Monday, 12 May 2025
Hard News Team

เมนู Plant-based ยอดนิยมของร้าน alt.Eatery

เมนู Plant-based ยอดนิยมของร้าน alt.Eatery ทั้งโดนัท ผัดไทย ไก่ป๊อป เกี๊ยวซ่า ที่คุณต้องลอง แวะมาชิมที่ร้านได้ หรือจะมาเลือกซื้อสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิดก็ได้เช่นกัน 

อบจ.จัดใหญ่ดึงดูดนักท่องเที่ยวแน่นทุกคืน งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย

งานประเพณีงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟจ.สุโขทัย สู่คืนที่ 6 จุดเด่นที่ได้รับความสนใจของนักท่องเที่ยวจำนวนมากคือการแสดงแสง เสียง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศภายในงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ยังคงมีประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ หลั่งไหลเข้าเที่ยวชมภายในงาน เพื่อซึมซับบรรยากาศย้อนยุคกว่า 700 ปี สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีอย่างต่อเนื่อง ภายในงานนอกจากมีกิจกรรมการประกวดพนมหมาก-พนมดอกไม้, กระทงเล็ก-กระทงใหญ่, โคมชัก-โคมแขวน, การแสดงหมู่บ้านวิถีไทย, ลานเทศน์-ลานธรรม, การแสดงโขน-ดนตรีไทย, การจำหน่ายสินค้าโอทอป เนื่องจากงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย เป็นงานใหญ่ระดับโลก จึงทำให้มีการแสดงต่างๆมากมาย และอีกหนึ่งการแสดงถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะจังหวัดสุโขทัย คือการแสดงแสง เสียง (Light&Sound) เรื่อง"ความรุ่งเรืองของนครสุโขทัย" บริเวณวัดมหาธาตุ ที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญเพราะจะมีนักท่องเที่ยวเข้าชมการแสดงแน่นขนัดทุกรอบ 

จุดเด่นของงานการเเสดงเเสงเสียง Light&Sound 2022 สุโขทัย โดยทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยจัดให้เข้าชมฟรีเพื่อนักท่องเที่ยวและการกระตุ้นเศรษฐกิจให้พื้นที่ มีผู้เข้าชมเต็มทุกรอบทุกคืน และการเเสดงพลุ ตะไล ไฟพะเนียง สนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยเช่นเดียวกัน กิจกรรมตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคมจนถึงสู่คืนที่ 6 ของงานมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวงานหลายแสนคนจากสำนักงานสถิติจังหวัดสุโขทัย หลั่งไหลมาชมความงดงามเก็บภาพประทับใจ เลือกซื้อและชิมอาหารสินค้าในตลาดแลกเบี้ย จำนวนมาก ณ บริเวณสระยายเพิ้ง ยังมีตลาดถุงเงิน ณ วัดตระพังทอง ตลาดปสาน ณ บริเวณด้านหลังวัดชนะสงคราม ตลาดบ้าน บ้าน ณ บริเวณด้านหลังวัดชนะสงคราม  อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 

ผู้ว่าเมืองช้าง!!! แถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ตามยุทธการ 'คชสาร ขจัดสิ้นยาเสพติด'

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เวลา 13.30 น.  ที่ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ภายใต้การอำนวยการของนายพิจิตร บุญทัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พลตำรวจตรีชาญชัย พงษ์พิชิตกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ พลตรีวีรยุทธ รักศิลป์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พลตรีสาธิต เกิดโภค ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พันเอกกิตติพงษ์ พุทธิมณี รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์(ฝ่ายทหาร) พันตำรวจเอกธรรมนูญ ฉิมวงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์(ปส) และพันตำรวจเอกชัยณรงค์ บุญด้วง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและระดมสรรพกำลังร่วมกัน สืบสวนจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ ห้วงตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2565 เป็นต้นมา และในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เวลา 04:00 น จังหวัดสุรินทร์ได้เปิดยุทธการ 'คชสารขจัดสิ้นยาเสพติด'

โดยสนธิกำลังทุกหน่วยงานเข้าปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย เน้นกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด แหล่งพักยาเสพติดและอาวุธปืน พร้อมกันทุกพื้นที่รวมทั้งสิ้น 55 เป้าหมายโดยผลการดำเนินการมีดังนี้ จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 242 คดี ผู้ต้องหาร่วมรวมกันทั้งสิ้น 270 คน แบ่งเป็น ผู้ค้าจำนวน 105 ราย ผู้เสพครอบครองเพื่อเสพ จำนวน 137 ราย ผู้เสพสมัครใจเข้ารับการบำบัด จำนวน 110 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติด แบ่งออกเป็น ยาบ้า(เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 27,630 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 6.16 กรัม ของกลางอาวุธปืน 80 กระบอก แบ่งออกเป็นอาวุธปืนยาว จำนวน 25 กระบอก อาวุธปืนพกสั้น จำนวน 23 กระบอก อาวุธปืนไทยประดิษฐ์(ปากกา) จำนวน 31 กระบอก วัตถุระเบิด จำนวน 1 ลูก เครื่องกระสุนปืน จำนวน 207 ลูก โดยผู้ค้าผู้สมคบผู้สนับสนุนได้สั่งการให้ทุกพื้นที่ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด โดยไม่มีข้อยกเว้น สำหรับผู้เสพได้ส่งเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายตามกระบวนการบำบัดรักษาของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป  เพื่อให้จังหวัดสุรินทร์ของเราเป็นสังคมที่ปลอดภัยจากยาเสพติด 

สกัดขาหนุ่มแดนภารตะ ตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ผงะ Overstay กว่า 1000 วัน

กก.สส.บก.ตม.4 ร่วมกับ ตม.จว.สุรินทร์ ได้จับกุมนาย KAMALESH (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติอินเดีย ข้อหาอยู่ในราชอาณจักรเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต 1,084 วัน เหตุจากได้รับร้องเรียนกรณีมีคนต่างด้าวสัญชาติอินเดียเข้ามาในพื้นที่ และแสดงตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ก่อความเดือดร้อนรำคาญ อันทำให้เกิดความไม่สงบในพื้นที่ ขยายผลทราบว่า คนต่างด้าวรายดังกล่าวพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ จึงวางแผนสนธิกำลังกับหน่วยงานในพื้นที่เข้าจับกุม 

ตม.3 กวาดล้างขยายผลจับกุมขบวนการขนคนเข้าเมือง

กก.สส.บก.ตม.3 ได้จับกุมคนต่างด้าว สัญชาติเมียนมา 6 ราย ข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ในพื้นที่ อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี ขยายผลทราบว่า กลุ่มคนต่างด้าวดังกล่าวเดินทางเข้ามาทางจว.กาญจนบุรี และ จว.ประจวบคีรีขันธ์ ทางช่องทางธรรมชาติ โดยนัดหมายกันทางโซเชียลมีเดีย จากการสืบสวนทราบว่า มีกลุ่มคนต่างด้าวอีกประมาณ 200 – 300 คน รอขบวนการเครือข่ายขนคนส่งรถมารับเพื่อเข้ามาทำงานในพื้นที่กรุงเทพ และเขตปริมณฑลกก.สส.บก.ตม.3 จึงได้ประสานกับตม.จว.กาญจนบุรี และ ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อวางแผนดำเนินการสกัดกั้นจับกุมไม่ให้มีการขนคนลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยจับกุมขบวนการขนคนได้ 3 ราย ดังนี้

PCT ร่วมกับ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว และ บช.สอท. เปิดปฏิบัติการทลายแก๊งเว็บพนันจีน ลักลอบใช้เมืองไทยเป็นฐานการพนัน จับกุมพนักงานเว็บจีนกว่า 56 คน

ด้วยเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร.ร่วมกับ สตม., บช.ทท.และ บช.สอท.สืบทราบว่า มีกลุ่มชาวต่างชาติชาวจีนได้ลักลอบใช้เมืองไทยเปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ชื่อ เห่อชิง (HengXin) และ คายยุน (Kaiyun) มีพนักงานกว่า 50 คน อยู่ที่หอพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ สวนหลวง และหัวหมาก กทม.จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานทำการขออนุมัติหมายค้นหอพักดังกล่าว และศาลอาญาพระโขนงอนุมัติหมายค้นให้เข้าทำการตรวจค้นในวันที่ 28 ต.ค. 2565

ต่อมาวันที่ 28 ต.ค.2565 เวลา 12.00 น.เจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. ร่วมกับ สตม., บช.ทท.,บช.สอท.
ได้ร่วมกันนำกำลังเข้าตรวจค้นอาคารเป้าหมายตามหมายค้น ปรากฏว่าพบคนจีนและคนมาเลเซียจำนวนหนึ่งกำลังทำงานเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ โดยทำหน้าที่ควบคุมดูแลความเรียบร้อยและดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์ ต่อมาได้ขยายผลและพบว่ากลุ่มคนร้ายอีกจำนวนหนึ่งไปทำงานที่หอพักอีกแห่งหนึ่งบริเวณ แขวง หัวหมาก เขต บางกะปิ กทม. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหาบางส่วนเข้าขยายผล ซึ่งจากการเข้าตรวจค้นพบกลุ่มคนจีนอีกกว่า 56 คน ทำงานเป็นแอดมินเว็บไซต์พนันออนไลน์ทำหน้าที่ชักชวนลูกค้าชาวต่างชาติให้เข้าเล่นผ่านแอพพลิเคชั่นโซเชียล Let’s Talk และ Telegram

รอง โฆษก ตร. เผย กองทะเบียนประวัติอาชญากร ขยายเวลา เปิด - ปิด ตรวจสอบประวัติบุคคล เริ่ม 7 พ.ย. นี้

วันนี้ (4 พ.ย.65) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ว่าที่ พ.ต.ท.หญิง ณพวรรณ ปัญญา รอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า กองทะเบียนประวัติอาชญากร ตร.ได้ขยายเวลา เปิด-ปิด ศูนย์บริการตรวจสอบประวัติบุคคล จากเวลาเดิมตั้งแต่ 08.30 – 15.30 น.เป็นเวลา 07.30 – 16.30 น. 

รองโฆษก ตร. กล่าวว่า ศูนย์บริการตรวจสอบประวัติบุคคล กองทะเบียนประวัติอาชญากร เป็นสถานที่ให้บริการประชาชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่มาติดต่อขอตรวจสอบประวัติบุคคลและขอดูข้อมูลข่าวสารราชการท่านสามารถ ตรวจสอบประวัติด้วยชื่อ-ชื่อสกุลโดยทำการยื่นคำร้องขอตรวจสอบประวัติผ่านทางเว็บไชต์ www.crd-check.com หรือตรวจสอบประวัติด้วยการพิมพ์ลายนิ้วมือ กรณีในเขต กทม. สามารถมาใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการฯ กองทะเบียนประวัติอาชญากร โดยจองคิวผ่าน www.crdqonline.com  ก่อนเข้ามาใช้บริการ กรณีพื้นที่ต่างจังหวัด สามารถใช้บริการได้ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1-10 หรือ พิสูจน์หลักฐานจังหวัดได้ทั่วประเทศ

ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าที่บังคลาเทศ ฝีมือคนไทย ที่น้อยคนอาจจะไม่เชื่อ

หากย้อนไปเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2565 จะมีหนึ่งข่าวปรากฏอยู่ตามหน้าสื่อประปราย นั่นก็คือข่าวที่บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หน่วยงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า Dhakha Metro Rail Project CP03 & CP04 ณ กรุงธากา ได้มีโอกาสต้อนรับ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ นางมาฆวดี สุมิตรเหมาะ พร้อมเจ้าหน้าที่สถานทูต รวมจำนวน 5 ท่าน ที่มาเยี่ยมชมโครงการ โดยมีเจ้าของงาน (DMTCL) และที่ปรึกษาโครงการ (NKDM) ร่วมต้อนรับ โดยได้เยี่ยมชมโครงการและถือโอกาสพบปะเยี่ยมเยียนพี่น้องคนไทยที่ทำงานในโครงการ รวมทั้งเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-บังกลาเทศ ในโอกาสครบรอบ 50 ปี 

สำหรับโครงการรถไฟฟ้า Dhakha Metro Rail Project Line-6 สัญญาที่ CP03 & CP04 ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศนี้ ถือเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของบังกลาเทศ ดำเนินการโดย บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทคนไทย ประกอบไปด้วยการก่อสร้างทางรถไฟ และสถานีที่มีมาตรฐานระดับสากล

ข่าวนี้ถ้าดูผ่าน ๆ ก็เหมือนกับงานก่อสร้างที่บริษัทไทยไปบิดงานได้ทั่วไป แต่จริงๆ แล้วงานที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า ตัวเส้นทาง และสถานีรถไฟฟ้า ถือเป็นงานยากที่มาตรฐานของโลกมักกระจุกตัวอยู่กับญี่ปุ่น ยุโรป และจีน

อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าว ที่บริษัทไทยได้เข้าไปก่อสร้างให้กับบังคลาเทศนั้น ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ที่ได้ทราบข่าวว่า คนไทยเป็นคนสร้างจริงหรือ!!

“เราภูมิใจที่มาสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย คาดว่าน่าจะเสร็จ 2 เดือนข้างหน้า เปิดใช้รถไฟฟ้าสายแรกภายในสิ้นปีนี้” และ “รถไฟฟ้าสายนี้ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและบริษัทอิตาเลียนไทยที่ประสบความสำเร็จได้มาสร้างรถไฟฟ้า สายแรกในบังกลาเทศ” คือเสียงจากบรรดาวิศวกรของโครงการที่รู้สึกภูมิใจกับการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอันยิ่งใหญ่ในบังกลาเทศ

ตอนนี้คนบังคลาเทศ คงรู้สึกปลื้มใจที่จะได้มีรถไฟฟ้าสายแรกใช้ในประเทศ ภายใต้คนไทยที่เป็นผู้สร้างให้ ซึ่งแน่นอนว่า ภารกิจในครั้งนี้ได้โชว์ให้เห็นว่า ไม่เพียงแค่ประเทศไทยจะพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าหลายสายภายในประเทศได้เองเท่านั้น แต่เรายัง Export ความสามารถในการก่อสร้างไปสู่ประเทศอื่น ๆ ได้อีกด้วย

จากช่อง YouTube ละโบยบิน – Laboibin ได้มีการเผยแพร่คลิปความยาว 19.40 วินาที ซึ่งมีหลากมุมมองที่ทำให้คนไทยรู้สึกยืดได้เต็มอกกับโครงการรถไฟฟ้าในบังคลาเทศด้วยว่า...

สำหรับสถานีรถไฟฟ้าสายแรกของบังกลาเทศ จะมีสถานีอุตตระเหนือ (Uttara North Metro Station) เป็นสถานีแรกของรถไฟฟ้าสายนี้ ซึ่งบรรยากาศของสถานีนั้น มีความสวยงามและมอลังการอย่างมาก ภายใต้ความคิด การออกแบบ การลงเข็ม งานฐานราก เสา โครงหลังคา บันไดเลื่อน และทุกอย่างที่ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นหนึ่งสถานีที่งดงาม จากฝีมือสร้างของคนไทย หลาย ๆ อย่างก็เลยจะดูคล้าย ๆ โครงสร้างรถไฟฟ้าที่ประเทศไทยไปในตัว (รถไฟที่ลาว หลาย ๆ อย่างจะมีรูปลักษณ์ออกไปทางจีน)

โดยล่าสุดตัวสถานีแห่งนี้ ได้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% เหลือแค่เก็บรายละเอียดเล็กน้อยก็จะเปิดใช้งานได้ภายในปลายปีนี้ (2565)

ทั้งนี้หากฟังเสียงจากวิศวกรคนไทย ที่ได้ร่วมโปรเจกต์นี้ ต่างกล่าวถึงความภูมิใจที่ได้ร่วมสร้างสถานีรถไฟฟ้าและโครงการรถไฟฟ้าแห่งแรกของบังคลาเทศจนสำเร็จ และพวกเขามองว่า นี่ไม่ใช่แค่งานก่อสร้างให้ต่างชาติ แต่เป็นการก่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีศักยภาพด้านโครงการรถไฟฟ้าให้ทั่วโลกได้ตระหนัก 

ยิ่งไปกว่านั้น หากมองในมุมของคนไทย ก็รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ชาวบังคลาเทศได้ใช้รถไฟฟ้าสายนี้อย่างเป็นทางการในอีกไม่นาน และอนาคตก็คาดว่าจะมีการขยายสายรถไฟฟ้าใหม่ๆ อีกเรื่อย ๆ โดยแว่วมาว่าจะมีการเปิดประมูลรถไฟฟ้ายกระดับอีก1 สาย และจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินอีก 1 สาย ซึ่งก็ต้องรอดูว่าคนไทยจะได้ไปโชว์ฝีมือกันอีกหรือไม่

ฟังเสียงจากมุมวิศวกรผู้ร่วมสร้างโครงการแล้ว ก็ข้ามมาฟังเสียงจากคนเวียดนามคู่แข่งที่น่าจับตาของประเทศไทยในช่วงระยะหลัง โดยคนเวียดนามจำนวนมาก ไม่เชื่อว่าผลงานนี้เป็นฝีมือคนไทย เพราะพวกเขายังติดภาพว่า การจะสร้างโครงการระดับนี้ได้ต้องเป็นญี่ปุ่น, จีน หรือกลุ่มประเทศในยุโรป และชาติตะวันตกที่มีความล้ำสมัยเท่านั้น แต่ขอโทษตอนนี้คนไทยทำมันแล้ว คนไทยออกมาสร้างสถานีรถไฟฟ้านอกประเทศได้แล้ว

เสียงจากชาวเวียดนามยังระบุอีกด้วยว่า ที่ประเทศเวียดนาม ยังกำลังสร้างโครงการรถไฟฟ้าอยู่เลย และยังไม่มีโอกาสได้ใช้งาน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปีหน้าจะได้ใช้งานหรือไม่ด้วย 

ถัดไปยังฟากของผู้คนในโลกโซเชียล เมื่อได้เห็นคลิปความคืบหน้าโครงการดังกล่าว ต่างก็ยินดีกับประเทศบังคลาเทศและประชาชนชาวบังคลาเทศ อีกทั้งยังภูมิใจแทนคนไทยทั้งประเทศอย่างมาก ที่มีบริษัทคนไทยเก่ง ๆ สามารถสร้างทางรถไฟฟ้าสายนี้ได้อย่างงดงาม และชาวบังคลาเทศคงพูดไปชั่วลูกชั่วหลาน ว่ารถไฟฟ้าสายนี้คนไทยเป็นคนสร้างให้

นี่แหละหนา ไอ้คำว่าคนไทยไม้แพ้ชาติใดในโลก มันไม่ได้ไกลเกินจริง แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นค่าคนไทยกันเองหรือไม่เท่านั้น!!

รวบผู้ต้องหาออสเตรียก่อคดีหนีซุกไทย

ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ กรณี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรีย ประจำประเทศไทย ขอความอนุเคราะห์ ในการติดตามตัว นายมาร์โก้ (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สัญชาติออสเตรีย ซึ่งเป็นบุคคลที่สาธารณรัฐออสเตรียต้องการตัวไปดำเนินคดีตามหมายจับสหภาพยุโรป ภายใต้หมายเลขคดี 6St 211/20f สำนักงานอัยการประจำเมืองซาลซ์บูร์ก ในความผิดฐาน ยักยอกเงินสมทบประกันสังคมของพนักงาน ความผิดฐานละเมิดผลประโยชน์ของเจ้าหนี้อย่างร้ายแรง ความผิดฐานฉ้อฉลล้มละลาย และความผิดฐานฉ้อโกงประกันสังคม รวมความผิดทั้งสิ้น 7 กระทง กก.1 บก.สส.สตม.

ปักหมุดลงทุน 1.9 แสนล้านบาทในไทย หวังช่วยยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย

AWS ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ในไทย มูลค่ามากกว่า 5 พันล้าน ดอลลาร์ หรือ 1.9 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 15 ปี ด้วยการเปิดตัว Region แห่งใหม่ ที่มีชื่อว่า AWS เอเชียแปซิฟิค (กรุงเทพฯ) 

อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ ด้วยการเปิดตัว Region ในประเทศไทย ที่จะมีชื่อว่า AWS Asia Pacific (Bangkok)

โดย Regionแห่งใหม่นี้จะประกอบด้วย Availability Zone สามแห่ง ซึ่งเพิ่มเติมจาก Availability Zone ของ AWS ที่มีอยู่แล้ว 87 แห่งใน 27 ภูมิภาคทั่วโลก และ AWS ได้ประกาศแผนที่จะสร้าง Availability Zone ทั่วโลกอีก 24 แห่งและ AWS Region อีก 8 แห่งในออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย อิสราเอล นิวซีแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงประเทศไทย

AWS Region ที่กําลังจะมีขึ้นในประเทศไทยจะช่วยให้นักพัฒนา สตาร์ทอัพ และองค์กรต่างๆ รวมถึงภาครัฐ การศึกษา และองค์กรไม่แสวงผลกําไร สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันของตนและให้บริการผู้ใช้ปลายทางจากศูนย์ข้อมูล AWS ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการเก็บข้อมูลของตนไว้ในประเทศไทยสามารถทําได้

นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มีต่อภูมิภาคนี้ AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ (หรือ 1.9 แสนล้านบาท) ในประเทศไทยในระยะเวลา 15 ปี

นายปราสาท กัลยาณรามัน รองประธานฝ่ายบริการโครงสร้างพื้นฐานของ AWS เผยว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศและการนำเสนอบริการใหม่ ๆ ที่รวดเร็ว

ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยสามารถใช้ศักยภาพทั้งหมดของคลาวด์เพื่อเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานและนำเสนอบริการต่าง ๆ

AWS Asia Pacific (Bangkok) region จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยการใช้ประโยชน์จากบริการที่หลากหลายและเชี่ยวชาญของ AWSเช่น แมชชีนเลิร์นนิ่ง การวิเคราะห์ และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง ด้วยเครื่องมือใหม่เหล่านี้ AWS ยังช่วยให้ลูกค้าภาครัฐสามารถมีส่วนร่วมกับพลเมืองได้ดียิ่งขึ้น องค์กรต่างๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเติบโตในระยะต่อไป รวมถึงสร้างธุรกิจและแข่งขันในระดับโลก

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวว่า แผนของ AWS ในการสร้างศูนย์ข้อมูลหรือดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทยถือเป็นก้าวสําคัญที่จะนำบริการการประมวลผลบนระบบคลาวด์ขั้นสูงมาสู่องค์กรจำนวนมากขึ้น และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย Thailand 4.0 ในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีมูลค่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top