Wednesday, 26 June 2024
Hard News Team

พท.อัด “บิ๊กตู่” ได้ยินเสียง รมต.นินทาแต่ไม่ได้ยินเสียงเดือดร้อนของคนจน บี้ยุบสภาลาออก เลิกอยู่เป็นภาระประเทศ

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 นายวิสาร เตะชะธีราวัตน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รวบอำนาจในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยอ้างว่าเพื่อการบริหารจัดการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งๆที่ในความเป็นจริง พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจเต็มมานานแล้ว ตั้งแต่การจัดการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.รวมทั้งมีการออกพ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ที่ผ่านมาล้มเหลวทั้งระบบ ไม่สามารถระงับยับยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะพล.อ.ประยุทธ์บริหารสถานการณ์ผิดพลาดมาโดยตลอด ไม่เคยรับฟังคำแนะนำจากทุกฝ่าย การระบาดของไวรัสที่ลุกลามไปทั่วประเทศ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ไม่ล็อกดาวน์พื้นที่เพื่อควบคุมการระบาดขณะที่ยังคุมได้ กลับปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายของประชาชนจนยากเกินการควบคุม

ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาขู่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลว่าจะยึดโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะได้ยินมาว่ารัฐมนตรีนินทาตัวเอง การกระทำดังกล่าวเป็นการขู่เพื่อปกป้องตัวเอง น่าประหลาดใจที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ยินเสียงนินทา แต่ไม่ได้ยินเสียงประชาชนที่ส่งเสียงถึงรัฐบาลมานานแล้วว่าใช้ชีวิตลำบาก ไม่มีเงิน ไม่มีงาน เจ็บป่วยไม่มีเตียงรักษา หลายคนเสียชีวิตจากเข้าไม่ถึงการบริหารทางการแพทย์ ทั้งๆที่รัฐบาลที่ดีต้องพร้อมที่จะรับฟังเสียงประชาชน ต่างจากรัฐบาลนี้ที่ไม่เคยได้ยินเสียงความเดือดร้อนของประชาชน

“การออกมาขู่ของพล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนว่าตัวตนที่แท้จริงของพล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน เพราะที่มาของพล.อ.ประยุทธ์มาจากการรัฐประหารและยึดอำนาจคนอื่นมา รวมทั้งเสียงของส.ว.ที่เป็นเหมือนนั่งร้านค้ำยันอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นจึงไม่จำต้องสนใจเสียงของประชาชน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ผิดพลาดมาโดยตลอด จากความล้มเหลวการแก้ปัญหาโควิด-19 และแก้เศรษฐกิจแบบตาบอดคลำช้าง หากพล.อ.ประยุทธ์รักประเทศจริงตามที่พูด ก็ควรลาออกหรือยุบสภา ขืนอยู่ต่อก็จะสร้างปัญหาให้ประเทศเพิ่มมากขึ้น ควรออกไปได้แล้วเพื่อให้คนที่เก่งกว่ามาทำหน้าที่ อย่าอยู่สร้างภาระให้ประชาชนต่อไปเลย” นายวิสาร กล่าว

"พรรคกล้า" ร่อนแถลงการณ์ 5 ข้อ เสนอรัฐบาล ช่วยผู้ประกอบการร้านอาหาร

"พรรคกล้า" ร่อนแถลงการณ์ 5 ข้อ เสนอรัฐบาล ช่วยผู้ประกอบการร้านอาหาร จำกัดค่าธรรมเนียม Delivery , ช่วยจ่ายค่าจ้างพนักงาน 50%, งดจัดเก็บภาษีผู้ที่ได้รับผลกระทบ , ผ่อนผันชำระหนี้-ดอกเบี้ยเงินกู้ , ลดค่าเช่าที่ เชื่อหากรัฐไม่ช่วย ตายหมู่แน่ 

พรรคกล้า ออกแถลงการณ์ข้อเสนอ 5 ข้อเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหาร หลังจากรัฐมีมาตรการห้ามนั่งรับประทานอาหารที่ร้านในพื้นที่ 6 จังหวัดสีแดงเข้ม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ โดย 

1.) ควรเร่งเจรจากับ Platform online ที่ร้านอาหารทั้งหลายใช้เป็นช่องทางขายและจัดส่งอาหารอยู่ในปัจจุบัน ไม่ให้คิดค่าธรรมเนียมการใช้บริการหรือ GP เกินร้อยละ 15 อย่างน้อยก็ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด เพื่อแบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบการและประชาชน

2.) รัฐควรช่วยเหลือเยียวยาค่าจ้างเงินเดือนของพนักงานในร้านอาหารเหล่านี้ร้อยละ 50 ในช่วงที่รัฐบาลประกาศห้ามมีลูกค้านั่งในร้านอาหาร 

3.) งดการจัดเก็บภาษีในรอบระยะเวลาบัญชี 1 ปีที่ผ่านมา ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง 

4.) ผ่อนผันการผ่อนชำระเงินกู้และดอกเบี้ยของผู้ประกอบการร้านอาหาร ด้วยมาตรการงดผ่อนต้นผ่อนดอก ไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน และ 

5.) ในกรณีที่ร้านอาหารมีค่าเช่าพื้นที่ เช่น ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า เจ้าของพื้นที่ควรลดค่าเช่าให้ด้วย อย่างน้อยร้อยละ 50 และเจ้าของพื้นที่สามารถนำส่วนลดที่ให้กับร้านอาหารเหล่านั้น ไปขอลดหย่อนภาษีจากทางรัฐบาลได้ ในรอบบัญชีถัดไป เพื่อเป็นการชดเชยและลดค่าใช้จ่ายให้ร้านอาหารที่ต้องเสียค่าเช่าทุกเดือน 

นายวรวุฒิ อุ่นใจ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า เพื่อป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อโควิค-19 ก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องออกคำสั่งไม่ให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหารที่ร้าน แต่สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือมาตรการเยียวยาช่วยเหลือด้วย เพราะร้านอาหารเหล่านี้อยู่ในสภาพใกล้ปิดกิจการเต็มทีแล้ว ถ้ารัฐไม่เข้ามาช่วยเหลือคงมีผู้ประกอบการล้มหายตายจากกันไม่น้อยแน่ 

"มาตรการทั้ง 5 ข้อที่พรรคกล้านำเสนอนี้ สามารถแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีความเดือดร้อนอยู่หลายแสนรายได้ ไม่ให้ต้องปิดกิจการ และอยู่บริการสังคมในช่วงโควิดได้ตลอดรอดฝั่ง แต่หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือ จะสร้างคำถามมากมายจากผู้ประกอบการ ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่รอดได้อย่างไร ถ้าเชื่อฟังคำสั่งรัฐบาล" นายวรวุฒิ กล่าว

‘ทิพานัน’ ย้อนแสบ ประเทศนี้จะมี ‘ธนาธร’ ไว้ทำไม ดีแต่ตั้งคำถาม ทวงถามครบรอบ 1 ปี ตู้แรงดันลบถึงไหน ใช้งานจริงได้หรือไม่ ย้ำทุกฝ่ายกำลังแก้ไขให้ผ่านวิกฤต สังคมต้องการคนลงมือทำ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาตั้งคำถามจะมีผู้นำไปทำไม ถ้าไม่รู้จักจัดสรรทรัพยากร กรณีกองทัพจัดซื้ออาวุธว่า ที่ผ่านมานายธนาธรมักออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องการจัดสรรงบประมาณต่าง ๆ ของรัฐบาล ด้วยอคติและไม่มีความรู้ตามพ.ร.บ.วิธีงบประมาณแล้วเอามาบิดเบือน พูดครึ่ง ๆ กลาง ๆ จนข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเบื่อหน่ายที่จะต้องมาตอบคำถามให้กับคนที่ตั้งแง่ที่จะไม่เข้าใจ และนำไปบิดเบือนชี้นำให้คล้อยตาม

นายธนาธรมักชอบตั้งคำถามกับทุกอย่างในจักรวาล แต่ไม่เคยตั้งคำถามกับตนเองหรือสำรวจตัวเองเลยว่า นายธนาธรเกิดมาทำไม ประเทศนี้มีนายธนาธรไว้ทำไม มีแต่ตั้งคำถามสรรหาวาทกรรมต่าง ๆ มาดิสเครดิตคนทำงาน เพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนพูดจาสวยหรูเท่านั้น หลายครั้งคล้ายสร้างภาพว่าถูกกลั่นแกล้งรังแกต่าง ๆ เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากพี่น้องและหวังใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ เมื่อพี่น้องประชาชนเดือดร้อนขอให้ช่วยเหลือก็กลับบ่ายเบี่ยงอ้างว่าไม่มีอำนาจ เท่ากับต่อรองกับพี่น้องประชาชนว่าหากอยากให้นายธนาธรช่วยเหลือก็ต้องทำให้เขาได้อำนาจ ซึ่งคงเป็นอุบายที่น่าละอายใจเพื่อเข้าสู่อำนาจใช่หรือไม่

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า หากจำกันได้ ในการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกแรก เมื่อเดือนเมษายน 2563 นายธนาธรออกข่าวใหญ่โตว่าเตรียมมอบเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแรงดันลบและห้องตรวจโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันให้กับโรงพยาบาล 12 แห่งทั่วประเทศ จึงอยากทราบว่าขณะนี้ครบรอบ 1 ปี ในเดือนเมษายน 2564 นายธนาธรได้นำไปมอบให้กับโรงพยาบาลที่ไหนบ้าง ใช้งานได้จริงกี่แห่ง เป็นภาระให้ผู้รับมอบต้องคอยซ่อมบำรุงหรือไม่ หากไม่อยากให้ประชาชนเรียกว่าห้องความดันทิพย์ ก็ขอให้นายธนาธรช่วยชี้แจงในเรื่องดังกล่าว ก่อนวิจารณ์คนที่กำลังทำงานจริง

“นายธนาธร ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์คนทำงาน หากนายธนาธรยังไม่เคยทำอะไรสำเร็จ สิ่งสำคัญตอนนี้คือชีวิตพี่น้องประชาชนที่ต้องร่วมมือกันช่วยเหลือเร่งด่วน สังคมต้องการคนลงมือทำมากกว่าพูด ขอยกตัวอย่างในหลายพื้นที่เคยเลือกนายธนาธรและหวังว่าจะพึ่งพาในยามยากนั้น ก็ไม่เคยเห็นหน้าออกมาช่วยในยามวิกฤต หากนายธนาธรถนัดพูดก็ควรไปเป็นอาสารับโทรศัพท์เคสผู้ป่วยโควิด-19 ตามองค์กรที่เขาเปิดรับ ย่อมจะเป็นประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่า” น.ส.ทิพานัน กล่าว

รัฐบาลลดภาระหนี้ กยศ. ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 64 เป็นต้นไป 

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยปัญหาหนี้ทั้ง กยศ. และปัญหาหนี้สินครู จึงมอบหมายให้หน่วยงานเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ดังนั้น รัฐบาลโดยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จึงได้ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับอนุมัติให้กู้ยืมเงินและทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป

รวมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี เป็นการเฉพาะกิจ สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและมิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้หรือเคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564    พร้อมขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมสู้ภัยโควิดถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ จะชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ผิดนัดชำระหนี้ประจำปี 2563 และปี 2564 ยกเว้นคดีที่จะขาดอายุความในปี 2564  ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากที่มีการเปิดตัว “กยศ. Connect”  เพื่อเป็นช่องทางดิจิทัลสำหรับการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป มียอดดาวน์โหลด ถึงวันที่ 28 เม.ย. ตำนวน 2,580,553 ราย โดยเงื่อนไขการกู้ยืมยังเป็น 4 ลักษณะ คือ ลักษณะที่ 1 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลักษณะที่ 2 นักเรียน/นักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกําลังคนและมีความจําเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ลักษณะที่ 3 นักเรียนหรือนักศึกษา ที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และลักษณะที่ 4 นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดี เพื่อสร้างความเป็นเลิศ โดยเปิดให้กู้ในระดับปริญญาโทด้วยซึ่งเป็นตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องเห็นเด็กไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาทุกคน   

“จุรินทร์” ย้ำคำสั่งรมต.คุมโซนจังหวัดจบแล้ว ถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด ยัน ณ เวลานี้พรรคร่วมยังทำงานมีเอกภาพอยู่ มั่นใจรบ.แก้ปัญหา “ศก.-โควิด-การเมือง”ได้ ปัดตอบยุบสภาปลายปี

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นากยรัฐมนตรี ยกเลิกคำสั่งมอบหมายรัฐมนตรี รับผิดชอบภารกิจขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันแลในแต่ละจังหวัด โดยให้รองนายกรัฐมนตรีดูแลกลุ่มจังหวัดแทน โดยอ้างสถานการณ์โควิด-19 แต่ ส.ส.ภาคใต้พรรคพลังประชารัฐยังไม่พอใจ และจะเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐได้ดูแลพื้นที่ภาคใต้ ว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ได้คุยกับพลังประชารัฐ เพราะเข้าใจว่า เป็นเรื่องของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีไม่ได้แจ้งอะไร แต่ตนได้หารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่เห็นตรงกันว่า การออกคำสั่งดังกล่าว น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดแล้วในสถานการณ์นี้

จึงเรียกได้ว่าอย่างน้อยในเบื้องต้นเรื่องนี้บอกว่าจบแล้วก็น่าจะได้ และถัดจากนี้หากจะมีเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ตนคิดว่าก็จะมีการหารือกัน เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาโดยไม่จำเป็นเมื่อถามว่า ถือว่าเรื่องนี้เข้าใจกันดีแล้วใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ถือว่าจบได้ อย่างน้อยที่สุดในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนนายกรัฐมนตรี ได้ส่งสัญญาณใดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งหรือไม่นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งในที่ประชุมแล้ว ถึงการแบ่งงานให้รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบในเขตจังหวัด แทนการแบ่งให้รัฐมนตรีไปดูแล จึงเป็นการยกเลิก และยุติความเห็นที่ไม่ตรงกัน 

เมื่อถามถึงปัญหารการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ลงรอยกัน ระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นปัญหาจนถึงขั้นต้องยุบสภาเหมือนที่มีการปล่อยข่าวออกมาหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า การเป็นรัฐบาลผสม ถือเป็นเรื่องปกติเพราะมาจากหลายพรรคการเมืองที่มารวมกันอาจจะมีปัญหาความไม่เข้าใจเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งเป็นธรรมชาติของรัฐบาลผสมทั่วโลก เมื่อมีปัญหาความไม่เขาาใจเกิดขึ้นก็ต้องหาทางคลี่คลายทำความเข้าใจกัน โดยถือเป้าหมายในการทำงานเพื่อบ้านเมืองร่วมกัน ถ้ามีกลไกลรูปแบบวิธีการเหมือนที่ผ่านมา ตนคิดว่าทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปได้ และผ่านพ้นสถานการณ์ที่อาจจะเกิดความไม่เข้าใจต่อกันไปได้ 

“ขณะนี้ผมคิดว่านายกรัฐมนตรี ก็จะพยายามแก้ไขปัญหาไปที่ละเปาะก็น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น สำคัญที่สุดก็คือ พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดประชาชน เพราะตอนนี้รัฐบาลต้องเผชิญทั้งปัญหาเศรษฐกิจ โควิด และปัญหาทางการเมือง แต่ผมมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ แม้ว่าทั้งสามปัญหาจะสัมพันธ์กัน แต่สุดท่านน่าจะมีทางออกในการแก้ปัญหาร่วมกันได้” นายจุรินทร์ กล่าว

เมื่อถูกถามย้ำว่า จากปัญหาดังกล่าวจะทำให้มีการยุบสภาในช่วงปลายปีนี้หรือไม่ นายจุรินทร์ได้แต่หัวเราะ ปฎิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว เมื่อถามย้ำว่า การทำงานร่วมกันของรัฐบาลยังเป็นเอกภาพอยู่หรือไม่ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า ณ วันนี้การทำงานยังเป็นเอกภาพอยู่ ตามที่ตนบอกว่าเราเป็นรัฐบาลผสม

นายจุรินทร์ ยังกล่าวย้ำถึงการรวมอำนาจกฎหมาย 31 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ไปไว้ที่ตนเองว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะการออกประกาศขอใช้อำนาจตามกฎหมายของนายกรัฐมนตรี มีการดำเนินการมาตั้งแต่เกิปัญหาโควิด-19 ปีที่แล้ว และอำนาจที่นายกัฐมนตรีนำไปใช้ ก็เฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาโควิดเท่านั้น แต่เชื่อว่า เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง คาดว่าอำนาจการบริหาร ก็จะกลับไปสู่สถานการณ์ปกติ

กระทรวงอุตฯ คุมเข้มสกัดไวรัสระบาด สั่งทุกหน่วยในสังกัด WFH ถึงสิ้น 31 พ.ค.นี้ ย้ำพร้อมให้บริการประชาชนทุกช่องทาง

กระทรวงอุตสาหกรรม ตอบรับมาตรการรัฐควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ และพนักงาน ปฏิบัติงานที่บ้าน เต็มพิกัด เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคมนี้ มั่นใจยังให้บริการประชาชนได้ตามปกติ

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เจ้าของกิจการ หรือผู้ประกอบการภาคเอกชน พิจารณาดำเนินการ Work From Home มาตรการขั้นสูงสุดอย่างน้อย 14 วัน เพื่อลดการรวมกลุ่มของบุคคล อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะลดการแพร่เชื้อได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น 

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ขอให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกแห่ง ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดส่วนกลางปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) เต็มพิกัด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของสัดส่วนจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้มาปฏิบัติงาน ณ สำนักงานที่ตั้งส่วนกลาง รวมทั้งให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกคน สามารถเหลื่อมเวลาปฏิบัติงานได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและลักษณะงานขององค์กร เพื่อลดความเสี่ยงการติดและแพร่กระจายของโรคโควิด-19 เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและตัวเลขของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 

“เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงฯ ได้ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work From Home) อย่างเต็มขีดความสามารถ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะผ่อนคลายลง พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติสำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติตัวตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาหากจำเป็นต้องเข้ามาปฏิบัติงานในสถานที่ราชการ พร้อมจัดตั้งจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกายทุกคนก่อนเข้าอาคาร โดยขอให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการดำเนินงานจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ อาทิ การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วิดีโอคอล แอพพลิเคชั่นไลน์ หรืออีเมล์ มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้มีข้อติดขัดหรือเกิดปัญหากับการให้บริการประชาชนได้

ลุ้นแบงก์ชาติ ออกมาตรการช่วยลูกหนี้รายย่อยเพิ่ม

นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างการทบทวน และกำลังประเมินภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมทั้งหารือกับภาครัฐและธนาคาร เพื่อพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมของ ธปท. โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยที่จะสิ้นสุดเดือน มิ.ย.นี้ เพราะที่ผ่านมาแม้ได้มีมาตรการไปแล้วแต่เป็นสินเชื่อฟื้นฟูและมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจเท่านั้น

“ต้องติดตามดูรายละเอียดมาตรการจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นบริโภคในประเทศเพิ่มเติม ซึ่งเชื่อภาครัฐรอประเมินผลกระทบเช่นกัน และ ธปท.ยืนยันมีมาตรการรองรับอยู่แน่นอน เพราะการระบาดระลอกนี้รุนแรงกว่า 2 รอบที่ผ่านมา เบื้องต้นจากดูข้อมูลเห็นว่าในช่วงนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง แต่ยังไม่เท่าการระบาดรอบแรก ต้องดูว่ายืดเยื้อแค่ไหน ยอมรับการระบาดเป็นวงกว้าง”

นางสาวชญาวดี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ธปท. ยังเตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากเดิมคาดอยู่ที่ 3% ซึ่งที่ประเมินช่วงนั้นยังไม่รวมการระบาดรอบใหม่ โดยจะนำไปประเมินเบื้องต้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 5 พ.ค.นี้ 

กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่ม 3 นิ้ว เล่นแรง ลงมือปฏิบัติการ ‘ล่าแม่มด’ ขุดประวัติผู้พิพากษา ‘ชนาธิป เหมือนพะวงศ์’ พร้อมบุคคลในครอบครัว โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘เยาวชนปลอดแอก-Free YOUTH’ เจตนาชี้เป้าให้ชาวเน็ตรุมถล่ม

เมื่อวันที่ 29 เมษายน เฟซบุ๊ก ‘เยาวชนปลอดแอก-Free YOUTH’ ได้โพสต์รูปภาพ พร้อมข้อความประวัติของ นายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา พร้อมบุคคลในครอบครัว เนื่องจากไม่พอใจการทำงานของผู้พิพากษาท่านดังกล่าว

ที่มา : https://www.facebook.com/FreeYOUTHth/photos/a.115688233213576/502374804544915/

 

มท.แจ้งทุก จว.เตรียมจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในหลวงเนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พ.ค.64

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลเห็นสมควรดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยที่ในขณะนี้ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ขึ้น จึงเห็นควรจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ให้สอดคล้องกับมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ไม่ให้กระจายไปในวงกว้าง และเพื่อให้การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

จึงได้แจ้งไปยังผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเครื่องราชสักการะบริเวณอาคารสำนักงาน ประดับธงชาติไทยคู่กับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. พร้อมประดับผ้าระบายสีเหลืองร่วมกับผ้าระบายสีขาวบริเวณรั้วอาคารสำนักงานตลอดเดือน พ.ค. รวมทั้งประดับไฟบริเวณอาคารสำนักงานให้สวยงามในระยะเวลาที่เห็นสมควร รวมถึงจัดทำคำถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 พร้อมพระบรมฉายาลักษณ์ และสมุดลงนามถวายพระพรชัยมงคลอิเล็กทรอนิกส์ลงบนหน้าหลักเว็บไซต์จังหวัด พร้อมทั้งเชิญชวนผู้บริหารและบุคลากรในสังกัด ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลผ่านระบบออนไลน์ ตลอดเดือนพฤษภาคม 2564 และแจ้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดดำเนินการจัดทำด้วย นอกจากนี้ให้เชิญชวนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนในจังหวัด ร่วมประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย ประดับธงชาติไทยคู่กับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และประดับไฟบริเวณอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย ตลอดเดือน พ.ค. ด้วยความสมัครใจ

รมว.สุชาติ รุดให้กำลังใจ จนท.ตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราว 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำทีมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตรวจ
โควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) ดินแดง ซึ่งเปิดเป็นวันสุดท้าย ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราวและเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5 -11 พ.ค.นี้ 

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย -ญี่ปุ่น) เขตดินแดง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ซึ่งเปิดให้บริการเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่จะปิดศูนย์ชั่วคราว และเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5 - 11 พฤษภาคมนี้ เช่นเดียวกับศูนย์ตรวจโควิด-19 ที่อาคารโดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานีจะเปิดในวันนี้ (30 เม.ย.64) เป็นวันสุดท้าย ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราวและเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5-11 พ.ค.นี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ได้หยุดพักและดำเนินการกลุ่มที่ตกค้างให้แล้วเสร็จ

จากนั้นจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง นายสุชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19  จึงกำชับให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช.เปิดศูนย์ตรวจคัดกรองโรคโควิด -19 เชิงรุก ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ซึ่งจากการดำเนินงานใน 5 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่งภาพรวมตรวจแล้วทั้งหมด 40,353 คน พบผู้ติดเชื้อ 690 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 เม.ย.64 เวลา 17.00 น.) ซึ่งแต่ละศูนย์มีผลการตรวจ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร ตรวจแล้ว 27,095 คน พบผู้ติดเชื้อ 679 คน ซึ่งได้ประสานส่งเข้าโรงพยาบาลแล้วจำนวน 104 คน ส่งเข้า Hospitel จำนวน 397 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ชลบุรี ตรวจแล้ว 1,094 คน พบผู้ติดเชื้อ 11 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ปทุมธานี ตรวจแล้ว 7,389 คน เชียงใหม่ ตรวจแล้ว 2,783 คน นนทบุรี ตรวจแล้ว 1,992 คน ในส่วน 3 จังหวัดยังรอผลตรวจ

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจโควิด-19 รวมทั้งกรณีที่ต้องการรถพยาบาลให้ไปรับที่บ้านเพื่อไปตรวจรักษา ประสานหาเตียงให้ผู้ที่ติดเชื้อ กระทรวงแรงงาน ยังมีสายด่วน 1506 กด 6 ให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 -17.00 น.ทั้งที่สำนักงานประกันสังคมและทีมงานหน้าห้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะประสานการทำงานอย่างใกล้ชิด

“ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจได้ว่าจากการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ววันและให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอีกทางหนึ่งด้วย” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top