Sunday, 16 June 2024
Hard News Team

ครม.ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 65 วงเงิน 3.1 ล้านล.

ที่ประชุมครม. เห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท โดยประมาณการจัดเก็บรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท และการกู้งบประมาณขาดดุล 700,000 ล้านบาท โดยขั้นตอนต่อจากนี้สำนักงบประมาณจะดำเนินการจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2565 และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 27 - 28 พฤษภาคม 2564 ต่อไป

ทั้งนี้สำนักงบประมาณ ได้เสนอถึงการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยสำนักงบประมาณได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามมาตรา 77 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สำนักงบประมาณ ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 7 เมษายน 2564 และทำหนังสือสอบถามความคิดเห็นไปยังหน่วยรับงบประมาณ ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวไปประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบและการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

พร้อมทั้งเสนอร่างพ.ร.บ.งบฯ การจัดทำร่างพ.ร.บ.งบฯ เป็นไปตามรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564 โดยร่างพ.ร.บ.งบฯ 2565 มีโครงสร้างแตกต่างจากพ.ร.บ.งบฯ ปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 7 หมวด โดยในปีงบประมาณ 2565 ได้เพิ่มหมวดหมู่กฎหมายจำนวน 2 หมวด ได้แก่ หมวด 8 งบประมาณ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง และหมวด 9 งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย เนื่องจากมีการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565

ครม.เคาะเยียวยาช่วยสวนลำไยเพิ่ม 160 ครัวเรือน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรเป้าหมายในโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 จากจำนวน 202,013 ครัวเรือน เป็น 202,173 ครัวเรือน เพิ่มขึ้น 160 ครัวเรือน เนื่องจากเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์เยียวยาแต่ตกหล่นในระบบ โดยเบิกจ่ายภายใต้กรอบวงเงินเดิมของโครงการ จำนวน 3,440 ล้านบาท 

ทั้งนี้ยังเห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 64 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย.64 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไยที่ประสบปัญหาภาวะลำไยล้นตลาดในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 

ก่อนหน้านี้ ครม. เคยมีมติเมื่อ 26 มกราคม 2564 ขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรในโครงการมาแล้วครั้งหนึ่ง จาก 200,000 ครัวเรือน เป็น 202,013 ครัวเรือน สำหรับการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยในครั้งนี้ ยังคงใช้หลักการเดิม คือ เยียวยาไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นผู้ดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรโดยตรง

ครม.ทุ่มงบฯเกือบ 600 ล้าน เตรียมแผนรองรับ สถานการณ์ฉุกเฉิน-ภัยพิบัติทางธรรมชาติ

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุขพ.ศ.2563 – 2565 เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบบูรณาการที่ครบวงจรและมีเอกภาพ 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับโรคและภัยพิบัติธรรมชาติอย่างรุนแรงในหลายรูปแบบ ทั้งแผ่นดินไหว คลื่นยักษ์สึนามิ อุทกภัย รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)  ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติรวมถึงเป็นปัญหาทางสังคมและการเมืองของประเทศด้วย จึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าวขึ้นมาให้สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยและฟื้นฟูหลังเกิดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพได้กำหนดวิสัยทัศน์ตามแผนดังกล่าว คือ ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้รับบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีความมั่นใจในระบบบริการสาธารณสุขทุกระยะของการเกิดภัยอย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์คือ ยุทธศาสตร์แรก ส่งเสริมการลดความเสี่ยงต่อสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน ได้แก่ สร้างความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่ายความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงสร้างองค์ความรู้ด้านการแพทย์และการสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน, จัดทำระบบบริหารความต่อเนื่อง ที่สามารถสนับสนุนบุคลากรและทรัพยากรแก่การจัดการภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน

ยุทธศาสตร์ที่ 2 บูรณาการระบบและให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัยอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ได้แก่ พัฒนาระบบสื่อสารในภาวะฉุกเฉินและเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลการประเมินสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบันและเชื่อถือได้,  พัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรในการจัดการภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย ระบบบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน  

ยุทธศาสตร์ที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูด้านการแพทย์และการสาธารณสุขหลังเกิดสาธารณภัย โดยร่วมกับหน่วยงานภาคีในระดับปฏิบัติการพื้นที่พัฒนาระบบปฏิบัติการฟื้นฟูด้านการแพทย์และการสาธารณสุขให้สอดคล้องกับแนวทางการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาศักยภาพและกลไกการบริหารจัดการเชิงบูรณาการทางการแพทย์และการสาธารณสุขระหว่างประเทศในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้แก่ พัฒนาขีดความสามารถ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข, เสริมสร้างทักษะและความชำนาญของเครือข่ายด้านการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และการสาธารณสุข และส่งเสริมมาตรฐานความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการความเสี่ยง

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์รวมทั้งสิ้น 588.41 ล้านบาท  โดยแหล่งเงินที่จะใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการในปี 2563-2565 ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการจัดทำแผนงบประมาณที่สอดรับกับแผนปฏิบัติการดังกล่าวเพื่อเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของแต่ละหน่วยงานต่อไป

ก.ยุติ รายงานครม. ผลงานกองทุนยุติธรรมปี 63 แจง ช่วยเหลือปชช.ดำเนินคดี-ขอปล่อยตัวชั่วคราว-ผู้ถูกละเมิดสิทธิ-ให้ความรู้กฎหมาย

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ได้รับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กองทุนยุติธรรม โดยกระทรวงยุติธรรมรายงานว่า กองทุนยุติธรรมซึ่งตั้งตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.2558 มีภารกิจในการเป็นแหล่งทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี การขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย การละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน  บริหารจัดการโดยสำนักงานกองทุนยุติธรรม

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมาได้มีการใช้จ่ายในกิจการของกองทุนยุติธรรมไปทั้งสิ้น 170.47 ล้านบาท  ช่วยเหลือประชาชน 5,808 ราย แยกเป็น การใช้จ่ายช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี เช่น ค่าจ้างทนายความ ค่าฤชาธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายการพิสูจน์หลักฐาน 23.28 ล้าน ช่วยเหลือประชาชนดำเนินคดี 3,166 ราย แยกเป็นค่าจ้างทนายความ 17.49 ล้านบาท ค่าฤชาธรรมเนียมศาล 5.33 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆเกี่ยวกับการดำเนินคดีเช่น การพิสูจน์หลักฐาน 328,434 บาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 120,722 บาท

พร้อมยังกล่าวว่าการขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย 101.21 ล้านบาท ช่วยเหลือประชาชน 2,440 ราย ซึ่งการช่วยเหลือได้พิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ขอรับความช่วยเหลือมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีบุคคลรับรอง มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์ว่าจะหลบหนี

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนรวม  44,510 บาท ช่วยเหลือประชาชน 52 ราย โดยช่วยเหลือเป็นค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน การให้ความรู้ทางกฎหมาย 3.23 ล้านบาท โดยให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน 150 ราย เป็นให้ความรู้กฎหมายเบื้องต้นในชีวิตประจำวัน เช่น กฎหมายที่ดิน กฎหมายครอบครัว มรดก การเข้าใจถึงสิทธิของตนเองและผู้อื่น ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอาชญากรรม การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และลดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน

โดยกล่าวอีกว่า มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารงานของกองทุน การศึกษาวิจัย และภารกิจอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดกิจการของกองทุนรวม 42.69 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 กองทุนยุติธรรมมีทรัพย์สิน 895.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.44 ล้านบาท จาก 814.63 ล้านบาทในปีงบประมาณก่อนหน้า ส่วนหนี้สินอยู่ที่ 5.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.65 ล้านบาท จาก ลบ2.92 ล้านบาท ในปีงบประมาณก่อนหน้า

ครม.ไฟเขียวเพิ่มงบ 3,042 ล้าน ขยายสิทธิเราชนะเพิ่ม

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบการปรับปรุงโครงการเราชนะ โดยให้ขยายกลุ่มเป้าหมายและกรอบวงเงินของโครงการ จากเดิมกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 31.1 ล้านคน ภายใต้กรอบวงเงินไม่เกิน 210,200 ล้านบาท เป็นกลุ่มเป้าหมาย 33.5 ล้านคน กรอบวงเงินไม่เกิน 213,242 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3,042 ล้านบาท และขยายเวลาการใช้จ่ายเงินจากสิ้นสุดในเดือนพ.ค.64 เป็นสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 64 เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้พิการ และผู้สูงวัย ซึ่งได้รับวงเงินไปเมื่อต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง รายงานว่า จากการดำเนินโครงการมาเป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ข้อมูล ณ วันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมามีผู้ได้รับสิทธิ์แล้ว 33.1 ล้านคน เกินกว่ากลุ่มเป้าหมายเดิมที่ครม.อนุมัติไว้ และปัจจุบันโครงการยังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยมีประชาชนที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบคัดกรองข้อมูลอีก 8.6 หมื่นคน อีกทั้งยังเปิดรับลงทะเบียนสำหรับกลุ่มผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัย และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ในการรับลงทะเบียน จนถึงวันที่ 9 เมษายน 64 และมีการทบทวนสิทธิ์ที่อาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงจึงทำให้จำวนวนผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการเพิ่มขึ้นได้อีก

รมว.สุชาติ เผย สปส. เปิดศูนย์บริหารสถานการณ์ สายด่วน 1506 กด 6 เพิ่มช่องทางให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกันตนตรวจหาเชื้อโควิด-19

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย สำนักงานประกันสังคมเปิดศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายด่วน 1506 กด 6 เป็นช่องทางติดต่อคำแนะนำแก่ผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยจะให้คำแนะนำผู้ประกันตนตรวจหาเชื้อโควิด-19

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำนักงานประกันสังคม และสายด่วน 1506 กด 6 ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ระลอกใหม่ครั้งนี้ ซึ่งมีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงจำเป็นจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้ขณะนี้หลายโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนเกิดความแออัด ต้องรอคิวนาน และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 

ดำเนินการตรวจโควิด - 19 เชิงรุก ให้กับผู้ประกันตน ภายใต้ โครงการ“แรงงาน...เราสู้ด้วยกัน” เป้าหมายเพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33, 39 และ 40 ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดงกรุงเทพมหานคร เป็นการเพิ่มช่องทางของหน่วยบริการตรวจ เนื่องจากขณะนี้หลายโรงพยาบาลมีผู้มาใช้บริการเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด -19 เป็นจำนวนมากทำให้เกิดความแออัด คิวยาว กระทรวงแรงงานจึงมีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคอีกทางหนึ่งอันจะส่งผลให้ภาคธุรกิจดำเนินการต่อไปได้ 

 นายสุชาติ กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวได้เปิดให้ผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยงลงทะเบียนจองคิวตรวจผ่านระบบออนไลน์มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา และเริ่มตรวจเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา โดยแต่ละวันจะตรวจได้วันละ 3,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,500 คน ช่วงบ่าย 1,500 คน หากผู้ประกันตนรายใดที่ตรวจพบเชื้อจะถูกส่งเข้ารับการรักษาที่โรงแรมที่เป็น Hospitel ซึ่งมีทีมแพทย์ดูแลตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างดี นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังมีแผนที่จะดำเนินการขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง อาทิ ปทุมธานี นนทบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ สมุทรปราการ เป็นต้น

กรณีที่ผู้ประกันตนมีปัญหาการตรวจคัดกรองเพื่อหาเชื้อโควิด-19 กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม จึงได้เปิดศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำนักงานประกันสังคม และสายด่วน 1506 กด 6 ขึ้นในวันนี้ เพื่อเป็นช่องทางติดต่อให้กับผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยจะให้คำแนะนำผู้ประกันตนที่เข้ารับบริการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ให้คำปรึกษาการตรวจหาเชื้อโควิด-19 

สำหรับผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้คำแนะนำหลักเกณฑ์การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ณ ศูนย์กีฬาเวสน์ 1 ดินแดง ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองหลังการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานพยาบาล รวมถึงการส่งตัวผู้ประกันตนที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล และแนะนำเรื่องอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 โดยจะให้บริการทุกวันจันทร์ - วันอาทิตย์ เวลา 08.00 - 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการจำนวนทั้งสิ้น 10 คู่สาย ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจได้ว่าจากการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ววันและให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอีกทางหนึ่งด้วย

"เบญจา" ร้อง ปล่อยตัว เพนกวิน - รุ้ง - กลุ่มคณะราษฎร วอน ขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลง

นางสาวเบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงการอดอาหารของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ว่า เส้นทางการต่อสู้เรียกร้องต่อกระบวนการยุติธรรมด้วยการอดอาหารของ เพนกวิน-พริษฐ์เดินทางมา 36 วันแล้ว เส้นทางการอดอาหารเพื่อทวงถามความยุติธรรมของรุ้ง-ปนัสยา เดินทางมาเป็นวันที่ 22 แล้ว 

เพนกวิน-รุ้ง เป็นนักต่อสู้ ที่คนทั่วไปมักเห็นหน้าค่าตาเสมอบนเวทีปราศรัย แต่สำหรับเราแล้ว สถานีตำรวจ และ โรงพยาบาล เป็นสถานที่ ที่เราจะได้พบเจอน้องทั้ง 2 คนพร้อมหน้ากับครอบครัวบ่อยที่สุด 
ประโยคที่จะได้รับฟังจากครอบครัวของทั้ง 2 คนบ่อยที่สุดคือ “พ่อกับแม่ก็เป็นห่วงตามปกติของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่ว่าพ่อแม่ก็เข้าใจเขา สนับสนุนสิ่งที่เขาทำและเคารพการตัดสินใจของเขา”

ส่วนเพนกวิน-รุ้ง คำพูดของทั้ง 2 คนที่พูดเมื่อเจอกันคือ  “ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหน ในเรือนจำหรือข้างนอก จะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีลมหายใจแล้ว  แต่เราอยากให้ทุกคนต่อสู้อย่างมีความหวัง พวกเราก็มีความหวังเช่นกัน ถึงแม้มันจะยังมาไม่ถึง แต่เราเชื่อว่าความหวังนั้นมันอีกไม่ไกล ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่เกินกว่าเจตจำนงของประชาชนไปได้”

หลายวันมานี้ มวลชนจำนวนมากออกมาช่วยกันส่งเสียงเรียกร้องให้พวกเขายุติการอดอาหารให้รักษาชีวิตไว้ในช่วงเวลานี้ เพราะสิ่งที่พวกเขาและผู้คนกำลังเรียกร้องคือสิ่งที่ประเทศนี้ ”ไม่มี” นั่นก็คือ “ความยุติธรรม” สำหรับเราแล้ว พวกเขาคือนักต่อสู้ทางความคิด คนรุ่นเขาเติบโตมาท่ามกลางความกราดเกรี้ยว เหยียดเย้ย ถากถาง ท่ามกลางการกดขี่ของสังคม เติบโตมาท่ามกลางอำนาจที่กดทับชีวิตในวัยของพวกเขามานานปี เติบโตมาท่ามกลางความสงสัย ระคนแปลกใจ ในสิ่งที่มีผลต่อชีวิตพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่เคยได้เป็นคนกำหนดเอง และพวกเขากลับต้องถูกบังคับให้ยอมรับในสิ่งที่คนรุ่นเรากำหนดให้ 

วันนี้บริบททางสังคมและปรากฎการณ์ของเจนเนอเรชั่น ทางความคิดแห่งยุคสมัย ได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าคนรุ่นเราจะเห็นด้วยหรือไม่ กับรูปแบบวิธีการ การแสดงออกของพวกเขา แต่คนรุ่นเราต้องยืนหยัดปกป้องเคียงข้างสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดของทุกคนสิ่งที่คนรุ่นเขาทำและเป็น ไม่ควรใช้วิธีสั่งสอนบังคับให้เชื่อ ใช้วิธีชี้นำครอบงำทางความคิด หรือใช้คำสั่งห้ามคิด ห้ามสงสัย  เราต้องทำหน้าที่รับฟังพวกเค้า และต้องหยุดเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเกลียดชังกับผู้ที่มีความเห็นต่าง

โลกในสังคมยุคใหม่ได้เปลี่ยนไปแล้ว คนรุ่นใหม่เขาไม่กลัวในสิ่งที่ชั่วชีวิตของคนรุ่นเรากลัวอีกแล้ว เลิกเอาประสบการณ์ของคนรุ่นเราไปวัดกับคนรุ่นหนุ่มสาว ดิฉันเคารพในการตัดสินใจและเคารพในความกล้าหาญของนักต่อสู้ทุกคน แต่ก็อยากเห็นพวกเขาร่วมทางเคียงบ่าเคียงไหล่บนเส้นทางการต่อสู้ไปด้วยกันจนกว่าจะได้เห็นสังคมที่พวกเขาฝันใฝ่ สังคมไทยที่สวยงาม 

ปล่อยพวกเขา หยุดใช้ระบบ 1 ประเทศ 2 มาตรฐาน หยุดทำลายระบบนิติรัฐ ปล่อยพวกเขาเพื่อคืนความยุติธรรม ที่เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ 

ปล่อยพวกเขา ให้คนรุ่นพวกเขาได้เรียนรู้ถูกผิด ดิฉันหวังว่า คนรุ่นเราและคนรุ่นคุณจะตระหนักพอที่จะเปิดกว้างไม่เอาแต่ใจตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของสังคมนี้ 

ปล่อยพวกเขา ให้คนรุ่นหนุ่มสาวได้ออกไปวัดพื้นที่แห่งเสรีภาพและความคิดของคนรุ่นเขา ว่ามันกว้างคูณยาวเท่าไหร่ 

ปล่อยพวกเขา ให้พวกเขาทั้งคู่และนักต่อสู้ทุกคนได้มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ได้เห็นสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและสังคมไทยที่พวกเขาฝันใฝ่  ให้พวกเขาได้อยู่ในประเทศไทยที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ได้เห็นสังคมที่น่าอยู่กว่านี้

ปล่อยพวกเขา ให้พวกเขาได้มีชีวิตอยู่เพื่อได้เห็นดอกผลของความเปลี่ยนแปลงที่คนรุ่นเราได้ถากถางเอาไว้ และส่งไม้ต่อให้คนรุ่นเขาได้สร้างอนาคตที่ดีของเขาเอง 

เพนกวิน-รุ้ง และนักต่อสู้ทุกคน คุณจงมีชีวิตอยู่เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลง เวลาเดินไปข้างหน้าเสมอ เมื่อวันนั้นมาถึง เวลาจะอยู่ข้างเรา....

#ปล่อยเพื่อนเรา #จงอยู่ดูความเปลี่ยนแปลง

“บิ๊กตู่” ปัดตอบสถานการณ์ในเมียนมา “ยอมรับ” มีความซับซ้อนหวังกลับมาสงบโดยเร็ว ส่ง “ดอน” ร่วมประชุมผู้นำอาเซียน ที่อินโดนีเซียแทน พร้อมขอความร่วมมือผู้ป่วยโควิด เชื่อฟังหมอ ปัดพูดถึงการย้ายหลานเขยบิ๊กป้อม

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียเป็น ที่เป็นที่จับตาจากหลายประเทศอย่างมาก เนื่องจากพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา เตรียมเดินทางไปร่วมประชุมด้วย ว่า ตนได้ตัดสินใจ ส่งนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ  ไปประชุมแทน และทราบว่าหลายประเทศ ก็ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปประชุมแทนเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวถามถึงท่าทีรัฐบาลไทยต่อคณะรัฐประหารเมียนมาและ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย รวมทั้งรัฐบาลไทยจะให้การยอมรับความชอบธรรมต่อรัฐบาลผลัดถิ่น ของเมียนมาที่เพิ่งประกาศตัวไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมทหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องของสถานการณ์ในเมียนมานั้นมีความสลับซับซ้อนมาก จึงขออนุญาตไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในหลายช่องทางด้วยกัน และคิดว่าทำอย่างไรจะให้เกิดความสงบโดยเร็วในฐานะที่เราเป็นอาเซียนด้วยกัน

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรณีผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ให้ความร่วมมือกับแพทย์ทั้งเรื่องการปฏิบัติตนในช่วงการรักษา และเข้ารับการรักษาโดยเลือกสถานที่เข้ารับการรักษาโดยไม่ขอไปอยู่ที่โรงพยาบาลสนาม ว่า ก็ขอความร่วมมือผู้ป่วยทุกคนด้วยเมื่อถามถึงกรณีการสั่งย้าย พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.ทองหล่อ  ซึ่งถือเป็นหลานเขยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะกระทบภาพรวมหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “แล้วย้ายไหมละ”

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาฯ ว่า...

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ซึ่งเข้ารับวัคซีนไปแล้วเมื่อ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา กล่าวถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ว่ารอให้บุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีนให้ครบก่อนทุกคน ซึ่งตนก็ได้สอบถามไปว่าเขาจะได้ฉีดกันเมื่อไร เขาก็บอกว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ไม่เช่นนั้นจะหาว่านักการเมืองเอาไปก่อน ขณะที่บุคลากรผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อยังไม่ได้ฉีด ตนจึงรอให้เขาเรียบร้อยก่อน นั้น

นายวิโรจน์ กล่าวว่า แม้ประธานชวนจะมีสปิริตสูง แต่ต้องยอมรับความจริงว่า นายชวนเป็นประชาชนกลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรกที่ทางกระทรวงสาธารณสุขเชิญชวนให้ไปฉีด นั่นคือผู้ที่อายุสูงกว่า 60 ปี หรือที่เรียกว่าผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่หากมีการติดเชื้อแล้วอาจมีอาการรุนแรง จนมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มประชากรที่มีอายุน้อย ไม่นับว่าในฐานะประธานชวนที่เป็นผู้แทนราษฎร ต้องพบปะกับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก ต้องเข้าร่วมประชุมกับผู้แทนราษฎรอีกหลายร้อยคน

จึงเป็นที่มาของการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้รัฐมนตรี และผู้แทนราษฎรทั้งหลายเป็นเป้าหมายของการฉีดด้วย เนื่องจากหากติดเชื้อไปก็จะไปแพร่กระจายให้คนใกล้เคียงอีกเป็นจำนวนมาก ดังเช่น รัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งที่ติดเชื้อ จนส่งผลกระทบต่อการประชุมคณะรัฐมนตรี และการประชุมสภาเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย

ดังนั้น ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ท่านประธานชวนจะไม่ไปฉีดวัคซีนในตอนนี้ หากจะบอกว่าต้องรอให้หมอฉีดให้ครบก่อนแล้วประธานชวนค่อยไปฉีด ก็ดูจะไม่ถูกนัก เพราะการที่ประธานชวนจะไปฉีดช้าหรือเร็ว ก็ไม่ส่งผลให้หมอได้รับวัคซีนช้า หรือเร็วขึ้นเช่นกัน เพราะทางกระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งโควต้าในการฉีดเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเกิดปัญหาว่าฉีดให้บุคลากรสาธารณสุขได้น้อยนั้น ก็คงต้องสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ทำไมจึงยังฉีดได้ไม่เข้าเป้า

แต่ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับการฉีดหรือไม่ฉีดของประธานชวน ไม่นับว่าการฉีดวัคซีนของผู้แทนราษฎรนั้น ได้รับการส่งข้อความเชิญมาจากทางสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเองตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.2564 แล้วด้วย ดังนั้น การแสดงสปิริต และความรับผิดชอบที่สง่างามที่สุด คิดว่าเป็นการไปฉีดตามที่กระทรวงฯ จัดสรรให้โดยเร็วที่สุด เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม และเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นที่เคารพของคนรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป

ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/100119?fbclid=IwAR2XT2suM7IHBWMe9-S8o6luX7H1C8oYfLHXxyflFRc8Lh0VlMFyU8MpHS0


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

“นายกฯ” สั่งเดินหน้า ”โครงการบ้านสุขประชา” พร้อมทำบ้าน “น็อคดาวน์”ให้ผู้มีรายได้น้อยมีความมั่นคงในชีวิต พร้อมเร่งรัดรัฐวิสาหกิจ ดูแลหน่วยงานในเครือดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติ สร้างรายได้ เพื่อลดภาระงบประมาณภาครัฐ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าตนให้ความสำคัญกับการจัดหาที่อยู่ ที่ทำกินให้กับประชาชน ซึ่งวันนี้ได้เร่งรัดในที่ประชุมครม.ไปแล้ว ในเรื่องของการจัดหาที่ดิน ในลักษณะของกระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล(คทช.) และเรื่องของบ้านเคหะสุขประชา ซึ่งจากการเปิดโครงการไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้รับการตอบรับเป็นจำนวนมาก ตนก็จะเร่งรัดในเรื่องนี้ เพราะเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ที่ต้องการให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัย ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“บ้านเคหะสุขประชา จะเดินหน้าต่อไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่จะให้มีการทำแผนงานไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะมีการทยอยดำเนินการไปตามงบประมาณที่มีอยู่ หรือตามแนวทางปฏิบัติ วันนี้ผมก็ให้แนวคิดไปอีกอย่างหนึ่งคือการทำบ้านในลักษณะบ้านน็อคดาวน์ เพื่อทำให้เร็วขึ้น ในพื้นที่ที่แออัด เดี๋ยวจะลองทำสแตนบล็อกตรงนี้ออกไป เพื่อให้เกิดให้เร็วขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ ซึ่งทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ได้รับเรื่องตรงนี้ไปแล้ว สำหรับผู้มีรายได้น้อยจะได้มีความมั่นคงในเรื่องของที่อยู่อาศัย”

นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยังแถลงถึงการพัฒนารัฐวิสาหกิจว่า ตนได้เร่งรัดให้หน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และมีการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล ก็ขอให้รัฐวิสาหกิจต่างๆได้พิจารณาความจำเป็น และกำกับดูแลบริษัทในเครือให้ได้ตามวัตถุประสงค์ ด้วยแนวทางและวิธีการทำงานใหม่ ในการให้บริการประชาชน ทั้งนี้เพื่อจะสร้างรายได้ให้กับประเทศและเป็นการลดภาระงบประมาณภาครัฐ และประชาชน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น วันนี้เราก็ต้องยอมรับกันว่า สถานการณ์โควิด ทำให้เกิดปัญหามากพอสมควร ในเรื่องของเศรษฐกิจ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top