Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยกระดับคุณภาพชีวิตเยาวชนในถิ่นทุรกันดารภาคเหนือ – อีสาน อย่างยั่งยืนต่อเนื่อง เดินสายมอบจักรยาน หน้ากากอนามัย อุปกรณ์กีฬาให้กับ 95 โรงเรียนในพื้นที่ชนบท รวมงบประมาณกว่า 3 ล้านบาท 

ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน - 27 ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร มอบหมายให้ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ จัดทีมลงพื้นที่โรงเรียนชนบท มอบจักรยาน และอุปกรณ์กีฬา ให้แก่นักเรียนประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ และอีสาน ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี กำแพงเพชร ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ลำปาง พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ชัยภูมิ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี และขอนแก่น รวม 19 จังหวัด 95 โรงเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกายเรียนรู้กฎจราจร รวมถึงการแบ่งปัน การดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐแต่ละแห่งเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษาในแต่ละแห่ง เป็นผู้รับมอบ

สำหรับโครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจร ในปี พ.ศ.2567 นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้คัดเลือกโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ และภาคอีสาน ที่มีนักเรียนประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียน รวมจำนวน 100 แห่ง ดำเนินการมอบรถจักรยานขนาด 20 และ 24 นิ้ว รวม 2,000 คัน , หน้ากากอนามัย จำนวน 50,000 ชิ้น อุปกรณ์กีฬา จำนวน 100 ชุด และค่าพาหนะเดินทางแก่โรงเรียนๆละ 2,000 บาท รวมคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น จำนวน 3,195,000 บาท (สามล้านหนึ่งแสนเก้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน) 

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการส่งเสริมด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung 

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ทรัมป์ลั่นดันกม.ประหารชีวิต เอาผิดนักโทษคดีข่มขืนและฆาตกรโหด

(26 ธ.ค. 67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศว่า หลังเข้าสู่ทำเนียบขาว เขาจะมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามกฎหมายเพื่อผลักดันโทษประหารชีวิตสำหรับผู้ข่มขืนและฆาตกรที่ใช้ความรุนแรง

“เมื่อผมเข้ารับตำแหน่งในวันที่เข้าพิธีสาบานตน ผมจะสั่งให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันโทษประหารชีวิตเพื่อปกป้องครอบครัวและเด็กๆ ของชาวอเมริกันจากผู้ข่มขืน, ฆาตกร, และอาชญากรสุดโหด เราจะกลับมาเป็นประเทศที่มีระเบียบและกฎหมายอีกครั้ง!” ทรัมป์ระบุผ่าน Truth Social ตอบโต้หลังมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศอภัยโทษประหารชีวิตต่อฆาตกรที่ทำร้ายเด็กและฆาตรกต่อเนื่องหลายราย

“โจ ไบเดนเพิ่งลดโทษประหารชีวิตให้กับ 37 ฆาตกรที่โหดเหี้ยมที่สุดในประเทศของเรา เมื่อคุณได้ยินการกระทำของแต่ละคน คุณจะไม่เชื่อว่าเขาทำเช่นนี้ มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ญาติและเพื่อนๆ ของพวกเขาถูกทำลายยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่เชื่อว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น!” ทรัมป์เขียนในโพสต์โดยวิจารณ์การตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46

ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2024 ทรัมป์ได้เรียกร้องให้มีโทษประหารชีวิตสำหรับผู้อพยพที่ฆ่าประชาชนชาวอเมริกันหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขายังกล่าวว่าโทษประหารชีวิตยังควรถูกใช้ต่อผู้ค้ายาเสพติดเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในสหรัฐด้วย

อย่างไรก็ตาม ในบรรดา 37 นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ที่ไบเดน ไม่ได้ลดโทษให้คือ ดโจคาร์ ซาร์นาเอฟ ผู้ก่อเหตุระเบิดในงานมาราธอนบอสตันเมื่อเดือนเมษายน 2013 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน, ดายแลน รูฟ นักเหยียดผิวผู้ก่อเหตุยิงคนผิวสี 9 คนในโบสถ์ที่ชาร์ลสตันเมื่อเดือนมิถุนายน 2015, และโรเบิร์ต เบาเวอร์ส ผู้ก่อเหตุยิงที่โบสถ์ยิวในพิตต์สเบิร์กเมื่อเดือนตุลาคม 2018 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน

พังงา-จัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 20 ปี สึนามิถล่มพื้นที่ฝั่งอันดามัน เพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต-ผู้ที่สูญหาย

(26 ธ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่อนุสรณ์สถานสึนามิบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา มีการจัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 20 ปี ในวันที่ 26 ธ.ค. จากกรณีเหตุการร์คลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่ม 6 จังหวัดอันดามัน ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง สตูล เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 ที่ผ่านมา โดยมีนายศิวัชฐ์ ระวังกุล นายอำเภอตะกั่วป่า ได้เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายธงชัย หันช่อ นายก อบต.บางม่วง นายมนัสศักดิ์ ยวนแก้ว ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 บ้านน้ำเค็ม เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมทำกิจกรรมครบรอบ 20 ปี รำลึกสึนามิ ในครั้งนี้ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก รวมทั้งบ้านเรือนประชาชน ห้างร้าน สถานประกอบการต่างๆ ได้รับผลกระทบ

นางสาววรรณวิสา นนทอง ชาวบ้านบ้านน้ำเค็ม อายุ 37 ปี 12/11  ม.2 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป้า จ.พังงา กล่าวว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ยังคงจดจำไม่มีลืมเลือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้สูญเสียคนในครอบครัวถึง 3 คน ความรูสึกยังคงระลึกถึงบุคคลที่จากไปเสมอ ส่วนการตื่นตัวกับเหตุการณ์ภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ ก็ได้มีการหาความรู้ โหลดแอพเกี่ยวกับแผ่นดินไหว และในพื้นที่เองก็ยังมีการซ้อมแผนหนีภัยอย่างต่อเนื่อง จึงเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตกว่าช่วงแรกๆที่เกิดเหตู

สำหรับจังหวัดพังงา เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิต และทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก โดยทาง จ.พังงา ได้กำหนดจัดให้มีกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นประจำทุกปี การยืนไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต วางดอกไม้ไว้อาลัย ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 3 ศาสนา พุทธ คริสต์ และอิสลาม แก่ผู้ล่วงลับและสูญหาย ซึ่งปัจจุบันได้ฟื้นฟูจนกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยไม่มีเค้าโครงภาพการสูญเสียปรากฏให้เห็น แต่ยังคงมีอนุสรณ์สถานสึนามิในหลายพื้นที่ที่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงเหตุการณ์ความรุนแรงจากภัยธรรมชาติในครั้งนั้น ซึ่งในแต่ละปีจะมีกิจกรรมการรำลึกให้ญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิ ได้ร่วมไว้อาลัย ณ สถานที่ต่างๆ ซึ่งการจัดงานรำลึกสึนามิในครั้งนี้ จะเป็นคุณูปการต่อสาธารณชนในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวเองก็จะเข้าร่วมงานรำลึกสึนามิเป็นประจำตลอดทุกปี

โดยปีนี้จะมีการจัดงานครบรอบ 20 ปี สึนามิขึ้นจำนวน 5 จุด ได้แก่ บริเวณเรือตรวจการณ์บุเรศผดุงกิจ (ต.813) พื้นที่ ต.คึกคัก บริเวณอนุสรณ์สถานสึนามิบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง โรงแรมเขาหลัก แมริออท บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา ต.บางม่วง และบริเวณสุสานผู้ประสบภัยสึนามิ บ้านบางมรวน (บาง-มะ-รวน) ต.บางม่วง

'เฉลิมชัย' ย้ำ ปชป. ขึ้นปีที่ 79 อุดมการณ์ยังมั่นคง เทใจให้สื่อร่วมกันทำงาน 'เดชอิศม์' ยันพรรคเติบโตปีเดียวสมาชิกตลอดชีพเพิ่ม 2 หมื่นคน

เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (24 ธ.ค. 67) พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับสื่อมวลชน ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าอาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช สำนักงานใหญ่ของพรรค ถือว่าเป็นงานประเพณีของพรรคที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับในปีนี้บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น โดยมี กรรมการบริหาร สส. ไปจนถึงอดีต สส. เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง 

ในช่วงหนึ่ง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (รมว. ทส.) กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความผูกพันกับสื่อมวลชนมาเป็นเวลานานมาก บางท่านเรารู้จักกันมานานถึง 10-20 ปีแล้ว วันนี้จึงอยากให้สื่อมวลชนได้มาเห็นว่าประชาธิปัตย์ของเราเปิดพื้นที่จริงๆ ไม่ได้เปิดแต่ปาก พร้อมกับปรับเปลี่ยนการทำงานทั้งหมด 

“ประชาธิปัตย์คนเดิมมีอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง คนใหม่ที่เข้ามาคือปรับการทำงาน จุดยืน อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และผมจะไม่ยอมเป็นหัวหน้าพรรคที่เปลี่ยนแปลงจุดยืนและอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์เด็ดขาด แต่ถ้าประชาธิปัตย์ไม่เปลี่ยน หรือผมไม่กล้าเปลี่ยน ประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ 100% ผมอยากให้ประชาธิปัตย์เดินต่อ มาเดินข้างผม มาเดินไปพร้อมๆ กับผม เชื่อเถอะครับว่า อนุรักษ์นิยมทันสมัย ยังอยู่ได้ในประเทศไทย” ดร.เฉลิมชัย กล่าว 

พร้อมกับได้อวยพรสื่อมวลชน ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านให้ความเคารพนับถือ พระแม่ธรณีบีบมวยผมที่เป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ พระบารมีในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้โปรดประทานพรให้พี่น้องและเพื่อนสื่อมวลชน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ  สส. สมาชิกพรรคทุกท่านให้โชคดี คิดสิ่งใดขอให้สำเร็จ สุขภาพร่างกายแข็งแรง เดินทางไปไหนให้แคล้วคลาดปลอดภัย 

จากนั้น นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ได้ขึ้นเวทีพร้อมกับกล่าวว่า หลายคนบ่นกับตนว่าเมื่อก่อน นายกชายเข้าง่าย สัมผัสง่าย โดยเฉพาะช่วงก่อนร่วมรัฐบาล พวกเราขยี้นายกชาย ได้อย่างเต็มที่ แต่พอไปเป็นรัฐมนตรี 3 เดือน แทบจะหาตัวไม่ได้เลย เรื่องนี้ขอชี้แจงว่า 

1. ตนยังเป็น สส. เขตอยู่ เมื่อเสร็จงานที่กรุงเทพฯ ก็กลับไปอยู่ในเขตของตัวเอง และเพิ่งไปเห็นว่า จนท. พรรค ไปแค่ 3 วัน ก็มีประชาชน มีแกนนำมาสมัครสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 4,000 กว่าคนแล้ว แบบนี้จะบอกว่ากระแสประชาธิปัตย์ตกต่ำได้อย่างไร 

2. ตนยังทำหน้าที่เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ร่วมกับหัวหน้า และเพื่อนชาวประชาธิปัตย์ ฟื้นฟูพรรคให้ได้ เมื่อไปดูตัวเลขสมาชิกพรรค ตั้งแต่ ดร.เฉลิมชัย มาเป็นหัวหน้าพรรค จนถึงวันนี้ มียอดผู้สมัครเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพ เกิน 20,000 คน แล้วประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ได้อย่างไร

“หลายคนดูถูกว่าเฉลิมชัย ศรีอ่อนมาเป็นหัวหน้าพรรค ทำให้พรรคตกต่ำอยู่แล้วยิ่งตกต่ำเข้าไปอีก พูดถึงขนาดว่าประชาธิปัตย์ต้องสูญพันธุ์ แล้วไปดูสิครับ วันนี้ จนท. พรรค คีย์รับสมัครไม่ทันเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าประชาธิปัตย์ไม่สูญพันธุ์แน่นอน ประชาธิปัตย์เริ่มเชิดหัวขึ้นแล้ว” 

3. ตนได้รับฉันทามติจากพี่น้องประชาธิปัตย์ ให้ไปทำหน้าที่เป็น รมช. สธ. ผมดูแล 2 กรมเล็กๆ คือกรมแพทย์ทางเลือกฯ และกรมอนามัย กับอีก 5 สถาบัน แม้จะเป็นกรมเล็กๆ แต่มีผลต่อสุขภาพของคนไทย 

“ขอถือโอกาสนี้อำนวยอวยพรให้พี่น้องสื่อมวลชน ข้อ 1 ต้องมีสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่แข็งแรง ข้อ 2 ให้มีความก้าวหน้าในการงานของท่าน ข้อ 3 ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยทุกคน ข้อ 4 ขอให้ลูกหลานของทุกท่านประสบความสำเร็จด้วย” เลขาธิการพรรค กล่าว 
 

'พิชัย' มอบรางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 ให้กับ 41 สุดยอดผู้ส่งออกไทย ขอบคุณสร้างเงินเข้าประเทศเพื่อคนไทยร่วม 43,000 ล้านบาท ในปี 67

(26 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 หรือ รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่นประจำปี 2567 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ผู้ประกอบการส่งออกไทย ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 32 ภายใต้แนวคิด “Forward and Beyond, The Power of Perfection: ก้าวล้ำสู่สากล สร้างพลังสู่ความสำเร็จ” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการไทยในการยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการสู่ระดับสากล  ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดระดับประเทศสำหรับผู้ประกอบการส่งออกของไทย โดยปีนี้ มีผู้ประกอบการได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 41 รางวัล จาก 7 สาขา ครอบคลุม 39 บริษัท จาก 25 จังหวัดทั่วประเทศ 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการส่งออก โดยดำเนินนโยบายเชิงรุกในการขยายตลาดการค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ อาทิ สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ ควบคู่ไปกับการรักษาและพัฒนาตลาดเดิม รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางการค้าในภูมิภาคให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น สำหรับรางวัล PM’s Export Award  ถือเป็นรางวัลสูงสุดที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการทั้งสินค้าและบริการประเภทต่างๆ รางวัลนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศ พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการ ให้มีคุณภาพสูงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล 

ด้านนางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มอบรางวัล Prime Minister’s Export Award อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 32 นับตั้งแต่ปี 2535 เป็นรางวัลสำหรับผู้ประกอบการส่งออกที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำภาพลักษณ์สินค้าและบริการไทยที่มีความโดดเด่นในมิติต่างๆควบคู่กับการบริหารจัดการองค์กรและการตลาด พัฒนากระบวนการผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล ให้เกิดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศต่อสินค้าและบริการที่มาจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลนี้และยังคงดำเนินธุรกิจถึง 333 บริษัท รวม 879 รางวัล

โดยในปีนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการในประเภทรางวัลต่างๆ รวมทั้งสิ้น 150 ราย ผ่านการพิจารณาคัดเลือกและตัดสินให้เข้ารับรางวัลทั้ง 7 สาขา รวม 41 รางวัล 39 บริษัท จาก 25 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบด้วย
 
1. รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม Best Exporter จำนวน 9 รางวัล 
2. รางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม Best Thai Brand จำนวน 5 รางวัล 
3. รางวัลผู้ส่งออกยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน (Best Green & Sustainable Exporter) จำนวน 9 รางวัล 
4. รางวัลออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) จำนวน 8 รางวัล 
5. รางวัลธุรกิจบริการยอดเยี่ยม (Best Service Enterprise) ประกอบด้วย สาขาโรงพยาบาล/ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง/คลินิกเฉพาะทาง (Health & Wellness) สาขาดิจิทัลคอนเทนท์และซอฟท์แวร์ (Digital Content & Software) และสาขาธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (Printing and Packaging) รวมจำนวน 3 รางวัล
6. รางวัลสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม (Best OTOP) จำนวน 3 รางวัล 
7. รางวัลสินค้าฮาลาลยอดเยี่ยม (Best Halal) รวมจำนวน 4 รางวัล 

“ท่านนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งออก ประเทศเราต้องพึ่งส่งออกแต่ทำอย่างไรจะส่งออกได้มากขึ้น การไปสู้กับคนทั้งโลกไม่ง่าย พวกท่านมีความกล้าหาญ มีความสามารถมาก และปีนี้การส่งออกไทยดีมาก เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขยายตัว 8.2% เดือนตุลาคมขยาย 14.6% โดย 11 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกไทยขยายตัว 5.1% เราไม่เห็นตัวเลข 5% มาเป็น 10 ปีแล้ว ดีใจที่เราสามารถขยายตลาดส่งออกได้ จากที่โตแค่ 1.9% มาเป็น 10 ปี 

กระทรวงพาณิชย์เรามีหน้าที่ส่งเสริมพวกท่าน ผมได้ให้นโยบาย 80:20 นั่นคือ 80% ในการส่งเสริมพวกท่านผู้ส่งออกให้มีความสามารถในการแข่งขัน ให้ส่งออกได้มากขึ้น และอีก 20% จะคอยตรวจสอบดูว่ามีสินค้าไม่มีคุณภาพ มีนอมินีไหม ก่อนหน้านี้ผมได้เดินทางไปญี่ปุ่นก็มีนักลงทุนจากญี่ปุ่นให้ความสนใจที่จะมาลงทุนในไทย และญี่ปุ่นมีแผนลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ถึง 10 ล้านล้านเยน หรือ 2.2 ล้านล้านบาท และได้หารือกับนักการเมืองระดับสูงของญี่ปุ่น หวังว่าไทยจะเป็นซัพพลายเชนให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จากญี่ปุ่น 

และเรื่องการเจรจา FTA ล่าสุดเรากำลังจะได้ลงนาม FTA กับเอฟตา ที่เมืองดาววอส สวิตเซอร์แลนด์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของยุโรป ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงมาก ถัดจากนี้กำลังดำเนินการกับอีกหลายประเทศ อาทิ  อียู เกาหลีใต้ ยูเออี และยูเค เป็นต้น เพื่อให้พวกท่านส่งออกสินค้าได้ง่ายขึ้น มีอาวุธเพิ่มเติมแข่งขันได้ และผมจะเดินทางไปอเมริกา เพื่อไปเจรจาไม่ให้ขึ้นกำแพงภาษีกับเรา รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์เราทำงานกันเชิงรุก จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพใช้ Thailand brand by….(ชื่อบริษัท) ช่วยการันตีให้ผู้ซื้อ ซื้อของได้อย่างสบายใจ ถ้าพวกท่านประสบความสำเร็จประเทศชาติก็สำเร็จไปด้วย“ นายพิชัย กล่าว

โดยผู้ที่ได้รับรางวัล Prime Minister’s Export Award ประจำปี 2567 นับว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้จากการส่งออกให้แก่ประเทศ โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม - ตุลาคม) มีมูลค่าการส่งออกรวมประมาณ 43,207 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของรางวัล Prime Minister’s Export Award ในการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศผ่านสินค้าและบริการของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดสากล และมีส่วนเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนการจ้างงานในประเทศไม่น้อยกว่า 22,700 ราย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถค้นหาข้อมูลช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ pmaward.ditp.go.th หรือ โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2136 5226, 0 2507 8260

เปิดวิธีสมัคร ‘โครงการฝากบ้านกับตำรวจ’ ช่วยเพิ่มความปลอดภัย - เที่ยวสุขใจ เทศกาลปีใหม่ 68

เมื่อวันที่ (25 ธ.ค. 67) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 68 รัฐบาลห่วงใยประชาชน พร้อมดูแลความปลอดภัย และทรัพย์สินในช่วงเทศกาล โดยขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาตรการเข้มป้องกัน ปราบปรามอาชญากรรม ดูแลชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนช่วงเทศกาลคริสต์มาส – ปีใหม่ 68 และดำเนินโครงการ “ฝากบ้านกับตำรวจ “ยุคใหม่ใส่ใจดูแล ซึ่งเป็นโครงการร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ”  ทั้งนี้ ประชาชนสามารถฝากบ้านได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 2 ม.ค.68 ผ่าน 2 ช่องทาง  ดังนี้

1.แจ้งผ่านออนไลน์ แอปพลิเคชัน ฝากบ้าน 4.0 (OBS) โหลดผ่าน App Store หรือ Googlr play Store เท่านั้น โดยลงทะเบียน ข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการ ใส่รายละเอียด ภาพถ่าย และโลเคชัน พร้อมกับแจ้งสถานีตำรวจใกล้บ้าน แสดงบัตรประชาชนผู้แจ้ง และแนบภาพถ่ายบ้านและโลเคชัน

นายอนุกูล กล่าวด้วยว่า ขอแนะนำ 10 สิ่งต้องทำเมื่อฝากบ้านกับตำรวจ ดังนี้ 1.เตรียมบัตรประชาชน ประสาน สน. / สภ.ผ่านช่องทาง ฝากบ้านกับตำรวจ 2.กรอกแบบฟอร์มยืนยัน แนบภาพถ่ายบ้าน 3.ก่อนออกเดินทางสำรวจทรัพย์สินมีค่า จัดเก็บในที่ปลอดภัย 4.ก่อนออกเดินทางสำรวจไฟฟ้า ธูป เทียน แก๊ส 5.สำรวจความเรียบร้อยของประตู – หน้าต่าง 6. หากติดตั้งกล้องวงจรปิด  ตรวจสอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน 7.ฝากบ้านข้างเคียงช่วยดูแลเป็นหู เป็นตา 8.ติดตามการอัปเดตข้อมูลรายงาน “ฝากบ้าน” จากตำรวจเสมอ 9. กรณีกลับบ้านล่าช้าเกินเวลาที่ฝากบ้าน แจ้งให้ตำรวจรับทราบ และ 10.เมื่อเดินทางกลับมาแล้วให้รีบแจ้งตำรวจไปพบเพื่อตรวจสอบทรัพย์สิน

“ก่อนออกเดินทางแนะประชาชนสำรวจทรัพย์สินมีค่า จัดเก็บในที่ปลอดภัย สำรวจไฟฟ้า ธูป เทียน แก๊ส และความเรียบร้อยของประตู – หน้าต่าง หากติดกล่องวงจรปิดไว้ ตรวจสอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ติดตามการอัปเดตข้อมูลรายงาน “ฝากบ้าน” จากตำรวจเสมอ กรณีกลับบ้านล่าช้าเกินเวลาที่ฝากบ้าน แจ้งให้ตำรวจทราบ เมื่อเดินทางกลับมาแล้วให้รีบแจ้งตำรวจเพื่อตรวจสอบทรัพย์สิน คริสต์มาส – ปีใหม่ 68 นี้ ขอให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวปลอดภัย หากเกิดเหตุด่วนขอความช่วยเหลือโทร 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชม.” นายอนุกูล ระบุ

พีระ...พัง...ปัญหาราคาน้ำมันและไฟฟ้า สะท้อนตัวตนคนทำงานจริง...กับปัญหาที่ไม่มีใครเคยแก้

(26 ธ.ค. 67) เชื่อหรือไม่ว่า ‘การตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี’ ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลนั้น ปราศจากอคติส่วนตัว โดยอ้างว่า เป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมานานของ ‘ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล’ และเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาลและรัฐมนตรี

การตั้งฉายา ‘รองพีร์’ ว่า ‘พีระพัง’ นั้น เป็นการตั้งฉายาที่ราวกับ ‘จงใจ’ หรือ ‘รับใบสั่งมา’ โดยทำเป็นหลับหู หลับตา ไม่สนใจผลงานจากการทำงานด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของ ‘รองพีร์’ ในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันและไฟฟ้าที่หมักหมมมาหลายสิบปี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแทบทุกคนที่ผ่านมา ไม่มีใครเลยที่เคยจะพยายามหาหนทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย

ทั้งนี้ ปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยเกิดขึ้นจากวิกฤตน้ำมันครั้งที่ 1 ในปี 1973 (พ.ศ. 2516) ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกขณะนั้นสูงขึ้นเกือบ 300% ทำให้รัฐบาลไทยในยุคนั้นต้องหากลไกเครื่องมือในการจัดการจึงเกิดเป็น ‘กองทุนน้ำมัน’ ขึ้นและกลายเป็นกลไกเครื่องมือเพียงอย่างเดียวของทุกรัฐบาลที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิงพลังงานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะไม่ว่าจะเป็น บทบาท อำนาจหน้าที่ และกฎหมาย ที่รัฐมีอยู่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิงพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อ ‘รองพีร์’ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจึงได้ให้ทีมงานทำการศึกษาถึงต้นตอของปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจัง อาทิ (1) ต้นทุนของน้ำมันเชื้อเพลิงที่แท้จริง ก่อนประกาศกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนให้กับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลทุกวันที่ 15 ของเดือน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไม่เคยรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริงของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเลย 

(2) ‘รองพีร์’ สั่งการให้หาวิธีที่จะทำให้ ‘ราคาน้ำมัน’ ต้องไม่ขึ้นลงรายวัน ด้วยการ ‘รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง’ โดยผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงต้องแจ้งให้กระทรวงฯ ทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง ซึ่งจะทำให้ยุคที่บรรดา ‘ผู้ค้าเชื้อเพลิงพลังงาน’ สามารถกำหนดราคาและขึ้นลงตามอำเภอใจ อาทิ การขึ้นราคาน้ำมันทันทีตามราคาตลาดโลกทั้ง ๆ ที่น้ำมันที่ซื้อขายในประเทศขณะปัจจุบันได้ซื้อมาเมื่อ 3 เดือนก่อนแล้ว 

(3) เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันอย่างยั่งยืน ‘รองพีร์’ จึงมีแนวคิดที่จะเปลี่ยน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ที่ใช้ต้องเงินมากมายและสร้างหนี้สาธารณะ เป็น ‘การสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve)’ ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซที่เก็บสำรองเอาไว้จะเป็นทรัพย์สินของประเทศ และไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป 

เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในอนาคต รัฐบาลสามารถนำปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองที่มีอยู่ใช้ในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ เพราะที่ผ่านมาปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากวิกฤตเชื้อเพลิง มีการใช้ ‘เงิน’ จาก ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ในการแก้ไขปัญหา แต่ความเป็นจริงแล้วในยามเกิดวิกฤตน้ำมัน ‘เงิน’ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหา เพราะต้องใช้ ‘เงิน’ มากขึ้นในการซื้อน้ำมัน หรือบางสถานการณ์แม้จะมี ‘เงิน’ แต่อาจไม่สามารถหาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่สามารถขนส่งมาประเทศไทยได้

นอกจากนี้ ‘SPR’ จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการต่อรองและเพิ่มการถ่วงดุลในระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอีกด้วย เพราะรัฐบาลจะสามารถรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในประเทศได้ตลอดเวลา จึงทำให้ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ณ เวลาที่ซื้อมาหรือจำหน่ายออกไป นอกจากนี้ ‘SPR’ จะทำให้ประเทศมีความมั่นคงทางพลังงานมากขึ้นเมื่อปริมาณการเก็บสำรองจะเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศถึง 90 วัน (จากเดิมที่เก็บไว้สำหรับ 25 วันโดยผู้ค้า) ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุด อย่างมากมายและยั่งยืน แก่ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย

ในส่วนของพลังงานไฟฟ้า ‘รองพีร์’ ได้ผลักดันการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนและสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องมากว่า 1 ปีแล้ว ทั้งยังสั่งการให้มีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลงและเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ ตลอดจนติดตามเร่งรัดการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากการที่ต้องนำเข้าก๊าซจากแหล่งผลิตนอกประเทศ

นับตั้งแต่ ‘รองพีร์’ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งหวังว่าจะสามารถ ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ปัญหา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ที่เหลือทั้งหมดให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 1 ปี โดยไม่กลัวอิทธิพลอะไรและไม่อยู่ใต้อิทธิพลใดใดทั้งสิ้นโดย ดังนั้นแทนที่ ‘ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล’ จะให้ความสำคัญกับเรื่องราวเหล่านี้ที่สำคัญและเป็นประโยชน์สูงสุดอย่างมากมายและยั่งยืนแก่ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย และเมื่อพิจารณาเยี่ยงวิญญูชนแล้ว ฉายาดังกล่าวกลายเป็นการบั่นทอน ด้อยค่า การทำงานของ ‘รองพีร์’ คล้ายกับไม่ต้องการให้สิ่งที่ ‘รองพีร์’ ทำประสบความสำเร็จ แต่ ‘รองพีร์’ เอง ได้ขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยมั่นใจว่า จะพยายามปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องของพลังงานให้ดีที่สุด ทั้งนี้ ‘รองพีร์’ ได้ฝากขอบคุณและขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้ช่วยกันร่วมเป็นผนังกําแพงให้ ‘รองพีร์’ และทีมงานได้พึ่งพิงเพื่อทำงานสำคัญนี้ให้สำเร็จแล้วเสร็จ

เชียงใหม่-กองบิน 41 จัดตั้งหน่วยบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2568

(26 ธ.ค.67) นาวาอากาศเอก ปรธร จีนะวัฒน์ ผู้บังคับการกองบิน 41 เป็นประธานในพิธีเปิดหน่วยบริการประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2568 โดยมีหัวหน้าหน่วยขึ้นตรง กองบิน 41 ร่วมพิธี ณ สถานีบริการเชื้อเพลิงสวัสดิการ กองบิน 41

ทั้งนี้ กองบิน 41 ได้จัดตั้งจุดบริการประชาชน ภายใต้ชื่อ 'ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ' ช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน รวมถึงเพื่อช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และช่วงเวลาในการเดินทางของประชาชน ทั้งนี้ การดำเนินงานตั้งจุดบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน 

โดยมาตรการลดปัจจัยเสี่ยงด้านต่าง ๆ ได้แก่ การช่วยกวดขันความพร้อมของผู้ขับขี่ การตรวจสภาพความปลอดภัยของยานพาหนะ การบริการเครื่องดื่ม การบริการทางการแพทย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างปลอดภัย เต็มเปี่ยมด้วยความสุขและมีความปลอดภัยตลอดช่วงเทศกาล

นายกรัฐมนตรีเปิดนิทรรศการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 5 โครงการเพื่อความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว 

(26 ธ.ค.67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้การต้อนรับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานเปิดนิทรรศการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มอบให้แก่ประชาชน ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีจเรตำรวจแห่งชาติ , รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจในสังกัด ร่วมต้อนรับ 

ทั้งนี้ ของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มอบให้แก่ประชาชน จำนวน 5 โครงการ ได้แก่

1. โครงการ Cyber Check : เป็นแอปพลิเคชันที่จะช่วยคัดกรองมิจฉาชีพจากเบอร์โทรปริศนาที่โทรเข้ามา รวมทั้งใช้ตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารก่อนจะโอนเงิน โดยใช้ฐานข้อมูลโดยตรงจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

2. โครงการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน นักท่องเที่ยว ผ่านแอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police : แอปพลิเคชันแนะนำข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวประเทศไทยอย่างปลอดภัย ให้นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อตำรวจท่องเที่ยว แจ้งเหตุฉุกเฉิน และแชร์โลเคชันแบบออนไลน์ เพื่อรับความช่วยเหลือจากตำรวจท่องเที่ยวได้อย่างทันท่วงที

3. โครงการบูรณาการระบบบริหารรับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว 1155 และศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ : เมื่อนักท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือ หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน สามารถประสานผ่านตำรวจท่องเที่ยว หมายเลข 1155 พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการดูแลและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว การปฏิบัติการฉุกเฉิน 

4. โครงการส่วนลดพิเศษสำหรับที่พัก The Cop Hotel and Villa Pattaya : สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีที่พักติดทะเล ริมถนนใหญ่ในพื้นที่ ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเปิดให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าพักได้ ในราคาพิเศษ

5. โครงการห้องพักทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง 205 แห่ง ทั่วประเทศ : ตำรวจทางหลวงมีการให้บริการสำหรับผู้เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ สามารถพักผ่อนระหว่างการเดินทางไกลอย่างปลอดภัย ณ 205 หน่วยบริการตำรวจทางหลวง เข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 ถึง 10 มกราคม 2568 รวมทั้งมีจุดกางเต็นท์สำหรับสายแคมป์ปิ้ง โดยบริการฟรีทั่วประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้มอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน และขอบคุณเจ้าหน้าที่และตำรวจทุกนายที่ได้ร่วมกันทำงานขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา ขอให้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ ตรวจตรา ดูแลรักษาความปลอดภัยและการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ต่อไป

ย้อนรอยการซื้อดินแดนของสหรัฐฯ หลังทรัมป์หวังผนวกกรีนแลนด์

(26 ธ.ค. 67) จากกรณีว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความสนใจอยากได้กรีนแลนด์มาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ โดยทรัมป์มีแนวคิดยื่นข้อเสนอซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ซึ่งแม้จะไม่ชัดเจนว่าเป็นมูลค่าเท่าใด แต่ดูท่าทางเดนมาร์กจะไม่มีวันยอมขายดินแดนกรีนแลนด์ให้สหรัฐอย่างแน่นอน

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา เคยใช้วิธีการจ่ายเงินเพื่อซื้อดินแดนมาผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐมาแล้วในหลายครั้ง โดยมีเหตุการณ์สำคัญดังนี้

การซื้อดินแดนลุยเซียนา เมื่อปี 1803 ประธานาธิบดีโทมัส เจฟเฟอร์สัน ลงนามข้อตกลงกับฝรั่งเศส ซื้อดินแดนลุยเซียนา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 2.14 ล้านตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีเริ่มต้นจากอ่าวเม็กซิโกจรดทางใต้ของแคนาดา ด้วยเงินจำนวน 15 ล้านดอลลาร์ในยุคนั้น พร้อมยกหนี้กว่า 3.7 ล้านดอลลาร์ให้ราชสำนักฝรั่งเศส หากคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน ราคาดินแดนนี้จะสูงถึง 340 พันล้านดอลลาร์

การซื้ออะแลสกา ในปี 1867 สหรัฐฯ เคยซื้อดินแดนอะแลสกาจากจักรวรรดิรัสเซีย ในรัชสมัยของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ด้วยราคา 7.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากคิดเป็นค่าเงินปัจจุบันจะอยู่ที่กว่า 109 ล้านดอลลาร์ การซื้อครั้งนี้คุ้มค่าอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่สหรัฐขุดพบในห้วงเวลาต่อมา

สนธิสัญญากัวดาลูปอีดัลโก ในปี 1848 หลังสงครามเม็กซิโก-อเมริกา สหรัฐฯ และเม็กซิโกได้ลงนามในสนธิสัญญากัวดาลูปอีดัลโก ซึ่งระบุให้สหรัฐฯ จ่ายเงิน 15 ล้านดอลลาร์แก่เม็กซิโก เพื่อแลกกับการครอบครองดินแดนทางฝั่งตะวันตก เช่น แคลิฟอร์เนีย และรัฐอื่นๆ พร้อมกำหนดให้แม่น้ำริโอแกรนด์เป็นพรมแดนธรรมชาติ 

ขณะการซื้อฟลอริดา หรือที่รู้จักกันในชื่อ สนธิสัญญาอดัมส์–โอนิส (Adams–Onís Treaty) เป็นข้อตกลงที่ลงนามในปี ค.ศ. 1819 ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสเปน สนธิสัญญานี้มีความสำคัญในการโอนดินแดนฟลอริดาจากสเปนมายังสหรัฐฯ  โดยสหรัฐจ่ายเงินมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์แก่ราชสำนักสเปนเพื่อโอนกรรมสิทธิ์การครอบครองดินแดนฟลอริด้า

ภายใต้สนธิสัญญานี้ สเปนได้ยินยอมสละสิทธิ์ในฟลอริดา พร้อมทั้งปรับปรุงขอบเขตของดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือเพื่อแก้ไขข้อพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างสองประเทศ การโอนดินแดนนี้ช่วยเสริมอำนาจและอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป ในขณะที่สเปนเลือกที่จะมุ่งเน้นอำนาจไปที่ดินแดนในอเมริกาใต้แทน

แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีประวัติศาสตร์การซื้อดินแดนที่สำคัญหลายครั้ง แต่ในกรณีของกรีนแลนด์ ดูเหมือนว่าการเจรจานี้จะไม่ง่าย เพราะเดนมาร์กยังคงยืนกรานไม่ขายดินแดนดังกล่าวให้สหรัฐฯ อย่างชัดเจน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top