Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

‘หมู วรวุฒิ’ เตือน!! อย่าออกกำลังกายนานเกินไป หลังโหมปั่นจักรยานจนน้ำตาลหมด วูบกะโหลกแตก - ฟันหัก

หมู - วรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้ง ออฟฟิศเมท แชร์ประสบการณ์ออกกำลังกายนานเกินไปจนน้ำตาลหมด ก่อนมีอาการวูบเจ็บหนักทั้งกะโหลกแตก ฟันหัก กรามหัก เย็บเพดานปาก 16 เข็ม ชี้บทเรียนครั้งนี้ทำให้ต้องระมัดระวังให้มาก

เมื่อวันที่ (5 ม.ค. 68) เฟซบุ๊ก “Worawoot Ounjai” ของ นายวรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้งบริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์ออกกำลังกายนานเกินไปจนน้ำตาลหมด จนเกิดอาการวูบเจ็บหนักจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 คืน โดยอาการกะโหลกแตก ฟันหัก กรามหัก เย็บเพดานปาก 16 เข็ม โดยระบุว่า

“เมื่อราว 2 เดือนที่ผ่านมาผมประสบอุบัติเหตุวูบจากการปั่นจักรยานครับ สาเหตุคือออกกำลังกายมากและนานเกินไป ปั่นไปต่อเนื่องร่วม 2 ชั่วโมงเศษ

ระหว่างปั่นก็ดื่มน้ำโดยตลอด ไม่ได้ขาดน้ำครับ แต่คุณหมอสันนิษฐานว่าวูบจากการใช้น้ำตาลจนหมด ไม่พอไปเลี้ยงสมอง..

วูบครั้งนี้ถึงขั้นเจ็บหนักครับ ต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 คืนเพราะกะโหลกหน้าแตก ฟันหักไป 3 ซี่ กรามหัก และต้องเย็บเพดานปากด้านในอีก 16 เข็ม

ต้องกินแต่อาหารเหลวอยู่เดือนครึ่ง ผ่านหลอดดูด เพราะต้องยึดฟันบนกับล่างให้ติดกันด้วยลวดเหล็กจนพูดไม่ถนัดอ้าปากไม่ได้จนถึงวันนี้ ทำให้ต้องงดงานบรรยาย และนัดหมายอื่นๆ ทั้งหมดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งต้นกุมภาฯ นี้น่าจะหายดีครับ

ที่เอามาเล่าให้ฟังนี้ เพราะอยากจะให้เป็นข้อเตือนใจครับ ว่าคนที่อายุมากแล้ว เวลาออกกำลังกายต้องระมัดระวัง อย่าคิดว่าร่างกายเรามันจะเหมือนตอนอายุน้อยๆ แข็งแรงเหมือนก่อน

อย่างเคสผมคือ ใจมันไปเกินสังขาร เพราะตอนออกกำลังกายก็สนุกและคิดว่าร่างกายเราไหว ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้ด้วยครับ คิดแต่ว่าเราไหว และไม่ได้ขาดน้ำ แต่สำหรับคนปั่นจักรยานนานๆ ไกลๆ จะต้องมีน้ำเกลือแร่หรือน้ำหวานคอยจิบเป็นระยะๆ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำตาลหรือเกลือแร่จากการออกกำลังกายเป็นเวลานานๆ

บทเรียนครั้งนี้ ทำให้ต้องระมัดระวังให้มากเมื่อจะกลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง เพราะเจ็บหนักรอบนี้ต้องพักรักษาตัวนานกว่า 2 เดือนเลยทีเดียว และโชคดีที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้

สำหรับท่านที่ติดต่อมาในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ก็ต้องขออภัยด้วยครับที่ไม่สามารถพบปะ และการบรรยายก็ต้องงดไปด้วย 2-3 งาน เพราะอุบัติเหตุครั้งที่ผ่านมานี้

มาตอนนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมากแล้วครับ อาทิตย์หน้าก็คงจะรับประทานอาหารได้เป็นปกติ ไม่ต้องคอยดูด ensure แบบที่ผ่านมา ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน จะได้ระมัดระวังกันไว้ครับ โดยเฉพาะท่านที่อายุมากแล้วในการออกกำลังกายครับ”

'ซิงซิง' ดาราดังจีนหายตัวที่ไทย พบพิกัดสุดท้ายอยู่ 'แม่สอด'

(6 ม.ค. 68) สื่อและโซเชียลจีนร่วมแชร์ข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของ 'ซิงซิง' ดาราหนุ่มชื่อดังชาวจีน หลังเดินทางมาถ่ายงานที่ประเทศไทย โดยพิกัดสุดท้ายถูกระบุอยู่ที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ญาติและแฟนสาวของซิงซิงได้ประสานงานกับสถานทูตจีนในไทยและหน่วยงานความมั่นคงเพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะที่โซเชียลจีนหวั่นว่าเหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับการล่อลวงคล้ายเนื้อหาในภาพยนตร์ดัง "No More Bets"

เพจ DomJeen ซึ่งรายงานเรื่องราวนี้เปิดเผยว่า แฟนสาวของซิงซิง ซึ่งใช้ชื่อว่า เจี่ยเจี่ย (Jiajia) ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือในโซเชียลมีเดีย เธอเล่าว่า ซิงซิงได้รับการติดต่อจากทีมงานผ่าน WeChat ให้เดินทางมาร่วมแคสติ้งและถ่ายทำในประเทศไทย ซิงซิงออกเดินทางจากสนามบินเซี่ยงไฮ้ ผู่ตง เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 และถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเช้าวันเดียวกัน ก่อนขึ้นรถที่ทีมงานจัดเตรียมไว้

เหตุการณ์ก่อนการหายตัว
วันที่ 3 มกราคม 2568 เวลา 03.00 น. ซิงซิงเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิและเดินทางต่อโดยรถยนต์ที่ทีมงานจัดไว้ โดยแจ้งว่าจะไปยังสถานที่ถ่ายทำในจังหวัดตาก ระหว่างการเดินทาง ระบบติดตามตำแหน่งแสดงว่ารถที่ซิงซิงโดยสารได้เดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณอำเภอแม่สอด ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ซิงซิงขาดการติดต่อกับแฟนสาวและทีมงาน ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้ตั้งแต่นั้น การดำเนินการของครอบครัวและแฟนสาว แฟนสาวของซิงซิงได้ติดต่อทั้งสำนักงานความมั่นคงเซี่ยงไฮ้ สถานทูตจีนในกรุงเทพฯ และสถานทูตจีนในเชียงใหม่ เพื่อขอความช่วยเหลือ พร้อมประกาศเดินทางมายังประเทศไทยในวันนี้ (6 มกราคม 2568) เพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ไทย

เธอยังเปิดเผยว่าเคยมีนักแสดงชาวจีนหลายรายที่ประสบเหตุการณ์คล้ายกัน โดยถูกล่อลวงให้มาทำงานในต่างประเทศและต้องเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยง

หลังเรื่องราวถูกเผยแพร่ใน เว่ยป๋อ (Weibo) แพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมในจีน ชาวเน็ตและนักแสดงร่วมวงการต่างแสดงความห่วงใยและร่วมกันแชร์ข้อมูลเพื่อช่วยตามหา ซิงซิง ขณะที่บางส่วนแสดงความกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นการหลอกลวงเพื่อนำไปสู่การทำงานผิดกฎหมาย หรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรรมในพื้นที่

ชาวเน็ตจีนจำนวนมากภาวนาให้ซิงซิงปลอดภัยและกลับมาโดยเร็วที่สุด พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือในกรณีนี้

เพจ สนง.พลังงานลำปาง โพสต์ถล่ม ‘พีระพันธุ์’ ซัด รู้แต่กฎหมายไม่รู้เรื่องพลังงาน - ใช้นโยบายคร่ำครึ

(6 ม.ค. 68) พลังงานจังหวัดลำปาง น้อมรับทัวร์ลง..หลังแอดมินเพจ สนง.โพสต์ภาพ-ข้อความ ถล่ม “พีระพันธุ์” รู้แต่กฎหมายไม่รู้เรื่องพลังงาน - ใช้นโยบายคร่ำครึ เผยไม่ได้เขียนเอง-เป็นลิ้งค์ส่วนกลางส่งให้ทุกสำนักงาน/ทุกจังหวัดลงเผยแพร่ ก่อนรู้ว่าผิดลิ้งค์สั่งลบกันทันที

จากกรณีเย็นวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา หน้าเฟซบุ๊กเพจสำนักงานพลังงานจังหวัดลำปาง ได้มีการโพสต์รูปนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมข้อความประกอบลักษณะโจมตีและต่อว่านโยบาย รื้อ ลด ปลด สร้าง แบบดุเดือด แต่โพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ได้ไม่ถึง 20 นาที ก็ถูกลบออก

จากนั้นมีการขึ้นโพสต์ใหม่ โดยมีข้อความว่า..“พีระพันธุ์” โชว์ผลงาน 67 ตรึงค่าไฟ-ผุดกฎหมายพลังงาน ลั่นปี 68 เดินหน้าลดราคาน้ำมัน-หนุนโซลาร์รูฟ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน โพสต์สรุปผลงานปี 2567 เผยสามารถตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และ 3.99 บาทสำหรับกลุ่มเปราะบาง

พร้อมผลักดันกฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎหมายกำกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง และกฎหมายส่งเสริมโซลาร์รูฟ สำหรับแผนงานปี 2568 จะร่างกฎหมายสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง (SPR) กำหนดให้สำรองน้ำมันขั้นต่ำ 90 วัน คาดช่วยลดราคาน้ำมัน 2.50-4 บาทต่อลิตร พร้อมผลักดันการผลิตอินเวอร์เตอร์ราคาถูกสำหรับโซลาร์รูฟ รมว.พลังงาน ยังตอบโต้กระแสข่าวขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล ยืนยันได้รับการสนับสนุนจากทั้งนายกฯ แพทองธารและอดีตนายกฯ เศรษฐา ในการทำงานตามนโยบายรัฐบาล”

อย่างไร็ตาม แม้ว่าโพสต์โจมตี รมว.พลังงาน ดังกล่าวทางสำนักงานจะลบไปแล้ว แต่ปรากฏว่ามีการแคปข้อความไว้ทันจนกลายเป็นกระแสข่าวผ่านสื่อและมีผู้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นเชิงลบกับสำนักงานพลังงานจังหวัดลำปางกันจำนวนมาก และต่อเนื่อง

ล่าสุด วันนี้ (6 ม.ค.)นางสายธาร ประสงค์ความดี พลังงานจังหวัดลำปาง ได้เปิดเผยถึงที่มาที่ไปของโพสต์ดังกล่าวว่า ปกติหน้าเพจของสำนักงานฯจะมีแอดมินดูแล-โพสต์กิจกรรมและภารกิจของสำนักงานอยู่แล้ว รวมถึงนำเสนอข่าวที่โดยทีมงานประชาสัมพันธ์ส่วนกลางส่งให้ทุกจังหวัดซึ่งก็จะมีทั้งสองด้าน

ส่วนโพสต์ที่กำลังเป็นข่าว ทางสำนักงานฯก็ไม่ได้เขียนเอง แต่ทางส่วนกลางส่งลิงค์มาให้ทุกจังหวัดนำลงประชาสัมพันธ์เพราะเห็นว่าเป็นช่องทางการเผยแพร่ที่เร็วที่สุด ซึ่งแอดมินก็ดำเนินการโพสต์ทันที แต่หลังจากนั้นทราบว่าเป็นการส่งลิงค์ข่าวผิด จึงได้แก้ไขและสั่งให้ทุกจังหวัดลบโพสต์ออกและลงโพสต์ใหม่ในเวลาต่อมา ซึ่งก็เป็นสาเหตุว่าทำไมลงได้ไม่นานแล้วลบออก

“ประชาชนที่เห็นโพสต์หรือข่าวก็อาจจะเข้าใจผิดว่าทางสำนักงานเขียนเองลบเอง ซึ่งจริงๆไม่ใช่ เพราะสำนักงานไม่มีเจตนาที่จะลงข้อความใดๆเพื่อทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆขึ้น ตนในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาพร้อมทำตามนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายรื้อลดปลดสร้าง ก็เป็นนโยบายหลักที่กำลังทำอยู่ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด”

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ลิงค์ข่าวดังกล่าวเป็นสกู๊ปข่าวของสำนักข่าว THE ROO44 ซึ่งได้ลงข่าวในหน้าเว็บไซต์เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 โดยมีหัวข้อข่าวว่า รู้กฎหมาย ไม่รู้เรื่อง “พลังงาน” นโยบายย้อนยุคของ “พีระพันธุ์”

เปิด 10 ลำดับ แหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพน้ำดีที่สุดประเทศไทย ยก หาดสมิหลา จ.สงขลา ยืนหนึ่ง ขณะที่ ปากแม่น้ำเจ้าพระยา คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมสุด

(6 ม.ค. 68) น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า การติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งทั่วประเทศ จำนวน 210 จุด ซึ่งครอบคลุมพื้นที่การใช้ประโยชน์ตามมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล 6 ประเภท ผลการประเมินดัชนีคุณภาพน้ำทะเล (Marine Water Quality Index ; MWQI) ปี 2567 มีคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งอยู่ในเกณฑ์ดี ร้อยละ 49 เกณฑ์พอใช้ ร้อยละ 43 เกณฑ์เสื่อมโทรม ร้อยละ 6 และมีเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก ร้อยละ 2

น.ส.ปรีญาพร กล่าวว่า แหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพน้ำทะเลดีที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่ 
1. หาดสมิหลา จ.สงขลา 
2. หาดในหาน จ.ภูเก็ต 
3. หาดต้นไทร จ.กระบี่ 
4. อ่าวมาหยา จ.กระบี่ 
5. อ่าวโล๊ะซามะ จ.กระบี่ 
6. เกาะยูง จ.กระบี่ 
7. เกาะไก่ จ.กระบี่ 
8. หาดท้ายเหมือง จ.พังงา 
9. หาดบางเบน จ.ระนอง  
10. บ้านทุ่งริ้น จ.สตูล 

ส่วนแหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1. ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ 2. โรงงานฟอกย้อม กม. 35 จ. สมุทรปราการ 3. ปากคลอง 12 ธันวา จ.สมุทรปราการ 4. แหลมฉบัง ตอนใต้ จ.ชลบุรี และ 5. ปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร

ยุนซอกยอล มาจากการเลือกตั้ง มีสิทธิ์ได้รับการอารักขาตามกฎหมาย จึงไม่อนุญาตให้หน่วยงานสอบสวนเข้ามาค้นทำเนียบได้

เมื่อวันที่ (5 ม.ค. 68) หน่วยอารักขาประธานาธิบดียืนยัน ‘ยุนซอกยอล’ ยังได้รับสิทธิอารักขาในฐานะประมุขที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่อนุญาตให้สำนักงานสอบสวนฯ เข้ามาในเขตทำเนียบ

พัคชองจุน หัวหน้าหน่วยอารักขาประธานาธิบดี ยุนซอกยอล แถลงข่าวภายหลังศาลยกคำร้องของทนายความประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่กล่าวหาว่าหมายจับนั้นมิชอบด้วยกฎหมาย

พัคชองจุน กล่าวว่า หน่วยอารักขาประธานาธิบดีไม่ได้อนุญาตให้สำนักงานสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้ามาในเขตทำเนียบประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 3 มกราคม เพื่อดำเนินการตามหมายจับที่ออกให้กับประธานาธิบดียุน ซ็อก-ย็อล

พัคชองจุน กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยอารักขาประธานาธิบดีไม่มีเจตนาขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานสอบสวน แต่การถอดถอนประธานาธิบดียุน ซ็อก-ย็อลได้ผ่านมติของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

พัคชองจุน ยืนยันว่า ยุนซอกยอล ยังคงเป็นประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนผู้ทรงอำนาจอธิปไตยของเกาหลีใต้ และยุนยังคงได้รับการอารักขาความปลอดภัยที่เหมาะสมตามบทบัญญัติของกฎหมาย

‘พีระพันธุ์’ กับปรากฏการณ์ ‘พีระ...พัง’ บทพิสูจน์ผลงาน...เหนือการเมือง!!

(6 ม.ค. 68) ปี 2567 ต้องยอมรับว่าฉายาที่ผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาลจัดให้กับนักการเมืองเมื่อ 23 ธ.ค.นั้นแสบสันต์ไม่น้อย..โดยเฉพาะคนการเมืองจากพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.)..

พีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค  รองนายกฯและรมว.พลังงาน ได้ฉายา “พีระ..พัง..” /เอกณัฐ  พร้อมพันธ์  รมว.อุตสาหกรรม  ได้ฉายา ”รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ” และ สุรชาติ  ชมกลิ่น  รมช.พาณิชย์  ติด1ใน 3 รมต.โลกลืม..

แต่ไม่น่าเชื่อเพียง 1-2 ชั่วโมงหลังวิกฤติจากฉายาร้อนฉายาร้ายนี้สะพัดในโซเชียลมีเดีย  พรรค รทสช. ได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสโดยฉับพลันด้วยการ  ทำแบนเนอร์ผ่านเพจพรรค..

“พีระ..พัง...การผูกขาด
พีระ..พัง..ระบบที่เน่าเฟะ
พีระ..พัง..การโกงกินทุกรูปแบบ
#ฉายารัฐบาล67”
และอีกดอก..
“#รทสช.ไม่ใช่แค่พีระพัง..
เอกณัฐ ก็พร้อม “พัง” กากพิษ
ธุรกิจสีเทา สินค้าห่วยข้ามชาติให้หมดสิ้น
#รทสช...พัง..ให้ทุกปัญหา”

ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าคนที่ครีเอทพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้เฉียบคมเช่นนี้..สุดยอด  แต่มองให้ลึกแล้วที่สุดยอดยิ่งกว่าก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ต้นทุน” ทั้งต้นทุนของพรรคที่มี DNAลุงตู่  ต้นทุนคนชื่อพีระพันธุ์ ชื่อเอกณัฐ..และมวลสมาชิก..

โดยเฉพาะกรณี “พีระพันธุ์” นั้นต้องโฟกัสเป็นพิเศษว่า..ตลอดปีเศษที่ผ่านมาสื่อมวลชนขาใหญ่จำนวนไม่น้อยทำนายทายทักกันว่า  น่าจะต้องจอดป้ายในไม่นานเพราะการชักธงปฏิรูปพลังงานของเขาทำให้หลายฝ่ายเสียประโยชน์..ยิ่งกว่านั้นยังคาดหมายกันว่า  พรรครทสช.เองก็อาจจะถูก “พลังประชารัฐโมเดล” แยกสลาย...

โดยมีพรรคใหม่ที่จะเป็นพรรคสำรองแบบ “กล้าธรรม” คือพรรคโอกาสใหม่..ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

ก่อนหน้านั้นภาพเมื่อ 22 ธ.ค.ที่สนามกอล์ฟ Stonehill Golf Couse ของเจ้าสัวพลังงาน ”สารัชต์ รัตนวดี” นั้น ทักษิณ  ชินวัตร,อนุทิน  ชาญวีรกูล,คงพระพัน  อินทรแจ้ง ซีอีโอ ปตท.และสารัชต์  ออกรอบเล่นกอล์ฟด้วยกันด้วยความชื่นมื่นรื่นรมย์ ยิ่งตอกย้ำกระแสข่าวความเชื่อว่าพีระพันธุ์จะต้องจอดป้ายเกิดขึ้นแน่

แต่ท่ามกลางกระแสข่าวดังกล่าว  วันที่ 25 ธ.ค.พีระพันธุ์นำทีมรทสช.แถลงข่าวปลดล็อกโซลาร์รูฟท็อป  พร้อมเสนอร่างกฎหมายของพรรคเข้าสภา

ข้ามมาปีใหม่  4 ม.ค.2568 พีระพันธุ์โพสต์ในเฟซบุ๊ก  สรุปการทำงานในรอบปี 2567และสิ่งที่จะทำในปี 2568 อย่างเป็นรูปธรรมที่อ่านแล้วเห็นภาพสัมผัสได้..แต่ไฮไลท์ที่ต้องขีดเส้นใต้สิบเส้นคือ..

“เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงสองสามเดือนก่อนสิ้นปี 2567 ผมถูกกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าสื่อบางกลุ่มรุมกระหน่ำปั้นข่าวทุกรูปแบบ  โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวเปิดตัวพรรคใหม่ทุนหนา ก็มีบัญชีอวตารเปิดใหม่พรึ่บเพื่อใช้ถล่มผมแบบไม่ยั้งมือ  แต่ผมไม่เคยหวั่นไหวและจะทำในสิ่งที่ต้องทำเสมอครับ..
พอเห็นว่ากลยุทธแบบเดิมทำมาจะเล่นงานไม่ไหว ก็ไปปั้นข่าวว่าผมขัดแย้งกับนายกฯบ้าง ขัดแย้งกับแกนนำรัฐบาลบ้าง  ทั้งๆที่ผมและนายกฯแพทองธารและอดีตนายกฯเศรษฐาไม่เคยมีอะไรขัดแย้งกันเลย  แถมท่านทั้งสองก็สนับสนุนการทำงานของผมตลอดมา  เพราะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลทั้งสิ้น....”

ล่าสุดของล่าสุด..วันที่ 5 ม.ค.ทักษิณ  ชินวัตร “พ่อนายก” ตอบคำถามนักข่าวชัดว่า..วันก่อนได้พูดคุยกับนายพีระพันธุ์(เรื่องค่าไฟ-พลังงาน)  และบอกว่าข่าวที่จะปรับพีระพันธุ์ออกจากครม.ไม่จริง “อ๋อ!ไม่มีคุยกันรู้เรื่อง ไม่มีอะไรเลย พีระพันธุ์เขาเป็นคนตั้งใจ  รู้จักกันมานาน  เคยมีความคุ้นเคยกัน รู้เรื่องทุกเรื่อง..”

ความจริงจากทักษิณ...เหมือนเกมพลิก สื่อมวลชนขาใหญ่ร้องเอ๊ะ!ไปตามๆ กัน..

นักสังเกตการณ์มองค่อนข้างตรงกันว่า  การชูธงที่จะปฏิรูปพลังงานเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ทำให้ “เรตติ้ง” ของพีระพันธุ์และพรรครทสช.พุ่งกระฉูดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  และน่าจะส่งผลให้แนวรบของรทสช.ในมิติความเป็นพรรคทางเลือกของสังคมเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง..

ยิ่งหากปลดล็อกเรื่องโซลาร์รูฟท็อป และเข็นกฎหมายกำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง 180 มาตรา ที่ “พีระพันธุ์”ประกาศว่าร่างเองมากับมือออกมาเป็นผลสำเร็จจริงๆ  ก็น่าจะยิ่งทำให้ต้นทุนที่ดีและมีอยู่แล้วของรทสช.ยิ่งแน่นหนึบ มูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นมหาศาล..

ถึงตรงนี้กรณีรทสช.-พีระพันธุ์..ก็น่าจะกล่าวได้ว่า..สุดยอดของการตลาดที่แท้จริงก็คือคุณภาพจริงๆของสินค้า..หาใช่แค่วาทกรรม..

“พีระ..พัง...” ไม่อาจจะฝ่าพายุฝ่าหลุมขวากมาได้ หากไม่มีคำว่า “คุณภาพ” เป็นตัวนำและค้ำยัน

“หากคุณยิ่งลักษณ์กลับมา ผมก็ยังมองไม่เห็นเลยว่า มันจะเสียหายกับบ้านเมืองอย่างไร คนเรา ไม่ว่าใคร หากช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติแล้ว เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ไม่มีโทษหรอก”

(6 ม.ค. 68) “...บางทีเราอยู่ในสังคมนี้ก็ต้องทำใจ มองกว้าง ๆ ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร ทำแค่นี้เหมาะสมไหม เกินไปหรือเปล่า ไม่ใช่พอเห็นหน้า ปั๊บ ไอ้นี่ โกรธกันมาทั้งชาติแล้ว มีอะไรต้องล่อมันให้ตาย บ้านเมืองก็ไม่สงบ...”

นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวอิศรา ถึงความเป็นไปได้ในการกลับบ้านของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าท่านผิดท่านก็คงยอมรับผิด (ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกนางสาว ยิ่งลักษณ์ 5 ปี คดีจำนำข้าว) ท่านก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เชื่อว่าจะจบลงด้วยดี จบสวย

ส่วนระยะเวลาจะเป็นภายในปีนี้หรือไม่นั้น นายชัยเกษม บอกว่า ระยะเวลาอย่าไปกำหนดเลย ทุกอย่างเป็นไปตามจังหวะ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หลายๆ อย่าง ต้องดูการเมือง ต้องดูหลายๆเรื่อง จะไปบอกว่า วันนี้ ปีนี้ บอกไม่ได้ ถ้าสถานการณ์ดี ผมก็ไม่เห็นว่าท่านจะผิดร้ายแรงอะไร ทุกอย่างเคลียร์ออกมาได้ ทุกคนบอกว่า โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้เอง ไปทำอะไรกับท่านมากมาย มันก็จบ คนเราถ้าคิดดีต่อกัน คิดดีต่อบ้านเมือง คิดว่าบ้านเมืองก็ไปได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่นเอง

และท่าน (คุณยิ่งลักษณ์) ก็คงรู้ตัวท่านเอง ท่านฟังแล้วประชาชนคิดอย่างไรกับท่าน คิดในทางไม่ดีไหม แต่สำหรับตัวผม ผมไม่รู้สึกว่า ท่านทำอะไรไม่ดีถึงขนาดอยู่เมืองไทยไม่ได้ ทีนี้ ท่านอยู่กับการเมือง ท่านก็ต้องเข้าใจว่า การเมืองนั้น เรื่องเล็กนิดเดียว กลายเป็นเรื่องใหญ่ ต้องยอมรับในสถานะนั้น ถึงเวลาคลี่คลายเรื่องใหญ่ก็จะเหลือเป็นเรื่องเล็ก ก็จะไปได้

ถ้าประชาชนคนไทย รู้จักคิดสักนิดหนึ่ง แล้วมาช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ก็จะมีแต่เรื่องดี ๆ ไม่เห็นมีเรื่องอะไรเสีย ท่านเป็นคนฉลาด ทำคุณกับบ้านเมืองไว้มากมาย หากท่านกลับมา ผมก็ยังมองไม่เห็นเลยว่า มันจะเสียหายกับบ้านเมืองอย่างไร คนเรา ไม่ว่าใคร หากช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติแล้ว เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ไม่มีโทษหรอก

จัสติน ทรูโด จ่อไขก๊อกลาออก หลังเป็นนายกฯ 9 ปี คาดแถลงในสัปดาห์นี้

(6 ม.ค. 68) สื่อรายงานอ้างแหล่งข่าวระบุว่า จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาจะประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีนิยม ซึ่งอาจเกิดขึ้นเร็วที่สุดในวันนี้ (6 มกราคม) ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคที่เพิ่มมากขึ้น

รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า จัสติน ทรูโด (Justin Trudeau) นายกรัฐมนตรีแคนาดาจะประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีนิยมโดยเร็วที่สุดในวันนี้ (6 มกราคม) หลังจากดำรงตำแหน่งนี้และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2015 ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคให้ลาออกเพิ่มขึ้น โดยมีการอ้างอิงจากรายงานของเดอะโกลบแอนด์เมลเมื่อวันที่ 5 มกราคม

แหล่งข่าวกล่าวกับเดอะโกลบแอนด์เมล (The Globe and Mail) ว่าสื่อท้องถิ่นว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ทรูโดจะประกาศลาออกเมื่อไร แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนการประชุมใหญ่ของพรรคที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 8 มกราคมนี้ ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับอนาคตของนายทรูโดและอนาคตของพรรค

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า ทรูโดจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที หรือจะยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

หลังจากการรายงานของเดอะโกลบแอนด์เมล แหล่งข่าวใกล้ชิดกับทรูโดกล่าวกับรอยเตอร์ว่า ทรูโดมีแนวโน้มที่จะประกาศลาออกมากขึ้น แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เสียงเรียกร้องให้ทรูโดลาออกเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากที่นายกรัฐมนตรีทรูโดพยายามปลดคริสเทีย ฟรีแลนด์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดในคณะรัฐมนตรีของเขาออกจากตำแหน่ง เมื่อเธอคัดค้านข้อเสนอของเขาที่จะเพิ่มการใช้จ่าย ต่อมา ฟรีแลนด์ลาออกและเขียนจดหมายกล่าวหาทรูโดว่ามีกลอุบายทางการเมืองแทนที่จะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ

แม้ว่ารัฐบาลแคนาดาจะทุ่มเงินมหาศาลเพื่อปกป้องผู้บริโภคและธุรกิจจนทำให้ขาดดุลงบประมาณเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ความโกรธแค้นของประชาชนหายไปได้ เนื่องจากราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น อีกทั้งนโยบายผู้อพยพที่ล้มเหลวทำให้มีผู้คนหลายแสนคนอพยพเข้ามา ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยที่ร้อนแรงอยู่แล้วตึงเครียด

ทรูโด อายุ 53 ปี ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยมในปี 2013 เมื่อพรรคเผชิญปัญหาหนักและถูกลดที่นั่งในสภาสามัญชน หรือสภาล่าง เหลือสถานะเพียงพรรคอันดับสามเป็นครั้งแรก จนกระทั่งสามารถนำพรรคขึ้นสู่อำนาจในฐานะพรรครัฐบาลได้สำเร็จเมื่อปี 2015 และทรูโดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยคำมั่นสัญญาตามแนวทางนโยบายก้าวหน้าที่ส่งเสริมสิทธิสตรี

การลาออกของทรูโดจะทำให้พรรคเสรีนิยมไม่มีหัวหน้าพรรคถาวรในช่วงเวลาที่โพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนแสดงให้เห็นว่า สมาชิกพรรคเสรีนิยมจะพ่ายแพ้ให้กับพรรคอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักในการเลือกตั้งที่คาดว่าจะจัดขึ้นภายในปลายเดือนตุลาคมนี้

การลาออกของทรูโดอาจกระตุ้นให้เกิดการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้รัฐบาลสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารของรัฐบาลสหรัฐในยุคโดนัลด์ ทรัมป์

แหล่งข่าวกล่าวว่า ทรูโดได้หารือกับนายโดมินิก เลอบลองค์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ถึงการที่จะให้เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคชั่วคราวและนายกรัฐมนตรี หรือไม่ โดยเสริมว่าการดำเนินการดังกล่าวจะไม่สามารถทำได้ หากนายเลอบลองค์มีแผนที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำ

ยักษ์ธุรกิจการศึกษาจีน ขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด หลังซื้อหุ้นเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ไม่ทำกำไรตามคาด

(6 ม.ค. 68) เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2024 บริษัทการศึกษาเอกชนยักษ์ใหญ่ของจีน "อวี่หัว เอ็ดดูเคชัน" (Yuhua Education) ได้ประกาศขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดในไทย มูลค่า 240 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 1,060 ล้านบาท) เพื่อใช้ในการชำระหนี้จากหุ้นกู้แปลงสภาพที่ค้างชำระ

อวี่หัว เอ็ดดูเคชัน (China YuHua) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเจิ้งโจว ดำเนินธุรกิจโรงเรียน 9 แห่งในจีน โดยบริหารงานโดยพ่อลูกตระกูลหลี่ - หลี่ กวงอวี่ และหลี่ ฮว่า

การขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดในครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของบริษัท หลังจากเผชิญกับปัญหาหนี้สินที่ทวีความรุนแรง

การตัดสินใจขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด ซึ่งเปิดสอนหลักสูตรธุรกิจและการโรงแรมทั้งระดับปริญญาตรีและโท เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทซื้อมหาวิทยาลัยแห่งนี้เมื่อ 5 ปีก่อนในราคาที่สูงกว่ามูลค่าเดิมถึง 120 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

โดย China YuHua ยักษ์ธุรกิจการศึกษาจากจีนเข้าซื้อมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด 2019 โดยได้เข้าถือหุ้นใหญ่ประมาณ 49% สำหรับมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ดในประเทศไทย ประกอบด้วย วิทยาเขตพระรามเก้า, ศูนย์การศึกษาอโศกแคมปัส และวิทยาเขตหัวหิน มีนักศึกษาราว 5,000-6,000 คน ซึ่งเดิมเป็นของเครือลอรีเอท (Laureate International Universities) โดยทางการจีนได้ส่งทีมผู้บริหารจากจีนคุมการบริหารของมหาวิทยาลัยแบบเบ็ดเสร็จ

อย่างไรก็ตาม ไม่ชัดเจนถึงรายละเอียดถึงเหตุผลการข่ายมหาวิทยาลยดังกล่าว แต่รายงานข่าวระบุว่า มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดสร้างรายได้สุทธิ 31.66 ล้านบาทในปีการศึกษา 2023-2024 แต่เนื่องจากรายได้ที่ไม่สูงมาก การขายในครั้งนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักของอวี่หัวมากนัก

อวี่หัวมีหนี้สินจากหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกในปี 2019 มูลค่า 2.088 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งมีกำหนดชำระในเดือนธันวาคม 2024 การขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดจึงช่วยลดภาระหนี้บางส่วนได้ แต่บริษัทยังคงต้องการการปรับโครงสร้างทางการเงินเพิ่มเติม

แม้จะเผชิญกับความท้าทายด้านการเงิน อวี่หัวยังคงตั้งเป้าหมายในการขยายธุรกิจการศึกษาในระดับสากล โดยมีแผนจะดำเนินกิจการต่อไปเมื่อสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทมีความมั่นคงขึ้น

จีนยืนยัน 'HMPV'ไม่ใช่โรคใหม่ แจงพบป่วยเพิ่มจริง แต่ไม่น่ากังวล

(6 ม.ค. 68) ทางการจีนรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสฮิวแมนเมตานิวโมไวรัส (HMPV) เพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2024 ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสชนิดใหม่ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขย้ำว่า HMPV เป็นโรคทางเดินหายใจที่มีอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นภัยคุกคามใหม่

เจิ้ง ลี่ชู นักวิจัยจากสถาบันไวรัสวิทยาแห่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคจีน (China CDC) อธิบายว่า HMPV เป็นไวรัสที่พบมานานกว่า 60 ปี แต่เพิ่งถูกนักวิทยาศาสตร์ระบุในช่วงต้นปี 2000 เนื่องจากลักษณะการเจริญเติบโตที่ช้าและอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง

“สำหรับคนส่วนใหญ่ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์” เจิ้งกล่าว

หร่วน เจิ้งซ่าง รองหัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลซินหัว เซี่ยงไฮ้ เตือนว่าไม่ควรวินิจฉัยโรคเองจากอาการ เช่น ไข้หรือวิงเวียนศีรษะ เพราะอาการของ HMPV คล้ายกับโรคทางเดินหายใจอื่น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไอ คัดจมูก อ่อนเพลีย หรือไข้สูง

ถัง หลานฟาง หัวหน้าแผนกโรคทางเดินหายใจ โรงพยาบาลเด็กแห่งมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง กล่าวว่ากลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากมีไข้สูงต่อเนื่อง ซึมเศร้า ไอมาก หรือหายใจถี่ ควรรีบพบแพทย์ทันที

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาต้านไวรัส HMPV โดยเฉพาะ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด

ในอินเดีย ดร.อตุล โกเอล อธิบดีกรมบริการสุขภาพ ยืนยันว่าไม่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในฤดูหนาวนี้ โรงพยาบาลในอินเดียพร้อมรับมือการเพิ่มขึ้นของโรคทางเดินหายใจตามฤดูกาล

ขณะที่ในมาเลเซีย มีรายงานผู้ติดเชื้อ HMPV จำนวน 327 รายในปี 2024 เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียแนะนำให้ประชาชนดูแลสุขภาพและป้องกันการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่แออัดหรือปิด

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขย้ำว่า แม้ HMPV จะไม่ใช่ไวรัสใหม่ แต่ประชาชนควรระมัดระวังและดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดในวงกว้าง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top