Wednesday, 26 June 2024
Hard News Team

“จตุพร”ระบุไล่ “ประยุทธ์” ยก 3 จัดเต็ม ร่วมทุกฝ่ายทั้งการเมือง-ปชช.-นักวิชาการ เผย 1-2 พ.ค.นี้ มี ส.ส. มาร่วมส่งเสียงไล่ประยุทธ์ออกไป “เสรีพิศุทธ์-วิโรจน์-วันมูหะหมัด-ชลน่าน” เชื่อ ปชป.-ภท.ถูกถีบออกก่อนยุบสภา แขวะนายกฯ รวบอำนาจ กม. 31 ฉบับ ยังไม่รู้สึก?

เมื่อ 29 เมษายน 2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk โดยกล่าวถึงการจัดอภิปรายของคณะสามัคคีประชาชนในช่วงยก 3 วันที่ 1-2 พ.ค.นี้ จะมีนักวิชาการ ส.ส.หลายคนมาร่วมอภิปรายชำแหละระบอบประยุทธ์ ที่ปกครองประเทสไทยมากว่า 7 ปี แต่ไม่มีผลงานสำเร็จให้คนไทยได้ชื่นชมสักชิ้นงาน 

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอรวบอำนาจจากกฎหมายทั้ง 31 ฉบับมาไว้ที่คนเดียว เท่ากับเป็นการยึดอำนาจจาก ครม.และไม่มี รมต.คนใดคัดค้าน เปรียบเหมือนเป็นการรัฐประหารรูปแบบใหม่  

ดังนั้น การรวบอำนาจเช่นนี้ จึงแสดงถึงประยุทธ์ มีความคิดแยบยลในการยึดรวบอำนาจ จึงดูแคลนคนนี้ไม่ได้ เพราะหากไม่แน่จริงเขาคงจะไม่อยู่มาได้ถึง 7 ปี ทั้งที่การทำงานไม่ได้เรื่องสำเร็จสักเรื่องเลย 

ถึงที่สุดแล้ว การรวบอำนาจล่าสุดของประยุทธ์ เท่ากับทำให้สถานการณ์ของประเทศในขณะนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากการรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค. 2557 แม้ไม่มีทหารออกมาบนถนนก็ตาม โดยสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปกครองของ “ระบอบประยุทธ์” ได้ชัดเจน ว่า ต้องการให้อำนาจทั้งปวงอยู่ที่คน ๆ เดียว คือ ประยุทธ์ เปรียบเหมือนการเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์อีกแบบหนึ่งที่ได้อำนาจต่อเนื่องมาจากการรัฐประหาร 

"มีผู้ใหญ่สงสัยว่า เมื่อประยุทธ์ ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ทำไมจึงไม่เข้าเฝ้าในหลวงเพื่อถวายรายงานโควิด และขอคำปรึกษาจากพระเจ้าแผ่นดิน เพราะบริหารแผ่นดินมา 7 ปี ทำเอาประชาชนย่อยยับในทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ใหญ่ฝากมาว่า ทำไมจึงไม่ขอเข้าเฝ้าอีก" 

พร้อมกล่าวว่า การบริหารที่ดีนั้น ไม่จำเป็นต้องรวบอำนาจมาอยู่ที่คนเดียว ต้องเฉลี่ยอำนาจไปอยู่ที่ ครม.รับผิดชอบ ดังนั้น จะเชื่อมั่นในระบบคนๆเดียวได้อย่างไร เพราะเมื่อรัฐประหารมีอำนาจคนเดียวแล้ว ยังไม่มีความสามารถในการบริหารและตระบัดสัตย์คำมั่นสัญญา โดยสิ่งที่รับปากจะปฏิรูปทั้งหลายมาเคยทำได้สักเรื่องเดียว สัญญาจะแก้ รธน.ก็ตระบัดสัตย์ แล้วสุดท้ายกลับไปลงที่ต้องการสืบทอดอำนาจให้ยาวนานอีกตามเดิม 

"ผมขอบอกไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่า วันหนึ่งต้องถูกเขี่ยทิ้งแน่นอนอยู่แล้ว การยึดอำนาจในกฎหมาย 31 ฉบับบอกได้อย่างดีและชัดเจนแล้ว อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยที่กลุ่มหมอไม่ทนออกมาไล่นั้น ไม่รู้หรือใครอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น สองพรรคการเมืองนี้ต้องถูกถีบออกก่อนยุบสภาอยู่แล้ว” 

อีกอย่าง ภายใต้ระบอบประยุทธ์นั้น พรรคการเมืองเข้ามาร่วมรัฐบาลทั้งหลายแทบไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่พรรคเหล่านี้ตระบัดสัตย์ต่อประชาชนไปเข้าร่วม แล้วการยึดอำนาจด้วยกฎหมาย 31 ฉบับ ยังไม่รู้สึกอะไรอีกหรือ และยังต้องการอยู่เพื่ออำนาจรัฐบาลเท่านั้นหรืออย่างไร 

“คณะสามัคคีประชาชนจึงต้องขับเคลื่อนไม่ให้ประยุทธ์ ทำงานอีก เพราะทำอะไรสำเร็จไม่ได้สักเรื่องตลอด 7 ปี แล้วการรวบอำนาจ 31 ฉบับจะอ้างว่า ไม่มีอำนาจอย่างนั้นหรือจึงแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วเมื่อยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 มีอำนาจเต็มยังทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น จึงต้องไล่ประยุทธ์ ให้ออกไป เพราะไม่สมควรให้เป็นนายกฯ ในประเทศไทยอีกต่อไปแม้แต้เพียงวันเดียว” 

นายจตุพร กล่าวว่า การไล่ประยุทธ์ ในวันเสาร์-อาทิตย์ (1-2 พ.ค.) ที่จะถึงนี้ แบ่งเป็น 2 ภาค โดยภาคเริ่มแรกบ่ายโมงถึงสี่โมงเย็น จะมีหมู่มิตรคณะสามัคคีประชาชน ไทยไม่ทน เปิดเวทีปราศรัย ส่วนภาคสองเป็นช่วงสี่โมงเย็นเป็นต้นไป จะเป็นเวทีแขกรับเชิญทั้งนักการเมืองและนักวิชาการการเข้ามาร่วมด้วย 

โดยสัปดาห์นี้ (1-2 พ.ค.) มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าเพื่อไทยฝ่ายเศรษฐกิจ นายประพัฒน์ จงสงวน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมทั้งนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ เต้ พระรามเจ็ด ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และมีอีกหลายคนต้องคิดตาม 

"ผมเชื่อว่าวันนี้ในซีกการเมือง กับฝ่ายประชาชนต่างส่งเสียงเหมือนกัน ว่า ประยุทธ์ ออกไป การมาร่วมของทุกฝ่ายนั้นล้วนจำเป็นอย่างยิ่ง หากไม่สามัคคีกันก็ถูกแบ่งแยกแล้วปกครอง อยู่ในสภาพสังคมไร้อนาคตเหมือนเดิม จึงขอบอกว่า เจตนารมณ์ของคณะสามัคคีประชาชน คือ เปิดประตูทุกบาน ใช้หลักแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ต้อนรับทุกคนในฐานะปัจเจกมาร่วมกันมาไล่ประยุทธ์ ออกไป ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของคนไทยในชาติ” 

ส่วนการประกันตัวเพนกวินและแกนนำราษฎรนั้น นายจตุพร ยืนยันว่า เป็นสิทธิของผู้ต้องหาและทุกคนต้องเคารพในสิทธินี้ด้วย พร้อมกับหวังว่า ทุกคนจะต้องได้ประกันตัวกลับไปสู่อ้อมอก พ่อ แม่ พี่น้อง สิ่งนี้เป็นความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ขณะเดียวกันตนก็เคารพสิทธิของผู้พิพากษาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตนย้ำเสมอว่า การแสดงความคิดแตกต่างทางการเมืองนั้น ไม่ควรต้องมีใครไปถูกขังคุกแม้แต่รายเดียว 

"ผมหวังว่า เมื่อประชาชนทุกฝ่ายส่งเสียงเหมือนกัน นั่นคือเสียงไล่ประยุทธ์ ออกไป วันนั้นความสามัคคีของประชาชนคือจุดเปลี่ยนที่แท้จริงของประเทศนี้ จึงชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมส่งเสียงในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ และต่อเนื่อง” 

'ฉะเชิงเทรา-ภาครัฐ' อืด!! ทำเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงโอด!! ชวดเงิน 18 ล้าน

ภาครัฐทำงานล่าช้า ส่งผลกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงปลากะพงจังหวัดฉะเชิงเทรา ชวดเงินที่รัฐบาลจะใช้ช่วยเหลือเป็นจำนวนเงินกว่า 18 ล้านบาทเศษ

วันนี้ 29 เม.ย. นายพลูทรัพย์ สมบูรณ์ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกร โดยกล่าวถึงปัญหาขั้นตอนในการดำเนินการที่ผ่านมา ซึ่งล่าช้าจนทำให้เกษตรกรเสียประโยชน์

อย่างไรก็ตาม ได้ดำเนินการส่งเรื่องไปที่กระทรวงพาณิชย์ใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนเงินที่จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจาก 27.81 ล้าน ขณะนี้ได้มีจังหวัดอื่นๆ ขอรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลมาอีกหลายจังหวัด ทำให้ส่วนของจังหวัดฉะเชิงเทราเหลือเพียง 9 ล้านบาทเท่านั้น

ด้านนายประโยชน์ โสรัจจกิจ (อดีตประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา) ประธานกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ซึ่งนำกลุ่มเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ กล่าวว่า ฉะเชิงเทราเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลากะพงมากที่สุดในประเทศ แต่เนื่องจากปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องมีมาตรการล็อกดาวน์ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว จึงส่งผลให้ปลากะพงตกค้างในฟาร์มเลี้ยงจำนวนมากและมีราคาตกต่ำ เกษตรกรขาดเงินทุนหมุนเวียน และขาดทุนจำนวนมาก

ทั้งนี้ หอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรที่ขอให้ช่วยเหลือ โดยทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ขอให้หน่วยงานภาครัฐช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และมีการประสานไปยังกระทรวงพาณิชย์ อนุมัติงบประมาณจำนวน 27.81 ล้านบาท มาให้ดำเนินการช่วยเหลือ เพื่อการระบายปลาจำนวน 600 ตัน ภายในกรอบเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2564 แต่เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบภายในจังหวัดดำเนินการไม่ทันตามกรอบเวลาข้างต้น ทำให้งบประมาณถูกเรียกคืนไป

ทางหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา โดย นายประโยชน์ โสรัจจกิจ ประธานหอฯ จึงได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ให้ติดตามโครงการที่ถูกยกเลิก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพง

จากนั้นทางผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีหนังสือลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงปลัดกระทรวงพาณิยย์ และ อธิบดีกรมการค้าภายใน แต่เรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

ต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2564 นายประโยชน์ โสรัจจกิจ อดีตประธานหอการค้าฯ และประธานเกษตรแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงปลากะพงยักษ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา นายสุทธิ มะหะเลา พร้อมด้วยเกษตรกรจำนวน 24 คน จึงได้เดินทางไปที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยการประสานงานจาก นายอมรชัย ปิ่นเจริญ เพื่อขอพบท่านเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ พร้อมกับเจ้าหน้าที่บริหารของกรมการค้าภายใน เพื่อติดตามเรื่องความช่วยเหลือฯ และในวันที่ 8 เมษายน 2564

โดยสำนักงานปลัดกระทวงพาณิชย์มีหนังสือเรื่อง การเสนอโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงปี 2564 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อดำเนินการโครงการต่อ แต่งบประมาณที่จะนำมาช่วยเหลือเกษตรกรได้เพียง 9 ล้านบาท ซึ่งต่างจากครั้งก่อนที่จะได้งบประมาณในการช่วยเหลือ 27 ล้านบาทเศษ


สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ/ฉะเชิงเทรา

เปิดราคาที่ดินเปล่า ลดลงครั้งแรกรอบ9ปี

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยแนวโน้มราคาที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า ราคาที่ดินเปล่าปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรก และมีสัญญาชะลอตัวอย่างชัดเจน เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่กระจายต่อเนื่องหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และยังพบว่าความต้องการซื้อขายที่ดินเปล่าที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงถึง 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ซื้อที่ดินสะสมไว้น้อยลง และมีการซื้อที่ดินใหม่มาเก็บไว้รอการพัฒนาในอนาคต

สำหรับ ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาไตรมาส 1 มีค่าเท่ากับ 326.2 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 11.2% จากปีก่อน ซึ่งน้อยกว่าราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่มีการปรับขึ้นเฉลี่ย 17.7% ต่อไตรมาส  นอกจากนี้เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วยังพบว่าราคาที่ดินปรับตัวลดลง 2.2%  ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกรอบ 9 ปี นับตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนีราคาที่ดินเปล่าของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ในปี 55   

ส่วนทำเลที่มีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 1 ปี 64 ส่วนใหญ่ยังเป็นที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางแค-พุทธมณฑล สาย 4 ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต เป็นที่ดินโซนตะวันตกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการปรับดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด 38.3% และเส้นทางสายนี้เป็นแนวรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค ที่เปิดให้บริการแล้ว 

องค์นี้กินไม่ได้!! ช่างแกะสลักชาวสุโขทัย สืบสานงานศิลป์ แกะสลักพระพุทธรูปจากไม้ อาชีพที่นับวันยิ่งหาช่างฝีมือ ที่ทำได้ประณีต และสวยงามได้ยาก

ช่างแกะสลักเป็นช่างประเภทหนึ่ง ในจำพวกช่างสิบหมู่ เป็นผู้มีความสามารถ และฝีมือในการช่างทำลวดลาย หรือรูปภาพต่าง ๆ บนเนื้อไม้ ที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของชาวชุมชนรอบ ๆ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่โบราณสถานกรุงสุโขทัย ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัย ขึ้นชื่อเรื่องโบราณสถานเป็นต้น ๆ ของประเทศ

ชาวบ้านและคนในชุมชนเมื่อครั้งอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ อีกอาชีพที่ได้รับความสนใจ และฝึกฝนเป็นอาชีพของชาวชุมชนเก่าแก่แห่งนี้มายาวนาน จากอดีตถึงปัจจุบัน คือช่างแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้ บ้างก็ทำเป็นอาชีพเสริม บ้างก็ทำเป็นอาชีพหลัก จำนวนไม่น้อยที่สร้างฐานะตัวเองและครอบครัวจากอาชีพนี้

นายวรรณะ (ช่างณะ) เชื้อบัว ถือเป็นช่างศิลปะการแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้คนหนุ่มรายหนึ่งในพื้นที่ ที่มีฝีมือดี ผลงานโดดเด่น มีลูกค้าจากทั่วประเทศ มาสั่งทำ และมารับซื้อในงานแกะสลักงานไม้ของเขาที่ได้รับการยอมรับในฝีมือของชายคนนี้ ‘ช่างณะ’ ใช้พื้นที่บ้านพักของตนเองและคนในครอบครัวดัดแปลงมาเป็นโรงงานย่อม ๆ ขนาดเล็ก ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 140/2 หมู่ 3 ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย ใช้เป็นที่ทำงานหารายได้ของเขาในการประกอบอาชีพช่างแกะสลักพระพุทธรูปบนตัวไม้ขนาดใหญ่ และทุกขนาดตามที่ผู้จ้างและลูกค้าสั่งทำ อย่างประณีต สวยงาม คมชัด ลึกและชัดเจน ไม่ผิดพิมพ์ถูกต้องตามต้นฉบับ

นายวรรณะ เล่าให้ฟังว่า ได้เรียนรู้ในการหัดฝึกแกะสลักไม้มาตั้งแต่อายุประมาณ 13-14 ปี ตอนแรกก็ไม่ได้ทำจริงจัง แต่ก็มีใจรัก เห็นคนเก่าคนแก่ในหมู่บ้านทำกันก็สนใจชอบตามปะสาเด็ก ๆ พอเมื่อเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ก็เริ่มมีฝีมือมากขึ้น มีความชำนาญขึ้นตามระยะเวลาที่ลงมือทำ ก็เลยเชื่อมมั่นว่าสามารถทำเป็นอาชีพได้ และน่าจะไปได้ดี มีอนาคต เดิมทีนั้นตนเองมีอาชีพทำนาแต่ชอบใช้เวลาว่างไปหาเก็บเศษไม้จากหัวไร่ปลายนามาฝึกแกะสลัก เริ่มจากแกะสลักเป็นรูปสัตว์ เช่น นก ปลา เสือ และช้าง

จากนั้นก็พัฒนามาเป็นการแกะสลักพระพุทธรูป พระพิฆเนศ และรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ แล้วฝากวางตามร้านขายของที่ระลึก จนลูกค้าเห็นผลงานเขาก็บอกต่อกันไป เริ่มมีคนรู้จักชื่อเสียง และมีความสุขมากที่เค้าเรียกนามเราว่านายช่าง จึงพัฒนาฝีมือโดยดูจากรูปภาพตัวอย่าง แล้วแกะสลักตามให้เหมือนรูปมากที่สุด ฝึกฝนเรื่อยมาจนเกิดความชำนาญและมีชื่อเสียงในเมืองเก่าสุโขทัย มียอดสั่งมากขึ้นตามลำดับ เมื่อยอดสั่งผลิตครบบางทีก็เอาไม้ทั้งขนาดเล็ก ใหญ่มาทำต่อให้เกิดรายได้อีกทาง ส่งขาย หรือมีคนมารับซื้อถึงบ้าน ลูกค้าจำนวนมากเมื่อมารับไม้และภาพสิ่งมงคลที่สั่งแกะ เมื่อเห็นงานชิ้นอื่นที่ตนทำไว้ก็ขอซื้อไปพร้อมกับงานที่ลูกค้าสั่งก็มีมาก

ปัจจุบันมีลูกค้าจากทั่วประเทศนำไม้มงคลอย่างเช่นไม้สัก ไม้กันเกรา ไม้ขนุน ไม่มงคล ไม้หาอยากมาจ้างให้แกะสลักเป็นพระพุทธรูปต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย พระปางลีลา พระนาคปรก และรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ โดยราคาขึ้นอยู่กับขนาดและความยากง่ายของงาน ส่วนพระลีลาสุโขทัยที่กำลังแกะสลักชิ้นนี้เป็นไม้สักที่ลูกค้านำมาให้

‘ทิพยประกันภัย’ ใจป้ำ แจกฟรี ประกันแพ้วัคซีนโควิด 1 ล้านคน เริ่มลงทะเบียน พ.ค. นี้ คุ้มครองหลังฉีด 60 วัน

ทิพยประกันภัย ใจป้ำ! เปิดตัวโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” แจกประกันแพ้วัคซีนฟรี 1 ล้านคน ให้ความคุ้มครองหากเกิดกรณีภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนต้าน COVID-19

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทิพยประกันภัย เผยว่า ในช่วงที่จะมีการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ซึ่งก็ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมีความรู้สึกกังวลในเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว ซึ่งทิพยประกันภัย มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เปิดโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” มอบประกันแพ้วัคซีน ฟรี จำนวน 1,000,000 สิทธิ์ เพื่อเป็นการคลายความกังวล รวมถึงเป็นการเสริมความมั่นใจให้ประชาชน โดยโครงการนี้จะให้ความคุ้มครอง กับประชาชนหากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง จนเกิดอาการโคม่าจากฉีดวัคซีน

ด้านณฐินี ธนะรัชต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล ทิพยประกันภัย กล่าวเสริมว่า สำหรับโครงการดังกล่าวจะให้ความคุ้มครองหากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง จนเกิดอาการโคม่าจากการฉีดวัคซีน ทุนประกัน 100,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครอง 60 วัน นับจากวันที่เริ่มฉีดวัคซีน โดยประชาชนสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” เพื่อรับความคุ้มครองประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 กับทิพยประกันภัย ได้ผ่านช่องทาง www.Tipinsure.com ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 หรือจนกว่าจะครบ 1,000,000  สิทธิ์ โดยจำกัด 1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์เท่านั้น

ดร.สมพร กล่าวว่า ทิพยประกันภัยหวังว่า เมื่อประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 แล้วจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค COVID-19  ลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดการแพร่ระบาด ลดจำนวนผู้ป่วยเป็นการแบ่งเบาภาระให้บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงหากเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วก็จะทำให้เศรษฐกิจต่าง ๆ ดีขึ้น การเดินทาง การท่องเที่ยว การจ้างงาน ก็จะกลับเข้าสู่ปกติ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็จะต้องทำควบคู่ไปกับการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือให้บ่อย และเลี่ยงพื้นที่แออัด เพื่อเราทุกคนจะก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ไปด้วยกันอย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ ดร.สมพร ยังยืนยันว่า ทิพยประกันภัย ยังจะเดินหน้าขายประกันภัยโควิดต่อไป แม้จะมีกระแสข่าวว่าบริษัทประกันภัยบางแห่ง จะเลิกขายประกันภัยประเภทนี้ เนื่องจากมีการเรียกร้องสินไหมเข้ามาจำนวนมาก โดยในส่วนของทิพยประกันภัย นับว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยที่ได้ขายประกันภัยโควิด โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 30% รวมจำนวนกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วประมาณ 3.7 ล้านกรมธรรม์ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยกว่า 2,000 ล้านบาท 

ขณะที่การเรียกร้องสินไหมในปัจจุบันอยู่ประมาณ 100 เคสต่อวัน และเพียงแค่ 4 เดือน พบว่ามีการเรียกร้องสินไหม สูงกว่าปี 2563 อย่างเห็นได้ชัด และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

‘อนุทิน’ เยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ‘นิมิบุตร’ ตั้งเป้า 1 สัปดาห์ไม่มีผู้ป่วยตกค้างที่บ้าน พร้อมวางแผนหลังรักษาผู้ป่วยหมดแล้วเปลี่ยนโรงพยาบาลสนามเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนสำหรับกลุ่มวอร์คอินไม่สามารถลงทะเบียนผ่านระบบ 

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางไปตรวจศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ โดยศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 แห่งนี้ จะเป็นศูนย์ช่วยบริหารจัดการสำหรับผู้ที่ยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ยังตกค้างอยู่ที่บ้านยังไม่สามารถหาเตียงในสถานพยาบาลได้ เป็นศูนย์ที่ผู้ป่วยติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ 02-079-1000 เพื่อให้รถไปรับที่บ้าน หรือเดินทางมาเองโดยรถส่วนตัว เพื่อเข้ารับการดูแลเบื้องต้น คัดกรองและแยกระดับอาการเขียว เหลือง แดง ก่อนส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามอาการ ซึ่งจะลดปัญหาผู้ป่วยติดค้างที่บ้านได้ 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ว่า หน่วยงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ระดมสรรพกำลังในการจัดตั้งศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยผ่อนคลายปัญหาคอขวดการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพฯ โดยผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ของเครือข่ายเอไอเอส เบอร์ 02-079-1000 จำนวน 40 คู่สาย จากนั้นจะมีรถจากเครือข่ายต่าง ๆ ที่เข้ามาร่วมทำงานไปรับที่บ้านมายังศูนย์ หรือสามารถเดินทางมายังศูนย์ด้วยตนเองแต่ต้องมาด้วยรถส่วนตัว จากนั้นศูนย์จะตรวจคัดกรองอาการแล้วส่งต่อไปยังสถานพยาบาลต่อไป หรือหากเกิดกรณีโรงพยาบาลเต็มที่ศูนย์ก็มีเตียงรองรับ 200 เตียง 

“ที่ผ่านมาอาจจะมีปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยไม่ทัน กระทรวงสาธารณสุข คำนึงถึงภาวะจิตใจของประชาชนโดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่รอรถพยาบาลอยู่บ้าน ท่านคงมีความกังวล ญาติ ๆ สมาชิกในครอบครัวก็คงจะกังวล จึงระดมเครือข่ายทั้งหมดเข้ามาทำงาน ซึ่งโดยได้รับความกรุณาจากท่านพิพัฒน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ท่านปลัด การกีฬาแห่งประเทศไทย กรมพลศึกษาตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข เรามีเป้าหมายว่าภายใน 1 สัปดาห์ จะไม่มีผู้ป่วยติดค้างและไม่ได้รับการรักษา เรามีอุปกรณ์เวชภัณฑ์พร้อม มีระบบการส่งต่อ คัดแยกพร้อมจะแก้ไขปัญหานี้ได้” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว 

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแผนว่าภายหลังสามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้หมดแล้วจะปรับทั้งศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามที่เกิดขึ้นทั่วประเทศเป็นสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่วอร์คอินเข้ามารับวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สะดวกในการลงทะเบียนผ่านระบบจองวัคซีน คือเพียงมีบัตรประชาชนก็เข้ารับวัคซีนได้ โดยพื้นที่โรงพยาบาลสนามเดิมจะสะดวกกับการให้บริการเนื่องจากวัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนใหม่ ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับเป็นพื้นที่เฝ้าสังเกตอาการหลังการฉีดวัคซีน 30 นาที  

“ที่เราจะให้มีพื้นที่สำหรับผู้ที่วอร์คอินเข้ามารับวัคซีนได้ เพราะเรามั่นใจว่าจะมีวัคซีนส่งเข้ามาจำนวนมาก ตั้งแต่ 1 มิถุนยน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป เพียงพอให้ประชาชนที่จองผ่านทางแอปพลิเคชั่น กับอสม. รวมถึงช่องทางอื่น ๆ รับเป็นบุคคลเป็นกลุ่ม ตลอดจนผู้จะวอร์คอิน โดยทุกกลุ่มจะได้รับรับวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว 

“ศุภชัย” เปรียบ “เสี่ยหนู” ยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางหมู่บ้านกระสุนตก ฝาก “บิ๊กตู่” มองให้ดีสงครามโควิด ใครเป็นขุนศึกร่วมรบ-รับหอกดาบแทน ถ้าไม่ใช่ “อนุทิน” ชี้ แคมเปญล่ารายชื่อไล่พ้นรมว.สธ. แค่ระบายอารมณ์-หวังผลทางการเมือง

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า นาทีนี้ “ชายเดียว” ที่ยืน “โดดเดี่ยว” ในหมู่บ้านกระสุนตก คงหนีไม่พ้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ที่โดนจัดหนัก จัดเต็ม ถูกจับเป็น “แพะ” บูชายัญ จากสถานการณ์โควิด-19 ทันทีที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อดีดขึ้นไปถึงพันจนทะลุสองพันกว่า บาปทุกอย่างก็ตกอยู่ที่ “เสี่ยหนู” ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีการระบาดในสถานบันเทิงรอบนี้ กระทรวง หมอ ก็เสนอมาตรการป้องกัน และคาดการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ว่าหากไม่มีการจัดการใด ๆ หลังสงกรานต์จะเกิดอะไรขึ้นเอาไว้แล้ว

ทว่า เหตุผลทาง “เศรษฐกิจ” นำ “สุขภาพ” ดังนั้น ในเวลาที่คนทั่วไปกำลังพักผ่อนช่วงวันหยุดยาว ทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ภายใต้การนำของ “หมอหนู” จึงต้องทำงานที่ “หนัก” อยู่แล้ว ให้ “หนักขึ้นไปอีก” เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น วัคซีนก็ยังต้องหา วางแผนการฉีด เตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ จนเมื่อเกิดภาวะ “ฝีแตก” ผู้ติดเชื้อสูงสุดเกือบเหยียบ 3 พัน มีผู้ป่วยที่ยังไม่ได้เตียง มีผู้เสียชีวิต คนบางกลุ่มก็ชี้ว่า เป็นความผิดของ “อนุทิน” ระดมทำแคมเปญลงชื่อขับไล่พ้นจาก “เก้าอี้” เพื่อระบายอารมณ์ และหวังผลทางการเมือง

ปัญหาการจัดส่งผู้ป่วย การจัดหาเตียง “มีจริง” ตัว “เสี่ยหนู” ก็ยอมรับ และแก้ไขด้วยการตั้งศูนย์แรกรับ ส่งต่อผู้ป่วย แบบไม่ปริปากถึงเรื่องราวเชิงลึกใด ๆ แม้เห็นกันชัด ๆ อยู่แล้วว่า “ปัญหานี้” เกิดขึ้นเพียงพื้นที่ กทม. ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจเต็มของสธ. ถามว่า 76 จังหวัด ที่มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทำไมไม่มีปัญหาแบบนี้ คำตอบจึงอยู่ในคำถาม ที่ผ่านมาสิ่งที่ “เสี่ยหนู” ทำ คงไม่ได้ดีที่สุด ถูกใจทุกคนที่สุด แต่การทำงานที่ผนึกกับทีม สธ. จนทำให้ไทยประคับประคองสถานการณ์สู้กับโควิด -19 มาได้จนถึงวันนี้  

การจัดหาวัคซีนซิโนแวค ด้วยคอนเน็คชั่นส่วนตัว เต็มใจควักกระเป๋า ถ้าจะทำให้จัดส่งเร็วขึ้น การวางแผนจัดหาวัคซีน ที่ไทยไม่เข้าร่วมโคแวค ซึ่งวันนี้ชัดเจนแล้วว่าโคแวค ไม่สามารถจัดหาวัคซีนให้ได้ตามที่ตกลงไว้  แต่ไทยมีสยามไบโอไซแอนท์ ที่ผลิตวัคซีนได้ภายในประเทศของเราเอง ยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีอยู่ในสต็อก คน ๆ นี้ ไม่มี “เครดิต” เลยหรือ
        
ส่วนการที่ “นายกลุงตู่” ใช้วิธีพิเศษ รวบอำนาจจากหลายกระทรวง และตั้งคณะกรรมการ 4 คณะ เพื่อมาทำเรื่อง โควิด-19 ก็ไม่ใช่เครื่องหมายที่จะมาตีตราว่า “เสี่ยหนู” กับ กระทรวงหมอจัดการไม่ได้ เพราะถ้ามองให้ดี ๆ จะเห็น “ชัดในชัด” ว่าไม่มีอะไร “ใหม่” ทั้งการหาวัคซีน การฉีดวัคซีน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ สธ. วางแผนไว้ทั้งสิ้น สิ่งที่ “นายก” ทำคือการบริหารอารมณ์ ความรู้สึกของภาคเอกชน ให้คนมีความคิดเห็นได้มีพื้นที่แสดงออก มีส่วนร่วมในการทำงาน
       
แค่อยากฝากถึง “บิ๊กตู่” ว่าในการศึกโควิด-19 ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ใครคือขุนศึกร่วมรบ ก็เห็นมีแต่ “รองนายกหนูเพียงหนึ่งเดียว” ที่เป็น “หนังหน้าไฟ” ออกมา “ไฟท์” กับทุกเหตุการณ์ ฟาดกับฝ่ายตรงข้าม รับหอกรับดาบให้ลุงอย่างไม่เกรงสิ่งใด คำตอบชัดคือ “เสี่ยหนู” เวลานี้รัฐบาลควรเป็นหนึ่งเดียว อย่าให้ผู้ไม่หวังดีที่คอยเป่าขนหาแผล คิดว่าเจอรอยแยก แล้วปั่นให้ปริแตก “คนที่มีใจจริง” ไม่ใช่คนที่ออกฉาก แล้วมีแต่คำพูดที่สวยหรู แต่คือคนไม่ฆ่าน้องที่ทำงานใต้บังคับบัญชา ไม่ฟ้องนายที่เป็นผู้นำทีม ไม่ขายเพื่อนที่ต้องทำงานร่วมกัน

#คนภูมิใจไทย
#พรรคภูมิใจไทย

“วิรัช” ป้อง “นายกฯ” แก้ โควิด-19 ดีเลิศ ชี้ หากเป็นคนอื่นคงบริหารห่วย วอน พักการเมือง หันจับมือ ฝ่าวิกฤตก่อน

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวถึงการจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล ว่า การจัดการในต่างจังหวัดดีกว่ากรุงเทพมหานคร เพราะดูแลเข้มงวด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการ หากพบว่ามีการติดเชื้อในหมู่บ้านใดจะสั่งปิดหมู่บ้านนั้นทันที ต่างจากกรุงเทพฯที่ต้องระดมหลายหน่วยงานเข้ามาแก้ไขปัญหาช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยตกค้าง ดังนั้นในภาวะนี้ไม่อยากให้การเมืองไปเพิ่มความวุ่นวายกับรัฐบาล ที่ต้องตั้งหลักแก้ไขปัญหา ส่วนที่หลายฝ่ายอยากให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีลาออก มองว่าไม่ใช่ประเด็น เพราะเป้าหมายของพรรคพปชร.คือทำอย่างไรให้การบริหารสถานการณ์โควิดผ่านไปได้ด้วยดี

ผู้สื่อข่าวถามว่าเวลานี้สังคมวิจารณ์ว่ารัฐบาลบริหารงานห่วย นายวิรัช กล่าวว่า ยอมรับว่ามีผู้ติดเชื้อมาก และที่หนักคือในพื้นที่กรุงเทพฯแต่ประเมินแล้วว่า สถานการณ์น่าจะเอาอยู่ สิ่งที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี บริหารถือว่าดีเกินสำหรับการบริหารในสถานการณ์ช่วงวิกฤต เพราะแก้ไขทุกสถานการณ์ได้ฉับไว และไม่ห่วยเพราะถ้าเป็นคนอื่นมาบริหารคงจะห่วยกว่านี้ ส่วนที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน เรียกร้องให้นายกฯลาออก ในสายตาฝ่ายค้านบริหารอย่างไรก็ไม่ดี ต้องว่าตลอด แต่สำหรับพรรคร่วมรัฐบาล คิดว่านายกฯบริหารดีอยู่แล้วและต้องให้กำลังใจอย่างเต็มที่

เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล บางคน แสดงความเห็นโจมตีนายกฯนายวิรัช กล่าวว่า เห็นเพียงแค่ 2-3 ราย และมี ส.ส.พรรคพปชร.ตอบโต้กลับไป ถือเป็นความเห็นส่วนตัวของ ส.ส.แต่ละคน อย่าเก็บเป็นประเด็นที่ผ่านมาก็มีมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งนี้ตนประสานงานภายในพรรคร่วมรัฐบาลตลอด หากมีเหตุการณ์ที่กระทบกระทั่งบ้างก็ต้องห้ามปราม เป็นเรื่องปกติของพรรคร่วมรัฐบาลแต่พยายามขอความร่วมมือให้ทุกคนอยู่นิ่งเพื่อให้การบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย 

เดิน วิ่ง ปั่น ห่างกันสักพักช่วงโควิด-19

ช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้ ควรงดออกกำลังกายในสวนสาธารณะออกไปก่อน นั่นเพราะจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเบลเยี่ยมและดัทช์ เกี่ยวกับเรื่องการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 ในขณะออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน กิจกรรมเหล่านี้ ล้วนสามารถแพร่เชื้อได้ไกลขึ้นกว่าที่ยืนอยู่เฉย ๆ โดยการกระจายตัวของไวรัสโควิด สามารถกระจายตัวได้ไกลมากยิ่งขึ้นกว่าการไอและจามอีกด้วย

กระทรวงแรงงาน เผยมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปกาตาร์ ช่วงโควิด-19

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แจ้งคนหางานที่จะเดินทางไปทำงานรัฐกาตาร์ ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกาตาร์กำหนด โดยต้องมีวีซ่าทำงานประเภท Work-Yearly Resident และใบอนุญาตเข้าเมือง พร้อมทั้งตรวจสุขภาพ และตรวจหาเชื้อโควิด-19 ณ โรงพยาบาลที่รับรองจากฝ่ายกาตาร์ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากทำให้แรงงานไทยได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมี ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยสำหรับรัฐกาตาร์ กระทรวงแรงงานได้พิจารณาให้ยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากประเมินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของรัฐกาตาร์ว่ามีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาด้านกฎระเบียบ และกฎหมายที่ดีขึ้น เอื้อประโยชน์แก่แรงงานไทย ตลอดจนตลาดแรงงานในรัฐกาตาร์ยังต้องการแรงงานไทยที่มีทักษะฝีมือ สำหรับโครงการขนาดใหญ่จำนวนมาก 

นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกระทรวงแรงงานให้แจ้งมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปยังรัฐกาตาร์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังนี้

1.) คนหางานที่เดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์จะต้องได้รับการตรวจลงตราเพื่อการทำงานประเภท Work-Yearly Resident พร้อมใบอนุญาตเข้าเมือง (Exceptional Entry Permit) โดยนายจ้างจะต้องเป็นผู้ดำเนินการให้โดยระบบออนไลน์

2.) คนหางานก่อนเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์ จะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากโครงการตรวจสุขภาพสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ (Expatriate Health Check-up Program) ของสภาสาธารณสุขกลุ่มประเทศอ่าว (Gulf Health Council States) ซึ่งมีจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ (1.) โรงพยาบาลเวชธานี (2.) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (3.) โรงพยาบาลกรุงเทพ (4.) โรงพยาบาลปิยะเวท และ (5.) โรงพยาบาลรามาธิบดี 

3.) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ารัฐกาตาร์สามารถตรวจหาเชื้อ COVID-19 ภายใน 48 ชม. ก่อนเดินทางจากโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากฝ่ายกาตาร์ ได้แก่ (1.) โรงพยาบาลเวชธานี (2.) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ (3.) โรงพยาบาลกรุงเทพ โดยจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,500-8,000 บาท กรณีคนหางานตรวจหาเชื้อ COVID-19 จากโรงพยาบาลที่ได้รับรองจากรัฐกาตาร์ เมื่อเดินทางไปถึงรัฐกาตาร์ไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้ออีก แต่หากตรวจหาเชื้อ COVID-19 นอกเหนือจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งที่กล่าวมา เมื่อเดินทางไปถึงรัฐกาตาร์ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่ท่าอากาศยานกรุงโดฮาอีกครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

4.) หากผู้ที่เดินทางเข้าไปรัฐกาตาร์ที่ยังไม่มีบัตรถิ่นพำนัก (QID) จะต้องกักตัวที่โรงแรมเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน โดยนายจ้างต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัว ทั้งนี้ หากแรงงานที่เข้ารับการกักตัวไม่สามารถพักห้องเดี่ยวได้จะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

5.) เมื่อพ้นระยะเวลาการกักตัว นายจ้างจะต้องนำลูกจ้างไปตรวจโรคเพื่อจัดทำบัตรถิ่นพำนัก (QID) และจัดทำบัตรสุขภาพต่อไป

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้ประชาชน คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์  ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศและเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี ได้แก่

1.) บริษัทจัดหางานจัดส่ง

2.) กรมการจัดหางานจัดส่ง(รัฐจัดส่ง)

3.) นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ

4.) นายจ้างส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ

5.) คนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ และสวัสดิการตามมาตรฐานที่พึงมี และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ 

“ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาระบบการไปทำงานในต่างประเทศ โทรศัพท์ 02-245-6708-9 ในวันและเวลาราชการ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694”  นายไพโรจน์ฯ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top