Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

‘ปาล์มมี่’ ขอหยุดงาน ไม่มีกำหนด หลังคนใกล้ชิด!! ป่วยกะทันหัน

(4 ม.ค. 68) แฟน ๆ แห่ส่งกำลังใจ ให้นักร้องสาว ‘ปาล์มมี่ อีฟ ปานเจริญ’ กันอย่างล้นหลาม หลังจากที่เจ้าตัวขอหยุดงานอย่างไม่มีกำหนด เนื่องด้วยมีคนสำคัญในครอบครัวของ ‘ปาล์มมี่’ ป่วยกะทันหัน 

โดยทางต้นสังกัด genie records ได้ออกมาโพสต์จดหมายแจ้งข่าวที่ระบุว่า … 

"ทางต้นสังกัด genie records ขอแจ้งให้ทราบว่า เนื่องด้วยมีคนสำคัญในครอบครัวของ ปาล์มมี่-อีฟ ปานเจริญ ป่วยกะทันหัน โดยทางปาล์มมี่ไม่สามารถออกไปปฏิบัติงานข้างนอกได้อย่างปกติ เพราะต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแบบปลอดเชื้อ 

จึงเรียนแจ้งให้ทราบว่า ปาล์มมี่จะขอหยุดงานอย่างไม่มีกำหนด ทางต้นสังกัดและศิลปินต้องขออภัยแฟนเพลงทุกท่าน, ผู้จัดงาน, และผู้เกี่ยวข้อง ทุกท่านมา ณ ที่นี้"

‘ไรเดอร์’ รถล้ม!! ยังเป็นห่วงลูกค้าที่สั่งอาหาร กลัวรอ ‘ออเดอร์’ ‘กู้ภัยใจดี’ ต้องอาสาไปส่งต่อให้เอง ทำชาวเน็ต ซึ้งในน้ำใจ

(4 ม.ค. 68) คุณต้นกล้า อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู จุดเมืองใหม่24 ได้เปิดใจเกี่ยวกับ กรณีที่ได้ช่วยเหลือ ‘ไรเดอร์’ โดยได้ระบุว่า ...

ตอนแรกตนไปส่งแฟนมา จากนั้นมาเจอเหตุกับอาสาร่วมกตัญญูบูรณะพอดี เห็นไรเดอร์เจ็บ และดูท่าทีเป็นห่วงออเดอร์ลูกค้าที่ยังไม่ไปส่ง ตรงซอยสุขสวัสดิ์ 9/1 ตนเองเลยบอกไปว่า “งั้นพี่ไปโรงพยาบาลเลย กับทางอาสาร่วมกตัญญูบูรณะนะ เดี๋ยวผมไปส่งข้าวให้ก็ได้” ซึ่งตอนนั้น ไรเดอร์ก็มีสีหน้าตกใจมาก แต่ก็ยินยอมให้ตนเอาออเดอร์ไปส่งให้ลูกค้า

โดยตนได้ขอเบอร์ลูกค้ามา แล้วบอกจะไปส่งออเดอร์ ในตอนแรกลูกค้าตกใจที่ไรเดอร์ประสบอุบัติเหตุ จึงขอออกมารับคนละครึ่งทาง แต่ตนบอกว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปส่งของเอง ลูกค้าจะได้ไม่ต้องออกมา”

จากนั้นก็ขับรถไปส่งข้าวให้กับลูกค้าแทนไรเดอร์ ก่อนจะโทรหาลูกค้า ซึ่งปกติก่อนหน้านี้ตนเองเคยรับจ๊อบเป็นไรเดอร์อยู่แล้วด้วย ก็เลยไปส่งให้ลูกค้าในระยะทาง 3 กิโลเมตร ลูกค้าเองก็ใจดีออกมารอหน้าปากซอย ไม่ให้เข้าไปหา พอส่งเสร็จลูกค้าขอบคุณ และให้ค่าน้ำมา 100 บาท ตอนแรกตนปฏิเสธแต่ทางลูกค้าก็ไม่ยอม

เหตุผลที่ตัดสินใจส่งและช่วยเหลือ เพราะว่าตนเองเป็นจิตอาสา ตั้งใจที่จะทำให้ช่วยเหลือสังคม ขณะที่ทางไรเดอร์เองก็ขอบคุณ เขาเองก็เป็นห่วงออเดอร์และก็เจ็บตัวด้วย สภาพร่างกายตอนนั้น มีแผลถลอกตามร่างกาย เนื่องจากล้ม คาดว่าน่าจะโดดฝาท่อ แต่ไม่มีคู่กรณี

ทั้งนี้ ตนได้เห็นคอมเมนต์ ก็รู้สึกดีใจมาก ที่มีคนชื่นชม เพราะปกติเห็นแต่ข่าวอาสาตีกัน จึงอยากให้คนเห็นอีกมุมมองหนึ่งของจิตอาสาอย่างพวกตนบ้าง เพราะมุมมองดี ๆ ยังมีอีกเยอะ

‘ดร.อานนท์’ วิจารณ์!! นายกฯ ใส่ผ้าซิ่นกลับหัว ชี้!! บรรพบุรุษชินวัตร เคยมีชื่อเสียง ด้านการค้าผ้า

(4 ม.ค. 68) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ภาพ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สวมชุดผ้าไทย พร้อมด้วยนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส ร่วมพิธีทำบุญในวันขึ้นปีใหม่ 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล

โดยผศ.ดร.อานนท์ ระบุว่า ชินวัตรไหมไทยเป็นกิจการที่มีชื่อเสียงของตระกูลชินวัตร และดำเนินกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ พ่อเลี้ยงเลิศ ชินวัตร ผู้เป็นปู่ นายทักษิณ ชินวัตร ต่างก็เคยค้าผ้าไหมกันมาก่อน

ทำไมลูกหลานสตรีในตระกูลชินวัตรจึงไม่มีความรู้ใด ๆ ในเรื่องผ้าไทย จนไม่รู้จักกระทั่งตีนซิ่น หัวซิ่น สวมใส่สลับไปหมด น่าอับอายขายหน้าถึงบรรพบุรุษว่ามีลูกหลานที่มิได้รับการถ่ายทอดสิ่งดี ๆ เช่นภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษ มาแม้แต่น้อย นับว่าเสียชาติเกิดที่เกิดมาในตระกูลชินวัตรโดยแท้

‘ไอติม’ อัด!! ก.ศึกษาฯ แก้ ‘ทรงผมนักเรียน’ ไม่ตรงจุด แนะส่วนกลางชี้ขาด!! ทุกโรงเรียน หยุดบังคับเด็ก

(4 ม.ค. 68) จากกรณีที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวยืนยันว่า กระทรวงมีหนังสือยกเลิกระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2566 ดังนั้น ‘ทรงติ่งหู’ หรือ ‘ทรงขาว 3 ด้าน’ จะไม่ถูกเรียกว่า ‘ทรงผมนักเรียน’ อีกต่อไป เพราะไม่มีการระบุความสั้น/ยาวของทรงผมนักเรียนชายและนักเรียนหญิงแล้ว ส่วนการจะกำหนดให้ผู้เรียนไว้ทรงผม แต่งกายแบบไหน ให้เป็นไปตามวิจารณญาณของสถานศึกษา โดยให้โรงเรียนเปิดช่องทางให้ผู้เรียนพูดคุยเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดนั้น

เรื่องนี้ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน แสดงความเห็นผ่าน X เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ระบุว่า หาก ศธ. ตั้งเป้าว่าไม่ควรมีนักเรียนคนไหนที่ต้องถูกบังคับเรื่องทรงผม ผมเห็นว่าสิ่งที่กระทรวงทำอยู่ ยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุดครับ

สิ่งที่กระทรวงทำ = ยกเลิกการบังคับจากส่วนกลางว่านักเรียนจะต้องมีทรงผมแบบไหน แต่เปิดช่องให้แต่ละโรงเรียนตัดสินใจเองได้ที่จะบังคับนักเรียนในโรงเรียนนั้นๆ เรื่องทรงผม

สิ่งที่กระทรวงควรทำ = ออกมาตรฐานจากส่วนกลาง เพื่อกำหนดว่าทุกโรงเรียนจะต้องหยุดการบังคับนักเรียนเรื่องทรงผม

‘หลานม่า’ มีลุ้น!! หลังเพจ ‘ออสการ์’ เปิดชื่อ 15 หนัง ชิง ‘ภาพยนตร์ต่างประเทศ’ รอผลโหวตเพื่อเข้าสู่ 5 เรื่องสุดท้าย ประกาศผล วันศุกร์ที่ 17 มกราคม นี้

(4 ม.ค. 68) หลังจากก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยว่า หลานม่า (How to Make Millions Before Grandma Dies) ภาพยนตร์ไทยจาก GDH สร้างประวัติศาสตร์เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ฝ่าด่านหนังต่างประเทศ จำนวน 85 เรื่อง ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 15 เรื่องที่เข้ารอบ รางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 สาขา ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (ACADEMY AWARDS / BEST INTERNATIONAL FEATURE FILM SHORTLIST)

โดยล่าสุด เฟซบุ๊กของออสการ์ The Academy ก็ได้โพสต์ เปิดชื่อ 15 ภาพยนตร์นานาชาติ ที่มีชื่อให้โหวตเพื่อเข้าสู่ 5 เรื่องสุดท้าย ที่จะประกาศในวันศุกร์ที่ 17 มกราคมนี้

พร้อมถ่ายทอดการประกาศรางวัลในวันที่ 2 มีนาคม ผ่าน ABC และ Hulu

สำหรับลิสต์รายชื่อภาพยนตร์ทั้งหมด มีดังนี้

Brazil, I’M STILL HERE
Canada, UNIVERSAL LANGUAGE
Czech Republic, WAVES
Denmark, THE GIRL WITH THE NEEDLE
France, EMILIA PÉREZ
Germany, THE SEED OF THE SACRED FIG
Iceland, TOUCH
Ireland, KNEECAP
Italy, VERMIGLIO
Latvia, FLOW
Norway, ARMAND
Palestine, FROM GROUND ZERO
Senegal, DAHOMEY
Thailand, HOW TO MAKE MILLIONS BEFORE GRANDMA DIES
United Kingdom, SANTOSH

ทั้งนี้ ในโพสต์ดังกล่าว ก็มีคนเข้าไปคอมเมนต์ให้กำลังใจภาพยนตร์จากประเทศต่างๆ รวมถึงหลานม่า ไม่น้อยทีเดียว

'ช้างศึก' กลับถึงบ้านเกิด พร้อมความมั่นใจเกินร้อย!! 'ปฏิวัติ' ลั่น!! พร้อมสู้เพื่อแชมป์ ต่อหน้าแฟนบอลชาวไทย

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค. 68) เวลา 18.30 น. ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ฟุตบอลชายทีมชาติไทย เดินทางกลับถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังเสร็จภารกิจการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024 หรือ ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก กับทีมชาติเวียดนาม

โดย ทีมชาติไทย เพิ่งบุกไปพ่ายเวียดนาม ในนัดแรก ที่ เวียด จี๋ สเตเดียม ด้วยสกอร์ 1-2 ซึ่งหลังจากนี้จะกลับมาฟื้นฟูร่างกายและฝึกซ้อมต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเกมนัดที่สอง

หลังเดินทางถึง ‘ปฏิวัติ คำไหม’ ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย กล่าวว่า “มันยังมีอีกเกมให้เราแก้ตัว พี่นิว (พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี) พยายามปลุกใจ ให้นักเตะทุกคนมั่นใจว่าเราสามารถกลับมาได้ เราต้องทำเต็มที่ ต้องสู้ต่อในเกมสุดท้าย”

“ไม่ว่าจะเจอใครเราต้องรัดกุมอยู่แล้ว แต่ต้องเน้นให้มันมากขึ้น เพราะมันเป็นเกมสุดท้ายของเรา เกมที่จะส่งผลว่าเราจะได้แชมป์หรือไม่ได้แชมป์ หลังจบเกมโค้ชอิชิอิ บอกว่าเราต้องสู้ ผ่านมาเจ็ดเกมแล้ว เหลืออีกแค่นัดเดียว ไม่มีทางอื่น ต้องก้มหน้าก้มตาสู้อย่างเดียว”

“ผมมั่นใจครับ เพราะถ้วยมาที่ไทยแล้ว มั่นใจว่าเราจะได้ ขอบคุณแฟนบอลทุกคนที่คอยซัพพอร์ตพวกเรา เกือบ 50,000 คนที่จะมาในสนาม ขอบคุณมากครับ พวกเราจะสู้ให้เต็มที่ที่สุด มันเป็นเกมนัดสุดท้ายของพวกเราด้วย เราอยากได้แชมป์ เราจะสู้เต็มที่ต่อหน้าแฟนบอลชาวไทย”

โปรแกรมนัดต่อไป ทีมชาติไทย จะทำศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 รอบชิงชนะเลิศ เลกสอง พบกับ ทีมชาติ เวียดนาม ที่ สนาม ราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 5 มกราคม 2568 เวลา 20.00 น. 

ถ่ายทอดสดทาง ไทยรัฐทีวี ช่อง 32, AIS PLAY, True sport2 ช่อง 667

มาร่วมกันเชียร์บอลไทยไปด้วยกัน

‘จักรภพ’ พาคนรัก!! เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ขอคำปรึกษาทักษิณ เตรียมจดทะเบียนสมรส

(4 ม.ค. 68) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก และ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (3 ม.ค. 68) ตนพร้อมด้วย นายสุไพรพล ช่วยชู หรือ ป๊อบ คู่ชีวิต  เดินทางเข้าพบ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อเรียนเชิญเป็นสักขีพยานในการจดทะเบียนสมรส รับกฎหมาย พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ประเทศไทยจะประกาศใช้ ในวันที่ 22 มกราคม 2568 

นายจักรภพ กล่าวว่า การเข้าพบครั้งนี้ เพื่อขอคำปรึกษา ดร.ทักษิณ เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสและการฉลองแต่งงานของเรา ในฐานะที่ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ที่บทบาทสำคัญในการผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ในนามพรรคเพื่อไทย จนนำไปสู่ประกาศใช้ในวันที่ 22 มกราคมนี้ นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก เพราะว่าคนเพศเดียวกันหรือที่เรียกว่า LGBTQ+ ก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้ เหมือนกับมนุษย์คนอื่นในโลกนี้ เพื่ออยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเดียวกัน 

“ท่านเมตตาให้คำปรึกษาอย่างผู้ใหญ่ในครอบครัวทั้งในเรื่องวัน เวลา รูปแบบ แม้แต่ฤกษ์พานาที โดยท่านย้ำว่า ต้องยึดหลักโบราณเพื่อหาวันที่เหมาะสม” นายจักรภพ กล่าว นายจักรภพ กล่าวถึงเส้นทางความรักของตัวเองว่า คบหาดูใจกับ คุณป๊อบมายาวนานถึงกว่า 23 ปี พอ ๆ กับ การผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เมื่อปี 2544 ที่รัฐบาล นำโดยนายกรัฐมนตรี ทักษิณ  เริ่มเสนอแนวคิดให้คนรักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย แต่ต้องยุติลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระแสสังคมต่อต้าน รัฐบาลจึงมองเห็นว่าสังคมไม่พร้อม เรื่องนี้จึงตกไป ต่อมา ปี 2555 มีการเรียกร้องจากกลุ่ม LGBTQ+ ต้องการจดทะเบียนสมรส แต่ถูกปฏิเสธ จึงได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง 

ต่อมาในปี 2556 สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีผลักดันให้มีกฎหมายรองรับของกลุ่ม LGBTQ+ อีกครั้ง โดยได้ยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตเพื่อให้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สำเร็จ และยุติลงในปี 2557  หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนและพรรคการเมือง และกระแสโลก ที่เรียกร้องสมรสเท่าเทียม และมีการเดินหน้าอย่างจริงจัง จนนำไปสู่ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ในสมัยรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และจะประกาศใช้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ ในรัฐบาลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นับเป็นการผลักดันต่อสู้อย่างยาวนานของพรรคเพื่อไทย ในการสร้างประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกจนประสบความสำเร็จในที่สุด

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผย!! วันนี้ โลกใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในรอบปี ชี้!! หลายคนสับสน เข้าใจผิด คิดว่า ‘ฤดูหนาว’ เพราะโลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์

(4 ม.ค. 68) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า โลกใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบปี ระยะห่างประมาณ 147 ล้านกิโลเมตร โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีและดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ตรงศูนย์กลางวงรีพอดี ดังนั้นมี 2 ตำแหน่งที่โลกจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดและไกลดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบ 1 ปี จุดที่ใกล้ที่สุด เรียกว่า Perihelion และจุดที่ไกลที่สุด เรียกว่า Aphelion

ในวันนี้ ดวงอาทิตย์จะขึ้นตอนเวลา 06:42 น. และตกเวลา 18:03 น. ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว จุดนี้หลายคนในเมืองไทยมักสับสนและเข้าใจผิดว่าฤดูหนาวเป็นเพราะโลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์ แต่ที่จริงแล้วตรงกันข้าม ฤดูหนาวของประเทศไทยโลกจะอยู่ในจุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่มากสุด ดังนั้น ฤดูหนาวไม่ได้เกิดเพราะโลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุด และฤดูร้อนไม่ได้เกิดเพราะโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด

เนื่องจากแกนหมุนของโลกเอียงทำมุม 23.5 องศา กับระนาบตั้งฉากวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกจึงได้รับแสงอาทิตย์ในปริมาณต่างกัน ทำให้มีอุณหภูมิต่างกัน รวมถึงมีระยะเวลากลางวันและกลางคืนที่ต่างกันด้วย เป็นเหตุให้เกิดฤดูกาลขึ้นบนโลก

‘ฮุนได’ เดินหน้าจัดโครงการ ‘Future Mobility School’ ปีที่ 2 เพื่อสร้างทักษะ หนุนเยาวชน!! ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุดประกายการเดินทางที่ยั่งยืน

(4 ม.ค. 68) ‘ฮุนได’ ประกาศความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน เปิดตัวโครงการ Future Mobility School ปีที่ 2 เพื่อเตรียมความพร้อมของเยาวชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการเป็นผู้นำด้านการเดินทางซึ่งกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วผ่านหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริง โครงการนี้จัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะและองค์ความรู้ให้กับนักเรียนจำนวน 1,150 คน ใน 12 โรงเรียนจาก 4 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขับเคลื่อนการเดินทางที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ‘ความก้าวหน้าเพื่อมวลมนุษยชาติ’ (Progress for Humanity) ของฮุนได

โครงการ Future Mobility School สะท้อนถึงภารกิจของฮุนไดในการส่งเสริมโซลูชันการเดินทางให้เป็นพลังเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ผ่านการปลูกฝังให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโซลูชันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและสอดรับกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม หลักสูตรในปีนี้นำทีมโดยครูผู้ทุ่มเทจำนวน 19 คน พร้อมต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาผ่านการยกระดับการมีส่วนร่วมและส่งเสริมการคิดเชิงนวัตกรรมของเด็กนักเรียน ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้และการมีส่วนร่วมที่เข้มข้นด้วยตนเอง

“ฮุนไดมุ่งมั่นพัฒนาการเดินทางให้เป็นพลังเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีและอนาคตที่ยั่งยืน” มร.ซันนี่ คิม ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก สำนักงานใหญ่ กล่าว “โครงการ Future Mobility School มุ่งส่งเสริมทักษะแก่เยาวชนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการมอบทักษะและองค์ความรู้เพื่อให้พวกเขาเป็นผู้นำด้านการเดินทางที่ยั่งยืน และด้วยแนวทางการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการคิดค้นนวัตกรรมนี้ เรากำลังเตรียมคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโซลูชันการเดินทางแห่งอนาคตที่เปี่ยมความหมายร่วมกัน กิจกรรมนี้ยังแสดงให้เห็นถึงโครงการระดับโลกของเราในการพัฒนาผู้ที่มีความสามารถของแต่ละท้องถิ่น และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชุมชนต่าง ๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

โครงการ Future Mobility School สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของฮุนไดที่เน้นย้ำว่า ความก้าวหน้าจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม ซึ่งเอื้อให้คนรุ่นหลังสามารถใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยสันติภาพและความสะดวกสบาย โดยฮุนไดยังคงมุ่งมั่นต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนเยาวชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการมอบองค์ความรู้ด้านการเดินทางที่ยั่งยืนและการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ศูนย์การศึกษาเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศแห่งเอเชียแปซิฟิก (APCEIU) ภายใต้องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  (UNESCO) ตระหนักถึงการสนับสนุนของฮุนได โดย มร.ลิม วอนจิน หัวหน้าสำนักงานครูแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ กล่าวว่า “เด็ก ๆ ในวันนี้ก็คือผู้นำในอนาคต ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องสนับสนุนให้พวกเขาร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โครงการ Future Mobility School ของฮุนไดเป็นการต่อยอดความพยายามเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นตัวอย่างของการสร้างแรงบันดาลใจด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและความร่วมมือในระดับโลก”

เสียงตอบรับจากโครงการ Future Mobility School
แนวทางการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติและมีประสบการณ์จริงของหลักสูตรช่วยบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์และวิธีการแก้ปัญหาของนักเรียนเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับประเด็นต่าง ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น การเดินทางที่ยั่งยืน การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรม โดยเหล่านักศึกษาและนักเรียนได้มาร่วมแบ่งปันถึงผลลัพธ์ของโครงการนี้

ชาริฟาห์ นูร์ ฟาซิลาห์ ครูจากโรงเรียน SK Seri Budiman ในมาเลเซีย แสดงความคิดเกี่ยวกับหลักสูตรการสอนว่า “โครงการ Future Mobility School ช่วยกระตุ้นกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ และการตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของเด็ก ๆ โดยนักเรียนได้รับการสอนให้รู้จักรีไซเคิลสิ่งของต่าง ๆ ในระหว่างการเรียนหลักสูตรนี้”

ชาห์ซาดา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนประถม Muhammadiyah Sapen ในยอกยาการ์ตา อินโดนีเซีย กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “รู้สึกตื่นเต้นมากในตอนแรก แต่เมื่อผมเริ่มทำ มันก็สนุกมาก ผมได้ทำกระเป๋าเงินรีไซเคิลจากเบาะนั่งรถยนต์เก่าที่มีข้อความ รักษ์โลก อยู่ด้านหลังด้วย” ประสบการณ์ของเขาเน้นย้ำถึงความสำเร็จของหลักสูตรในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในหมู่เด็กนักเรียน 

ในขณะที่ พจน์ วิเศษหอมดี อายุ 15 ปี นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมในประเทศไทย กล่าวแสดงความเห็นด้วยว่า “โปรแกรมนี้มอบประสบการณ์องค์ความรู้ใหม่ให้กับเรา ผมอยากให้โรงเรียนอื่น ๆ ได้มาร่วมโครงการนี้ด้วย”

โครงการ Future Mobility School ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำเสนอหลักสูตรที่เน้นย้ำสาระสำคัญเดียวให้กับเด็กนักเรียนทุกคน นั่นคือการรักษ์โลกโดยให้ความสำคัญกับการเดินทางที่ยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้ทำให้ฮุนไดวางแผนสานต่อและขยายโครงการนี้ไปสู่ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมพันธกิจระยะยาวในการพัฒนาผู้นำแห่งอนาคตและสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมในแต่ละท้องถิ่น โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงถึงวิสัยทัศน์ด้านการเดินทางที่อย่างยั่งยืน และความมุ่งมั่นสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนของฮุนได

‘ยุทธศาสตร์พลังงาน’ ของ ‘ลุงตู่’ ที่ไม่ได้หยุดอยู่ แค่การพึ่งพาน้ำมัน วิสัยทัศน์แบบ ‘นกอินทรี’ ที่ ‘อีกา’ ไม่มีวันเข้าถึง มองไกล เห็นอนาคต

ใครจะคิดว่าการบริหารงาน 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านพลังงานของประเทศไทยไปชนิดที่โลกต้องจับตามอง!! วิสัยทัศน์แบบนกอินทรีที่โผบินเหนือเมฆพายุ มองเห็นทิศทางอนาคตได้ไกลจนอีกาอย่างฝ่ายค้านไม่มีวันตามทัน ยุทธศาสตร์พลังงานของลุงตู่นั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่การพึ่งพาน้ำมัน แต่ได้วางหมากสำหรับอนาคตด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและการเปิดศักราชใหม่ของพลังงานทดแทน

หนึ่งในตัวเปลี่ยนเกมสำคัญคือ ‘พระอาทิตย์เทียม’ หรือ Tokamak ที่ไทยได้รับเทคโนโลยีจากจีนในโครงการ Thailand Tokamak-1 ซึ่งทำให้เราเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานฟิวชันระดับโลก! ไม่ใช่เพียงแค่การได้ของเล่นไฮเทค แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมระบบพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน การผลักดันเรื่องนี้เกิดจากวิสัยทัศน์ของ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการทำให้ยุทธศาสตร์นี้เป็นจริง

การพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากน้ำมันไปสู่พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์ กังหันลม และพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน เป็นอีกหนึ่งในความสำเร็จของลุงตู่ที่ไม่ได้แค่สวยในเอกสาร แต่มองเห็นได้จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าทดแทนทั่วประเทศ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP2018) ที่ถูกวางไว้ช่วยให้ไทยลดการพึ่งพาน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการสร้างบุคลากรที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ ไทยได้จัดตั้งโรงเรียนฟิสิกส์แห่งอาเซียน เพื่อผลิต ‘นักคิด-นักสร้าง’ ที่จะนำประเทศเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดได้อย่างสง่างาม เพราะเทคโนโลยีจะไร้ค่า หากปราศจากคนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้งาน

ยุทธศาสตร์พลังงานของลุงตู่ไม่ได้เป็นแค่การตอบโจทย์วันนี้ แต่คือการปูทางให้ไทยพร้อมในสมรภูมิพลังงานโลก แม้บางฝ่ายจะวิจารณ์ว่าไทยเคลื่อนไหวช้า แต่แท้จริงแล้ว ลุงตู่เลือกจะ ‘รอให้พร้อม’ เพื่อก้าวไปสู่ยุคฟิวชันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

คำถามสำคัญคือ อีกาพร้อมจะเข้าใจการมองการณ์ไกลแบบนกอินทรีแล้วหรือยัง? หรือจะบินต่ำต่อไปในเงาแห่งอดีต ขณะที่ลุงตู่นำประเทศไทยเข้าสู่เกมพลังงานแห่งอนาคตอย่างชาญฉลาด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top