Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

Globalism: อุดมคติแห่งโลกไร้พรมแดน หรือกับดักที่หลอมรวมความแตกต่าง?

(1 ม.ค. 68) ในยุคที่คำว่า "โลกาภิวัตน์" หรือ Globalism ถูกยกย่องว่าเป็นภาพแทนของอุดมคติร่วมสมัย—โลกที่ไร้พรมแดน การร่วมมือเพื่อเป้าหมายใหญ่ และการเคารพความหลากหลาย—ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยึดถือ แต่เบื้องลึกของแนวคิดนี้กลับซับซ้อนกว่าที่คิด มันเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสังคม และเปิดคำถามสำคัญถึงความหมายที่แท้จริงของ "ความหลากหลาย" และ "สันติภาพ" ที่ Globalism พยายามนำเสนอ

Globalism: อุดมคติแห่งระเบียบโลกใหม่
แนวคิด Globalism ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงกับช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อโลกกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางอุดมการณ์และอำนาจที่รุนแรง แนวคิดนี้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับความพยายามของบางฝ่ายที่ต้องการสร้าง "ระเบียบโลกใหม่" ที่ทุกประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้บนกฎเกณฑ์เดียวกัน

แนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นจากความหวังดี—ความต้องการแก้ไขปัญหาของโลกที่ใหญ่เกินกว่าจะจัดการได้ในระดับประเทศ เช่น ความยากจน โรคระบาด หรือความขัดแย้งระหว่างชาติ แนวคิดเรื่อง "การร่วมมือระดับโลก" จึงถูกนำเสนออย่างจริงจัง เพื่อให้ทุกประเทศทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลานั้น โลกจำเป็นต้องหาทางออกจากความรุนแรงในรูปแบบเดิม

แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป แนวคิด Globalism ได้เปลี่ยนแปลงและขยายตัว กลายเป็นกรอบอุดมคติที่ไม่เพียงเน้นการร่วมมือ แต่ยังรวมถึงการกำหนดมาตรฐานที่เหมือนกันในทุกประเทศ บ่อยครั้ง มาตรฐานเหล่านี้สะท้อนความต้องการของมหาอำนาจบางแห่งมากกว่าความจำเป็นของประเทศที่ถูกบังคับให้ปรับตัวตาม

Global Citizen: พลเมืองโลกในโลกไร้พรมแดน
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ Globalism คือแนวคิด "Global Citizen" หรือ "พลเมืองโลก" ที่ส่งเสริมให้ผู้คนมองข้ามพรมแดนและอัตลักษณ์ของชาติ โดยอ้างว่าเพื่อความร่วมมือและลดความขัดแย้ง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการสร้างเยาวชนที่พร้อมเปลี่ยนวิธีคิดและละทิ้งความเป็นชาติ

กลไกที่ใช้คือกิจกรรมทางการศึกษา เช่น โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ค่ายเยาวชนนานาชาติ หรือทุนการศึกษาระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยปลูกฝังให้เยาวชนเหล่านี้มองว่า "โลกคือบ้านของเรา" และลดความสำคัญของ "ชาติ" แนวคิดนี้สร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มุ่งสู่ระเบียบโลกใหม่ มากกว่าการพิทักษ์อัตลักษณ์ของชาติ

เด็ก : เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง
ในโครงสร้างที่เปรียบเหมือน สามเหลี่ยมแห่งการปกครอง ที่ชนชั้นล่างเป็นฐาน ชนชั้นกลางเป็นกลไกขับเคลื่อน และชนชั้นนำเป็นผู้กำหนดทิศทาง Globalism มองว่าเยาวชนคือชนชั้นนำในอนาคต โดยเฉพาะเด็กจากครอบครัวชนชั้นนำ เช่น ลูกหลานนายทุน เจ้าของธุรกิจ หรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง

ทำไมต้องเป็นพวกเขา? เพราะเยาวชนกลุ่มนี้มีโอกาสกำหนดทิศทางของประเทศในอนาคต การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของพวกเขาจึง ง่ายกว่าและส่งผลกระทบได้เร็วกว่า การเปลี่ยนแปลงความคิดของชนชั้นกลางหรือล่าง

กิจกรรมที่ใช้ในการปลูกฝัง เช่น การจัดค่ายแลกเปลี่ยน การส่งเสริมแนวคิดโลกนิยม และการลดทอนความเป็นชาติ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นพร้อมความคิดว่า "การเป็นพลเมืองโลก" สำคัญกว่าการภักดีต่อชาติ

อุดมคติที่ขัดแย้งในตัวเอง
แม้ Globalism จะอ้างว่าสันติภาพเกิดจากการร่วมมือระดับโลก แต่มันกลับสร้างปัญหาใหม่ ความพยายามในการสร้างระเบียบเดียวกันทั่วโลกไม่เคารพความหลากหลายของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ท้ายที่สุด Globalism กลับทำให้ประเทศที่มีอัตลักษณ์อ่อนแอสูญเสียความสามารถในการกำหนดอนาคตของตนเอง

BRICS : แนวคิด Multipolarity และสมดุลของโลก
ในขณะที่ Globalism มุ่งเน้นการรวมศูนย์อำนาจ กลุ่ม BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้) เสนอแนวคิด "Multipolarity" หรือ "โลกหลายขั้วอำนาจ" ซึ่งสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ รักษาอิสระในการกำหนดอนาคตของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบที่มหาอำนาจควบคุม

Multipolarity ส่งเสริมความสมดุล โดยเน้นการกระจายอำนาจและเคารพความหลากหลาย เช่น การลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐในระบบการค้าโลก และสร้างพันธมิตรในด้านเศรษฐกิจและพลังงาน แนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งสร้างระเบียบเดียว แต่สนับสนุนให้แต่ละประเทศพัฒนาในแบบของตัวเอง

บทส่งท้าย: รักษาความหลากหลายเพื่อความยั่งยืน
Globalism อาจดูเหมือนคำตอบสำหรับความท้าทายของโลกยุคใหม่ แต่ในความจริง มันสร้างโลกที่เปราะบางและขัดแย้ง แนวคิด Multipolarity ของ BRICS แสดงให้เห็นว่าโลกไม่จำเป็นต้องมีระเบียบเดียวกันเพื่อความสงบสุข แต่ควรสร้างสมดุลบนพื้นฐานของความหลากหลาย

คำถามสำคัญสำหรับอนาคตคือ เราจะรักษาความเป็นอิสระและความหลากหลายของเราได้อย่างไร ในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด? เพราะท้ายที่สุด สันติภาพไม่ได้มาจากระเบียบที่เหมือนกัน แต่มาจากการเคารพในความแตกต่างอย่างแท้จริง

วิกฤตอุทกภัยในรอบ 30 ปี สะท้อนพลังน้ำใจคนไทย

ปีนี้ ประเทศไทยเผชิญกับอุทกภัยรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี อันเนื่องมาจากพายุไต้ฝุ่นยางิและซูลิก ส่งผลกระทบต่อ 19 จังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และประชาชนกว่า 43,000 ครัวเรือนได้รับผลกระทบ

วันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ฝนที่ตกต่อเนื่องจากร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้หลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคเหนือเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วม และเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด ในจังหวัดเชียงราย น้ำป่าจากฝนหนักทำให้บริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายและถนนพหลโยธินจมน้ำ สร้างความลำบากในการสัญจร โดยบางพื้นที่รถเล็กไม่สามารถผ่านได้

วันที่ 17 สิงหาคม อุทกภัยฉับพลันใน 9 อำเภอของเชียงราย ส่งผลกระทบต่อ 1,665 ครัวเรือน แม้ว่าจะไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่อำเภอเชียงแสนและขุนตาลได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำในแม่น้ำที่ระบายลงสู่แม่น้ำโขงไม่ทัน ต่อมาในวันที่ 18 สิงหาคม จังหวัดพะเยาและแม่ฮ่องสอนต่างได้รับผลกระทบ ขณะที่จังหวัดเพชรบูรณ์ในวันที่ 19 สิงหาคมเผชิญน้ำป่าไหลหลากในอำเภอหนองไผ่และหล่มสัก กระทบประชาชนกว่า 650 ครัวเรือน

วันที่ 23 สิงหาคม จังหวัดน่านเผชิญน้ำท่วมสูงถึง 3 เมตรในหลายพื้นที่ เช่น วัดภูมินทร์และชุมชนบ้านท่าลี่ ขณะที่จังหวัดแพร่ น้ำจากแม่น้ำยมท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและศูนย์ราชการ โรงเรียนต้องหยุดการเรียนการสอนชั่วคราว

ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่เพิ่มสูงในเดือนกันยายน ทำให้จังหวัดเลย หนองคาย และนครพนมได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในหนองคาย น้ำท่วมตัวเมืองสูงถึง 50 เซนติเมตร กระทบการดำเนินชีวิตของประชาชน

ในยามวิกฤต คนไทยทั่วประเทศได้แสดงความสามัคคีและน้ำใจ ด้วยการบริจาคสิ่งของและเงินทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก และสภากาชาดไทยได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาค ขณะที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มอบกัปปิยภัณฑ์ 100,000 บาท สนับสนุนการทำโรงทานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเชียงราย ภาครัฐ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ระดมเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือประชาชน พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อเร่งระบายน้ำในพื้นที่

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมส่งกำลังใจถึงผู้ประสบภัยทุกครัวเรือนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่

สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ความสามัคคีของคนไทยที่ร่วมมือกันช่วยเหลือผู้เดือดร้อน พร้อมสร้างความหวังให้ผู้ประสบภัยสามารถฟื้นฟูชีวิตกลับสู่ภาวะปกติได้ในเร็ววัน

สวนนงนุชพัทยา จัดใหญ่พระ 9 วัด 19 รูป และช้าง 9 เชือก ทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ ตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อความเป็นสิริมงคล

วันที่ (1 ม.ค. 68) เวลา 7.00 น. นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา นางสาวนันทนา ตันสัจจา กรรมการบริหาร พร้อมคณะผู้บริหาร พนักงาน นักท่องเที่ยว และช้างแสนรู้ จำนวน 9 เชือก ร่วมกันทำบุญตักบาตร ตามขนบธรรมเนียมประเพณีเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ประจำปี 2568

สวนนงนุชพัทยาจัดพิธีทำบุญตักบาตร ในวันขึ้นปีใหม่เป็นประจำต่อเนื่องทุกปี ในการเข้าสู่วันแรกของปีทำการตักบาตร พระสงฆ์จำนวน 19 รูป จาก 9 วัด จากนั้นพระสงฆ์ได้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์  ให้แก่ผู้ที่มาร่วมทำบุญตักบาตร ร่วมถึงน้องช้างทั้ง 9 เชือกเพื่อเป็นสิริมงคลของตัวเองและครอบครัวอีกด้วย

ในครั้งนี้ ภายในสวนนงนุชพัทยายังมีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวเช่น ไหว้พระ9วัด  ไหว้พระประจำวันเกิด  ไหว้พระพรหม ไหว้พระพิฆเนศ ไหว้เจ้าแม่กวนอิม ไหว้พระสังกัจจายน์ และชมพิพิธภัณฑ์พระเก่าแก่หลายร้อยปี เพื่อให้ผู้ที่เดินทางมายังสวนนงนุชพัทยาได้รับสิ่งดีๆในวันเริ่มต้นของปีต้อนรับวันปีใหม่ หรือในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวตลอดทั้งปี   โดยเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00-17.30 น.

โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เศรษฐีใจบุญกับการให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน

ประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราจึงเห็นภาพการบริจาคสิ่งของเงินทองเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความทุกข์ยากในสถานการณ์ต่างๆ แต่หากจะกล่าวถึงผู้ใหญ่ใจดี หรือ เศรษฐีใจบุญ ในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา ต้องมีชื่อของ ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานกรรมการบริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้าแอโร่ซอฟต์ (Aerosoft) ติดอยู่ในทำเนียบนี้อย่างแน่นอน

สำหรับ โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนักธุรกิจที่คอนข้างโลว์โปรไฟล์ไม่ค่อยจะเป็นข่าวในหน้าสื่อมากนัก แต่หากใครที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาตลอดก็จะทราบว่า คุณโกมล เป็นพี่ชายของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และยังเป็นอาแท้ ๆ ของนักการเมืองฝีปากกล้า ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานคณะก้าวหน้า อีกด้วย 

แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณโกมล ได้บริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด แต่ได้เริ่มปรากฏชื่อผ่านสื่อเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2564 โดยได้บริจาคเงินจำนวน 100 ล้านบาท พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ประกอบด้วย อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและตา (Face Shield) จำนวน 3,000 ชิ้น และเครื่องช่วยหายใจไฮโฟลว์ (Airvo 2) จำนวน 10 ชิ้น ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้ในการรักษา ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดอย่างหนักในประเทศไทย

ต่อมาในปีเดียวกันนั้น คุณโกมล ได้ทุ่มเงินราว 300 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 เพื่อมาให้คนไทยได้ดูฟรี ๆ ในช่วงวิกฤตโควิด และคนไทยบางส่วนต้องเก็บตัวอยู่บ้าน ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงพักครึ่งการแข่งขัน ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เจ้าของธุรกิจรายย่อย ๆ นำสินค้าของตนเองมาโปรโมทแบบฟรี ๆ อีกด้วย

และเมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา คุณโกมล ได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน จำนวนกว่า 4,000 โรงเรียน มูลค่ากว่า  103 ล้านบาท ในโครงการ “Aerosoft Give Scholarships มอบทุน 100 ล้าน สานฝันให้เด็กไทย” เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา ลคความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเด็กไทย ซึ่งคุณโกมล มองว่า เด็กนักเรียนอนาคตของประเทศไทย และต้องการให้เด็กนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาไปนั้น จะนำไปต่อยอดและเพิ่มทักษะการเรียนรู้ด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมต่อไป

และล่าสุด คุณโกมล ยังได้ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร 2024 มาให้คนไทยได้ดูฟรี ๆ อีกครั้ง ถึงแม้ว่าในครั้งนี้ จะไม่เปิดเผยยอดเงินในการซื้อลิขสิทธิ์ดังกล่าว แต่ก็คาดว่าจะเป็นเม็ดเงินจำนวนไม่น้อย และที่สำคัญคือการได้สร้างความสุขให้กับคนไทยได้อีกครั้งนั่นเอง

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

โศกนาฏกรรมกลางวิภาวดี คร่าชีวิตนักเรียน 23 ราย

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 รถบัสนักเรียนจากโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี เกิดเพลิงไหม้ขณะเดินทางกลับจากทัศนศึกษา บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต หน้าศูนย์การค้าเซียร์รังสิต เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 23 ราย และบาดเจ็บอีกหลายราย โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน  

คณะครูและนักเรียนจำนวน 44 คน เดินทางด้วยรถบัสเพื่อเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ระหว่างเดินทางกลับ รถเกิดอุบัติเหตุยางหน้าซ้ายระเบิด ส่งผลให้รถเสียหลักชนแบริเออร์กลางถนน เกิดประกายไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว  

ผู้โดยสาร 20 คนสามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย ขณะที่อีก 23 ชีวิตติดอยู่ในรถท่ามกลางเพลิงที่โหมกระหน่ำ เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามเข้าช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถเข้าถึงตัวรถได้ทันเวลา  

นายสมาน คนขับรถ อ้างว่าพยายามหาถังดับเพลิงจากรถคันอื่น แต่เกิดความตกใจจนหลบหนี ก่อนถูกจับกุมในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาทั้งหมด 4 ข้อหา รวมถึงขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต  

เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามใหญ่เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารและการจัดการทัศนศึกษาของโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการประกาศตรวจสอบมาตรฐานการเดินทางของนักเรียนทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ประชาชนเรียกร้องให้รัฐเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสภาพรถโดยสารและบังคับใช้มาตรการความปลอดภัยอย่างจริงจัง  เหตุโศกนาฏกรรมนี้เป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของมาตรการความปลอดภัยบนท้องถนน พร้อมถอดบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียเช่นนี้อีกในอนาคต

🎉 HAPPY NEW YEAR 2025 🎉

เริ่มต้นปีมะเส็ง 2568 ด้วยความสุข ความหวัง และโอกาสใหม่ ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า 🐍✨

ขอให้ทุกก้าวเดินเต็มไปด้วยความสำเร็จ สุขภาพแข็งแรง และเปี่ยมไปด้วยพลังใจ!

1 มกราคม ‘วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ’ เจ้านายพระองค์สำคัญ

วันที่ 1 มกราคม นอกจากจะเป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว ยังถือเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพเจ้านายพระองค์สำคัญในอดีตด้วยเช่นกัน ดังนี้

1 มกราคม 2407 วันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407 เป็นพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปนั้น พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทำให้พระองค์ทรงเป็นปฐมบรมราชินีนาถของประเทศไทย มีตำแหน่งเป็นสมเด็จพระอัครมเหสี และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์สภานายิกา สภากาชาดไทยพระองค์แรกอีกด้วย 

1 มกราคม 2423 วันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มีพระอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือ ด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จดำรงสิริราชสมบัติได้ 15 ปี 

1 มกราคม 2437 วันพระราชสมภพ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก 
 สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เสด็จพระราชสมภพ 1 มกราคม พ.ศ. 2437 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 86 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า 

พระองค์มีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทยประชาชนโดยทั่วไปคุ้นเคยกับพระนามว่า "กรมหลวงสงขลานครินทร์" หรือ "พระราชบิดา" และบางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า "เจ้าฟ้าทหารเรือ" และ "พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย" ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า "เจ้าฟ้ามหิดล" ทรงเป็นสมเด็จพระบรมชนกใน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 และ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9

คงกระพัน อินทรแจ้ง ซีอีโอคนที่ 11 ปตท. กับภารกิจมุ่งสู่ความยั่งยืน

เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา บอร์ด ปตท. ได้อนุมัติแต่งตั้ง ‘คงกระพัน อินทรแจ้ง’ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และประธานกรรมการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับตำแหน่งซีอีโอ บมจ.ปตท. นับเป็นซีอีโอ คนที่ 11 ของปตท. ต่อจาก อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่ครบวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี ไปเมื่อเดือน พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา

สำหรับ ปตท. คือกลุ่มบริษัทด้านพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และเป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน แน่นอนว่า โจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย ‘คงกระพัน’ คือการสร้างการเติบโตให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของอุตสาหกรรมพลังงานที่ผันผวน จากสถานการณ์เศรษฐกิจและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลก

แต่ถึงกระนั้น ปตท. ภายใต้การนำของ ‘คงกระพัน’ ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น อีกทั้งยังได้รับคะแนนการประเมินด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Assessment : CSA) ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 

สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อีกด้วย

Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำระดับสากลกว่า 3,500 บริษัททั่วโลก ที่ผ่านการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) และคัดกรองโดย S&P Global ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจาก ผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก

สำหรับ คงกระพัน อินทรแจ้ง จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมเคมี) (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อจนจบ Doctor of Philosophy (Ph.D.) in Chemical Engineering, University of Houston, U.S.A. และมีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ในการบริหารบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และการกลั่นปิโตรเลียมแบบครบวงจร รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์กร การพัฒนาธุรกิจ การเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ การวิจัยและพัฒนา (R&D) การพัฒนาโครงการลงทุนที่สำคัญ การควบรวมกิจการระหว่างประเทศ และการบริหารจัดการกิจการร่วมค้า อีกด้วย

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

ทัพนักกีฬาไทยคว้า 6 เหรียญ 1 ทอง 3 เงิน 2 ทองแดง

การแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 33 หรือ 'ปารีสเกมส์ 2024' ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม 2567 ทัพนักกีฬาไทยสร้างผลงานโดดเด่นด้วยการคว้า 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง รวม 6 เหรียญรางวัล โดย 1 หรียญทอง มาจาก 'เทนนิส' พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่คว้าเหรียญทองได้ จากเทควันโด รุ่น 49 กก.หญิง หลังเอาชนะ ฉิง กั๋ว จากจีน

อีก 3 เหรียญเงิน จาก 'วิว' กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ในกีฬาแบดมินตันชายเดี่ยว ซึ่งก็นับเป็นเหรียญรางวัลเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ของทีมแบดมินตันไทย ตั้งแต่ส่งเข้าร่วมการแข่งขันในปี 1992 ตามด้วย 'ฟ่าง' ธีรพงศ์ ศิลาชัย ยังคว้าเหรียญเงิน ยกน้ำหนักรุ่น 61 กก.ชาย และ 'เวฟ' วีรพล วิชุมา จะคว้าเหรียญเงิน ในรุ่น 73 กก.ชาย ได้สำเร็จด้วย

ส่วน 2 เหรียญทองแดง ได้จาก 'ออย' สุรจนา คำเบ้าจาก ยกน้ำหนัก ที่ทำได้ในรุ่น 49 กก.หญิง ส่วนอีกเหรียญทองแดงมาจาก 'บี' จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง ในมวยสากลหญิง รุ่น 66 กก.

ทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงแห่งปี ชื่อนี้ยังขายได้

ภายหลังจากพ้นโทษอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 บิดาของนายกฯ คนปัจจุบัน ก็กลับมาโลดแล่นในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณของคนพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัวอีกครั้ง ด้วยบทบาทที่แตกต่างออกไปจากเดิม นั่นคือการเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับตัวแทนพรรคเพื่อไทย ที่ลงชิงตำแหน่งเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2567 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ ทักษิณ ชินวัตร หวนคืนสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว ในการไปช่วยหาเสียงให้ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ที่ลงสมัครชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี  ถัดจากนั้น ในวันที่ 11 ธ.ค. 2567 ก็ได้ขึ้นปราศรัยช่วยผู้สมัคร นายก อบจ. ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยอีกครั้งที่ จ.อุบลราชธานี

และแน่นอนว่า ทั้ง 2 สนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย สามารถคว้าเก้าอี้ไว้ได้ทั้ง 2 จังหวัด

จากนั้น เมื่อวันที่ วันที่ 23-24 ธ.ค. 2567 ได้เดินสายช่วยผู้สมัคร นายก อบจ. เชียงใหม่ หาเสียงอีกครั้ง และต้องมาลุ้นกันต่อไปว่า ทักษิณ จะไปช่วยหาเสียงที่จังหวัดใดต่อไป และผลการเลือกตั้งจะชนะเหมือนกับ 2 จังหวัดที่ผ่านมาหรือไม่

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า การได้รับเชิญให้ไปบรรยาย รวมถึงในการปราศรัยทุกเวทีของ ทักษิณ นั้น เริ่มเป็นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ตัวเขานั้นยังคงเป็นผู้นำทางความคิดของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มแฟนคลับของพรรคอย่างคนเสื้อแดงอย่างปฏิเสธไม่ได้ 

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top