Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

‘รองนายกประเสริฐ’ สั่งการ ‘สคส.’  ติดตามกรณี ‘สถานบันเทิงย่านบางใหญ่’ ส่อละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลประชาชน หากพบพฤติกรรมขายข้อมูลลูกค้าโยงกลุ่มธุรกิจสีเทา ให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที 

วันที่  (6 ม.ค. 68) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เปิดเผยว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สั่งการให้ สคส. ติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด กรณีที่ปรากฎข้อมูลพนักงานสถานบันเทิงย่านบางใหญ่อาจมีการถ่ายภาพบัตรประชาชนของลูกค้าที่มาใช้บริการแล้วเกิดความกังวลในการนำข้อมูลดังกล่าวไปขายให้กับกลุ่มธุรกิจสีเทานั้นผับดังบางใหญ่ดังกล่าว โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าารกระทรวงดีอี กำชับให้เร่งรัดช่วยเหลือประชาชนที่อาจถูกละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรืออาจได้รับความเสียหายโดยเร็ว จึงได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล สคส. เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางใหญ่ พบมีประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายเข้าแจ้งความเป็นหลักฐานไว้กับ สภ.บางใหญ่ จำนวน 65 ราย จึงได้บูรณาการบังคับใช้กฎหมายร่วมกันเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิประชาชนเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายกำหนดดังนี้ 

1.แจ้งให้เจ้าของสถานบริการเร่งตรวจสอบ แก้ไข ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที และรายงานชี้แจงให้สคส.ทราบโดยเร็วภายใน 72 ชั่วโมง และ 2.ร่วมกับ สภ.บางใหญ่ ประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลผู้ได้รับความเสียหายทราบสิทธิในการร้องเรียนต่อ PDPC เพื่อเข้าสู่กระบวนการจัดการเรื่องร้องเรียนเพื่อแก้ไขเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนตลอดจนพิจารณาถึงโทษทางปกครองต่อไป นอกจากนี้ในส่วนของผู้เสียหายที่ได้แจ้งความ สภ.บางใหญ่ไว้แล้ว 65 รายนั้น ทาง สภ.บางใหญ่จะได้ดำเนินการอำนวยความสะดวกนำเข้าสู่ระบบการรับเรื่องร้องเรียน PDPC ตามความประสงค์ของผู้เสียหายต่อไป และ 3.ร่วมบูรณาการตรวจสอบขยายผลหากพบว่ามีการขายข้อมูลโดยมิชอบหรือมีการกระทำผิดอาญาอื่นๆจะได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป

ทั้งนี้ในส่วนของกรณีห้างดังที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ารูปแบบของข้อมูลที่ผู้อ้างตัวว่าเป็นแฮกเกอร์ เผยแพร่ นั้น ไม่ตรงกับข้อมูลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของห้างดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากมีประชาชนเจ้าของข้อมูลได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวสามารถใช้สิทธิร้องเรียนมายัง PDPC ผ่านทางเว็บไซต์ pdpc.or th ได้ทุกช่องทาง 

เปิดภารกิจ!! ส่งต่อหัวใจดวงที่ 109 จากอุดรธานี ถึงกรุงเทพ ส่งด่วนที่สุด!! จากดอนเมือง ไปศิริราช เพื่อให้ทันปลูกถ่าย

(5 ม.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ฝูงบิน 604 หรือ Sunny604 หน่วยฝึกการบินพลเรือน กองทัพอากาศ โพสต์ภาพพร้อมคลิปวิดีโอ การปฏิบัติภารกิจ ส่งต่อหัวใจ ดวงที่ 109 จากจังหวัดอุดรธานี ถึงดอนเมือง และจากดอนเมือง ถึงรพ.ศิริราช เพื่อปลูกถ่ายหัวใจให้กับผู้ป่วย ในเวลาเพียง 50 นาที

โดยทาง เพจได้ลงข้อความว่า วันที่ 3 มกราคม 2568 ผู้บังคับการกองบิน 6 ผู้บังคับฝูง 604

เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจจราจร และตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ รวมถึง คุณเกียรติชัย มนต์เสรีนุสรณ์ และ คุณชนาธิป สีต์วรานนท์ เจ้าของเครื่องบินที่ได้ให้การสนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้ ที่ได้ร่วมกันอำนวยความสะดวกในการนำส่ง อวัยวะหัวใจดวงที่ 109 และอวัยวะอื่น ๆ เพื่อการปลูกถ่ายอวัยวะ ณ โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 3 มกราคม 2568

การดำเนินการครั้งนี้มีความรวดเร็วและปลอดภัย ระยะทาง 30 กิโลเมตรใช้เวลาเพียง 16 นาที ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ได้แก่ 1.การประสานงานจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย 2.การจัดทีมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ 3.การสนับสนุนด้านการเดินทางทางอากาศและภาคพื้นดิน ความเสียสละและความทุ่มเทของทุกฝ่ายในครั้งนี้ เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาชีวิตผู้ป่วย ขอแสดงความขอบพระคุณอย่างสูงและยกย่องในความเสียสละนี้เป็นอย่างยิ่งครับ

ขณะที่ เฟซบุ๊กของทาง พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ รอง ผบก.จร. ซึ่งร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปว่า 3ม.ค.68 หัวใจดวงที่ 109 ดวงแรกของปี 2568 ดวงแรกมันต้องตื่นเต้นหน่อยๆ เครื่องบินมาจากอุดรธานี แต่ด้วยสภาพอากาศทำให้ล่าช้ากว่าปกติคำนวณคร่าวๆจะเหลือเวลาแค่ 50 นาทีเท่านั้น (รวมเวลาเดินทางและผ่าตัดปลูกถ่าย ซึ่งคุณหมอทีมผ่าตัดก็หลังไมค์ว่าขอเร็วที่สุดนะครับ)

ทีนี้ก็วุ่นสิ ผมถามคนขับรถพยาบาลว่าวิ่งความเร็วสูงสุดได้เท่าไหร่ เอาให้สุด เราประสานเส้นทางตั้งแต่บนฟ้า ขอบินตัดตรงแบบไม่ต้องอ้อม (อันนี้ต้องขอขอบคุณท่านผู้บังคับการ กองบิน 6 และผู้ฝูงบิน 604 ประสานขอหอบังคับการบิน) พื้นราบก็ประสานเส้นทางผ่านทั้งหมด เพื่อความคล่องตัว

ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ผมยอมรับว่าเสี่ยงมาก เราบิดที่ความเร็ว 160-170 ตั้งแต่ขึ้นโทลเวย์ ผมมีปัญหาที่แว่น เนื่องจากใช้ความเร็วมาก ลมเข้าตาชนิดหรี่ตาขี่!!! คิดแล้วแบบนี้ อันตรายแน่ๆ ผมตัดสินใจออกจากขบวนให้คนอื่นขึ้นแทน ลดความเร็ว ขี่ตามแล้วค่อยไปทันที่ด่านดินแดง และในที่สุด เราทำเวลา 16 นาทีจากฝูงบิน 604 ดอนเมือง ถึง โรงพยาบาลศิริราช

ต้องขอบคุณทุกท่านทุกฝ่ายทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง พี่เกียรติชัย นักบินเจ้าของเครื่อง HS-GOD เสียสละใช้เครื่องส่วนตัวมาทำภารกิจให้ ผู้การกองบิน6 ผู้ฝูง 604 sunny 604 ประสาน อำนวยความสะดวกในพื้นที่ ทอ . (ต้องบอกว่านักบินก็เป็นซันนี่ผมและน้องรองฟลุ๊ค ก็เป็นศิษย์การบินซันนี่ once sunny always sunny เราประสานงานได้ดี) ขอบคุณหอบังคับการบินที่ช่วยอำนวยความสะดวก ขอบคุณพี่น้องประชาชนเพื่อนร่วมทางที่เปิดทางให้ กราบขอบพระคุณทุกท่านครับ เป็นอีกภารกิจหนึ่งที่น่าจดจำ

‘ชัยชนะ’ นัด!! ‘กรรมาธิการตำรวจ’ ตรวจสอบด่วน ปม!! ม.สยาม จัดอบรม ‘ตำรวจอาสาชาวจีน’

(5 ม.ค. 68) นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้นัด กมธ.ประชุม เพื่อตรวจสอบกรณีที่มหาวิทยาลัยสยามจัดอบรมหลักสูตรแจ้งข่าวอาชญากรรมและให้ความรู้กับการป้องกันตนเองกับนักศีกษาต่างชาติ หลังจากที่ปรากฎเป็นข่าวและมีการตรวจสอบซึ่งพบว่าเป็นข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อช่วงต้นปี2568 ว่า ชาวจีนเข้าอบรมเป็นตำรวจอาสา กับกองบังคบการตำรวจนครบาล3 โดยมีการเก็บค่าคอร์สราคา 38,000 บาท และเมื่อจบหลักสูตรจะได้รับใบรังรอง บัตรที่มีโลโก้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายชัยชนะ ระบุว่า โดย กมธ.ตำรวจ ได้ส่งหนังสือเชิญ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการกองบังคับการตำรวจนครบาล3 ผกก.สน.ภาษีเจริญ และอธิบการบดีมหาวิทยาลัยสยาม เข้ามาชี้แจงในวันที่ 9 ม.ค. เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ทั้งนี้ ถือว่าเป็นการกำหนดวาระประชุมเป็นเรื่องด่วน หลังจากที่ก่อนหน้านี้กำหนดวาระพิจารณาไว้แล้วกรณีที่ น.ส.ชาล็อต ออสติน มิสแกรนด์ถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกหลวงให้โอนเงินจำนวนมาก โดยได้ น.ส.ชาล็อต นายณวัฒน์ อิสไกรศรี รวมถึง ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ และ เลขา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าชี้แจงในวันเดียวกัน

แรงงานไทย 250 ชีวิต ฝันสลาย!! หวังได้บินไปทำงาน หารายได้ ที่ต่างประเทศ สุดท้ายรอเก้อ!! ไม่มีตั๋วเครื่องบิน ถูกหลอก สูญเงินรวมกันกว่า 12 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (4 ม.ค. 68) เวลา 21.00 น. ที่ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนหน้า ในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีทางด้านกลุ่มแรงงานไทยทั้งชายหญิงเกือบ 50 ชีวิต หอบกระเป๋าเดินทาง รวมตัวกันมาขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนของ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังจากที่ผู้เสียหายทั้งหมด ได้ทำการโอนเงินให้กับหญิงสาวรายหนึ่ง เพื่อจะได้ไปทำงานการเกษตรและอุตสาหกรรมในประเทศปลายทางคือ อิสราเอล โดยมีการนัดกำหนดเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิในช่วงสี่ทุ่มของคืนนี้ แต่พอใกล้เวลาผู้เสียหายทั้งหมดไปเช็กตั๋วเดินทางกลับไม่พบข้อมูลการจองตั๋วเที่ยวบินเพื่อเดินทางแต่อย่างใด จึงพากันมาแจ้งความในครั้งนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คอยอำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำ

นางสลิลทิพย์ หนึ่งในผู้เสียหาย ซึ่งเป็นชาว จ.บุรีรัมย์ เล่าว่า บุตรชายตนได้รับการติดต่อจากคนรู้จักกันบอกปากต่อปากกันมาชักชวนให้ไปทำงานด้านการเกษตร มีรายได้ดี จึงตอบตกลงและโอนเงินจำนวน 60,000 บาท ให้กับ น.ส.ออย ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนในการจัดหาคนงานไปทำงาน โดยนัดบินในค่ำคืนนี้จึงพากันเดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่พอมาถึงไม่พบว่ามีการจองตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด พอถาม น.ส.ออย กลับได้รับคำตอบว่าติดต่อคนที่รับงานและรับเงินไปไม่ได้ ซึ่งมีผู้เสียหายประมาณ 250 คน

เช่นเดียวกับ นายธนายุทธ อายุ 36 ปี ชาว จ.สกลนคร ได้โอนเงินไป 120,000 บาท และเหมารถเดินทางมาจากสกลนคร ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า ได้รับการชักชวนติดต่อจาก น.ส.ออย และได้มีการโอนเงิน เพื่อหวังได้ไปทำงาน เนื่องจากมีการระบุเชิญชวนว่าหากไปทำงานจะได้รับเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 70,000 บาทโดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายรวมเงินกว่าสองแสนบาท แต่จะต้องจ่ายก่อน 120,000 บาท ที่เหลือหักจากเงินเดือน ที่ตนเองหลงเชื่อใจเพราะมีการบอกกันปากต่อปากว่าสามารถพาไปทำงานได้จริง มีคนเคยไปแล้วหลายคน จึงหลงเชื่อโอนเงิน จนมีการนัดหมายให้มาเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิในคืนนี้เพื่อเดินทาง ซึ่งตนเองก็มารอตั้งแต่เช้าจนใกล้ถึงเวลากลับไม่มีไฟลต์หรือตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด

ขณะที่ น.ส.ออย อายุ 28 ปี หญิงสาวนายหน้าที่จัดหาและชักชวนกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมดว่าจะพาไปทำงานในออสเตรีย และเป็นบุคคลที่ผู้เสียหายทั้งหมดโอนเงินผ่านบัญชี ซึ่งเจ้าตัวก็เดินทางมาขอลงบันทึกประจำวันเอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยอ้างว่าเธอก็ตกเป็นผู้เสียหาย พร้อมกล่าวว่า ตนเองไปรู้จักกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อว่า ฟ้า ได้มาชักชวนว่าสามารถพาคนไทยไปทำงานที่ประเทศออสเตรียได้ หากตนสามารถหาคนไปทำงานที่ออสเตรียได้ จะได้ค่าตอบแทนหัวละ 2,000 บาท ส่วนใครที่จะไปทำงานจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตั้งแต่ 30,000–60,000 บาท หรือบางคนหนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท แล้วแต่ระยะเวลาที่จะอยู่ทำงานที่นั่น

น.ส.ออย กล่าวต่อว่า น.ส.ฟ้า ได้อ้างบอกตนว่า ทำงานในสถานทูตออสเตรียประจำประเทศไทย โดยทุกครั้งที่มีเงินของผู้เสียหายเข้ามาผ่านบัญชีของตนแล้ว ตนก็จะเบิกเงินฝากเป็นเช็คให้กับ น.ส.ฟ้าโดยนัดมอบกันที่หน้าสถานทูตออสเตรีย ซึ่งรวมผู้เสียหายแล้วประมาณ 250 คน รวมเป็นเงินที่นำฝากผ่านเช็คให้กับ น.ส.ฟ้า ไปรวมกว่า 12 ล้านบาท หลังจากที่ส่งมอบเงินและเอกสารของผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว ทาง น.ส.ฟ้า บอกว่าจะจัดการการเดินทางทั้งหมดให้ ซึ่งมีกำหนดการเดินทางในค่ำคืนนี้ โดยให้ผู้เสียนำพาสปอร์ตมาแสดงที่เคาน์เตอร์ของสายการบินเท่านั้น จึงนัดผู้เสียหายทั้งหมดมาเจอกันที่สนามบิน จนใกล้เวลาไปเช็กบอร์ดดิ้งการ์ดหรือตั๋วเครื่องบินกลับไม่พบข้อมูลการเดินทางไม่มีรายชื่อแต่อย่างใด พอโทรฯ กลับไปหา น.ส.ฟ้า กลับติดต่อไม่ได้ จึงพาผู้เสียหายทั้งหมดมาพบตำรวจ

ขณะที่ ร.ต.อ.ชนธัญ พรหมรักษา รอง สว.(สอบสวน) สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ออกมาแนะนำกลุ่มผู้เสียหาย เบื้องต้นผู้เสียหายจะต้องแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่มีการโอนเงิน แต่เนื่องด้วยผู้เสียหายมีจำนวนมากและมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก จึงมีการแนะนำให้กลุ่มผู้เสียหายรวมตัวกันไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อสะดวกกับการทำสำนวนคดี

โดยผู้เสียหายทั้งหมดนัดรวมตัวเตรียมเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนที่กองปราบปรามใน วันจันทร์ที่ 6 ม.ค. 68 ในเวลา 10.00 น.

‘โฆษก ก.ต่างประเทศ’ แถลงไม่ทิ้ง!! ลูกเรือประมงไทย ย้ำ!! เดินหน้าประสาน ทางการเมียนมา เพื่อขอให้ปล่อยตัว

(5 ม.ค. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงการ เกี่ยวกับ ‘ลูกเรือประมงไทย’ โดยมีใจความว่า ...

ตามที่เกิดเหตุการณ์ลูกเรือประมงไทย 4 คนถูกจับโดยกองทัพเรือเมียนมา และถูกตัดสินคดีต้องโทษจำคุกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันผลักดันกับทางการเมียนมาเพื่อขอให้มีการปล่อยตัวลูกเรือทั้ง 4 คนโดยเร็ว นั้น

จากการประกาศของทางการเมียนมาในเรื่องการปล่อยตัวผู้ต้องขัง และนักโทษต่างชาติเมื่อวานนี้ (4 มค. 68) รวมนักโทษชาวไทยจำนวน 152 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้มีการดำเนินการก่อนหน้านี้ ในการนี้ กระทรวงกระทรวงการต่างประเทศขอขอบคุณฝ่ายเมียนมา อย่างไรก็ดี ขอเรียนว่า ในการประกาศครั้งนี้ ยังไม่พบรายชื่อลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ที่ถูกจับกุมล่าสุด รวมอยู่ด้วย จึงเป็นที่ผิดหวังที่กระบวนการปล่อยตัวกลุ่มดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จในครั้งนี้ โดยฝ่ายเมียนมายังอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง

ในทางการทูต กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่มาโดยตลอดและจะดำเนินการต่อไป ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พยายามผลักดันให้มีการปล่อยตัวโดยเร็ว บนพื้นฐานของการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยเรื่องดังกล่าวมีคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น หรือ TBC ที่จะต้องหารือข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งรวมถึงแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกในอนาคต

ทั้งนี้ ในห้วงที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ผลักดันและติดตามกับทางการเมียนมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งขอการเข้าถึงทางกงสุล (consular access) ในหลายช่องทาง ทั้งการโทรศัพท์พูดคุยกับลูกเรือทั้ง 4 คน เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและให้กำลังใจ และล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มค. 2568 เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับอนุญาตให้นำผู้แทนญาติของลูกเรือไทยเข้าเยี่ยมลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ที่จังหวัดเกาะสอง ภาคตะนาวศรี  ซึ่งพบว่าลูกเรือไทยทั้ง 4 คน มีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจดี ได้รับการดูแลตามความเหมาะสม  และได้รับอาหารครบ 3 มื้อ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้นำสิ่งของจำเป็นไปมอบให้แก่ลูกเรือทั้ง 4 คนด้วย รวมทั้งได้แจ้งกับลูกเรือเกี่ยวกับสถานะการดำเนินการล่าสุดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในการผลักดันกับฝ่ายเมียนมาเพื่อนำไปสู่การปล่อยตัวโดยเร็ว

สุดท้ายนี้ ขอเรียนว่า กรณีนี้ มีความละเอียดอ่อนทั้งในแง่เรื่องการปล่อยตัวลูกเรือชาวไทย ประเด็นปัญหาการทำประมงของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งความสัมพันธ์ในภาพรวมของสองประเทศ ดังนั้น จึงต้องอาศัยความอดทนและช่องทางการเจรจาอย่างแนบเนียน โดยดำเนินการ ดังนี้ 

(1.) เร่งช่วยเหลือให้ลูกเรือได้รับการปล่อยตัว ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับกระบวนการภายในต่างๆ ของเมียนมาด้วย โดยกระทรวงการต่างประเทศจะผลักดันทางการทูตต่อไป 

(2.) แก้ไขปัญหาผ่านกลไก TBC ร่วมกันกับฝ่ายเมียนมาต่อไป 

ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะติดตามและดำเนินการทุกอย่างในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ ผ่านทุกช่องทางอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้คนไทยทั้ง 4 คนได้รับการปล่อยตัวต่อไป

‘คนเสื้อแดง’ เชียงราย แห่รับ!! 'ทักษิณ' เตรียม!! ปราศรัยหาเสียง ‘นายกฯ อบจ.’

(5 ม.ค. 68) เวลา 09.30 น. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกอบจ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เดินทางถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยได้ใช้บริการสายการบินพาณิชย์ ก่อนที่จะเดินทางขึ้นเวทีปราศรัยด้วยรถตู้เล็กซัส สีดำ ทะเบียน ขย 111 กรุงเทพมหานคร

จุดแรกช่วงเที่ยงจะไปที่โรงเรียนปล้องวิทยาคม อ.เทิง และโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม อ.เชียงของ ในช่วงบ่าย จากนั้นในช่วงเย็น นายทักษิณจะขึ้นปราศรัยที่โรงเรียนแม่จันวิทยาคม

ทันทีที่มาถึงนายทักษิณ ได้เดินมาพบกับกลุ่มคนเสื้อแดง จ.เชียงราย ที่มารอให้การต้อนรับ โดยคนเสื้อแดงได้มอบพวงมาลัย ขอกอด และขอถ่ายรูปร่วมกับนายทักษิณ แน่นสนามบินแม่ฟ้าหลวง

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชำแหละ!! 'เพนกวิน' เสียจุดยืน!! เหมือนซากศพ เดินได้พูดได้

(5 ม.ค. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ว่า …

เสียอะไร

เพนกวินเสียจุดยืน อะไรคือจุดยืนของเพนกวิน

ที่รู้แน่ๆ เพนกวินทิ้งมวลชนที่ปลุกระดม ให้คนอื่นออกมาร่วมต่อสู้ ไม่ต้องกลัวสู้กับสถาบัน สู้ล้มล้างม.112

แต่ตอนนี้ กวิ้นสบายแล้ว เมกาให้ที่อยู่ ให้ทุนเรียนหนังสือ ให้เงินใช้

ทิ้งมวลชนให้ตกระกำต่อสู้กับคดี 112 นี่คือ ตัวอย่างของผู้นำที่ดีมากๆ คนหนึ่ง

ภาพข่าวเพนกวินเข้าพบ ออท.เมกา แสดงว่า สนิทสนมซี้กันเป็นพิเศษ

ไม่แปลกใจที่เพินกวินไปโผล่เมกา ซุกปีกพญาอินทรีเมกา

นับจากนี้ เพนกวินจะเหมือนซากศพ เดินได้พูดได้แต่หมดความน่าเชื่อถือ

นอกจากจะชวนคนอื่นๆอพยพตามไปอยู่ เมกาใหญ่โตคงพอรับผู้ศรัทธาได้นับหมื่นคน

‘ดร.เสรี’ ชี้!! ประเทศชาติ เป็นเช่นนี้ จะโทษ!! ‘นักการเมือง’ อย่างเดียวไม่ได้

(5 ม.ค. 68) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...

คนรักชาติ หาว่าเขาคลั่งชาติ

คนเป็นนักโทษหนีคดี หาว่าเป็นผู้ต้องหา

เขาต้องเขามาติดคุกตามคำพิพากษาของศาล กลับบอกว่าให้มาแก้ข้อกล่าวหา คดีตัดสินไปแล้ว จะมาแก้ข้อกล่าวหาอะไรอีก

จะให้ทหารจัดการกับยาเสพติดภายใน 6 เดือน มันใช่หน้าที่เขาไหม แล้ว 6 เดือนจะทำได้จริงหรือ พูดไม่คิดเนาะ

สัญญาแล้วทำไม่ได้ ไม่รู้กี่เรื่องแล้ว แต่ประชาชนจำนวนหนึ่ง ก็ยังคงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารบ้านเมือง

ลองพิจารณาหน่อยนะว่าสิ่งที่เขาอยากทำนั้น มันเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง กับประชาชน หรือกับพวกเขากันเอง

MOU 44 เพื่อใคร

Entertainment Complex เพื่อใคร

แจกเงินดิจิทัลหวังผลอะไร

คิดดูกันหน่อยนะ จะได้หย่อนบัตรเลือกตั้งให้มีคุณภาพดีกว่านี้ อย่าเลือกเพราะเห็นแก่ได้กันนักเลย

ประเทศชาติเป็นเช่นนี้ โทษนักการเมืองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโทษประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามาด้วย ไม่เคยหลาบจำว่าพวกเขาทำตามสัญญาไม่ได้

‘อลงกรณ์’ เป็นกำลังใจให้!! ‘พีระพันธุ์’ ขจัดผูกขาดพลังงาน ขอให้มันจบในรุ่นเรา ชี้!! “คุณไม่ได้เดินเดียวดายคนเดียว” มีคนอีกไม่น้อย ที่พร้อมสนับสนุน ทำดีไม่มีพัง

(5 ม.ค. 68) หลังจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานโพสต์ข้อความว่า มีขบวนการปั้นข่าวรุมถล่ม โดยระบุกลุ่มทุนพลังงานไม่พอใจการทำงานของนายพีระพันธุ์ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวานนี้ (4 ม.ค. 68)

ปรากฎว่า วันนี้ (5 ม.ค. 68)นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและสส.พรรคประชาธิปัตย์ ปัจจุบันเป็นประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII Thailand)
และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ได้โพสต์ในเฟสบุ๊กส่วนตัวถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคโดยมีข้อความดังต่อไปนี้

ถึง คุณพีระพันธุ์

“You will never walk alone”

ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เดินเดียวดายคนเดียว

แต่มีผมและพวกเราอีกไม่น้อยที่พร้อมสนับสนุนและเป็นกำลังใจ ไม่ใช่เพียงเพราะความเป็นเพื่อนหรือคนที่เคยทำงานใต้ชายคาเดียวกันคือ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ มาเกือบ 30 ปี แต่เพราะตรงกันในจุดยืนขจัดการผูกขาด(Anti-Monopoly)โดยเฉพาะการผูกขาดด้านพลังงาน

ประเทศของเรายังมีการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ต้องช่วยกันทลายให้หมดไปเพราะเป็นสาเหตุของปัญหาความเหลื่อมล้ำและการคอรัปชั่นที่ทำให้ประเทศล้าหลังและประชาชนยากจนมาอย่างยาวนาน

ขอให้การผูกขาดจบในรุ่นของเราด้วยเจตจำนงทางการเมือง(Political will)ร่วมกันที่แน่วแน่เพื่อส่งต่อประเทศไทยที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของเรา

ทำดีไม่มีพังครับ

อลงกรณ์ พลบุตร

5 มกราคม 2568

รัฐบาล เน้นย้ำ!! เดินหน้า เสริมสร้างความมั่นคง ให้ประเทศ เตรียมพร้อม!! รับมือภัยคุกคาม ให้ครอบคลุมทุกมิติ

(5 ม.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รายงานการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยปี 2568 นี้ กอ.รมน. มุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และปรับบทบาท ให้สอดคล้องกับปัญหา ความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อสร้างโอกาส เพิ่มศักยภาพ เสริมความมั่นคงให้ประเทศยิ่งขึ้นไป

การขับเคลื่อนงานความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เดินหน้าเสริมสร้างความมั่นคงภายใต้แผนงาน ‘ตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’ ร่วมกับส่วนราชการกำหนด 1,154 ตำบลตามเป้าหมาย เพื่อมุ่งแก้ไขภัยคุกคามและพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ มีการดำเนินการจัดตั้งหมู่บ้านอาสาพัฒนาตนเอง จำนวน 55 หมู่บ้าน ใน 55 จังหวัด เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของหมู่บ้านให้มีความเข้มแข็งรักในถิ่นฐาน พร้อมเป็นส่วนร่วมในการพัฒนาและป้องกันตนเองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ 

การแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ  ได้มีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดน (นบ.ยส.) ในพื้นที่ภาคเหนือ (นบ.ยส.35) รับผิดชอบพื้นที่ 18 อำเภอ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) รับผิดชอบพื้นที่ 25 อำเภอ ของจังหวัดนครพนม เลย หนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมถึงในปี 68 จะมีการจัดตั้งหน่วย นบ.ยส.17 เพิ่มเติม เพื่อป้องกันและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคตะวันตกใน 5 อำเภอของจังหวัดกาญจนบุรี

ทั้งนี้ กอ.รมน. ได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนนโยบาย ได้แก่ 

1) การจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง ซึ่ง กอ.รมน. ร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และส่วนที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขและช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง เตรียมจัดตั้งบ้านอิ่มใจรองรับและดูแลคนไร้ที่พึ่งได้ 200 คน และจะร่วมกันดูแลด้านสวัสดิการ สังคม สุขอนามัย และการฝึกอาชีพต่อไป 

2) การบริหารจัดการที่ดินของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์ กอ.รมน. บูรณาการร่วมกับ กระทรวงกลาโหม (กห.) และเหล่าทัพ มอบพื้นที่ให้กับกรมธนารักษ์ไปดำเนินการจัดสรรให้ประชาชนเช่าใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ทั้งในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ปัจจุบันมีประชาชนได้รับสิทธิในที่ดินทำกินและอยู่อาศัย เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 55,180 ไร่เศษ 

3) การดำเนินการเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบทหารกองประจำการแบบสมัครใจ กอ.รมน ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าสร้างแรงจูงใจ การส่งเสริมการศึกษาอาชีพ โดยจะดำเนินการศึกษาแนวทางการขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทน สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ตลอดจนสิทธิ์ในการเข้ารับราชการใน กห. เหล่าทัพ และกระทรวงต่าง ๆ ต่อไป 

4) การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้บูรณาการร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 และ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการวางแผน อำนวยการและบูรณาการ การป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ในพื้นที่รับผิดชอบและพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดให้ครอบคลุม ซึ่งพบว่าจุดความร้อนสะสม พื้นที่เผาไหม้สะสม และค่าฝุ่นละอองลดลงเมื่อเทียบกับห้วงปีที่ผ่านมา 

5) นโยบาย ‘ไม่ท่วม ไม่แล้ง’ กอ.รมน. บูรณาการร่วมกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย สำรวจความเดือดร้อนของประชาชน ในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัด (ตราด จันทบุรี อุทัยธานี อุดรธานี น่าน เชียงใหม่ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) โดยจะเสนอโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเร่งด่วน 71 โครงการ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ 17,215 ครัวเรือน (49,105 ราย) 

นอกจากนี้ กอ.รมน. ได้บูรณาการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ร่องน้ำทะเลสาบสงขลาที่มีการใช้เครื่องมือประมงประเภทโพงพาง ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของสัตว์น้ำและทำให้เกิดอุบัติเหตุในการสัญจรทางเรือหลายครั้ง ปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อนเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน กอ.รมน.ภาค 4 จึงได้บูรณาการแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา และจะเชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมต่อไป รวมถึงแนวทางการเพิ่มบทบาทข้าราชการพลเรือน ปัจจุบัน กอ.รมน. กำหนดแนวทางเพื่อเพิ่มบทบาทข้าราชการพลเรือน ลดสัดส่วนของทหาร รวมถึงการกำหนดอัตรากำลังใน กอ.รมน. ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจในปัจจุบันและอนาคตของประเทศ 

“สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน. ได้นำเสนอเรื่องแนวทางการดำเนินการ โดยให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบและมีมติให้ ผอ.รมน.ภาค 4 เป็นผู้รับมอบอำนาจจาก ผอ.รมน. ดำเนินการ ประกอบด้วย การปรับโครงสร้าง อัตรากำลัง และแผนเสริมสร้างสันติสุข ของ จชต. เนื่องจากปัจจุบัน สถานการณ์ใน จชต. ในภาพรวมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สถิติความเสียหายต่อทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่การยกเลิกพื้นที่ประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นรายอำเภอ จึงมีการปรับลดอัตรากำลังพล จำนวน 178 อัตรา คงเหลือ 49,735 อัตรา ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมการถ่ายโอนภารกิจให้แก่ อส.จชต. ในปี 2570 พร้อมพิจารณาถึงแนวทางแผนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2568 ซึ่งปรับให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น มีประชาชนเป็นจุดสมดุล โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพแผนงานหลักในการวางแผน เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหา จชต. เป็นไปอย่างประสานสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top