Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

ทรัมป์ปิ๊งไอเดีย เปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' เผยฟังไพเราะดี แย้มแผนขยายดินแดนปานามา-กรีนแลนด์

(8 ม.ค.68) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างกระแสฮือฮาอีกครั้งเมื่อวันอังคาร (7 ม.ค.) ด้วยการประกาศแผนเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' โดยถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เขาเสนอเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของสหรัฐฯ ก่อนเข้ารับตำแหน่งในปลายเดือนนี้ 

พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังเปิดเผยถึงความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารหรือมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อครอบครอง 'คลองปานามา' และ 'กรีนแลนด์' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์การขยายดินแดนที่เขาพยายามผลักดันตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย.  

ทรัมป์ยังกล่าวถึงแนวคิดการผนวก 'แคนาดา' ให้กลายเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ พร้อมระบุว่าจะกดดันพันธมิตรในองค์การนาโต (NATO) ให้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก'  

แม้ยังมีเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ทรัมป์ได้เริ่มร่างนโยบายต่างประเทศเชิงรุก โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการทางการทูตหรือความกังวลจากประเทศพันธมิตร  

เมื่อถูกถามในงานแถลงข่าวที่รีสอร์ตในฟลอริดา ว่าจะรับประกันได้หรือไม่ว่าจะไม่ใช้กำลังทหารหรือมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อยึดคลองปานามาและกรีนแลนด์ ทรัมป์ตอบว่า  

“ผมรับประกันไม่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเรา”  

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังวิจารณ์การที่สหรัฐฯ ต้องสนับสนุนแคนาดาโดยไม่ได้รับผลตอบแทน พร้อมกล่าวถึงเส้นพรมแดนระหว่างสองประเทศว่าเป็นเพียง 'เส้นที่ใครบางคนขีดขึ้นมา'  

เขายังขู่จะตั้งกำแพงภาษีกับเดนมาร์ก หากเดนมาร์กไม่ยอมขายกรีนแลนด์ให้สหรัฐฯ โดยอ้างว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ ขณะที่ก่อนการแถลงการณ์ ดอน จูเนียร์ บุตรชายของทรัมป์ได้เดินทางเยือนกรีนแลนด์เป็นการส่วนตัว  

ด้านเดนมาร์กแสดงจุดยืนชัดเจน โดยเมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก ย้ำว่า 'กรีนแลนด์' ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองในราชอาณาจักรเดนมาร์ก ไม่ได้มีไว้ขาย  

“การใช้มาตรการทางการเงินมาต่อสู้กันไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เมื่อเรายังเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนที่ใกล้ชิด” เฟรเดอริกเซนกล่าวเพื่อตอบโต้แถลงการณ์ของทรัมป์ในคืนวันอังคารที่ผ่านมา

ผู้บัญชาการทหารเรือ เปิดกิจกรรมรักษ์ทะเลไทย  โครงการในพระราชดำริ ฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

มูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จัดกิจกรรม 'รักษ์ทะเลไทย ตามแนวพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา'

เมื่อวันที่ (7 ม.ค.68) เวลา 08.30 น. พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เป็นประธานจัดกิจกรรม 'รักษ์ทะเลไทย ตามแนวพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา' เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา วันที่ 8 มกราคม 2568 ณ บริเวณหาดเตยงาม หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมีคณะกรรมการโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยฯ ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ จากทุกภาคส่วน นักดำน้ำจิตอาสา ประชาชน และนักเรียน กว่า 500 คน ร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ 

การจัดกิจกรรม 'รักษ์ทะเลไทย ตามแนวพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา' ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ที่ทรงมีเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย และทรงห่วงใยปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรใต้ทะเล และแสดงออกถึงความจงรักภักดีแด่ พระบรมวงศานุวงศ์ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ อันจะเป็นประโยชน์ในการประสานความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยกิจกรรมประกอบด้วย พิธีเปิดกรวยถวายความเคารพ ถวายพระพรชัยมงคลและเทิดพระเกียรติ การปลูกปะการังในทะเลบริเวณเกาะไก่เตี้ย การปล่อยพันธุ์ปลากะพง จำนวน 339 ตัว ปล่อยหอยมือเสือ จำนวน 39 ตัว การปล่อยเต่าทะเล จำนวน 39 ตัว การเก็บขยะชายหาด และดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเลบริเวณอ่าวนาวิกโยธิน กิจกรรมบริจาคโลหิต และการจัดแสดงนิทรรศการของหน่วยงานสนองพระดำริ 

กองทัพเรือ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานสนองพระดำริ ได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระองค์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสนับสนุนการดำเนินโครงการตามพระดำริแล้ว ยังเป็นการสร้างความร่วมมือร่วมใจในการร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตลอดจนเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนได้เห็นถึงคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล นำไปสู่ความสมดุลทางธรรมชาติและการพัฒนาที่ยั่งยืนสืบไป

'คลัง' ปลุกพลัง-ติดปีก SME ออก 2 Soft loan 2 หมื่นล้าน ดอกเบี้ย 3% ผ่าน SME Bank

ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังต้องการเข้าช่วยเหลือ SME ที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินพาณิชย์ เนื่องจากยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รัฐบาลจึงเร่งใช้กลไกสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเพิ่มเติม โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการด้านการเงิน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และ 2) โครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME ผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME-D Bank) ดังนี้

1) โครงการสินเชื่อ 'ปลุกพลัง SME' วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการให้กับ SME รายย่อยและมีความเปราะบางที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 – 3 ร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 12 เดือน รับคำขอถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568

2) โครงการสินเชื่อ Beyond 'ติดปีก SME' วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ ปรับเปลี่ยนทรัพย์สินหรือเครื่องจักร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้กับ SME ที่มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 – 3 ร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 12 เดือน รับคำขอถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568

ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุน SME ในทุกภาคธุรกิจทั้งในส่วนของ SME รายย่อยและมีความเปราะบาง สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจทันที

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานพิธีฌาปนกิจศพตำรวจกล้า 'ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร'

เมื่อวานนี้ (7 ม.ค. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีฌาปนกิจศพ ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร อายุ 55 ปี รอง สว (ป) สน.สายไหม โดยมีคณะผู้บังคับบัญชา และเพื่อนข้าราชการตำรวจ ร่วมพิธี ณ วัดสายไหม ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี

ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร รอง สวป.สน.สายไหม เสียชีวิตในขณะเข้าระงับเหตุฯ จากกรณีผู้ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.ยิงขณะเข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาท บริเวณถนนเฉลิมพงษ์ แขวงและเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงค่ำวันที่ 3 มกราคม 2568

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอแสดงความไว้อาลัย และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลดูเรื่องเกี่ยวกับสวัสดิการปูนบำเหน็จให้ตามระเบียบต่อไป

๘ มกราคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร และพนักงานสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES

8 มกราคม วันคล้ายวันประสูติ ‘สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา’

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2530 และทรงเจริญพระชนมายุครบ 38 พรรษา

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชา 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

เมื่อแรกประสูติทรงดำรงพระอิสริยยศ ‘หม่อมเจ้า’ มีพระนามว่า ‘หม่อมเจ้าบุษย์น้ำเพชร มหิดล’ ต่อมาได้รับพระราชทานพระนามใหม่ว่า ‘หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ยาภา มหิดล’ จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระราชทานพระนามใหม่ว่า ‘หม่อมเจ้าสิริวัณวรี มหิดล’ ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น ‘พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์’ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2548

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นทั้งนักกีฬาขี่ม้าและอดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย ในวันที่ 21 กรกฎาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศ ‘พันเอกหญิง’ ในฐานะพระอาจารย์หัวหน้าแผนก โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า (อัตราพันเอก)

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการออกแบบแฟชันและเครื่องประดับ โดดเด่นเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยทรงออกแบบเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ ‘SIRIVANNAVARI’ และ S’Home เสื้อผ้าของสตรีและบุรุษ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างเนืองแน่นในวงการแฟชั่นโลก กับการออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูงที่มีความประณีต ที่เหล่าผู้มีชื่อเสียงนิยม ทั้งยังมีแบรนด์ต่างๆ อย่าง Sirivannavari maison แบรนด์ของแต่งบ้าน รวมไปถึงแบรนด์ชุดแต่งงาน

นอกจากทรงออกแบบเสื้อผ้าคอลเลกชันต่างๆ แล้ว พระองค์ยังทรงสนับสนุนผ้าไทย ด้วยการนำผ้าไหมมาตัดเย็บเป็นชุดต่างๆ ทั้งนี้ยังทรงออกแบบชุดให้กับ เดมี ลีห์ เนล ปีเตอร์ มิสยูนิเวิร์ส 2017 และโศภิดา กาญจนรินทร์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 ได้สวมใส่ในการประกวดรอบไทยไนท์ของเวทีนางงามจักรวาลที่จัดประกวดที่ประเทศไทยอีกด้วย ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมถวายรางวัลศิลปาธร ประจำปี 2561 ในสาขาศิลปะการออกแบบ (แฟชันและเครื่องประดับ) ด้วยความสนพระทัยด้านแฟชัน พระองค์จึงเสด็จไปทอดพระเนตรงานปารีสแฟชันวีกอยู่เสมอ และได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อต่างชาติ อาทิ นิตยสาร Grazia ประเทศอังกฤษ จัดอันดับให้พระองค์ทรงอยู่ในลำดับที่ 1 ของเจ้าหญิงที่มีสไตล์ที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่าทรงเป็น ‘เจ้าหญิงแฟชัน’

ทั้งนี้ พระองค์ยังทรงเป็นพระอาจารย์สอนนักเรียนปริญญาเอก ศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ อีกด้วย

'พีระพันธุ์' แจงปลดล็อกโซลาร์รูฟท็อป ลดภาระประชาชน ลั่นไม่สนใจนายทุนพลังงาน เหตุไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับใคร

เมื่อวันที่ (6 ม.ค. 68) ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ ที่ถามโดยนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา ที่ถามถึงเรื่องมาตรการสนับสนุนตลาดพลังงานสะอาดผ่านโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ว่าการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันปล่อยมลพิษมากที่สุด ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านไฟฟ้าไปเป็นพลังงานสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งที่ผ่านมาถูกเอื้อให้กับกลุ่มทุน ที่รัฐบาลซื้อพลังงานหมุนเวียน ที่เริ่มตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลาที่รัฐบาลจะซื้อก็อ้างเรื่องความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ซี่งตนตั้งคำถามทุกครั้งว่าเป็นความมั่นคงของประเทศหรือของใครกันแน่ เพราะปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงกว่าความต้องการหรือหลักการสำรองไฟฟ้าอยู่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มภาระค่าไฟให้กับประชาชนทั่วประเทศ มีโรงงานไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตเลย แต่ยังได้เงินจากประชาชนผ่านค่า FT ที่สำคัญคือการรับซื้อนั้น ไม่มีการประมูล ตนเห็นด้วยกับความกล้าหาญของนายพีระพันธุ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับซื้อไฟฟ้าและให้ชะลอการรับออกไป แต่เรายังต้องติดตามว่าจะกลับมาดำเนินการต่อหรือไม่ 

นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้มีบารมีนอกรัฐบาลที่ไปถ่ายรูปในสนามกอล์ฟใช่หรือไม่ ตนก็ไม่ทราบ เรื่องนี้ท่านมองเห็นถึงโครงสร้างการรับซื้อพลังงานสะอาดหรือไม่ เช่น โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop)จะมีการขยายการรับซื้อจากภาคประชาชนเหมือนกับกลุ่มทุนหรือไม่ รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ที่ทำให้การขออนุญาตใช้เวลานาน ท่านจะทำอย่างไร จะมีมาตรการจูงใจภาคครัวเรือนเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น และจะมีวิธีลดภาระอย่างไร

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ได้ชี้แจงว่า ตนยืนยันว่าส่วนตัวไม่ทราบมาก่อนว่ามีการผูกขาดพลังงาน เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง จึงยังไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ในทันทีทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่ยอมรับว่าตนหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้ง ยังมีข้อผูกพันทางกฎหมาย มันไม่ใช่ทันใจที่เราอยากทำ  ซึ่งนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมามีความชัดเจนอยู่แล้วว่า จะต้องลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดย 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่มีนโยบายขึ้นค่าไฟฟ้าและตรึงราคาค่าแก๊สไว้ตลอด ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถลดราคาได้ แต่ได้พยายามไม่ให้ขึ้นไปมากกว่านี้ ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อประเด็นปัญหานี้ ถ้าติดตามการทำงานของตน มันมีคำตอบอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว

“ส่วนตัวผมไม่ชอบเรื่องความไม่โปร่งใส ไม่ถูกต้อง และไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้น นโยบายเรื่องนี้ ตนขออนุญาตกราบเรียนว่าเรามีความคิด ผมกับท่าน ตรงกันอยู่แล้วที่จะดำเนินการ สำหรับประเด็นเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน ผมเห็นด้วยกับท่าน ผมคิดอีกแบบ  ความมั่นคงทางพลังงานไม่ใช่เพียงแค่การทำให้มีพลังงานในปริมาณที่มากขึ้น แต่ความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริงต้องทำให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองในการมีไฟฟ้าใช้ได้ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทั้งจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำ ประเทศเราที่เหมาะสมที่สุดคือแสงอาทิตย์ ดังนั้น จึงควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความมั่นคงทางด้านพลังงาน อย่าพูดถึงขายเลยครับ เอาแค่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟ ไม่ต้องพะวงว่าอีก 4 เดือน ค่าไฟจะปรับเท่าไหร่ ปัจจุบันที่ต้องปรับเพราะไฟฟ้าผลิตจากแก๊ส เราเจอภาวะราคาตลาดโลก ทำให้กำหนดราคาไม่ได้คงที่ ผมก็พยายามศึกษา เพราะเป็นสัญญาที่ทำข้อตกลงไว้แล้ว” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ย้ำว่าตนไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องแยกส่วนการไฟฟ้าไปอยู่ในกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทย เพราะเมื่อมีการแยกระหว่างการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ต้องรับไฟฟ้ามาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งเป็นฝ่ายผลิตแต่ไม่ได้เป็นฝ่ายขาย ทุกขั้นตอนต้องมีกำไร หากไม่มีกำไรก็ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ตนอยากจะหาทางแก้ปัญหา แต่ทั้งหมดนี้ สว. และ สส. เป็นผู้บัญญัติกฎหมาย รู้หรือไม่ กฎหมายไฟฟ้าฝ่ายผลิตกำหนดตั้งแต่ปี 2511 ดังนั้น ควรมีการปรับแก้ ปัญหาพลังงาน ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเห็น แต่ประเด็นคือใครจะเป็นคนทำ

“ท่านนายกฯ แพทองธารก็กำชับผมด้วยซ้ำไป ผมไม่อยากให้เข้าใจผิด ท่านนายกฯเศรษฐามาถึงนายกฯแพทองธารได้กำชับผมมาโดยตลอดให้ช่วยแก้ปัญหา” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ชี้แจงรายละเอียดว่า เวลาประชาชนจะขอติดแผงโซลาร์ต้องขออนุญาตถึง 5 หน่วยงาน ซ้ำซ้อน และยุ่งยากมาก รวมถึงต้องรอเป็นปี ตนในฐานะกำกับกระทรวงอุตสาหกรรมและพลังงานก็ได้สั่งการแก้ระเบียบไปแล้ว วันนี้การแก้กฎหมายไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน อีกนานกว่าจะเข้า ครม. รวมถึงเรื่องการหาเงินทุน

“ผมไม่ทราบหรอก เพราะผมไม่ใช่นายทุน  แต่วันนี้มันเกิดกับพี่น้องประชาชน ผมต้องแก้ไข แล้วถ้าหากว่าท่านติดตามข่าวสารเหมือนที่ท่านพูด ท่านจะเห็นเลยว่าอะไรที่ส่อไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ผมสั่งระงับทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับใคร ผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ก็เหมือนกับท่านครับ เรามาเป็นผู้แทนมาทำงานให้กับประชาชน ครั้งหนึ่งในชีวิตทำตรงนี้ทำให้ดีที่สุด ผมทำทุกอย่างภายใต้นโยบายรัฐบาลและตามแนวทางคือเพื่อความมั่นคงทางพลังงานให้กับประชาชน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

สหรัฐฯ แบล็กลิสต์ 'Tencent' ฐานทำงานให้กองทัพจีน

(7 ม.ค.68) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพิ่มชื่อบริษัทจีนหลายแห่งในบัญชีดำ โดยรวมถึง เทนเซ็นต์ (Tencent) และ CATL ซึ่งถูกกล่าวหาว่าทำงานให้กับกองทัพจีน แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่การดำเนินการนี้ทำให้หุ้นของบริษัททั้งสองร่วงทันที

บัญชีดำของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า Section 1260H ได้เพิ่มบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนหลายแห่ง ซึ่งถือเป็นคำเตือนให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐฯ พิจารณาความเสี่ยงในการทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้ แม้บริษัทที่ถูกระบุในบัญชีดำจะไม่ได้รับคำสั่งห้ามทำธุรกิจในสหรัฐฯ โดยตรง แต่ก็เพิ่มแรงกดดันในการคว่ำบาตรบริษัทจีน

หลังจากการเปิดเผยรายงานดังกล่าว หุ้นของ Tencent ลดลง 7% ในเช้าวันที่ 7 มกราคม ส่วนหุ้นของ CATL ก็ร่วง 4% ทันที อย่างไรก็ตาม Tencent ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่าเป็นความเข้าใจผิด บริษัทยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือทำธุรกิจกับกองทัพจีน และการถูกขึ้นบัญชีดำจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท

ในทางเดียวกัน CATL ก็ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ โดยระบุว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน และทางการจีนก็ได้ตอบโต้คำกล่าวหาดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลและเป็นการปราบปรามบริษัทจีนอย่างไม่ยุติธรรม

นายพลยูกันดา ลูกชายปธน. ประกาศกร้าวอยากตัดศีรษะผู้นำฝ่ายค้าน

(7 ม.ค.68) มูฮูซี ไคเนรูกาบา หัวหน้ากองทัพยูกันดา ซึ่งเป็นบุตรชายของประธานาธิบดีโยเวอรี มูเซเวนี ผู้นำคนปัจจุบันของยูกันดา ได้โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายว่าเขาต้องการตัดศีรษะ 'บ็อบบี้ ไวน์' ผู้นำฝ่ายค้านที่มีชื่อเสียงของประเทศ

ไคเนรูกาบา ซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีจากบิดา ผู้ปกครองยูกันดามาตั้งแต่ปี 1986 มักจะโพสต์ข้อความที่กระตุ้นความโกรธในสื่อสังคมออนไลน์ โดยในปี 2022 เขาเคยข่มขู่จะบุกประเทศเคนยา ก่อนที่ในภายหลังเขาจะขอโทษและกล่าวว่าโพสต์บางรายการเป็นเพียงการประชดประชัน

ในโพสต์ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ (5 ม.ค.) ไคเนรูกาบาได้กล่าวว่า พ่อของเขา 'มซี่' คือบุคคลเดียวที่ทำให้บ็อบบี้ ไวน์ ผู้นำฝ่ายค้านยังคงปลอดภัยจากเขา "หากมซี่ไม่อยู่ ผมจะตัดหัวเขาวันนี้" ไคเนรูกาบากล่าว

บ็อบบี้ ไวน์ ซึ่งมีชื่อจริงว่า โรเบิร์ต คยากูลันยี เคยได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับสองในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2021 ตอบโต้โพสต์ของไคเนรูกาบาโดยกล่าวว่า เขาไม่มองคำขู่ครั้งนี้เป็นเรื่องเล่น ๆ และไม่เคยละเลยความพยายามหลายครั้งในการลอบสังหารตน

ไคเนรูกาบาได้ตอบกลับว่า "ในที่สุด! ฉันปลุกคุณแล้วหรือ? ก่อนที่ฉันจะตัดหัวคุณ คืนเงินที่พวกเราเคยให้คุณยืม" โดยอ้างว่ารัฐบาลเคยจ่ายเงินให้ไวน์เพื่อหวังทำลายฝ่ายค้าน

โฆษกรัฐบาลยูซานดาเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าโพสต์ของไคเนรูกาบาในโซเชียลมีเดียควรถือเป็นความคิดเห็นที่ไม่ควรนำมาคิดจริงจังหรือมองว่าเป็นนโยบายของรัฐบาล

ไวน์ ซึ่งเคยเป็นนักดนตรีและได้ผันตัวมาทำการเมืองเป็นผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่งในเวทีการเมืองของมูเซเวนี และได้ปฏิเสธผลการเลือกตั้งปี 2021 โดยอ้างว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้งและการข่มขู่ประชาชน

นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาว่ารัฐบาลมูเซเวนีมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างแพร่หลาย รวมถึงการทรมานและการกักขังโดยไม่มีการตัดสิน ขณะที่รัฐบาลยูซานดาได้ยืนยันว่าไม่เคยมีการทุจริตในการเลือกตั้งหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ดาราจีน พาเหรดแฉขบวนการค้ามนุษย์จับตัวเรียกค่าไถ่ ชี้ กรณี ‘ซิงซิง’ ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้ามีเหยื่อแล้ว 3 คน

(7 ม.ค. 68) หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวของ “ซิงซิง” นักแสดงหนุ่มชาวจีน ที่หายตัวไปบริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งมีพฤติการณ์คล้ายกับขบวนการค้ามนุษย์ ก็มีนักแสดงหลายคนออกมาเปิดเผยว่าตนเองก็ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกัน!

โดยนักแสดงที่ชื่อ "เติ้งโหย่ว"ได้โพสต์ว่า เขาก็ถูกชักชวนจากบุคคลที่ใช้ชื่อวีแชตว่า "GMMGrammy~十六" ติดต่อให้มาทำงานที่ไทยเช่นเดียวกันกับซิงซิง แต่เขารู้สึกแปลกๆ และได้เตือนนักแสดงคนอื่นๆ ให้ระวังคนคนนี้เอาไว้ด้วย

ด้านนักแสดงที่ชื่อ "ฟ่านหู่" ก็ออกมาเปิดเผยประสบการณ์โดนแก๊งหลอกลวงระดับมืออาชีพ หลอกมาไทยพร้อมกับนักแสดงอีกหลายคน ทว่าโชคดีที่เขาพบพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ และทำการส่งข้อความไปหาผู้กำกับชาวไทยที่ถูกนำชื่อมาแอบอ้าง ก่อนที่จะได้รู้ความจริงว่าตนเองกำลังโดนหลอก และวางแผนหลบหนีมาได้สำเร็จ

ขณะที่นักแสดงอีกคน ที่ชื่อ "สี่ว์ต้าจิ่ว" ได้โพสต์ว่า เขาถูกหลอกเหมือนกัน และได้นั่งเครื่องบินมาที่ไทยด้วย แต่เขาเอาตัวรอดมาได้และเดินทางกลับจีนแล้ว โดยซิงซิงน่าจะอยู่ในล็อตที่ 3 ส่วนเขาเป็นล็อตที่ 2 หรือกล่าวคือ ขณะนี้มีคนอย่างน้อย 3 กลุ่มที่ถูกหลอกลวง โดยมีเหยื่อมากกว่า 1 ราย

รายงานระบุว่า นี่เป็นวิธีการตกเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะมีการแทรกซึมเข้าไปตามกลุ่มเพื่อน หรือกลุ่มหางานในวีแชต ชักจูงและหว่านล้อมให้ผู้คนหลงเชื่อ พร้อมกับเสนอค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง เพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งคล้ายกับกรณีของ "สี่ว์ป๋อชุน" ในปี 2023 ที่เขาเห็นประกาศรับสมัครนักแสดงในกลุ่มพาร์ทไทม์ โดยบอกว่าเป็นโปรเจกต์ฟอร์มยักษ์ ต้องเก็บเป็นความลับ

หลังจากพูดคุยและตกลงกันเรียบร้อย สี่ว์ป๋อชุนก็เดินทางไปยังแคว้นปกครองตนเองสิบสองปันนา กลุ่มชาติพันธุ์ไท มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) จากนั้นก็ถูกพาตัวไปยังพม่า และถูกกักตัวไว้ เพื่อเรียกเงินค่าไถ่จากครอบครัว ถึง 620,000 หยวน (ประมาณ 3.1 ล้านบาท) และถึงแม้จะได้เงินไปแล้วแต่เขาก็ต้องรออีก 100 กว่าวันถึงจะถูกปล่อยตัวกลับจีน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top