Wednesday, 2 July 2025
Hard News Team

‘เพื่อไทย’ แซะ ‘บิ๊กตู่’ โวเศรษฐกิจขยายตัว ทั้งที่บวกลบแล้ว ยังติดลบอยู่ถึง -4.6%

‘เพื่อไทย’ ติง ‘ประยุทธ์’ อย่าพูดเกินจริง เศรษฐกิจขยายตัวยังไม่ถึงระดับที่ได้ตกลงมา ชี้ เศรษฐกิจไทยอยู่ในแดนลบมา 3 ปีแล้ว ประชาชนลำบาก รายได้ลด ค่าใช้จ่ายเพิ่ม แนะ ฟื้นฟูเศรษฐกิจดีกว่าแจกเงิน คนอยากมีรายได้ที่มั่นคง 

นางสาวจุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางรัก และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แย่งซีน สภาพัฒน์ฯ เร่งแถลงการขยายตัวในไตรมาสที่สองว่าจะขยายตัวได้ 3.3% ทั้งที่โดยมารยาทแล้วต้องให้สภาพัฒน์ฯ แถลงข่าวก่อนในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์ถูกโจมตีเรื่องความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ จึงพยายามหาเรื่องเพื่อมากลบปมด้อย โดยที่อาจจะไม่ทราบเลยว่าการขยายตัวได้ 3.3% ไม่ได้แปลว่าดี ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ทรุดหนักติดลบไปถึง -6.2% และปี 2564 เศรษฐกิจไทยแทบไม่ฟื้นเลย โดยขยายได้แค่ 1.6% ซึ่งบวกลบกันแล้ว ยังคงติดลบอยู่ถึง -4.6% ดังนั้น การขยายตัว 3.3% ก็ยังฟื้นไม่ถึงระดับที่ได้ตกลงมา แถมไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 2.2% เท่านั้น ดังนั้น ครึ่งปีแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียงประมาณ 2.8% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่เห็นน่าจะภูมิใจถึงกับต้องเร่งแย่งแถลงข่าวแต่อย่างไร ทั้งที่ตอนต้นปีพลเอกประยุทธ์ยังโม้เองว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายได้ 4% ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้บอกแต่แรกแล้วว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะทำได้ไม่ถึงแน่ 

การที่ในปีนี้เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ต่ำยังไม่ฟื้นกลับไปถึงระดับที่ได้ตกลงมา ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในแดนลบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขนาดนักวิชาการของทีดีอาร์ไอยังยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นช้าที่สุดประเทศหนึ่งของโลก  ส่งผลทำให้ทำไมประชาชนถึงรู้สึกลำบากกันอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจติดลบทำให้รายได้ของประชาชนลดลง คนหาเงินไม่พอค่าใช้จ่ายที่จะเลี้ยงตัวเองแลครอบครัว หาเงินไม่พอผ่อนบ้าน ไม่พอผ่อนรถ ต้องกู้เงินมาประคองชีวิต กู้มาจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกหลาน ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง อีกทั้งธุรกิจก็ย่ำแย่ หนี้สินรุงรังและพุ่งสูงขึ้นเพราะรายได้เข้ามาน้อยแต่รายจ่ายเพิ่ม แถมยังต้องมาเจอกับภาวะเงินเฟ้อ ข้าวของแพง ไข่แพง หมูแพง น้ำมันแพง ก๊าซหุงต้มแพง ไฟฟ้าแพง ปุ๋ยแพง ค่าขนส่งแพง ฯลฯ ซ้ำเติม ยิ่งทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่รู้จะหารายได้ที่ไหนมาประคองชีวิตให้เพียงพอ อีกทั้งหากดอกเบี้ยขึ้นอีก ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเดิมอยู่แล้วให้ยิ่งหนักขึ้น ซึ่งพลเอกประยุทธ์ไม่ได้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย ปัญหาจะเพิ่มหนักขึ้น และ ประชาชนจะทนกันไม่ไหว

‘บิ๊กตู่’ ย้ำเป้าหมาย Net zero ภายในปี พ.ศ. 2608 วอนคนไทยร่วมรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

‘บิ๊กตู่’ กล่าวปาฐกถาพิเศษงาน TCAC ยืนยันเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งใช้นโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นกลไกหลักในการสร้างความสมดุลแห่งการพัฒนา เดินหน้าสร้างความเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 5 สิงหาคม ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC) จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด“อนาคตไทย อนาคตโลก: โอกาสและความรับผิดชอบ (Our Future: Our Responsibility, Our Opportunity)” โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2608 ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบทวีความรุนแรงมากขึ้นต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียส 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชาคมโลกต้องเร่งยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะส่งผลให้นานาประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการผลิตสินค้าอาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นที่ประชากรทั่วโลกจะประสบกับภาวะขาดแคลนอาหาร และภัยธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น World Economic Forum : WEF จึงได้กำหนดให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามระยะยาวของโลกที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อการดำเนินเศรษฐกิจระดับมหภาค ที่ผ่านมา ประชาคมโลกได้พยายามยกระดับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส  และพยายามควบคุมให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกลงร้อยละ 45 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิต้องเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 พร้อมทั้งสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น ควบคู่กันไปอย่างสมดุล

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและกระทันหัน เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ซึ่งล้วนแต่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ในปี 2564 ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงสุด เป็นลำดับที่ 9 ของโลก ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมแล้วนับแสนล้านบาท ในวันนี้ ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติต่าง ๆ อย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า นโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้กำหนดทิศทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืนในทุกมิติร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทต่าง ๆ ที่มุ่งสู่การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุม 3 องค์ประกอบที่สำคัญ การลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาวที่สอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ,การปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนามาตรการทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการคลัง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับตัวสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่แสดงเจตนารมณ์ต่อ United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC 

ตร. ตีแผ่ “หนี ซ่อน สู้” หลักสากลในการเอาชีวิตรอดในเหตุกราดยิง (Active Shooter)

วันที่ (5 ส.ค. 2565) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า เหตุกราดยิง หรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า Active Shooter นั้น ไม่ได้พบแต่ในต่างประเทศเท่านั้น แต่ในประเทศไทยก็เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว เช่น เหตุกราดยิง ที่ตลาดไท อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ (23 พ.ค. 2550) และเหตุกราดยิง ที่ ห้าง Terminal 21 จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ (8 ก.พ. 2563) เป็นต้น อีกทั้งหลักการดังกล่าวยังสามารถนำไปปรับใช้ในการเอาชีวิตรอดในเหตุการณ์ยิงปะทะต่าง ๆ อีกด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้รู้จักหลัก “หนี ซ่อน สู้” หรือ “Run Hide Fight” ซึ่งเป็นหลักสากลที่ FBI และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในหลาย ๆ ประเทศ นำมาใช้แนะนำประชาชนในการเอาชีวิตรอดในเหตุกราดยิง โดยหลักการดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้

“หนี – Run” เมื่อสามารถหาเส้นทางหลบหนีที่พาไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้
- เวลาไปสถานที่ต่าง ๆ ให้จดจำทาง เข้า-ออก และทางออกฉุกเฉินให้เป็นนิสัย
- เมื่อเกิดเหตุต้องตั้งสติให้ดี และมองหาเส้นทางในการหลบหนี
- ทิ้งของทุกอย่างที่ไม่จำเป็น
- ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่สามารถช่วยได้

Grand Opening Advanced wound care Center หยุดแผลเรื้อรังแบบไม่ลุกลาม ด้วยเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์

เนื่องจากปัจจุบันการรักษาทางการแพทย์ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งเน้นในการรักษาคนไข้ให้กลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็วยิ่งขึ้นทาง โรงพยาบาลพญาไท3 จึงได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องของการดูแลคนไข้และไม่เคยหยุดพัฒนาเทคโนโลยีการรักษารูปแบบใหม่อยู่เสมอ และอีกหนึ่งการดูแลรักษาที่สำคัญที่หลายท่านอาจมองข้ามไปนั่นคือการดูแลบาดแผล ซึ่งหลายท่านอาจเคยคิดว่าการล้างแผล ทำแผล อาจเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ต้องใช้เทคนิคในการดูแล แต่ความจริงแล้วการเกิดบาดแผลเพียงเล็กน้อยหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพแล้วอาจเกิดการติดเชื้อและลุกลามและอาจส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้

ด้วยเหตุนี้ นายแพทย์สุรพล โล่ห์สิริวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท3 จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยพร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการรักษาให้ เปิดศูนย์ Advanced Wound Care Center  หยุดแผลเรื้อรังแบบไม่ลุกลาม ด้วยเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ถือเป็นอีกหนึ่งการยกระดับการดูแลบาดแผลด้วยแพทย์เฉพาะทางและมีการใช้เทคโนโลยีและวัสดุการดูแลการปิดแผลที่ทันสมัย การใช้เทคโนโลยีการตัดเนื้อตายด้วยพลังน้ำ Hydrosurgery ช่วยส่งเสริมการหายของบาดแผลไม่รบกวนคุณภาพชีวิต เพื่อดูแลคนไข้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  

ด้านมุมมองทางการแพทย์โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการดูแลบาดแผล  ศูนย์ Advanced wound care Center นำทีมโดย

พญ.นรสรา วิทยาพิพัฒน์  ศัลยแพทย์ศูนย์ศัลยกรรมเทคโนโลยชั้นสูง โรงพยาบาลพญาไท3 
พญ.เบญจพร นันทสันติ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการส่องกล้อง โรงพยาบาลพญาไท3
ผศ.พญ.กุสุมา ชินอรุณชัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านอุบัติเหตุและบาดแผล โรงพยาบาลพญาไท3
นพ.พงษ์ตะวัน กัลยพฤกษ์ ศัลยแพทย์ทั่วไป ศัลยแพทย์หลอดเลือดแผลจากหลอดเลือดโรงพยาบาลพญาไท3

'ก้าวไกล' ยื่น ป.ป.ช. ไต่สวน 'ประยุทธ์และคณะ' ปมเตะถ่วงสอบทุจริตกองบินตำรวจ-ตั๋วช้างนักบินเถื่อน

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม และ พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรี และข้าราชการตำรวจระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในกรณีที่รังสิมันต์ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เกิดขึ้นภายในกองบินตำรวจ

โดยคำร้องที่นำมายื่นมี 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.) เรื่องการทุจริตกรณีกองบินตำรวจสั่งจ้างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซ่อมอากาศยาน ก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินงบประมาณปี 2563 จนต้องนำงบกลางไปชำระ หนี้เป็นจำนวนถึง 937 ล้านบาท และกรณีกองบินตำรวจทำสัญญาแลกเปลี่ยนอะไหล่อากาศยาน นำอะไหล่ที่ใช้งานได้ไปแลกโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายและตีราคาต่ำเกินจริง กระทำการโดย พล.ต.ต.กำพล กุศลสถาพร อดีตผู้บังคับการกองบินตำรวจ และพวก 

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้บังคับบัญชาสูงสุด ของข้าราชการตำรวจ แม้จะได้รับทราบถึงกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว แต่กลับปล่อยปละละเลยให้เกิดการ ประวิงเวลาในกระบวนการสืบสวนสอบสวนและพิจารณาวินิจฉัยลงโทษผู้กระทำความผิด ซึ่งสั่งการโดย พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติ ไม่เร่งรัดให้ สตช. ตรวจสอบภาระหนี้ ไม่กำกับดูแลข้าราชการตำรวจจนแจ้งปฏิเสธหนี้ต่อกรมบังคับคดีไม่ทันกำหนดเวลา ส่งผลให้ สตช. กลายเป็นลูกหนี้เด็ดขาดและต้องถูกศาลล้มละลายบังคับให้ชำระหนี้ ตลอดไปจนถึงร่วมกับคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้การก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินงบประมาณของ สตช. ชอบด้วย กฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลรับรองความชอบของการกระทำของ พล.ต.ต.กำพลและพวกด้วย

และ 2.) เรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยปละละเลยให้ พล.ต.ต.กำพล อ้าง 'ตั๋วช้าง' หรือหนังสือจาก ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาใช้จัดทำแผนถวาย ความปลอดภัยขบวนเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ โดยมี พล.ต.ต.ณรงค์รัตน์ พิชัยณรงค์ รองผู้บัญชาการ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ เป็นผู้จัดทำแผนและผนวกประกอบแผน และ พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ช่วยผู้ บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามอนุมัติแผน มีเนื้อหาแต่งตั้ง พล.ต.ต.กาพล เป็นผู้อำนวยการรวมถึง นักบินเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งภายหลังจากที่โดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย ทั้งยังไม่ได้รับการตรวจสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจสำหรับความเป็นนักบินตามเกณฑ์ของ สตช. ซึ่งถือเป็นการนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง

การกระทำทั้งสองเรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์ คณะรัฐมนตรี และข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 อันมีโทษ ฐานเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้ อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ในกรณีการสั่งจ้างเกินงบประมาณและทำการสัญญา แลกอะไหล่ ความผิดตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ฐานข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพัน หรือโดยรู้อยู่แล้วยินยอมให้กระทำการดังกล่าวนั้นโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ. นี้ จะต้องรับผิดชดใช้เงินงบประมาณที่หน่วยรับงบประมาณได้จ่ายไปหรือต้องผูกพันจะต้องจ่าย ตลอดจนค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ให้แก่หน่วยรับงบประมาณ การกระทำขัดต่อ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และ พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 ในกรณีออกตั๋วช้างและตั้งหน่วยงานนอกกฎหมาย

มท.1 สั่งสอบ ‘ไฟไหม้ผับสัตหีบ’ ด่วน พบเปิดโดยไม่ได้รับอนุญาต - อยู่นอกโซนนิ่ง

วันนี้ (5 ส.ค. 65) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลกรมการปกครอง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้ สถานบันเทิง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมาท์เทน บีผับ ที่มีผู้เสียชีวิต 13 ราย รวมไปถึงมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ว่า การดำเนินการไม่น่าจะถูกต้อง เพราะไม่ได้รับอนุญาต ฉะนั้นจะต้องไปตรวจสอบอีกครั้งว่าใครรับผิดชอบอะไรอย่างไร เนื่องจากอยู่ในพื้นที่โซนนิ่งไม่ให้มีสถานบันเทิง รวมไปถึงสถานประกอบการดังกล่าวก็ไม่ได้มีการขออนุญาต และยังไม่นับว่า ในการขออนุญาตท้องถิ่นนั้นถูกต้อง หรือไม่ อย่างไร

'เพื่อไทย' ติง 'ประยุทธ์' อย่าพูดเกินจริง เศรษฐกิจขยายตัวยังไม่ถึงระดับที่ได้ตกลงมา ชี้ เศรษฐกิจไทยอยู่ในแดนลบมา 3 ปีแล้ว แนะ ฟื้นฟูเศรษฐกิจดีกว่าแจกเงิน คนอยากมีรายได้ที่มั่นคง

นางสาวจุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางรัก และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แย่งซีน สภาพัฒน์ ฯ เร่งแถลงการขยายตัวในไตรมาสที่สองว่าจะขยายตัวได้ 3.3% ทั้งที่โดยมารยาทแล้วต้องให้สภาพัฒน์ฯ แถลงข่าวก่อนในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์ถูกโจมตีเรื่องความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจจึงพยายามหาเรื่องเพื่อมากลบปมด้อย โดยที่อาจจะไม่ทราบเลยว่าการขยายตัวได้ 3.3% ไม่ได้แปลว่าดี ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ทรุดหนักติดลบไปถึง - 6.2% และปี 2564 เศรษฐกิจไทยแทบไม่ฟื้นเลย โดยขยายได้แค่ 1.6% ซึ่งบวกลบกันแล้ว ยังคงติดลบอยู่ถึง - 4.6% ดังนั้น การขยายตัว 3.3% ก็ยังฟื้นไม่ถึงระดับที่ได้ตกลงมา แถมไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 2.2% เท่านั้น ดังนั้น ครึ่งปีแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียงประมาณ 2.8% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่เห็นน่าจะภูมิใจถึงกับต้องเร่งแย่งแถลงข่าวแต่อย่างไร ทั้งที่ตอนต้นปีพลเอกประยุทธ์ยังโม้เองว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายได้ 4% ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้บอกแต่แรกแล้วว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะทำได้ไม่ถึงแน่ 

การที่ในปีนี้เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ต่ำยังไม่ฟื้นกลับไปถึงระดับที่ได้ตกลงมา ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในแดนลบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขนาดนักวิชาการของทีดีอาร์ไอยังยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นช้าที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ส่งผลทำให้ทำไมประชาชนถึงรู้สึกลำบากกันอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจติดลบทำให้รายได้ของประชาชนลดลง คนหาเงินไม่พอค่าใช้จ่ายที่จะเลี้ยงตัวเองแลครอบครัว หาเงินไม่พอผ่อนบ้าน ไม่พอผ่อนรถ ต้องกู้เงินมาประคองชีวิต กู้มาจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกหลาน ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง อีกทั้งธุรกิจก็ย่ำแย่ หนี้สินรุงรังและพุ่งสูงขึ้นเพราะรายได้เข้ามาน้อยแต่รายจ่ายเพิ่ม แถมยังต้องมาเจอกับภาวะเงินเฟ้อ ข้าวของแพง ไข่แพง หมูแพง น้ำมันแพง ก๊าซหุงต้มแพง ไฟฟ้าแพง ปุ๋ยแพง ค่าขนส่งแพง ฯลฯ ซ้ำเติม ยิ่งทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่รู้จะหารายได้ที่ไหนมาประคองชีวิตให้เพียงพอ อีกทั้งหากดอกเบี้ยขึ้นอีก ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเดิมอยู่แล้วให้ยิ่งหนักขึ้น ซึ่งพลเอกประยุทธ์ไม่ได้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย ปัญหาจะเพิ่มหนักขึ้น และ ประชาชนจะทนกันไม่ไหว

'พงศ์พล' แนะ!! ส.ส. อย่าเล่นเกมทำ 'สภาล่ม' ชี้!! ปชช. ผิดหวัง แถมรัฐเสียหายครั้งละ 4 ล้านกว่า

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ คณะทำงานด้านการเมือง พรรคกล้า กล่าวตั้งคำถามถึงกรณีสภาล่ม จนอาจทำให้การพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ไม่ทันกำหนดเวลา ว่า ตลอด 5 เดือน เราต่อสู้กับความไร้วินัยในการทำงานของ ส.ส. ที่ทำให้สภาล่มต่อเนื่อง ล่าสุด (3 ส.ค. 65) สภาล่มอีกครั้ง คราวนี้ บางพรรคออกมายอมรับตรง ๆ ว่า จงใจไม่กดบัตรเข้าแสดงตน ต้องการยื้อร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้พิจารณาไม่เสร็จภายใน 15 ส.ค. เพื่อกลับไปใช้กติกาหาร 100 ที่ตนได้เปรียบ 

นายพงศ์พล กล่าวว่า 3 ปีกว่า ๆ สภาล่ม 20 ครั้ง มูลค่าความเสียหายเฉียด 83.6 ล้านบาท แทคติคทำสภาล่มมีความเสียหายครั้งละ 4 ล้านกว่าบาท ล่าสุด ระหว่างพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. …. ทั้งสิ้น 12 มาตรา ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าถึงการคุ้มครองทางกฏหมายเร็วขึ้น, เพิ่มโทษทางวินัยกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ดึงเรื่องล่าช้า, เพิ่มช่องทางติดต่อหน่วยงานทางดิจิตัลได้ตรง นี่คือกฎหมายปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ต้องหยุดแค่มาตรา 8 เพราะองค์ประชุมในสภาไม่ครบ

Heidelberg University ตำนานมหาวิทยาลัยสยองขวัญแห่งเยอรมนี ที่ยังเปิดรับนักศึกษาทั่วโลกให้ได้ไปสัมผัส

ทุก ๆ สถานที่ล้วนมีตำนาน และตำนานก็คือเรื่องราวหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพียงแต่มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของเยอรมนีอย่าง Heidelberg University อาจมีเรื่องราวที่ทั้งขลัง และชวนสยองขวัญกว่าสถาบันอื่น ๆ ที่ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ไป ขนหัวลุกไปเลยทีเดียว 

ประวัติโดยสังเขปของ Heidelberg University ตั้งอยู่ในบาเดิน-เวิอร์ทเทิมแบร์ค (Baden-Württemberg) แคว้นที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเยอรมัน ก่อตั้งในปี ค.ศ.1386 จนถึงปีนี้มีอายุกว่า 636 ปีแล้ว นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนี ที่ยังคงเปิดการเรียน การสอนอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากจะมีอายุเก่าแก่แล้ว ยังคงรักษาระดับความเป็นเลิศด้านวิชาการ เป็นสถาบันการศึกษาระดับแถวหน้าของเยอรมนี ที่สร้างนักวิชาการที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 33 คน สาขาวิชาที่สร้างชื่อเสียงให้แก่สถาบันได้แก่ แพทยศาสตร์ รังสีวิทยา ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ จิตวิทยา กฎหมาย และชีววิทยาแขนงต่าง ๆ 

เมื่อเป็นสถาบันที่มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี ย่อมมีเรื่องราวทั้งด้านสว่าง และด้านมืด แต่ตำนานหลอนที่อยู่คู่กับสถาบันแห่งนี้กลับเพิ่งเกิดขึ้นในยุคประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ในช่วงพรรคนาซีเรืองอำนาจในเยอรมันนี่เอง 

เมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำเยอรมันในปี 1933 เขาได้สั่งให้กวาดล้างนักวิชาการฝ่ายซ้าย หรือผู้มีแนวคิดคอมมิวนิสต์ในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งช่วงเวลานั้น Heidelberg University มีการรวมกลุ่มของนักศึกษา และอาจารย์ที่มีแนวคิดคอมมิวนิสต์ และกลุ่มนักวิชาการชาวเยอรมันเชื้อสายยิวอยู่ไม่น้อย 

ทางรัฐบาลนาซีได้ออกคำสั่งให้อาจารย์ของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแนวการสอนเพื่อสนับสนุนการปกครองของรัฐบาลนาซี-เยอรมนี รวมถึงเผาตำราที่ต่อต้านลัทธินาซีทั้งหมดทิ้ง ที่จัตุรัสกลางมหาวิทยาลัย ส่วนอาจารย์บางคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ และไม่ยอมเปลี่ยนแนวการสอน หรือมีเชื้อสายยิวก็จะถูกกำจัด หรือไม่ก็กวาดต้อนไปอยู่ในค่ายกักกันนาซี และไม่ได้กลับมาอีกเลย 

ช่วงยุคมืดนั้น ทำให้เกิดเรื่องราวหลอนภายใน Heidelberg University จนถึงปัจจุบัน ว่าเมื่อเดินผ่านจัตุรัสกลางมหาวิทยาลัยตอนช่วงค่ำ จะได้กลิ่นเหมือนกระดาษเก่า ๆ และปกหนังสือที่ทำด้วยหนังกำลังไหม้ไฟอยู่ ในจุดที่เคยมีการเผาตำราจำนวนมหาศาลในสมัยนาซี

‘บิ๊กตู่’ สั่งจนท. ตรวจสอบสถานบันเทิง หลังไฟไหม้ผับดังชลบุรีทำคนตายเพียบ

‘บิ๊กตู่’ ให้เจ้าหน้าที่ ประสานเจ้าของเม้าส์เทน บีผับ ช่วยเหลือเยียวยา ผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ จี้ ส่วนราชการในพื้นที่สำรวจสถานบันเทิงให้มีความปลอดภัย หวั่นเกิดเหตุซ้ำ

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานกรณีเหตุเพลิงไหม้ เม้าส์เทน บีผับ ( MOUNTAIN B ) ริมถนนสาย สุขุมวิท  ม.7 ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พบว่ามีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนหลายราย นายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งตรวจสอบหาสาเหตุ มอบหมายให้ส่วนราชการเป็นคนกลางประสานกับเจ้าของผับเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top