Friday, 16 May 2025
Hard News Team

โรงเรียนดุริยางค์ทหารบก ใช้ไอเดียคุกกี้กล่องแดง เปิดรับสมัครนักเรียนประจำปี 2568

(9 ม.ค.68) เพจ หมวดดุริยางค์ มณฑลทหารบกที่ 13 จ.ลพบุรี สร้างกระแสไวรัลสุดฮือฮาหลังประกาศรับสมัครนักเรียนดุริยางค์ทหารบก ด้วยไอเดียโฆษณาสุดสร้างสรรค์ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม  

ประกาศรับสมัครในครั้งนี้ไม่ได้มาแบบธรรมดา เพราะทางโรงเรียนดุริยางค์ทหารบกเลือกใช้ คุกกี้กล่องแดงในตำนาน เป็นพื้นหลังในป้ายโฆษณา พร้อมใส่ภาพวงดุริยางค์ทหารบกและรายละเอียดการรับสมัครอย่างครบถ้วน อ่านง่าย ดึงดูดสายตา จนทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลในเวลาอันรวดเร็ว  

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าเป็นนักเรียนดุริยางค์ทหารบก ประจำปีการศึกษา 2568 สามารถสมัครได้ตั้งแต่ วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่เว็บไซต์  
(https://rtasm.thaijobjob.com/202412/index.php)  

รายละเอียดการติดต่อเพิ่มเติม  
Facebook:  
- โรงเรียนดุริยางค์ทหารบก  
- นักเรียนดุริยางค์ทหารบก RTABS  
 โทรศัพท์:  
- 02-245-9378  
- 02-245-3373 ต่อ 89530  
- 088-994-4414 

ผู้นำเม็กซิโกสวนทรัมป์ เสนอเปลี่ยนชื่อ 'อเมริกาเหนือ' เป็น ‘เม็กซิกัน อเมริกา’ ยกประวัติศาสตร์บางรัฐในสหรัฐฯ เคยเป็นของเม็กซิโก

(9 ม.ค.68) ประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บาว์มแห่งเม็กซิโกออกแถลงการณ์ตอบโต้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเสนอว่าภูมิภาคอเมริกาเหนือควรกลับไปใช้ชื่อดั้งเดิมว่า 'เม็กซิกัน อเมริกา' หลังทรัมป์แสดงความเห็นอยากเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา'

การแถลงข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม โดยไชน์บาว์มย้ำว่า รัฐบาลเม็กซิโกคาดหวังความสัมพันธ์เชิงบวกกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมนี้ อย่างไรก็ตาม ไชน์บาว์มใช้โอกาสนี้วิจารณ์แนวคิดของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนชื่อ พร้อมชูแผนที่โบราณจากศตวรรษที่ 17 เพื่อสนับสนุนข้อเสนอของเธอ

ไชน์บาว์มกล่าวว่า 'อ่าวเม็กซิโก' ได้รับการยอมรับในระดับสากลโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) และการเปลี่ยนชื่อดังกล่าวอาจก่อให้เกิดข้อโต้แย้งในวงกว้าง นอกจากนี้ เธอยังระบุว่าภูมิภาคอเมริกาเหนือ รวมถึงบางส่วนของอเมริกากลาง มีชื่อดั้งเดิมว่า 'เม็กซิกัน อเมริกา' ดังนั้น เธอจึงเสนอให้ทุกประเทศในบริเวณนี้กลับมาใช้ชื่อนี้ร่วมกัน เพื่อสะท้อนประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม

แถลงการณ์ของไชน์บาว์มมีขึ้นเพื่อตอบโต้คำพูดของทรัมป์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น 'อ่าวอเมริกา' พร้อมทั้งวิจารณ์เม็กซิโกว่าเป็นประเทศที่ถูกครอบงำโดยขบวนการค้ายาเสพติด ไชน์บาว์มตอบกลับว่า “เม็กซิโกคือประเทศประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุด” และปฏิเสธคำกล่าวหาดังกล่าว

ทรัมป์ยังขู่ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกถึง 25% และขึ้นบัญชีดำแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกให้เป็น 'กลุ่มก่อการร้าย' ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไชน์บาว์มมองว่าเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

สวนนงนุชพัทยามอบของขวัญในวันเด็กแห่งชาติปี2568 สำหรับเด็ก 3 ฟรีเที่ยวสวนสวยระดับโลก

สวนนงนุชพัทยาโดยคุณกัมพล  ตันสัจจา  ประธานสวนนงนุชพัทยา  ขอมอบประสบการณ์ความสนุกและความรู้แบบเต็มอิ่มให้กับน้องๆหนูๆ ตามคำขวัญวันเด็กที่ว่า ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568 วันเด็กแห่งชาติ ด้วยสิทธิ์พิเศษสำหรับเด็กที่มากับครอบครัว 

ทั้งนี้ 3 ฟรี ที่ทางสวนนงนุชพัทยาจัดให้ 1.บัตรผ่านประตูชมสวนฟรี 2.ชมการแสดงนงนุชโชว์และการแสดงช้างแสนรู้ฟรี 3. เข้าชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณฟรี สำหรับเด็กไทยที่มีความสูงไม่เกิน 140 เซนติเมตร พร้อมกิจกรรมอีกมากมายตลอดทั้งวัน นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เกิดในเดือนมกราคม เข้าฟรีถึง 31 มกราคม 2568

สำหรับเด็กๆพลาดไม่ได้หุบเขาไดโนเสาร์ ที่มีไดโนเสาร์มากกว่า 1,700 ตัว และยังมีสวนสวยมากกว่า 60 สวน อาทิเช่น สวนตะบองเพชร1,2 สวนกล้วยไม้ สวนรถ เนิร์สเซอรี่ไม้ภายใน  และยังมีสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิให้ได้ชมอีกมากมาย เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 น. – 18.00 น. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.nongnoochpattaya.com 

'สิงคโปร์-มาเลเซีย' ผุดแผนปั้น 'ยะโฮร์' ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ หวังเป็นศูนย์กลางการค้า-เทคโนโลยี แบบ 'เซินเจิ้น'

(8 ม.ค.68) สิงคโปร์และมาเลเซียประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่ที่มีขนาดใหญ่ถึง 3,500 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าสิงคโปร์ถึง 4 เท่า และใหญ่กว่าเซินเจิ้น 2 เท่า โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทะลุ 9 แสนล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งสร้างงานนับแสนตำแหน่ง  

เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่นี้มีเป้าหมายดึงดูดโครงการลงทุนกว่า 50 โครงการในช่วง 5 ปีแรก และเพิ่มเป็น 100 โครงการภายใน 10 ปีแรก ทั้งนี้ การร่วมมือดังกล่าวคาดว่าจะช่วยสร้างอาชีพนับแสนตำแหน่ง พร้อมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9 แสนล้านบาทต่อปี ภายในปี 2030  

พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่นี้จะตั้งอยู่บริเวณพรมแดนรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย เชื่อมต่อกับสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันมีผู้สัญจรผ่านพรมแดนกว่า 3 แสนรายต่อวัน ทำเลดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน  

ความร่วมมือดังกล่าวถูกพูดถึงมาหลายปี โดยแผนเดิมคือการลงนามข้อตกลงตั้งแต่ปี 2024 แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง ของสิงคโปร์ ติดโควิดในช่วงนั้น จึงเลื่อนมาเริ่มต้นในเดือนมกราคม ปี 2025  

นี่ไม่ใช่ความร่วมมือครั้งแรกระหว่างสองประเทศ ก่อนหน้านี้ สิงคโปร์และมาเลเซียเคยพยายามพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงมูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่โครงการดังกล่าวต้องชะลอไปเนื่องจากปัญหาทางการเงินและการจัดการ  

แม้จะมีความคืบหน้า แต่ยังคงมีประเด็นที่ต้องแก้ไข เช่น การจัดการเรื่องภาษีที่แตกต่างกัน (ภาษีเงินได้นิติบุคคลของสิงคโปร์อยู่ที่ 17% ขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 24%) รวมถึงปัญหาด้านระบบอนุญาตข้ามพรมแดน การนำยานยนต์เข้าสู่พื้นที่ และความแตกต่างในขั้นตอนดิจิทัล เช่น สิงคโปร์มีระบบ QR-code สำหรับข้ามแดนที่พัฒนาไปไกลกว่ามาเลเซีย  

ถึงแม้จะมีอุปสรรค แต่ทั้งสองประเทศยังคงเดินหน้าพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ โดยคาดว่าแรงจูงใจด้านภาษีและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยผลักดันให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จในอนาคต

ค้นพบลิเทียมแหล่งใหม่ ทะยานสู่เบอร์ 2 มหาอำนาจลิเทียมโลก

(8 ม.ค. 68) จีนสร้างความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการสำรวจแร่ลิเทียม ส่งผลให้ปริมาณสำรองลิเทียมเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 16.5% ของปริมาณสำรองโลก พร้อมขยับอันดับจากที่ 6 ขึ้นสู่อันดับ 2 ของโลก

กรมสำรวจธรณีวิทยาจีนเผยว่า หนึ่งในความสำเร็จสำคัญคือการค้นพบแหล่งแร่ลิเทียมชนิดสปอดูมีนขนาดใหญ่ที่ทอดยาวถึง 2,800 กิโลเมตรในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ นอกจากนี้ การสำรวจทะเลสาบเกลือบนที่ราบสูงชิงไห่-ซีจ้าง ยังทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นฐานสำรองลิเทียมจากทะเลสาบเกลือใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก

ลิเทียมมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน การสื่อสารเคลื่อนที่ และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ โดยจีนยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดลิเทียมจากเลพิโดไลต์ แร่ที่มีปริมาณลิเทียมสูงแต่สกัดได้ยาก

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความก้าวหน้าเหล่านี้จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างความสมดุลในตลาดลิเทียมโลกได้ในอนาคต

สิงคโปร์ให้อำนาจตำรวจ คุมบัญชีปชช.สกัดสแกมเมอร์

(8 ม.ค. 68) สิงคโปร์สร้างความฮือฮาในวงการกฎหมายโลกด้วยการผ่านกฎหมายใหม่ที่มอบอำนาจให้ตำรวจควบคุมบัญชีธนาคารของบุคคล หากพบหลักฐานชัดเจนว่าบุคคลนั้นกำลังตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง โดยกฎหมายดังกล่าวผ่านการอนุมัติเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2025 และถือว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่มีมาตรการเช่นนี้  

ภายใต้กฎหมายใหม่นี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานสืบสวนอาชญากรรมทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ สามารถออกคำสั่งหยุดการทำธุรกรรมทางการเงินได้ทันที หากพบหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าผู้ถือบัญชีกำลังจะโอนเงินให้กับกลุ่มผู้หลอกลวง แม้ว่าเจ้าของบัญชีจะเต็มใจโอนเงินด้วยตัวเองก็ตาม  

สำหรับบุคคลที่ถูกสั่งจำกัดตามกฎหมายนี้ จะถูกระงับการใช้งานบัญชีธนาคาร การเข้าถึงตู้เอทีเอ็ม และวงเงินสินเชื่อ โดยยังคงอนุญาตให้ถอนเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้เพียง 30 วัน และสามารถต่ออายุได้สูงสุด 5 ครั้ง  
“เป้าหมายหลักของกฎหมายนี้คือการให้ตำรวจมีเวลามากขึ้นในการโน้มน้าวและแจ้งเตือนเหยื่อว่ากำลังถูกหลอกลวง รวมถึงขอความช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัวของเหยื่อ”  

ทั้งนี้ คำสั่งควบคุมจะถูกใช้ก็ต่อเมื่อไม่มีวิธีอื่นที่สามารถป้องกันเหยื่อได้ ซุนยังยกตัวอย่างกรณีหญิงวัย 64 ปีที่สูญเสียเงิน 400,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ให้กับผู้หลอกลวงที่อ้างว่าเป็นคนรัก  

ซุนเปิดเผยว่ามาตรการป้องกันในปัจจุบันไม่สามารถจัดการปัญหาหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก 86% ของกรณีหลอกลวงมาจากการที่เหยื่อโอนเงินด้วยตัวเอง และคิดเป็น 94% ของความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายนปีที่ผ่านมา  

ยูจีน ตัน นักวิเคราะห์การเมืองและศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ กล่าวว่า  
“นี่เป็นกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองสถานการณ์เฉพาะของสิงคโปร์ และยังไม่พบประเทศอื่นที่มีกฎหมายลักษณะเดียวกัน” 

แม้จะมีความกังวลว่ากฎหมายอาจเป็นการล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคล แต่เขาเชื่อว่ารัฐบาลสิงคโปร์มองว่าการหลอกลวงเป็นภัยคุกคามทางสังคมที่สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวาง  

จามัส ลิม ส.ส.ฝ่ายค้านจากพรรคแรงงานแสดงความกังวลว่ากฎหมายนี้อาจแทรกแซงสิทธิในการทำธุรกรรมส่วนบุคคล แต่ยังคงสนับสนุนเนื่องจากเห็นถึงปัญหาการหลอกลวงที่ทวีความรุนแรงขึ้น  

ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยระบุว่าในปี 2023 สิงคโปร์สูญเสียเงินกว่า 650 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากกรณีหลอกลวง และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปี 2024 พร้อมกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเพิ่มขึ้น 40%  

ยูจีน ตัน เสริมว่า  “ปัญหาหลอกลวงกำลังอยู่ในจุดวิกฤติ หากยังไม่ถึงจุดนั้นแล้ว”  การออกกฎหมายใหม่นี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสิงคโปร์ในการปกป้องประชาชนจากกลุ่มมิจฉาชีพ แม้จะเป็นการดำเนินการที่เข้มงวดและไม่เคยมีมาก่อนในโลก

ลิซ่า จับมือ Erewhon เปิดตัวเมนูพิเศษ 'Thai Up The World' พาชาไทย สู่เวทีโลก

(8 ม.ค.68) 'ลิซ่า' ลลิษา มโนบาล ยังคงตอกย้ำบทบาทของเธอในฐานะตัวแทน Soft Power ของไทย ล่าสุดเธอได้เปิดตัวเมนูชาไทยสูตรพิเศษ 'Thai Up The World by Lisa' ร่วมกับ Erewhon ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อสุขภาพระดับไฮเอนด์ของสหรัฐอเมริกา โดยเมนูนี้ถือเป็นการนำชาไทยแบบดั้งเดิมมายกระดับใหม่ ผสมผสานวัตถุดิบออร์แกนิกระดับพรีเมียมที่เหมาะสำหรับสายรักสุขภาพ 

เมนู 'Thai Up The World' ใช้ส่วนผสมที่ลงตัว เช่น Just Iced Tea ชาดำออริจินัลแบบไม่หวาน, Clover Sonoma ครีมออร์แกนิกจากฟาร์มโคนมในแคลิฟอร์เนีย, เมเปิ้ลไซรัปออร์แกนิก, ผงวานิลลา และ ARMRA Colostrum™ โปรตีนเสริมสุขภาพ เมนูนี้มีรสชาติที่กลมกล่อมและยังคงเอกลักษณ์ของชาไทยแบบดั้งเดิมไว้ พร้อมจำหน่ายในราคา 11 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 380 บาท) โดยวางขายที่ Erewhon จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น 

นอกจากจะสร้างความประทับใจในวงการเครื่องดื่ม ลิซ่าและ Erewhon ยังร่วมสนับสนุนองค์กร Best Friend Animal Society องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ช่วยเหลือสัตว์ถูกทอดทิ้งและยุติการฆ่าสัตว์อีกด้วย ซึ่งเป็นการสะท้อนความตั้งใจของลิซ่าในการใช้ชื่อเสียงเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม

ก่อนหน้านี้ ลิซ่าเคยสร้างไวรัลด้วยการโชว์ทำเมนูข้าวไข่เจียวและพริกน้ำปลาผ่านความร่วมมือกับ Spotify และในครั้งนี้ เมนูชาไทยของเธอกับ Erewhon ยิ่งทำให้วัฒนธรรมอาหารไทยโดดเด่นในเวทีโลก นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของการใช้ Soft Power ในการโปรโมตประเทศไทยผ่านอาหารไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แฟนๆ สามารถลองเมนูนี้พร้อมชมซีรีส์ดังอย่าง The White Lotus ซีซั่น 3 ที่มีลิซ่าร่วมแสดง เพิ่มอรรถรสให้กับประสบการณ์การดื่มเมนู 'Thai Up The World by Lisa' ได้อีกด้วย

'EA' พร้อมระดมทุนก้าวฟื้นตัว ร่วมมือพันธมิตรจีน ลุยยานยนต์-แบตเตอรี่ กระแสเงินสดพลิกบวก 5,610 ล้านบาท

(8 ม.ค. 68) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) หนึ่งในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของไทย ล่าสุดเมื่อวานนี้ (7 มกราคม 2568) ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากผู้ถือหุ้นในการระดมทุนประมาณ 7,400 ล้านบาท ผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งบริษัทคาดว่าจะใช้ในการเสริมสร้างการฟื้นฟูธุรกิจ หลังจากการปรับโครงสร้างอย่างเข้มข้นภายในกลุ่มบริษัทในระยะเวลา 5 เดือน ที่ผ่านมา

การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ EA ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตเชื้อเพลิงจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดหาผลิตภัณฑ์และระบบที่ใช้ในการกักเก็บและจำหน่ายไฟฟ้า เช่น ธุรกิจพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ ธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า และรวมถึงธุรกิจประกอบยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า รสบัสไฟฟ้า และเรือไฟฟ้า

นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้จัดการธุรกิจจนสถานการณ์เริ่มนิ่งแล้ว ผ่านการตัดสินใจที่ยากลำบากบางอย่าง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือ กระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง เป็นบวก และการสร้างกำไรอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีกำไรและปรับโครงสร้างธุรกิจที่ขาดทุน”

นายฉัตรพล กล่าวว่า "เรามีธุรกิจที่ทำกำไรจากการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการดำเนินธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีผลประกอบการเป็นบวก ธุรกิจเหล่านี้รวมกันคิดเป็น 60% ของรายได้ EA และเกือบทั้งหมดของกำไรของเรา เราเริ่มต้นธุรกิจเหล่านี้แทบจะก่อนใครในประเทศไทย และการตัดสินใจที่มีวิสัยทัศน์นั้นกำลังให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม ด้วยกระแสรายได้ที่มั่นคงและอัตรากำไรที่นำหน้าในอุตสาหกรรม"

"อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของธุรกิจเหล่านี้ได้ถูกหักล้างด้วยธุรกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์และธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่ของเรา ซึ่งกำลังขาดทุนและดูดซับเงินสดของเราไป หลักๆ แล้วสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้น ในส่วนของการปรับโครงสร้าง เราจึงหยุดธุรกิจการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าชั่วคราว และปรับลดขนาดธุรกิจแบตเตอรี่ และการตัดสินใจทั้งสองอย่างนี้ได้ช่วยหยุดการไหลออกของเงินสดของเราได้สำเร็จ"

นายฉัตรพล กล่าวว่า "เรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตและการทำกำไรอย่างมหาศาลสำหรับ EA ทั้งในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์และธุรกิจแบตเตอรี่ แต่เพื่อที่จะฉวยโอกาสเหล่านี้ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของเรา ก่อนอื่นเราต้องสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้เล่นขนาดใหญ่ในตลาดโลกในภาคธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้เรามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นและสามารถขยายตลาดไปยังนอกประเทศไทยได้ และประการที่สอง เราจำเป็นต้องใช้เงินทุนของเราให้น้อยลง ในภาคธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีเวลาจำกัดในการคืนทุน เราได้ลงมือเดินหน้าขับเคลื่อนตามกลยุทธ์นี้แล้ว ซึ่งจะทำให้เรามีความคล่องตัวและฟื้นกลับมารับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น"

นายฉัตรพลรายงานว่า ตอนนี้ EA กำลังจัดตั้งการร่วมทุนกับหนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ประเภทพิเศษรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ในการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าประเภทพิเศษ โดยบริษัทร่วมทุนนี้คือ Chengli Special Automobile Co., Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถประเภทพิเศษมากกว่า 30,000 คัน ไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

ในบันทึกข้อตกลงที่ได้ลงนามร่วมกับ EA ในเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาได้ตกลงกันว่า ยานยนต์จะถูกประกอบในโรงงานประกอบของ EA ที่มีพื้นที่ขนาด 65,000 ตารางเมตร (80 ไร่) ตั้งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยความสามารถในการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 3,000 - 9,000 คันต่อปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของยานยนต์ประเภทพิเศษที่ผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนเมษายน 2568  โดยยานยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานเราจะประกอบมีทั้ง รถพยาบาล รถขยะ และรถกระเช้า ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทพิเศษเหล่านี้จะถูกประกอบขึ้นในประเทศไทยในระดับอุตสาหกรรม การร่วมทุนนี้คาดว่าจะสร้างรายได้มากกว่า 3,000 ล้านบาท สำหรับรายได้ปีแรกของการดำเนินการเต็มรูปแบบในปี 2569

EA ยังได้รายงานการลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อจัดตั้งการร่วมทุนกับหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับแนวหน้าของประเทศจีน ซึ่งมีฐานลูกค้าสำคัญอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยการร่วมทุนนี้จะเป็นการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และจะเป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่แรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แบตเตอรี่เหล่านี้จะถูกใช้งานหลักๆ ในด้านระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ การผลิตจะดำเนินการที่พื้นที่ผลิตแบตเตอรี่ของ EA ขนาด 80,000 ตารางเมตร (91 ไร่) ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะขยายกำลังการผลิตจาก 2 กิกะวัตต์ในปัจจุบันไปเป็น 4 กิกะวัตต์ การลงนามข้อตกลงการร่วมทุนคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยจะเริ่มการจัดเตรียมสถานที่และเครื่องจักรการผลิตในปี 2568 

นายฉัตรพลกล่าวเพิ่มเติมว่า "เรามีความยินดีที่ได้รับความไว้วางใจอย่างท่วมท้นในแผนธุรกิจที่นำเสนอ โดยได้รับการโหวตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น ถึง 99.9% ในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวานนี้ ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่านที่เชื่อมั่นในการเดินหน้าตามแผนเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่”

“เงินทุนใหม่ที่ได้รับจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของ EA และช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสที่น่าสนใจต่างๆ ในอนาคตได้ เมื่อเราเดินหน้าเข้าสู่ก้าวของการฟื้นตัว” นายฉัตรพลกล่าว

นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) กล่าวว่า “เงินทุนที่จะได้จากการเพิ่มทุนที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ในวันที่ 7 มกราคม หลักๆ จะถูกนำไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ธนาคารและใช้ในการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด เราหวังว่าจะลดหนี้สินจาก 58,664 ล้านบาท ลงเหลือ 52,004 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยรายปีลงได้ประมาณ 300 ล้านบาทแล้ว จะช่วยปรับปรุงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้ดีขึ้นด้วย และเป็นประโยชน์ต่อเสถียรภาพทางการเงินและความน่าเชื่อถือของบริษัท รวมทั้งจะช่วยในส่วนของเงินกู้ให้ได้รับเงื่อนไขที่ดีขึ้นส่งผลให้เราประหยัดดอกเบี้ยมากขึ้นด้วย"

ระยะเวลาในการสมัครเข้าร่วมการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน คือระหว่างวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568

จากรายงานล่าสุดของ EA เปิดเผยว่า กระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เป็นบวกดีมากอยู่ที่ 5,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกระแสเงินสดที่เดิมติดลบ 1,726 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และสูงกว่าเกือบสามเท่าจากปีก่อนหน้านี้ กำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 1,852 ล้านบาท และ EBITDA อยู่ที่ 6,183 ล้านบาท จากรายได้ 14,397 ล้านบาท

Tencent-CATL ยืนยันไม่เกี่ยวกิจกรรมทหาร หลังกลาโหมสหรัฐฯ ขึ้นบันชีดำ 2 เทคฯ ยักษ์ใหญ่จีน

เทนเซ็นต์ (Tencent) บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่และคอนเทมโพรารี แอมเพอเร็กซ์ เทคโนโลยี จำกัด หรือซีเอทีแอล (CATL) ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำของจีน ออกมาโต้แย้งกรณีถูกรวมอยู่ในรายชื่อบัญชีดำของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ด้วยข้ออ้างว่าบริษัททั้งสองแห่งให้การช่วยเหลือกองทัพจีน

วันอังคาร (7 ม.ค. 68) เทนเซ็นต์เผยกับสำนักข่าวซินหัวของจีนว่าการรวมเอาเทนเซ็นต์ไว้ในรายชื่อบัญชีดำเป็นความผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด บริษัทฯ ปฏิเสธและยืนยันว่าเทนเซ็นต์ไม่ใช่บริษัทหรือซัพพลายเออร์ทางการทหาร โดยแม้ว่าการขึ้นบัญชีดำครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเทนเซ็นต์ แต่บริษัทฯ จะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ เพื่อแก้ไข “ความเข้าใจผิด” ครั้งนี้

ด้านซีเอทีแอลเรียกการขึ้นบัญชีดำครั้งนี้ว่าเป็นความผิดพลาดเนื่องจากบริษัทฯ ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทหาร

ซีเอทีแอลเผยว่าการถูกขึ้นบัญชีดำไม่ได้จำกัดบริษัทฯ จากการทำธุรกิจกับหน่วยงานอื่นนอกเหนือจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และคาดว่าจะไม่มีผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจของซีเอทีแอล

ซีเอทีแอลทิ้งท้ายว่าจะเดินหน้าหารือร่วมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อจัดการปัญหานี้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการทางกฎหมายหากจำเป็น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นโดยรวม

สวนนงนุชพัทยา จับมือ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากประเทศจีน  ลงนามความร่วมมือการพัฒนาสายพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้า ใหม่ไปทั่วโลก

วันนี้ เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมเฟื่องฟ้า โดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วย บริษัท Sanya Yazhou Bay Science and Technology City Investment Holding Co., Ltd. สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง(MOU)ว่าด้วยกรอบการสื่อสารความร่วมมือ เพื่อจะสร้างพันธุกรรม รวบรวม วิจัย และพัฒนาพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้า ใหม่ไปทั่วโลก

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูล,พันธุกรรม,พัฒนาเทคนิคการเพาะพันธุ์,การพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ และสร้างแพลตฟอร์มแบ่งปันข้อมูลสำหรับสถานที่จัดเก็บพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้าร่วมกัน อีกทั้งร่วมแก้ไขและเผยแพร่ "รายชื่อพันธุ์ไม้ดอกเฟื่องฟ้าโลก" ก่อนปี 2570  ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ทั้ง 2 แห่งนี้มีจำนวนสายพันธุ์และสายพันธุ์ใหม่ๆของต้นเฟื่องฟ้ามากที่สุดในโลก  โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2571

ทั้งนี้สำหรับ Hainan Sanya Bougainvillea Science and Technology Park เป็นสวนวิทยาศาสตร์และนิทรรศการดอกเฟื่องฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสถานที่เพาะพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของจีน และสวนนงนุชพัทยา เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสิบสวนที่สวยที่สุดในโลก มีสายพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้ามากที่สุดในโลก ทั้งสองแห่งถือว่าเป็นสถาบันมีสำคัญ และมีบุคลากรที่เชียวชาญในเรื่องของการศึกษาดอกเฟื่องฟ้าของโลก หลังจากนั้นทางคณะเดินทางไปปลูกต้นเฟื่องฟ้ายักษ์ บริเวณสวนรุกขชาติเชิงเขาบรรไดกฤษ ที่สวนนงนุชพัทยา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top