทันท่วงที

เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่งภาพรวมขณะนี้ตรวจไปแล้วทั้งหมด 29,065 คน พบผู้ติดเชื้อ 607 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 26 เม.ย.64 เวลา 16.00 น.) ซึ่งแต่ละศูนย์มีผลการตรวจ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร ตรวจแล้ว 23,055 คน พบผู้ติดเชื้อ 602 คน ซึ่งได้ประสานส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้วจำนวน 31 คน ส่งเข้า Hospitel จำนวน 290 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการสอบสวนโรค จังหวัดชลบุรีตรวจแล้ว 596 คน พบผู้ติดเชื้อ 5 คน และอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ปทุมธานี ตรวจแล้ว 3,296 คน เชียงใหม่ ตรวจแล้ว 1,389 คน นนทบุรี ตรวจแล้ว 729 คน ซึ่งในส่วนของ 3 จังหวัดยังไม่ได้รับรายงานผู้ติดเชื้อ โดยศูนย์ตรวจที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง กรุงเทพมหานครจะเปิดให้บริการไปจนถึงวันที่ 30 เมษายนนี้ จากนั้นจะปิดศูนย์ชั่วคราว และเปิดให้บริการตรวจคัดกรองอีกครั้งในวันที่ 5 – 11 พ.ค.นี้ และจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า เมื่อผู้ประกันตนเข้ารับการตรวจโควิด-19 แล้ว และระหว่างรอผลตรวจต้องกักตัวที่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เมื่อทราบผลการตรวจแล้วทางโรงพยาบาลจะแจ้งให้ทราบผ่าน 3 ช่องทาง คือ QR Code , SMS และทางโทรศัพท์เพื่อแจ้งแนวการปฏิบัติตนขณะรอเข้ารับการรักษาตามขั้นตอน ดังนี้ 1) ผู้ประกันตนที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย (กลุ่มสีเขียว) โรงพยาบาลให้เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) หรือโรงพยาบาลสนาม 2) สำหรับกลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรงหรือกลุ่มที่มีอาการรุนแรง (กลุ่มสีส้มและกลุ่มสีแดง) พิจารณาให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล กรณีโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ประกันตนได้เนื่องจากเตียงเต็มโรงพยาบาลสามารถส่งต่อผู้ป่วยให้กับโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการดูแลต่อไป  

ทั้งนี้ โรงพยาบาลที่ตรวจคัดกรองโควิด-19 ทั้ง 5 จังหวัดที่เปิดเป็นศูนย์ตรวจจะมีหน้าที่ในการสอบสวนโรคและพิจารณาส่งผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลหรือ Hospitel ซึ่ง ณ ขณะนี้มีโรงพยาบาล ที่จัดตั้ง Hospitel จำนวน 23 แห่ง จำนวน 6,943 เตียง  และอยู่ระหว่างประสานหาเตียงเพิ่มสำหรับรองรับผู้ป่วยที่ประสานหาเตียงผ่านสายด่วน 1506 กด 6 อีกจำนวน 3,000 เตียง 

นายสุชาติ ยังกล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกันตนได้ขอความช่วยเหลือมายังกระทรวงแรงงานและสายด่วน 1506 กด 6 ว่า ผู้ติดเชื้อรายหนึ่งเธอมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว และรู้สึกกังวลใจ เนื่องจากมีโรคประจำตัวเป็นมะเร็งเต้านมได้เดินทางมาตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง และทราบผลตรวจเมื่อวานนี้ (26 เม.ย.64) และทางกระทรวงแรงงานได้ประสานโรงพยาบาลลาดพร้าว ให้นำรถพยาบาลมารับเมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ และเมื่อเวลา 17.27 น.ที่ผ่านมาเจ้าตัวโทรมาแจ้งว่าได้ขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ให้การประสานการดูแลจนเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลลาดพร้าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่อีกราย เป็นผู้ประกันกันมาตรา 33 มีอาการคอแห้ง เจ็บคอ มีไข้อ่อนๆ ต้องเข้ารับการรักษาตัว ที่โรงพยาบาล จึงประสานขอความช่วยเหลือรับมายังกระทรวงแรงงาน เพื่อขอรถพยาบาลให้ไปรับ และกระทรวงแรงงานได้ให้รถพยาบาลของโรงพยาบาลวิชัยเวช เข้าไปรับในวันนี้เวลาประมาณ 18.00 น.จนถึงเจ้าตัวได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที 

เช่นเดียวกับอาม่ารายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง มีอาการไออย่างรุนแรง ผู้ดูแลใกล้ชิดจึงเป็นห่วงอาม่าต้องการให้พาไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วยจึงตัดสินใจประสานความช่วยเหลือมายังกระทรวงแรงงานให้หารถมารับ จนล่าสุดรถพยาบาลของโรงพยาบาลสมุทรปราการได้รับตัวอาม่าไปรักษาเรียบร้อยแล้ว

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสายงานมาตรฐานอุตสาหกรรมร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรม จับมือร่วมกันผลักดันสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสู่องค์กรกำหนดมาตรฐานขั้นสูง SDOs

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสายงานมาตรฐานอุตสาหกรรมร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรม จับมือร่วมกันผลักดันสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสู่องค์กรกำหนดมาตรฐานขั้นสูง SDOs (STANDARDS DEVELOPING ORGANIZATIONS) นำร่องใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยมุ่งหวังเพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมสู่ระดับสูงสร้างความเชื่อมั่นต่อคู่ค้าและผู้บริโภค พร้อมผลักดันให้สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศได้

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มีนโยบายในการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรมให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและในระดับสากล เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับสินค้าไทย รวมถึงสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้ ในครั้งนี้เราได้รับความร่วมมือจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในการช่วยผลักดันให้ ส.อ.ท. ก้าวสู่องค์กรกำหนดมาตรฐานขั้นสูง SDOs (STANDARDS DEVELOPING ORGANIZATIONS) ดังนั้น นับจากนี้ ส.อ.ท. ก็จะเป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง และเป็นหน่วยงานที่สำคัญเพราะถือเป็นผู้ผลิตซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 1 ใน 3 ส่วนสำคัญอันได้แก่ ผู้ผลิต, ผู้ใช้และนักวิชาการ ส.อ.ท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการได้รับการรับรองเป็น SDOs ในครั้งนี้ จะทำให้ ส.อ.ท. เป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับมาตรฐานของประเทศไทยร่วมกับทาง สมอ. ซึ่งเป็นการสร้างความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานในภาคอุตสาหกรรมครั้งสำคัญ”

"ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะใช้มาตรฐานเป็นเครื่องมือในการยกระดับอุตสาหกรรมเพื่อให้มีการพัฒนาผลิภัณฑ์ให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตสามารถแข่งขันได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการใช้ สินค้ามีมาตรฐานซึ่งถือเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย ดังนั้นการเพิ่มศักยภาพในการกำหนดมาตรฐานให้ได้มากยิ่งขึ้น จึงถือเป็นส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศด้วยเช่นกัน"

นางพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและประธานสายงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า “สายงานมาตรฐานอุตสาหกรรมมีเป้าหมายที่จะผลักดันสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสู่องค์กรกำหนดมาตรฐานขั้นสูง SDOs ผ่านกลุ่มอุตสาหกรรม เนื่องจากเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งภาคอุตสาหกรรมจะสามารถทำมาตรฐานได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น ผู้ประกอบการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถกำหนดมาตรฐานได้ตรงกับความต้องการและเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์มากที่สุด ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการที่จะมีองค์ความรู้ด้านมาตรฐานเพิ่มขึ้นในวงกว้าง ในส่วนของผู้ประกอบการเองก็จะเกิดประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า/ผู้บริโภค, สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศได้เพราะต่อไป

หากสินค้าต่างประเทศจะเข้ามาสู่ตลาดในประเทศไทยจะต้องขอมาตรฐานที่เรากำหนดขึ้นด้วย ซึ่งจะถือเป็นโอกาสและความได้เปรียบของผู้ประกอบการไทย ที่สำคัญยังเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการใช้สินค้ามีมาตรฐานซึ่งถือเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย โดยมี 7 กลุ่มอุตสาหกรรมนำร่อง ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก, สิ่งทอ ,เซรามิก, ยางและผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น, ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ และไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม ซึ่งมาตรฐานต่าง ๆ จะสำเร็จออกมาใช้ได้น่าจะอยู่ในช่วง 3-6 เดือนจากนี้ โดยจะเร่งในกลุ่มสินค้าสำคัญและอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ตู้แช่วัคซีน ที่ทุกกลุ่มมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะจับมือร่วมมือกันในการเป็น SDOs ในครั้งนี้”


ที่มา: ฝ่ายสื่อสารองค์กร ส.อ.ท.

“อนุชา” สั่งพศ. ประสานวัด ย้ำ เผาร่างผู้ติดเชื้อได้ วอนอย่ารังเกียจ แนะให้ทำตามมาตรการป้องแพร่ระบาดเคร่งครัด

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)กล่าวถึงกระแสสังคมวิจารณ์ ที่วัดบางแห่ง ปฏิเสธรับศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประกอบพิธี ว่า ได้สั่งการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ประสานทำความเข้าใจและขอความร่วมมือทุกวัดทั่วประเทศ อย่าปฏิเสธการประกอบพิธีฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 และให้ใช้ความระมัดระวังในการดำเนินการฌาปนกิจศพเป็นพิเศษ โดยให้ประสานกับสาธารณสุขพื้นที่ เพื่อปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดและถูกวิธี พร้อมสร้างความเข้าใจกับญาติ เกี่ยวกับการประกอบพิธีฌาปนกิจว่าต้องกระทำทันที ไม่ให้มีการไว้ทุกข์เป็นระยะเวลานาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในวัดและชุมชนใกล้เคียง 

“ในสถานการณ์วิกฤตของประเทศ วัดเป็นที่พึ่งหลักของพุทธศาสนิกชน ที่มีความศรัทธาตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อเกิดการสูญเสียไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ขอความร่วมมือไปยังทุกวัด กรุณารับฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อ อย่าได้รังเกียจ และขอให้ปฏิบัติอย่างถูกวิธีตามมาตรการป้องกันการแพทยระบาด โควิด-19 ที่ภาครัฐกำหนด”

งดจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลฯ 2564 ที่ท้องสนามหลวง

2564 ผ่านโปรแกรม ZOOM cloud Meetings ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ไม่สามารถดำเนินการจัดได้ตามปกติ 

กระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีหนังสือถึงสำนักพระราชวัง ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตประกอบพิธีปลุกเสกพันธุ์ข้าวพระราชทาน เพื่อเป็นพันธุ์ข้าวสำหรับเพาะปลูก รวมถึงเพื่อความเป็นสิริมงคลและขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรทั่วประเทศ

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่กระทรวงเกษตรฯ ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564  และพระราชทานพระมหากรุณาในการต่างๆ ดังนี้

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานฝ่ายฆราวาสในพิธี ปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2564  เวลา 17.00 น. และปฏิบัติหน้าที่ประธานในพิธีหว่านข้าวในแปลงนาทดลองสวนจิตรลดา ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้หว่านข้าว 

พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระคันธารราษฎร์ใหญ่ (ประทับนั่ง) พระคันธารราษฎร์จีน (ประทับนั่ง) ที่ประดิษฐาน ณ  หอพระคันธารราษฎร์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประธานในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานและพันธุ์พืชต่างๆ ในวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

นอกจากนี้ ยังได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ผู้แทนสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ผู้แทนสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ประจำปีพุทธศักราช 2563 – 2564 จำนวน 76 คน เข้ารับโล่รางวัลพระราชทานเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะกำหนดวันและเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง

ทบ.ระดมรถทหาร 103 คัน สนับสนุนภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อใน กทม.และปริมณฑล

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ รองเสนาธิการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ยังคงส่งผลในวงกว้าง นายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้เหล่าทัพเข้าสนับสนุนการอำนวยความสะดวกด้านการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง 
ได้บูรณาการยานพาหนะจากเหล่าทัพพร้อมพลขับ จัดตั้ง“ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ COVID-19 ศปม.”ขึ้น  ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพบก ได้ส่งยานพาหนะเข้าร่วมปฏิบัติงานในศูนย์ดังกล่าวแล้วตั้งแต่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา 
             
จากนโยบายของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่พร้อมนำทรัพยากรของกองทัพบกที่มีอยู่มาใช้ในการสนับสนุนและดูแลประชาชนในสถานการณ์ COVID-19 นั้น ล่าสุดได้สั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ควบคุมการเคลื่อนย้าย ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงกองทัพบก” เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของกระทรวงสาธารณสุข ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเป็นการสนับสนุนภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในกรณีฉุกเฉินตามความเหมาะสม โดยมอบให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก บูรณาการศักยภาพด้านการขนส่งและการบริหารจัดการด้านการเคลื่อนย้ายของกองทัพบก ให้การสนับสนุนเพิ่มเติมในภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล 

โดยกองทัพบกได้จัดยานพาหนะ 103 คัน เป็นรถโดยสารขนาดเล็กจำนวน 35 คัน และรถยนต์บรรทุกปกติขนาดเล็ก (ปิ๊กอัพ) จำนวน 68 คัน พร้อมกำลังพลประจำรถที่ผ่านการฝึกอบรมในเรื่องการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ และมอบให้กองทัพภาคที่ 1, กรมการขนส่งทหารบก, หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก รับผิดชอบดำเนินการในลักษณะประสานการปฏิบัติกับศูนย์เอราวัณ, ศูนย์นเรนทร และศูนย์แรกรับผู้ป่วย โดยเริ่มปฏิบัติภารกิจตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (27 เม.ย.64) สำหรับยานพาหนะที่ใช้ในภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อในครั้งนี้ทางกรมวิทยาศาสตร์ทหารบกได้เข้ามาทำความสะอาดเพื่อให้ปลอดเชื้อ พร้อมออกปฏิบัติภารกิจต่อเนื่อง 

โดยในวันนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก ได้มีการตรวจความพร้อมของยานพาหนะและกำลังพลในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 เพื่อให้การปฏิบัติดูแลผู้ติดเชื้อในเรื่องการเดินทางไปโรงพยาบาลเป็นไปตามแนวทางที่กองทัพบกและ ศปม. กำหนด

“จตุพร” เชื่อเตี๊ยมกัน กทม.ปรับ“ประยุทธ์” 6 พันไม่ใส่แมส หวังสร้างภาพรับผิดชอบ ชี้ถ้าไม่เตี๊ยม ผู้ว่า กทม.-ผบช.น. ไม่กล้าบุกมาปรับถึงทำเนียบ ย้ำบริหารโหลยโท่ยมา 7 ปีทำไมไม่กล้ายืดอกรับผิดชอบ ลั่นโควิดระบาดเข้าขั้นบ้านเมืองหายนะ ย้ำนายกฯออกไป

เมื่อ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk โดยตำหนิการบริหารงาน 7 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่มีผลงานให้คนไทยภูมิใจได้เป็นชิ้นเป็นอัน ยันมาถึงวันนี้สถานการณ์สายไป ควรแสดงความรับผิดชอบลาออก เพื่อให้คนไทยได้พบกับความสุขที่เป็นจริงสักที 
 
นายจตุพร กล่าวว่า การระบาดของโควิดในรอบที่สามนี้ นับเป็นจุดของความหายนะของประเทศอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดขึ้นโดยผู้นำสูงสุดชื่อประยุทธ์ และไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรออกมาเลย 
 
ส่วนการปรับประยุทธ์ ไม่ใส่แมสระหว่างเป็นประธานการประชุมโควิดที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวานนี้ (26 เม.ย.) นั้น เป็นการฝ่าฝืนระเบียบของ กทม. จึงต้องถูกปรับในอัตรา 6,000 บาท อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า คงเป็นการเตี๊ยมกันไว้แน่นอน 
 
"ผมไม่เชื่อว่า ผู้ว่า กทม.คนที่ประยุทธ์ อาศัยอำนาจมาตรา 44 แต่งตั้งมานั้น จะกล้าลงมือเปรียบเทียบปรับประยุทธ์ 6,000 บาท ซึ่งดูเสมือนเป็นการรับผิดชอบของประยุทธ์ แล้ว ทั้งที่ประยุทธ์ ไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย แต่เกิดจากเหตุความสะเพร่า เลอะเลือน จึงต้องจัดฉากตามหลัง เพื่อบอกถึงการแสดงความรับผิดชอบแล้ว" 
 
นายจตุพร ย้ำว่า ความรับผิดชอบของประยุทธ์ ไม่ใช่การจ่ายค่าปรับ 6,000 บาท แต่ต้องเป็นความรับผิดชอบเต็มที่ เพราะเป็นคนประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน แล้วได้ดึงอำนาจอื่นใดที่อยู่ภายใต้กำกับของ รมต. ที่เกี่ยวข้องกับโควิด มาอยู่ที่ประยุทธ์ และ ศบค.ทั้งหมด 
 
นอกจากนี้ ปรากฎการณ์กลุ่มหมอไม่ทนล่ารายชื่อให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล พ้นจาก รมว.สาธารณสุขนั้น ตนว่า ไม่แฟร์ เพราะคนทื่มีอำนาจสูงสุดคือประยุทธ์ ต้องรับผิดชอบและต้องถูกไล่เป็นอันดับที่ 1 แล้วนายอนุทิน เป็นอันดับที่ 2 แต่สิ่งแปลกประหลาดคือ ไม่แตะต้องนายกฯในฐานะคนรับผิดชอบโดยตรงเลย จึงทำให้คอการเมืองสงสัยที่คนหนึ่งเป็นแพะ แต่อีกคนหนีความรับผิดชอบไป 
 
"ในสายตาผม คนมีความผิดอันดับ 1 คือ ประยุทธ ส่วนนายอนุทิน เป็นอันดับที่ 2 แต่กลายเป็นว่าคนมีอำนาจเต็มตาม พรก.ฉุกเฉิน ไม่รับผิดชอบอะไรเลย รับผิดชอบอย่างเดียวคือเวลาพูดไม่ต้องใส่หน้ากาก แล้วจ่ายค่าปรับ 6,000 และได้รับคำสรรเสริญเยินยอ ทั้งที่เป็นความโหลยโท่ยทั้งหมด ตั้งแต่การบริหารจัดการวัคซีนที่ไม่มี รมต.สาธารณสุขมารับผิดชอบ ก็เป็นความแปลกประหลาดแล้ว" 
 
อย่างไรก็ตาม การเข้าชื่อไล่นายอนุทินนั้น ไม่ได้หมายความว่า คนไทยจะลืมประยุทธ์ ที่มีอำนาจสูงสุดไป ดังนั้นความล้มเหลวทั้งหมด ไม่ว่าการบริหารวัคซีน และพื้นที่การ์ดตกทั้งหลาย ทั้งบ่อนการพนัน ผับบาร์ สนามมวย ก็อยู่ภายใต้การดูแลของประยุทธ์ทั้งสิ้น ซึ่งได้เคยแสดงความรับผิดชอบอะไรหรือไม่ 
 
ดังนั้น ประเทศไทยจึงอยู่ในสภาพทุกอย่างสายไปหมด ถูกสร้างให้เกิดความกลัวจากโควิด ทั้งที่ความตายจากความเจ็บป่วยเป็นอาการปกติ เมื่อมีความตายเกิดขึ้นจึงต้องพิสูจน์ว่า ความตายที่ผิดธรรมชาติเกิดจากโควิดจริงหรือไม่ หรือเกิดจากโรคอื่นใด  
 
"ยิ่งวันนี้ตายตั้ง 15 ราย ยิ่งทำให้เกิดความกลัวไปกันใหญ่ เพราะความกลัวจากโควิด ได้ทำลายรากฐานทางเศรษฐกิจอย่างยับเยิน ประเทศอยู่ในสภาพล้มละลาย เมื่อการบริหารของประยุทธ์สะท้อยนชัดเจนว่า ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์โควิดได้แล้ว ทำไมไม่ทำเรื่องขอเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อรายงานสถานการณ์โควิดที่เป็นจริงและขอพระราชทานคำแนะนำจากพระเจ้าแผ่นดิน โดยอยู่ภายใต้กลไกประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ซึ่งหลายคนมีความสงสัย" 
 
อีกอย่าง การที่พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานรถพร้อมเครื่องมือตรวจเชื้อโควิดนั้น ชี้ได้ว่า พระองค์ได้ติดตามสถานการณ์ แต่การบริหารราชการเป็นเรื่องของประยุทธ์ เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงจุดประยุทธ์เอาไม่อยู่และควบคุมตัวเองไม่ได้ สะท้อนจากการไม่ใส่หน้ากากอนามัยประชุมทั้งที่คนอื่นที่เข้าร่วมประชุมใส่หน้ากากกันทั้งห้อง ดังนั้น สิ่งนี้ชี้ว่า ประยุทธ์ไม่ได้อยู่กับร่องกับรอยแล้ว 
 
“สภาพของประยุทธ์เวลานี้ ไม่สอดคล้องกับปัญหาของชาติบ้านเมือง ผมจึงเห็นว่าประยุทธ์ ต้องออกไป อย่ากังวลว่า ไม่มีประยุทธ์ จะแก้ปัญหาการระบาดโควิดระลอกใหม่ไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่า ถ้าออกไป อะไรที่เป็นอุปสรรคจะได้รับการขจัด เพราะถ้าคนเราบกพร่องถึง 3 ครั้งติดต่อกันนั้น ชี้ได้ชัดว่าคนนั้น เป็นคนไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีศักยภาพในการบริหารประเทศที่เกี่ยวข้องกับความตายของประชาชนได้อีกต่อไป” 
 
นายจตุพร กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์นี้ ตนไม่ต้องการให้โควิดเป็นเครื่องมือในการยื้อการบริหารประเทศ เพราะยิ่งจะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้น ดังนั้นเวทีไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ต้องดำเนินการในวันเสาร์-อาทิตย์ต่อไป เพียงแต่เรามีมาตรการให้คนอยู่ในห้องประชุมได้ไม่เกิน 20 คนตามที่ กทม.กำหนดไว้ และคนพูดต้องใส่แมสกันทุกคน 
 
อย่างไรก็ตาม ตนยังต้องจัดกิจกรรมทั้ง 2 วัน และจะแจ้งว่ามีใครมาร่วมพูดบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาการอภิปรายอยู่ในเหตุผล พร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบ และสร้างความจริงให้กับประชาชน อีกทั้งเราจะปล่อยให้การบริหารประเทศอยู่ในความรับผิดชอบของประยุทธ์ ไม่ได้ 
 
รวมทั้ง กล่าวว่า อย่าง พิมรี่ พาย สนับสนุนคนยากลำบาก มีคนส่งข้อความไปถึงเธอเป็นแสนๆ ก็สามารถบริหารจัดการได้ แต่รัฐบาลมีกำลังทุกด้านกลับจัดการไม่ได้ พร้อมบริหารไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง บุคคลกรและกลไกรัฐมีอยู่เต็มบ้านเมือง ท้ายที่สุดกลับสู้ผู้หญิงคนเดียวไม่ได้  
 
อย่างไรก็ตาม ตนยกกรณีของพิมรี่ พาย นั้น เพื่อต้องการเปรียบเปรยให้เห็นว่า รัฐบาลมีกำลังคนเต็มแผ่นดิน มีงบประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท มีเงินกู้ ยังจัดการไม่ได้  
 
ที่สำคัญกรณีวัคซีน เจ้าที่เป็นข่าว (ไฟเซอร์) มาขอพบและเก็บเงินที่หลังถึง 4 ครั้ง ประเทศไทยกลับเมินเขา แล้วต้องไปร้องขอเขาอีก ซึ่งประยุทธ์ ต้องตอบคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้นจึงระงับยับยั้งถึง 4 ครั้ง ทั้งที่เป็นเรื่องที่ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้วัคซีน ซึ่งเป็นการประเมินที่ผิดพลาดของประยุทธ์ 
 
“ประยุทธ์ ท่านได้แสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง มันไม่ใช่ว่า เสียค่าปรับ 6,000 บาท แล้วจะไปกลบทุกเรื่องราว ซึ่งผมสมเพช เพราะใครก็รู้ว่า เตี๊ยมกัน ไม่เช่นนั้นทั้งผู้ว่า กทม.และ ผบช.น. ไม่กล้ามาปรับถึงที่ทำเนียบรัฐบาลหรอก” 
 
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญในเวลานี้ ตนเชื่อว่า การเป็นรัฐบาลต้องกล้าฟังความเห็นต่าง แต่วันนี้นอกจากไม่ฟังความเห็นต่างแล้ว ยังไม่ทำเรื่องเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อถวายรายงานสถานการณ์และขอพระราชทานคำแนะนำอีก จึงพิสูจน์ได้ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาโควิดได้แล้ว ยังจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก 
 
ดังนั้น การอยู่หรือไปของประยุทธ์ ได้เกี่ยวข้องกับความทุกข์ของพี่น้องประชาชนทั้งชาติ ยังเป็นสิ่งที่พวกเราต้องยืนหยัด โดยพวกตนไม่ได้หวังว่า คนเป็นนายกฯ ต้องเป็นยอดมนุษย์ แต่ควรเป็นคนที่มีใจกว้างขวาง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นคนมีจิตใจนักเลง และรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย 
 
"เราเชื่อว่า นายกฯ ไม่ใช่เทวดาที่ต้องทำได้ทุกเรื่อง แต่เราก็หวังว่า ศักยภาพของนายกฯ คือการฟังและตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง โดยผ่านกระบวนการรับฟังความให้ครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่ผ่านมา ประยุทธ์ ทำตัวเหมือนคนไม่มีหู เพราะไม่รู้จักฟัง จนไม่สามารถแก้ไขปัญหาของชาติได้เลย” 
 
อย่างไรก้ตาม ตนยังยืนยันว่า จะจัดกิจกรรมทั้งสองวันคือ เสาร์-อาทิตย์ และจะใช้ความระมัดระวังอย่างมากที่สุด โดยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้นำบางประเทศจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่ไม่ใช่ประเทศไทย ซึ่งเราจะหายากในยุคนี้  
 
“ประเทศเราช่วงหลังนี้ เต็มไปด้วยความคับแค้น ถ้าประยุทธ์ มีเวลาว่างมาก ลองนั่งนึกดูให้ดีว่า การอยู่ต่อไปของท่านมีประโยชน์อะไรต่อชาติบ้านเมืองบ้าง เมื่อไม่เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมือง ผมก็ถามว่า แล้วท่านจะนั่งอยู่ต่อไปทำไม ทำไมไม่ให้คนที่มีศักยภาพที่เหนือกว่าได้เข้ามา” 
 
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนต้องถามหาความรับผิดชอบจากนายกฯ และกลุ่มหมอไม่ทนทำไมไม่เรียกร้องหาความรับผิดชอบของประยุทธ์ เพราะความรับผิดชอบต้องเรียงตามลำดับ คนที่เป็นผู้นำประเทศต้่องรับผิดชอบขั้นสูงสุดมากกว่าคนอื่น   
 
อีกทั้ง 7 ปีได้พิสูจน์มาแล้วว่า ประยุทธ์ ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆได้เลย จึงมาถึงจุดของวันนี้ว่า ทุกอย่างมันสายไป ดังนั้นประยุทธ์ ควรมีน้ำใจเสียสละให้กับประเทศนี้บ้าง เพราะคนไทยอดทนกับประยุทธ์ อย่างที่ไม่เคยอดทนให้นายกฯ คนใดทั้ง 28 คนที่ผ่านมา 
 
"ถามว่าประยุทธ์ จะทรมานจิตใจคนไทยไปถึงขนาดไหน ทำไมไม่คืนความสุขให้คนไทยอย่างแท้จริง ตามที่เคยประกาศว่า จะเป็นผู้คืนความสุข วันนี้การคืนความสุขที่แท้จริงคือการลุกออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งจะเป็นวันหนึ่งของคนที่จะมีความสุข”  

นายจตุพร เชื่อว่า เมื่อประยุทธ์ ออกไป และคนที่มาใหม่จะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขสถานการณ์โควิด รวมทั้งทางออกอื่นของชาติบ้านเมือง เพราะอย่างน้อยที่สุด คนที่มาใหม่ เขาไม่กล้ากระทำอย่างที่ประยุทธ์ ได้กระทำ

“ราเมศ” ไม่ยอมจบ จี้ พปชร สอน “สัณหพจน์”รู้กาลเทศะ หยุดให้ร้ายปชป.ไม่ใช่นึกจะพูดก็พูด ควรเอาเวลาไปช่วย ปชช.จากโควิดดีกว่า

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ออกมาให้ร้ายโจมตีพรรคหลายครั้ง ว่า พรรคพลังประชารัฐ ต้องห้ามปรามลูกพรรค ให้หยุดพฤติกรรมที่ให้ร้ายโจมตีพรรคอื่น และสอนให้ตระหนักบ้างว่าขณะนี้บ้านเมืองกำลังเกิดปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทุกคนโดยเฉพาะฝ่ายการเมืองควรทำเป็นตัวอย่างในการร่วมกันทำงานด้วยความสามัคคี  ตนไม่เคยไปเริ่มต้นกล่าวหาพรรคใด แต่เมื่อสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ออกมากล่าวหารรคประชาธิปัตย์ ตนจะไม่ให้ออกมาชี้แจงก็เป็นไปไม่ได้เพราะประชาธิปัตย์จะเสียหาย แล้วต้องมาเสียเวลาชี้แจงทั้งๆที่มีเรื่องที่ต้องทำเพื่อประชาชนอีกมาก แต่มาเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“อยู่ร่วมกันควรให้เกียรติกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่มาบิดเบือนเรื่องผลงานเพราะโครงการประกันรายได้พี่น้องเกษตรกร ชาวสวนยาง สวนปาล์ม ข้าว มันสัมปะหลัง ข้าวโพด คือนโยบายของประชาธิปัตย์ ที่ผลักดันจนเป็นผลสำเร็จ แต่พลังประชารัฐให้ลูกพรรคมากล่าวหาว่าประชาธิปัตย์มาเคลมผลงาน ทั้งๆที่เวลาพรรคประชาธิปัตย์พูด แน่นอนว่าเป็นนโยบายของพรรค แต่ผลักดันจนสำเร็จผ่านหลายกลไกของรัฐบาล ให้เกียรติตลอด แต่ลูกพรรคพลังประชารัฐ กลับออกมาบืดเบือน
พรรคพลังประชารัฐควรออกมาเตือน ให้รู้กาลเทศะ รู้หลักการความถูกต้องในทางการเมืองบ้าง ไม่ใช่นึกอยากจะพูด อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าพรรคพลังประชารัฐคิดว่าลูกพรรคที่ออกมาให้ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ทำถูกต้องแล้วก็ให้ตอบมาให้ชัด” นายราเมศ กล่าว

ภาคอุตสาหกรรมแนะรัฐล็อกดาวน์คุมโควิดเพิ่มความเชื่อมั่น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท. มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐหลายเรื่อง โดยขอให้ภาครัฐเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ให้ได้โดยเร็ว โดยใช้มาตรการล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงและมีการแพร่ระบาดสูง เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน สนับสนุนให้เอกชนนำเข้าวัคซีนที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ อย.แล้ว ขอให้ภาครัฐดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด รวมทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ง่ายขึ้น

ส่วนผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมี.ค. 2564 พบว่า อยู่ที่ระดับ 87.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 85.1 ในเดือนก่อนโดยค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกขนาดอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค เป็นผลมาจากจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อภาคการผลิตรวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 

ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าก่อนวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์

ทั้งนี้ดัชนีฯ คาดการณ์ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ประเมินว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 94.0 จากระดับ 92.0 ในเดือนก.พ. 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในหลายประเทศ รวมทั้งมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ จะช่วยให้เศรษฐกิจการค้าโลกฟื้นตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ การผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้มากขึ้น

พท.ลุยช่วยเหลือครอบครัวติดโควิด 3 คนย่าน ซ.จันทน์ 51 พร้อมประสานส่ง รพ.ทันที

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายปวิน แพทยานนท์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ ซ.จันทน์ 51 แยก 12 ภายหลังรับแจ้งว่ามีผู้ป่วยโควิด-19 ต้องการความช่วยเหลือไปโรงพยาบาล เมื่อเดินทางไปถึงพบว่าในบ้านดังกล่าวมีลักษณะเป็นตึกแถว มีผู้อาศัยอยู่รวมกัน 4 คน ข้อมูลในเบื้องต้นพบว่ามีผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อแล้วทั้งสิ้น 3 คน ได้แก่ ผู้ป่วยเพศชาย อายุ 35-40 ปี ผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 35-40 ปี และเด็ก 2 ขวบ ทั้งหมดได้รับการยืนยันว่าพบเชื้อมาแล้วประมาณ 2 วัน 

ทั้งนี้ นายปวินได้เข้าไปพบช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมประสานงานโรงพยาบาลให้ โดยล่าสุดโรงพยาบาลมิตรประชาชน ได้ส่งรถพยาบาลมารับครอบครัวผู้ติดเชื้อทั้ง 3 คนไปรับการรักษาตามขั้นตอน ส่วนผู้อยู่อาศัยอยู่ในบ้านอีก 1 คน ล่าสุดได้รับการยืนยันว่าไม่มีเชื้อ ต้องเข้าสู่การกักตัวในบ้าน ภายหลังการส่งตัวผู้ติดเชื้อขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อย ทีมงานนายปวินได้เข้าพื้นที่ทำความสะอาด ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในที่อยู่อาศัยพร้อมมอบอาหารของใช้จำเป็นสำหรับสมาชิกที่จะต้องกักตัวในบ้านอีกด้วย

“ชวน” ฟิต นำคณะนั่งรถลง 14 จังหวัดภาคใต้ มอบหน้ากากอนามัยป้องกันโควิด 1.2 แสนชิ้น พร้อมให้กำลังใจปชช.ในพื้นที่ฐานะ ส.ส.คนหนึ่ง

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานมูลนิธิเพื่อสังคมและการศึกษา พร้อมด้วย นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และน.ส.ศิริภา อินทวิเชียร กรรมการบริหารมูลนิธิ นั่งรถลงพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ เพื่อมอบหน้ากากอนามัย ให้ประชาชนที่ขาดแคลน และ เจ้าหน้าที่ ณ ศาลาว่าการทุกจังหวัด ตั้งแต่ จ.ชุมพร จ.ยะลา ระหว่างวันที่ 27 เม.ย. - 2พ.ค. รวมหน้ากากอนามัยทั้งสิ้น 120,000 ชิ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้ในการป้องกันเชื้อโควิด-19 และเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน ที่เผชิญกับความเสี่ยงในการจัดการกับปัญหาโรคโควิด-19 ระหว่างที่ประชาชนทั้งประเทศยังไม่ได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน ซึ่งการใส่หน้ากากจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่สามารถกระทำได้ทันทีในช่วงเวลานี้ นอกจากนั้นที่จ.ชุมพร และสุราษฎร์ธานี มีนายภานุ ศรียุศยกาญจน์ นายวิวรรธน์ นิลวัชรมณี นายสมชาติ ประดิษฐพร และนายธีรภัทร พริ้งศุลกะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ร่วมมอบหน้ากากด้วย โดยมีนายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นผู้รับมอบ 

นายชวน กล่าวว่า  การลงพื้นที่ครั้งนี้เนื่องจากมีผู้มีน้ำใจมอบหน้ากากอนามัย มาให้และเห็นว่าสถานการณ์เวลานี้มีความจำเป็นเพราะมีทั้งระเบียบและกฎหมายบังคับให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีหน้ากากอนามัยทั้งหมด จึงหวังว่าหน้ากากอนามัยส่วนนี้พอจะช่วยอุดช่องว่างดังกล่าวได้บ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัดจะไปพิจารณามอบให้ อสม. หรือ กลุ่มบุคคลที่มีความจำเป็นต่อไป 

“ส่วนตัวในฐานะเป็น ส.ส. ก็ต้องการลงพื้นที่มาด้วยตัวเองเพื่อจะได้มีโอกาสได้พบและรับรู้ข้อมูลจากผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งบุคลากรในพื้นที่ และเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างๆ เพราะส่วนหนึ่งของคนแก้ปัญหาก็ต้องการกำลังใจ รวมถึงประชาชนเอง ที่อยู่กับปัญหานี้จะได้รู้สึกมีกำลังใจ”นายชวน กล่าว 

ทั้งนี้นายชวน มีกำหนดการเดินทางไปมอบหน้ากากอนามยด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 27 เม.ย.ถึง2 พ.ค.โดยได้กำชับให้การดำเนินการมอบเป็นไปอย่างกระชับที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของราชการ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top