Monday, 12 May 2025
Hard News Team

'สุทิน' ถามสด ต่างชาติซื้อที่ดิน 1 ไร่แลก 40 ลบ. คุ้มหรือ? ชี้!! นโยบายนี้เอื้อนายทุน - ซ้ำเติมประชาชนในชาติ

(3 พ.ย. 65) สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน ตั้ง #กระทู้สดด้วยวาจา กรณีมติคณะรัฐมนตรีแก้ไขกฎกระทรวงว่าด้วยการได้มาที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ 

กระทู้สดด้วยวาจานี้ถามต่อนายกรัฐมนตรี โดยมีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รองนายกรัฐมนตรีมาเป็นผู้ตอบกระทู้ 

สาระสำคัญคือ ชี้ชวนจูงใจให้ต่างชาตินำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่าคนละ 40 ล้านบาท เพื่อแลกกับการถือครองที่ดินได้คนละ 1 ไร่ โดยอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กรณีดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และวิตกกังวลสำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยโดยทั่ว

การส่งเสริมให้คนต่างชาติถือครองที่ดิน คือการเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินในขณะที่คนไทยกำลังอ่อนแอ เพราะคนไทยกว่าร้อยละ 80 ยังไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินสูงมากไปกระจุกอยู่กับนายทุนคนละหลายแสนไร่ และยังจะซ้ำเติมด้วยต่างชาติเข้ามาถือครองอีก เรื่องนี้ชาวบ้านวิตกกันถึงขั้นว่าเป็นการ ‘ขายชาติ’ 

แม้รัฐบาลในอดีตเคยทำ แต่ทำบนข้อจำกัดและความจำเป็น คือเมื่อปี 2542 และปี 2545 รัฐบาลไปกู้เงินกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ไอเอ็มเอฟกำหนด แต่ก็ออกกฎกระทรวงหรือมีมาตรการที่ระมัดระวัง รอบคอบและรัดกุม จนในที่สุดแล้วมีต่างชาติมาซื้อที่ดินเพียงแค่ประมาณ 7-8 ราย ก็ถือว่าเราไม่ได้เกิดการสูญเสียที่ดิน

แต่รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างว่าเพื่อความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ อันมาจากวิกฤต เสมือนรัฐบาลยอมรับว่า วันนี้รัฐบาลได้จนมุมทางเศรษฐกิจ และจำเป็นแล้วที่ต้องใช้มาตรการนี้ หมายความว่าการเงินการคลังเรากำลังลำบาก ต้องรอแต่เงินต่างชาติอย่างเดียวแล้วหรือ? 

และที่รัฐบาลอ้างว่ามีมาตรการนั้น มาตรการดังกล่าวก็หละหลวมมาก คือที่อ้างว่าเปิดการลงทุนเพื่อให้ได้ผู้เชี่ยวชาญ ได้เงินลงทุน ได้เทคโนโลยี แต่ดูไปดูมา รัฐบาลนี้แค่อยากได้เงินเขาเท่านั้น เพราะแต่ละกลุ่มที่รัฐบาลเลือกมาคือ เศรษฐี ผู้เกษียณอายุ ซึ่งนี่ตรงกันข้ามกันกับที่บอกว่าอยากได้ผู้เชี่ยวชาญ ได้เทคโนโลยีได้การลงทุนสร้างงาน และมากกว่านั้น 

สุทินย้ำว่า เงินลงทุนแค่ 40 ล้านบาทคือ โอนเงินข้ามประเทศมาก็ได้ที่ดินเลย คนไม่ต้องมา โรงงานไม่ต้องมา เทคโนโลยีไม่ต้องมา นี่คือไม่ได้เกิดงานที่แท้จริง ไม่ได้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่เอาเงินมา 40 ล้าน ครบ 3 ปีได้ดอกก็ถอนออกไป ตรงนี้อันตราย 

จึงเกิดข้อสงสัยถัดมาว่า จริงๆ แล้ว รัฐบาลเจตนาช่วยเหลือกลุ่มทุนที่วันที่ถือที่ดินไว้เต็มมือหรือไม่? บางรายมีที่ดินหลายแสนไร่ บางรายมีคอนโดมิเนียมนับหมื่นห้อง ซึ่งวันนี้ขายไม่ออก ตรงนี้เป็นแรงจูงใจหรือแรงผลักดันจากกลุ่มทุนหรือไม่ว่าให้ต่างชาติมาช่วยซื้อที่ดินซื้อบ้าน ดังนั้นจึงมีข้อสงสัยว่า รัฐบาลมีเจตนาหรือไม่เจตนาที่จะเอื้อกฎหมายนี้ให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มนายทุนใหญ่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คนได้ประโยชน์คือทุนใหญ่ คนเสียประโยชน์คือชาวบ้าน 

วันนี้ พรรคเพื่อไทย จึงตั้งกระทู้ เพื่อถามนายกรัฐมนตรีว่า

1.) คณะรัฐมนตรีมีความจำเป็นหรือมีเหตุผลอะไรที่หนักหนาสาหัส ถึงขนาดต้องมีมติคณะรัฐมนตรีแบบนี้ออกมา

‘หัวรถจักรรถไฟ EV’ ตัวต้นแบบมาแน่ พ.ย.นี้ เปลี่ยนโลกขนส่ง ‘ลดใช้พลังงาน - ประหยัดค่าโดยสาร’

ไม่เพียงแค่ รถยนต์ EV, รถเมล์ EV และ เรือ EV ที่กำลังช่วยขับเคลื่อนพลังสะอาดให้สังคมไทยอยู่ในตอนนี้เท่านั้น ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยก็กำลังจะเปิดตัว ‘หัวรถจักรรถไฟ EV’ ตัวต้นแบบภายในเดือนพ.ย. นี้ด้วย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เคยเปิดเผยไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) เร่งดำเนินการศึกษาการใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสำหรับการขนส่งสาธารณะ กรณีรถไฟขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (EV on Train) เพื่อให้สามารถลดต้นทุนในการดำเนินการต่าง ๆ ลงได้ อันจะส่งผลให้ภาระที่ผลักถึงประชาชน โดยเฉพาะค่าโดยสารลดลงตามไปด้วย 

โดยรายงานเบื้องต้น เผยว่า ขณะนี้ ภาคเอกชน ได้ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และอยู่ระหว่างการพัฒนา ‘หัวรถจักรรถไฟ EV’ ต้นแบบ ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนการใช้พลังงานได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับหัวรถจักรดีเซล โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. 65 และจะมีการทดสอบเดินรถในระยะสั้น ๆ ภายในปลายปี 65 อีกด้วย 

นายศักดิ์สยาม ยังระบุต่ออีกว่า ตอนนี้ประเทศไทยสามารถประกอบติดตั้งระบบแบตเตอรี่สำหรับรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้เองแล้ว สอดคล้องกับหลากหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และกำลังดำเนินการกันอยู่ 

สำหรับ EV on Train ตัวต้นแบบของไทยนั้น เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อย จะต้องมาพิจารณาผลว่าเป็นอย่างไร หากได้ผลดี อาจต้องทบทวนแผนการจัดซื้อหัวรถจักร และรถโดยสารของ รฟท. ให้เป็นแบบ EV ต่อไป

ททท. เชียงใหม่ แถลงแผนปฏิบัติการส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยว ประจำปี 2566

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ณ ท้องฟ้าจำลอง อุทยานวิทยาศาสตร์สิรินธรฯ (NARIT) อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประธานแถลงแผนปฏิบัติการส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยว ประจำปี 2566 นำเสนอแผนการปฏิบัติงานและทิศทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปี 2566

นางสาวภัทรองนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. กล่าวว่า ทิศทางการท่องเที่ยวของภาคเหนือมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการที่รัฐบาลประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคเฝ้าระวังที่ไม่อันตรายทำให้ประชาชนมีความผ่อนคลายในการใช้ชีวิตและการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ประกอบกับประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยวของภาคเหนือ ทั้งนี้ในปี 2566 ททท. ได้วางทิศทางในการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวภาคเหนือ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างสรรค์เมนูประสบการณ์ท่องเที่ยวภาคเหนือภายใต้แนวคิด 'เสน่ห์วันวานเมืองเหนือ' ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มวัยทำงาน กลุ่ม Active Senior และกลุ่ม Multi Generation Family เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น โดยการส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวผ่านสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวต่างๆ ที่สามารถตอบโจทก์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ อาทิ โครงการ North X Clusive นำเสนองานคราฟท์ชุมชน/กิจกรรมชุมชน โครงการ North Experience Festival นำเสนอเส้นทางสายมู/เส้นทางย้อนวันวานเมืองเหนือ โครงการเสน่ห์กินริมน้ำ นำเสนออาหารถิ่น, มิชลินไกด์, ภิรมย์เวียงพิงค์ และโครงการ Amazing Northern Road Trip นำเสนองานเทศกาลประเพณี, เส้นทางขับรถเที่ยว Unseen New Series - วิ่ง เดิน Trail เป็นต้น

นางสาวเบญรัตน์ มรรยาทอ่อน ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรม ททท. ได้กล่าวถึงเทรนด์การท่องเที่ยว ปี 2023 โลกหลังสถานการณ์โควิด-19 กับอนาคตสดใสของท่องเที่ยวเชิงอาหาร, Sustain to Regain ความยั่งยืนกลายเป็นทั้งเทรนด์ พร้อมกล่าวถึงทัศนคติของผู้บริโภคชาวไทยต่อ 'ความยั่งยืน' และเทรนด์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ Work from Anywhere & Digital Nomad ทำงานไปเที่ยว ...เรื่องเดียวกัน มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึง 376% การท่องเที่ยว Health & Wellness สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 15 ของโลก และ Innovation for a Betterment ปี 2023 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเริ่มมีนวัตกรรมใหม่ๆ ถูกนำมาทดลองใช้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

นางสาวสุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยจากสัญญาณบวกของเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ปี 2565 ที่มีการฟื้นตัวในอัตราร้อยละ 2.8 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวถึงร้อยละ 3.5 ในปี 2566 และจำนวนผู้เยี่ยมเยือนที่คาดว่าจะมีการขยายตัวร้อยละ 52.3 (ข้อมูลจากรายงานประมาณการศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ ไตรมาส 3/2565, สำนักงานคลังจังหวัดเชียงใหม่) เนื่องจากการผ่อนคลายทางการท่องเที่ยวมากขึ้น และสายการบินต่างๆ ทั้งเส้นทางในและต่างประเทศเริ่มกลับมาทำการบินอย่างเต็มรูปแบบ และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกในช่วงปลายปีนี้เพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับฤดูท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง 

โดยปัจจุบันมีสายการบินที่เปิดให้บริการเส้นทางบินในประเทศ จำนวน 6 สายการบิน 11 เส้นทาง และสายการบินที่เปิดให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศ จำนวน 7 สายการบิน 10 เส้นทาง ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวยังจังหวัดเชียงใหม่เพื่อสัมผัสอากาศหนาวกันอย่างคึกคัก

ททท. สำนักงานเชียงใหม่ ได้กำหนดแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยว ประจำปี 2566 มีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการเดินทางของนักท่องเที่ยวกระแสหลักและกลุ่มศักยภาพ และเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวผ่านการส่งมอบประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับทิศทางการส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวของภูมิภาคภาคเหนือ ได้แก่

'อลงกรณ์' แปลกใจ 'ยุทธพล' คัดค้านโครงการแก้ปัญหาลิงแสมจังหวัดเพชรบุรี แนะทบทวนท่าที อย่าขวางความร่วมมือของ 2 กระทรวง เผยกรมปศุสัตว์ร่วมหารือกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าฯ พร้อมทำงานร่วมกัน 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ว่า รู้สึกแปลกใจต่อท่าทีของนายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ออกมาคัดค้านโครงการแก้ปัญหาลิงแสมจังหวัดเพชรบุรีทำให้เกิดความสับสนงุนงงของหลายฝ่ายต่อท่าทีของนายยุทธพล ทั้งที่ก่อนหน้านี้กรมปศุสัตว์ได้หารือกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าฯ เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวและพร้อมร่วมมือทำงานร่วมกัน จึงขอให้นายยุทธพลทบทวนท่าทีเสียใหม่อย่าขวางความร่วมมือระหว่าง 2 กระทรวงและการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและจังหวัดเพชรบุรี

สำหรับกรมปศุสัตว์รับผิดชอบกฎหมายหลายฉบับครอบคลุมงานด้านสวัสดิภาพสัตว์ โรคระบาดสัตว์และการทารุณกรรมสัตว์มีสัตว์แพทย์และงบประมาณที่พร้อมสนับสนุนจังหวัดเพชรบุรีร่วมมือกันแก้ไขปัญหาลิงแสมด้วยการใช้หลากหลายวิธีการโดยระดมความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคีภาคส่วนรวมทั้งมหาวิทยาลัย 13 แห่งที่มีคณะสัตว์แพทย์และเครือข่ายองค์กรเอกชนมูลนิธิด้านอนุรักษ์สัตว์ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญในประเทศไทยและในต่างประเทศรวมทั้งอดีตสัตว์แพทย์ที่เกษียณอายุก็พร้อมที่จะมาช่วยสนับสนุนจังหวัดเพชรบุรีโดยเฉพาะกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธ์ุพืชซึ่งรับผิดชอบกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าได้ทุ่มเททำงานหนักในการแก้ไขปัญหาลิงแสมโดยทำหมันลิงแต่ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณและกำลังคนทำให้การลดประชากรลิงไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์ดังปรากฎปัญหาให้เห็นในทุกวันนี้

“การทำหมันหลายปีที่ผ่านมาเพียง 500 กว่าตัวหรือเฉลี่ยปีละ 100-200 ตัวจากฝูงลิง 2-3 พันตัวด้วยสัดส่วนการทำหมันลิงต่อจำนวนลิงทั้งหมด 5-10% จึงไม่ทันต่อการแพร่ขยายพันธ์ุของลิงและฝูงลิงซึ่งโดยธรรมชาติลิงเพศผู้สามารถสืบพันธ์ได้วันละ 10 ครั้งและเพศเมียมีลูกได้ 2 ตัวต่อปี นอกจากนี้โดยพฤติกรรมของลิงที่อยู่เป็นฝูงเมื่อลิงเพศผู้เข้าสู่วัยหนุ่มจะถูกขับออกจากฝูงเดิมและไปสร้างฝูงใหม่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆในส่วนการดำรงชีพของลิงที่แย่งที่อยู่ที่กินในพื้นที่จำกัดก็มีการต่อสู้กัดทำร้ายกันบาดเจ็บระหว่างฝูงไม่เว้นแต่ละวันเป็นปัญหาสวัสดิภาพสัตว์ที่ต้องเร่งแก้ไขดูแลโดยเร็วเช่นกันอีกทั้งปัญหาการทำร้ายนักเรียนและนักท่องเที่ยวจนบาดเจ็บก็ยังมีให้เห็นและอาจติดโรคร้ายจากลิงมีอันตรายถึงชีวิต การเอาลิงกังไปไล่ลิงแสมเป็นครั้งเป็นคราวเฉพาะจุดแต่ก็ไม่ทั่วถึงและต่อเนื่อง ทุกคนยังอยู่ในภาวะเสี่ยงตลอดเวลา หากเกิดเหตุเป็นข่าวก็กระทบต่อภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและภาพลักษณ์โดยรวมของจังหวัดเพชรบุรี ในหลายประเทศจะไม่ใช้วิธีการทำหมันเพียงอย่างเดียวในการควบคุมและลดประชากรลิงให้อยู่ได้กับชุมชนและไม่ก่อผลกระทบทั้งด้านคุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัยความปลอดภัยและการประกอบอาชีพของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคระบาดจากสัตว์สู่คนจะประมาทไม่ได้บทเรียนกรณีวิกฤติโควิด19เป็นการแพร่ระบาดโรคจากสัตว์สู่คนที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นและรุนแรงขยายผลกระทบไปทั่วโลก เราจะอยู่ในความประมาทอีกต่อไปไม่ได้

'เพื่อไทย' ร่อนแถลง ผิดหวังกับผลโหวต 'สุราก้าวหน้า' ชี้!! จะเดินหน้าผลักดันต่อเนื่อง หวังหยุดการผูกขาด

วันที่ (3 พ.ย. 65) พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกแถลงการณ์กรณี สภาฯ โหวตไม่ผ่านร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ซึ่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ร่วมโหวตสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวแต่แพ้โหวตไป 2 คะแนนว่า...

พรรคเพื่อไทยขอเรียนว่าพรรคผิดหวังกับผลโหวต แต่จะเดินหน้าผลักดันนโยบายสุราประชาชน โดยผ่านกฎหมายให้ประชาชนสามารถต้ม หรือผลิตสุราในท้องถิ่นเพื่อจำหน่ายได้ ซึ่งแนวนโยบายนี้เคยมีมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทยแล้ว แต่มีการรัฐประหารในปี 2549 พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้านโยบายนี้เพื่อหยุดการผูกขาด ปลดปล่อยศักยภาพของชุมชน ธุรกิจเอส เอ็ม อี ร้านค้าทั่วประเทศในการสร้างรายได้ ขยายโอกาสนำรายได้เข้าประเทศ

ตร. แถลงผลปฏิบัติการ ‘ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน’ ทลายแก๊งจีนทำธุรกิจสีเทา ยึดทรัพย์กว่า 300 ลบ.

เปิดปฏิบัติการ 'ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน' รองต่อ-รองโจ๊ก ผนึกกำลัง ทลายแก๊งคนจีนสีเทา สวมบัตร ปชช. เอี่ยวโยงคิงส์โรมัน พบพิรุธถือครองสินทรัพย์หมู่บ้านหรูย่านอุดมสุขกว่าครึ่งเฟสใหม่

วันที่ (3 พ.ย. 65) ที่ บช.สอท. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง ผบก.ตม.1 ร่วมกันแถลงข่าวผลปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายนายทุนจีนสีเทา ตามปฏิบัติการ 'ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน' โดยปิดล้อมตรวจค้น 3 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จับกุมผู้ต้องหากว่า 15 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนจีน 11 ราย คนไทย 4 ราย พร้อมของกลางเป็นเงินสดกว่า 42 ล้านบาท รถยนต์หรูกว่า 10 คัน โฉนดที่ดินหลายรายการ สุราต่างประเทศ สำรับไพ่ กระเป๋าแบรนด์เนม มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า การปิดล้อมตรวจค้นครั้งนี้เป็นนโยบายของทางรัฐบาล และทาง พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมประกอบกับในช่วงที่ผ่านมามีกรณีชาวต่างชาติเสียชีวิตเพราะยาเสพติดในสถานบันเทิง และกรณีสถานบริการเปิดให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการพนัน โดยเจ้าของกิจการหรือสถานบริการล้วนเป็นนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามปฎิบัติการดังกล่าวเป็นการขยายผลจากการตรวจค้นสถานบริการจินหลิง ย่านยานนาวา เขตสาทร หลังพบกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวจีนกว่า 237 คน เป็นชายสัญชาติจีน จำนวน 111 คน เป็นหญิงสัญชาติจีน จำนวน 126 คน 

นอกจากนั้น พบพนักงานและบุคคลชาวกัมพูชา และชาวไทยในบริเวณอาคารดังกล่าวอีกจำนวนกว่า 29 คน ตรวจยึดรถยนต์หรูกว่า 30 คัน เพื่อตรวจสอบหาเจ้าของว่ามีส่วนร่วม รู้เห็น หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีพฤติการณ์อันเข้าข่ายฟอกเงิน หนึ่งในรถยนต์หรูที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไว้นั้น ผู้ต้องหาหญิงชาวจีนเป็นผู้ขับ มีชายชาวจีนเป็นเจ้าของรถยนต์พบชายชาวจีนคนดังกล่าว คือ กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ แต่ถือหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชาในการเดินทาง และยังมีหนังสือเดินทางของประเทศต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสวมสิทธิเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน เงินที่ได้จากการหลอกลวงจะถูกนำมาฟอกด้วยการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซื้อบ้านหรู คอนโดฯหรู รถยนต์หรู และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก มีการจ้างบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันตลอดเวลา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายค้น

โดยตรวจค้น 3 จุด ประกอบไปด้วยจุดแรก เป็นบ้านเลขที่ 396/63 ซอยกาญจนาภิเษก 50 แขวงดอกไม้ แขวงประเวศ กรุงเทพฯ พบชาวจีน 5 คน และคนไทย 3 คน พร้อมทรัพย์สินหลายรายการ เช่น รถยนต์ 3 คัน รถจักรยานยนต์ ดูคาติ สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน สุราต่างประเทศกว่า 50 ขวด โทรศัพท์มือถือ 13 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 3 เครื่อง และ เงินสด 7 ล้านบาท

จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 89/46 หมู่บ้านแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-อ่อนนุช แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านของนาย LIN YIAN หรือนายยะปะสอ สวรรยาคีรี พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินอีกหลายรายการ อาทิ รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ (ป้ายแดง) จำนวน 3 คันนาฬิกาหรูยี่ห้อ Patek Philippe จำนวน 1 เรือน เงินสด จำนวน 7.5 ล้านบาท บัตรประจำตัวประชาชน ชื่อนายยะปะสอ สวรรยาคีรี และหนังสือเดินประเทศไทย ชื่อนายยะปะสอ สวรรยาคีรี และ จุดที่ 3 เป็นคอนโดฯ บริเวณซอยสุขุมวิท 39 พบชาวจีน 4 คน พร้อมยึดทรัพย์สิน เช่น เงินสด 28 ล้านบาท กระเป๋าแบรนด์เนมหรู 8 ใบ

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า จากการนำบัตรประชาชนของผู้ต้องหาคือนาย LIN YIAN หรือ นายยะปะสอ สวรรยาคีรี ที่ตรวจยึด มาตรวจสอบกับสารบบ ทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครองปรากฏว่า เลขประจำตัวประชาชนดังกล่าว นายทะเบียนออกให้กับบุคคลอื่น (ใบหน้าไม่ตรงกัน) โดยออกที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จึงเชื่อว่า เป็นการปลอมบัตรประจำตัวประชาชน จากการตรวจสอบแล้วว่า บุคคลตามบัตรประชาชนยังมีชีวิตอยู่ และทำอาชีพหักข้าวโพดอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด 

โดยประเด็นนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการขยายผลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน้าที่ในการออกเอกสาร ดังกล่าว ส่วนทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ตรวจยึดได้ จะมีการตรวจสอบความถูกต้อง และความเชื่อมโยงกับคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้มีการแจ้งความไว้ในระบบการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป นอกจากนี้ยังพบพาสปอร์ต 2 สัญชาติ คือ ไทย และ กัมพูชา มีการเดินทางเข้าออกกัมพูชา 25 ครั้ง และกัวลาลัมเปอร์ มาเลเชีย 12 ครั้ง นอกจากนี้ จากการสอบสวนในเบื้องตนยังมีการทำธุรกิจ ร้านสุกี้ในคิงส์โรมัน สปป.ลาว และพื้นที่ 3 เหลี่ยมทองคำด้วย

5 เทรนด์ AI ในปี 2023 ที่จะเกิดขึ้นจริง ทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้เนียนจนแยกไม่ออก

Marketingoops เผย 5 เทรนด์ AI ในปี 2023 ที่จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาจนสามารถทดแทนความสามารถของมนุษย์ได้หลายๆ เรื่องกันเลยทีเดียว

1. AI จะต่อยอดศักยภาพให้ 5G
การสื่อสารแบบ 5G เมื่อมาเชื่อมต่อกับ AI จะทำให้นวัตกรรมล้ำยุคต่าง ๆ ใช้งานได้อย่างแพร่หลาย เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ กล้องวีดีโอสตรีมมิ่งเรียลไทม์ความละเอียดสูง โดรนควบคุมระยะไกล ฯลฯ

2. AI จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้
ความกดดันทางธุรกิจอันเกิดจากความผันผวนทางเศรษฐกิจสามารถแก้ไขได้ด้วย AI ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ทั้งการคาดการณ์การคำนวณสิ่งที่จำเป็นและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

3. AI ช่วยลดต้นทุนและหลีกเลี่ยงปัญหา
ปัญหาของโลกยุคใหม่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น แต่ AI จะช่วยคำนวณ การลดต้นทุน และคาดการณ์ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเพื่อหาทางหลีกเลี่ยง

‘พิธา’ ซัดขายที่ดินให้ต่างชาติเป็นทางลัดโบราณ หวั่นราคาบ้านในไทยพุ่งสูงเหมือนอังกฤษ - ฮ่องกง

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้สดถามนายกฯ นโยบายต่างชาติซื้อที่ดินได้ มีการประเมินข้อดี-ข้อเสีย ของนโยบายหรือไม่ ชี้ มาตรการดึงต่างชาติลงทุน-อาศัยในไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นแนวคิดสุดโบราณ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดถึงนโยบายต่างชาติซื้อที่ดินว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีกฎกระทรวงที่ย้อนหลัง ไปถึงรัชกาลที่ 4 ที่มีบันทึกเรื่องของกฎหมายให้ชาวต่างชาติมาใช้ที่ดินในประเทศไทย แต่ในภาวะปัจจุบันนโยบายนี้เป็นนโยบายที่ผิดที่ผิดทาง เพราะผลบวกที่ได้ทางเศรษฐกิจยังไม่มีการประเมินที่แน่ชัด ในขณะที่ประชาชนชาวไทยจำนวนมากที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน

ปัญหาข้อแรก ตั้งคำถามถึงเป้าหมายที่ชัดเจนของการแก้กฎกระทรวงเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาถือครองที่ดินในประเทศไทยคืออะไร เพราะจากข้อมูลพบว่าในรอบ 20 ปี มีต่างชาติเพียง 8 คน เป้าหมายจากคำสัมภาษณ์ที่เห็นมีเพียงระบุกว้าง ๆ ว่า ต้องการดึงดูดชาวต่างชาติ 1 ล้านคน ซึ่งว่าการเปลี่ยนกฎกระทรวงในครั้งนี้ยังมองไม่เห็นเป้าหมายและความชัดเจนว่าต้องการอะไรกันแน่ แล้วตลอดหลายเดือนที่ผ่านมามีการเปลี่ยนตัวเลขกลับไปมา จึงไม่แน่ใจในเป้าหมาย

ปัญหาข้อที่สอง พิธา ตั้งคำถามถึงผลกระทบและข้อเสียงของการแก้ไขกฎกระทรวงว่าได้คำนึงถึงผลกระทบในทางลบที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ ว่าหลังจากการปล่อยให้ต่างชาติเข้าไปซื้อที่ดินทำให้ราคาบ้านสูงเพิ่มขึ้นถึง 19% และตัวอย่างในประเทศฮ่องกงที่การเปิดเสรีเข้าซื้อที่ดินทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นจนคนในประเทศที่มีรายได้น้อยต้องอาศัยอยู่ในที่พักเล็ก ๆ ที่เป็นเหมือน “อพาร์ทเมนท์โรงศพ”

ทั้งนี้ พิธา ระบุว่า ตนกังวลเรื่องความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่ดิน ขณะที่ทางรัฐบาลพยายามจะให้ชาวต่างชาติ 1 ล้านคนเข้ามาซื้อที่ดิน แต่ 75% ของคนไทยยังไม่สามารถเข้าถึงที่ดินทำกินของประเทศบ้านเกิดตัวเองได้ คนไทยธรรมดาที่มีที่ดินจริง ๆ มีเพียง 20 เปอร์เซ็นเท่านั้น โควตาของต่างชาติคนละ 1 ไร่ก็ไปเบียดเบียนที่ดินของพี่น้องประชาชนแล้ว ยังมีประชาชนที่มีรายได้น้อยที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ยกตัวอย่างข้อมูลจากกระทรวงพัฒนาสังคมและมนุษย์ 1 ใน  5 ของคนจนไม่มีที่อยู่ และ 15 ปีต่อมา 1 ใน 3 ของคนจนไม่มีที่อยู่อาศัย พร้อมตั้งคำถามว่านายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเรียงลำดับความสำคัญ ในขณะที่ประชาชนป่าสงวนหรือในพื้นที่อุทยานเงื่อนไขและข้อจำกัดในการเข้าถึงที่ดินจำนวนมาก ต่างชาติกลับมีเงื่อนไขเพียง 5 บรรทัดเท่านั้น ก็ต้องตั้งคำถามถึงรัฐบาลว่าจะให้ความสำคัญกับการให้ต่างชาติมีที่ดินก่อน หรือประชาชนมีที่ทำกินก่อน

รู้จัก ‘alt.Eatery’ คอมมูนิตี้แห่ง Plant-based อาหาร ‘สุขภาพ-รักษ์โลก’ ในราคาที่เอื้อมถึง

กระแส Plant-based กำลังกลายเป็นเทรนด์ระดับโลก เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ผนวกกับเทรนด์ในการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมเด่นชัดขึ้น เนื่องจากกระบวนผลิตและบริโภคเนื้อจากพืช (Plant-based) ช่วยลดโลกร้อนได้ อีกทั้งยังคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ที่กลายเป็นอาหารของมนุษย์มาอย่างยาวนาน 

ก่อนหน้านี้ได้มีผลสำรวจจาก Euromonitor International's Voice of the Industry: Health and Nutrition 2022 ที่ตั้งคำถามว่า “เหตุผลอะไรที่คุณบริโภค Plant-based” โดยสำรวจไว้เมื่อปี 2021 และล่าสุดเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2022 แล้ว ก็ปรากฏว่า เหตุผลใน 3อันดับแรกที่เคยสำรวจไว้ไม่แตกต่างกัน ได้แก่... 

- ร้อยละ 37 ทาน Plant-based เพราะรู้สึกแข็งแรงขึ้น 
- ร้อยละ 25 ทาน Plant-based เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพในระยะยาว 
- และร้อยละ 24 ทาน Plant-based เพราะรสชาติอร่อย

ขณะที่บริษัท Euromonitor and Alliesได้ประมาณการมูลค่าตลาดของ Plant-based ในประเทศไทยไว้ ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 845 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2562 เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2567 ซึ่งถือเป็นการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี 

จากข้อมูลเหล่านี้ จึงเริ่มชี้ชัดว่า ธุรกิจอาหาร Plant-based จะกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ทั้งในเชิงของการรักษ์โลกและสุขภาพที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรงอีกด้วย

สำหรับในประเทศไทย ปัจจุบันก็เริ่มมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Plat-Based เกิดขึ้นมาก แต่ที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ก็คือหนีไม่พ้นคอมมูนิตี้แห่งอาหาร Plant-based ที่ใช้ชื่อว่า ‘alt.Eatery’

คุณพรรณนภิศ ฤทธิไพโรจน์ (คุณพลอย) ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและการตลาด บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด (NRPT) บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100%) กับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร ได้พูดคุยถึงธุรกิจ ‘Life Science’ ของอาหารเพื่อสุขภาพ Plant-based กับทีมข่าว THE STATES TIMES ว่า…

“ร้าน alt.Eatery เป็นคอมมูนิตี้อาหาร Plant-based ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แห่งแรกบนพื้นที่ของแสนสิริ ริมถนนสุขุมวิท 51 ภายในร้านประกอบด้วย 2 โซน ได้แก่ร้านอาหาร และ Mini Mart ในโซนร้านอาหารมีเมนูตั้งแต่ Appetizer, Main, ของหวาน โดยในโซน Mini Mart นั้นจะมีสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิด จากผู้ประกอบการมากกว่า 80 ราย ให้เลือกซื้อ”

คุณพลอย เล่าต่อว่า “การรับประทานอาหาร Plant-based เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เพราะมันเป็นทั้งไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่จะได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แถมยังช่วยรักษ์โลกได้ในเวลาเดียวกัน 

สำหรับ ‘alt.Eatery’ นั้น ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญด้านอาหาร Plant-based เพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญแม้กระทั่งตัวอาคารของร้าน alt.Eatery ที่สะท้อนถึงความยั่งยืนในทุกจุด เริ่มจากตัวอาคารที่สร้างด้วยแนวคิด Low Carbon Footprint ด้านหลังร้านมีการตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV ส่วนด้านบนหลังคาของอาคารมีการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อประหยัดพลังงาน หรือแม้กระทั่งตัวอาคารก็สร้างแบบ Complete Knock-Down ไม่มี Construction Wastes เลย 

THE STATES TIMES ได้ถามคุณพลอยอีกว่า ความต่างของ Plant-based กับอาหารในปัจจุบันอยู่ที่ตรงไหน คุณพลอยอธิบายว่า “Plant-based คือ นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต นวัตกรรมทำให้สามารถแยกโปรตีนและแป้งออกจากกันได้ สามารถพัฒนาโภชนาการอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นให้เหมาะกับบุคคลแต่ละกลุ่ม ตามอายุ เพศ หรือความต้องการด้านโภชนาการเพื่อป้องกันโรคและโภชนาการทางการแพทย์ (Medical Nutrition) หรือแม้แต่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการดูแลทางโภชนาการ ผู้ป่วยเฉพาะโรค 

“ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทานแต่เนื้อสัตว์และไม่ทานพืชผักเลย ก็อาจจะขาดกรดอะมิโนบางชนิดที่อยู่ในพืชผักได้ ซึ่ง Plant-based สามารถใส่กรดอะมิโนลงไปหรือการพัฒนาโภชนาการอาหารให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในอนาคต เราสามารถ Customize ให้เหมาะสม หรือในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวเราสามารถใช้นวัตกรรมปรับเนื้อให้อ่อนนุ่มเพื่อให้ผู้สูงอายุเคี้ยวได้ง่ายขึ้น” 

รู้จัก 6 ดิจิทัล เทคโนโลยีสำคัญ ช่วยยกระดับเกษตรกร สู่ Smart Farmer

ภาคเกษตรไทยอยู่ในภาวะเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิต และการเปลี่ยนผ่านของ generation มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรได้ หน่วยงานภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยมีส่งเสริมเรื่อง Smart Farmer ให้กับเกษตรกรรุ่นใหม่ ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์กับตนเอง และจะช่วยขยายความรู้นี้ไปสู่เกษตรกรคนอื่น ๆ ด้วย นี่คือ 6 ดิจิทัลเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยยกระดับการผลิตให้ภาคเกษตรได้

1. เทคโนโลยีการเก็บข้อมูล 
การเก็บข้อมูลระยะใกล้จาก sensor ที่วัดสภาพดินและค่าต่าง ๆ ในแปลงเพาะปลูก การเก็บข้อมูลระยะกลางจากกล้องที่ติดกับโดรนเพื่อสำรวจแปลงเพาะปลูก และการเก็บข้อมูลระยะไกลจากภาพถ่ายดาวเทียมที่สามารถนำมาใช้ระบุพื้นที่เพาะปลูก ชนิดพืช สถานะการเจริญเติบโต และการเกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม หรือภัยแล้งได้ละเอียดถึงระดับแปลงเพาะปลูกของเกษตรกร

2. ฐานข้อมูลขนาดใหญ่
หรือ big data ที่รวมศูนย์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวเกษตรกรเองและการเพาะปลูกทั้งในปัจจุบันและย้อนหลังไปในอดีต ในรูปแบบดิจิทัลที่นำไปวิเคราะห์ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ความต้องการที่แตกต่างกันของเกษตรกร และการออกแบบแนวทางแก้ไขที่ตรงจุด

3. Internet of Things (IoT) 
การเชื่อมโยงการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน สามารถควบคุมได้ เช่น การสั่งงานรดน้ำและใส่ปุ๋ยแปลงเพาะปลูกตามเวลาและปริมาณที่กำหนด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top