Tuesday, 24 June 2025
Hard News Team

รมว.คลังสหรัฐฯ แนะประเทศทั่วโลก ‘อย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ และยอมรับมัน’ เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้ง หลังทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีใหม่

(3 เม.ย. 68) สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นในระหว่างการประชุมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศว่า ประเทศต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงการตอบโต้มาตรการภาษีที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้กำหนดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทั่วโลก เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ

เบสเซนต์กล่าวว่า “คำแนะนำของผมสำหรับทุกประเทศในตอนนี้คืออย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ ยอมรับมัน แล้วมาดูกันว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าคุณตอบโต้ สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง” โดยเบสเซนต์กล่าวในการสัมภาษณ์ในรายการ Special Report ไม่นานหลังจากการประกาศดังกล่าว 

ในระหว่างการประชุม เบสเซนต์เน้นย้ำว่า การตอบโต้ภาษีของทรัมป์อาจไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง “ถ้าคุณไม่ตอบโต้ นี่คือจุดสูงสุด” 

ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการภาษีใหม่เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งทำให้หลายประเทศตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และบางประเทศได้แสดงท่าทีที่ต้องการตอบโต้

ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงยืนยันในความจำเป็นของมาตรการดังกล่าว เบสเซนต์เตือนว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจยืดเยื้อและขยายวงกว้าง หากไม่มีการเจรจาและหาทางออกที่สมดุลและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย

นอกจากนี้ เบสเซนต์กล่าวกับเบร็ต ไบเออร์ หัวหน้าผู้ประกาศข่าวสายการเมืองของ Fox News ว่าเป้าหมายของการเก็บภาษีศุลกากรคือการสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว “เรากำลังกลับสู่วิถีทางที่ดี” เขากล่าว โดยโจมตีรัฐบาลของไบเดนเรื่องการใช้จ่ายรัฐบาลที่ “มหาศาล” 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเสริมว่า รัฐสภากำลังดำเนินการเพื่อให้ผ่านร่างกฎหมายภาษี เนื่องจากฝ่ายบริหารกำลังพยายามทำให้ การลดหย่อนภาษีของทรัมป์ในปี 2017 เป็นแบบถาวร

“ยิ่งเราสามารถได้รับความแน่นอนเรื่องภาษีได้เร็วเท่าไหร่ เราก็สามารถเตรียมการสำหรับการกลับมาเติบโตได้เร็วเท่านั้น” เบสเซนต์กล่าว

สภาเมืองเบอร์มิงแฮม ประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังพนักงานเก็บขยะหยุดงานประท้วง ทำให้กองขยะพะเนิน 17,000 ตัน

(3 เม.ย. 68) สภาเมืองเบอร์มิงแฮม สหราชอาณาจักร ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากการประท้วงหยุดงานของพนักงานเก็บขยะที่ดำเนินต่อเนื่อง ส่งผลให้ขยะสะสมทั่วเมืองมากกว่า 17,000 ตัน และยังไม่มีแนวโน้มจะได้รับการแก้ไขในเร็วๆ นี้

ข้อพิพาทระหว่างเมืองและพนักงานเก็บขยะเริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 เมื่อกลุ่มการค้า Unite the Union ประกาศว่าพนักงานเก็บขยะจะหยุดงานในปี พ.ศ. 2568 เพื่อต่อต้านการลดค่าจ้างเกินความจำเป็น การห้ามทำงานล่วงเวลา และการที่สภายกเลิกบทบาทพนักงานเก็บขยะ

แต่ทางเมืองกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 28 มีนาคมว่า “คนงานทุกคนได้รับการเสนองานทางเลือกด้วยค่าจ้างเท่าเดิม การฝึกอบรมพนักงานขับรถ หรือการเลิกจ้างโดยสมัครใจ” และอ้างว่าบทบาทที่ถูกยกเลิกนั้นก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณของเมือง

“เรารู้สึกเสียใจที่เราต้องดำเนินการเช่นนี้ แต่เราไม่สามารถทนต่อสถานการณ์ที่กำลังก่อให้เกิดอันตรายและความทุกข์ใจแก่ชุมชนต่างๆ ทั่วเมืองเบอร์มิงแฮมได้” จอห์น คอตตอน หัวหน้าสภาเมืองเบอร์มิงแฮม กล่าวในแถลงการณ์

ทางสภาเมืองเปิดเผยว่า กลุ่มผู้ประท้วงได้ตั้งแนวรั้วปิดกั้นศูนย์จัดการขยะทุกวัน ทำให้รถเก็บขยะไม่สามารถเข้าถึงและจัดการขยะที่คั่งค้างได้ ขยะจำนวนมหาศาลที่กองอยู่บนถนนและพื้นที่สาธารณะเริ่มส่งผลกระทบต่อ สุขอนามัยของประชาชน และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมร้ายแรง

ผู้นำสภาเมืองเบอร์มิงแฮม แถลงว่า ขณะนี้กำลังพิจารณามาตรการเร่งด่วนเพื่อคลี่คลายวิกฤติ โดยอาจต้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐหรือหน่วยงานภายนอก พร้อมเรียกร้องให้พนักงานเก็บขยะและสหภาพแรงงานเปิดเจรจาเพื่อหาทางออกโดยเร็ว

“สภาเมืองเบอร์มิงแฮมสามารถแก้ไขข้อพิพาทนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่กลับดูเหมือนว่าจะมุ่งมั่นที่จะใช้แผนลดตำแหน่งและลดเงินเดือนโดยไม่คำนึงถึงต้นทุน” ชารอน เกรแฮม เลขาธิการสหภาพแรงงานแห่งเบอร์มิงแฮมกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ “หากต้องใช้จ่ายมากกว่าต้นทุนในการแก้ปัญหาการหยุดงานอย่างยุติธรรม พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจ”

ขณะเดียวกัน ประชาชนในเมืองแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก หลายพื้นที่ของเบอร์มิงแฮมเต็มไปด้วยกองขยะ ส่งกลิ่นเหม็นและดึงดูดสัตว์พาหะ เช่น หนู และแมลงวัน สร้างความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขอนามัยและความปลอดภัยของชุมชน

ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษตระหนักถึงการหยุดงานดังกล่าว จิม แม็กมาฮอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงชุมชน กล่าวในสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ “มีการเตรียมการที่ชัดเจนสำหรับพื้นที่ต่างๆ ในท้องถิ่นเพื่อยกระดับปัญหาในพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ และรัฐบาลกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” 

“หากผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ในเมืองเบอร์มิงแฮมรู้สึกว่าการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เกินขอบเขตของทรัพยากรที่พวกเขามีอยู่ และพวกเขาร้องขอการสนับสนุนจากระดับชาติ เราก็พร้อมที่จะตอบสนองต่อคำขอใดๆ ก็ตาม” แม็กมาฮอนกล่าวตามรายงานของ PA Media สำนักข่าวของอังกฤษ

‘พีระพันธุ์’ ระบุ คนไทยมีภาระมาก รัฐควรแบกรับส่วนต่างค่าไฟแทน ชี้ กรอบเป้าหมายไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย

คนไทยมีภาระมาก รัฐควรแบกรับส่วนต่างค่าไฟแทน ชี้ กรอบเป้าหมายไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย

รัฐบาลทหารเมียนมา สั่งหยุดยิงทั่วประเทศ จนถึง 22 เม.ย. เปิดทางช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวรุนแรง

(3 เม.ย. 68) รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศหยุดยิงชั่วคราวทั่วประเทศจนถึงวันที่ 22 เมษายน 2568 เพื่อเปิดทางให้หน่วยกู้ภัยสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุ แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ

แถลงการณ์จากกองทัพเมียนมาระบุว่า “รัฐบาลทหารตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน และต้องการให้การช่วยเหลือดำเนินไปอย่างเต็มที่” โดยในช่วงเวลาหยุดยิงนี้ หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรด้านมนุษยธรรมทั้งภายในและต่างประเทศจะสามารถเข้าถึงพื้นที่ภัยพิบัติได้ง่ายขึ้น

ข้อมูลล่าสุดจากทางการเมียนมาเผยว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 3,000 ราย บาดเจ็บกว่า 4,500 ราย และยังมีผู้สูญหายอีกหลายร้อยชีวิต ขณะที่อาคารบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงถนนและสะพานได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศ

เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตตามซากอาคารที่พังถล่ม ท่ามกลางความท้าทายจาก ดินถล่ม ไฟฟ้าดับ และเส้นทางคมนาคมที่ถูกตัดขาด ในหลายพื้นที่ ซึ่งเมื่อวานนี้ (2 เม.ย.) ทีมข้อมูลสภาบริหารแห่งรัฐของเมียนมารายงานว่าพนักงานโรงแรม วัย 26 ปี ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากซากโรงแรมที่พังถล่มในกรุงเนปิดอว์ หลังติดอยู่ใต้ซากนาน 5 วัน

ด้านกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์หลายกลุ่ม ซึ่งมีการปะทะกับรัฐบาลทหารในช่วงที่ผ่านมา แสดงท่าทีตอบรับคำสั่งหยุดยิง เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสามารถดำเนินไปได้โดยไม่มีอุปสรรค 

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์ระบุว่า สถานการณ์ยังคงเปราะบาง และอาจเกิดการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงได้

ขณะเดียวกัน องค์การสหประชาชาติ (UN), สภากาชาด, อาเซียน และรัฐบาลหลายประเทศ กำลังเตรียมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา โดยเฉพาะ อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และที่พักชั่วคราว เพื่อรองรับผู้พลัดถิ่นหลายหมื่นคน

แม้ว่าการหยุดยิงครั้งนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว แต่หลายฝ่ายกังวลว่า เมื่อหมดกำหนดในวันที่ 22 เมษายน ความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลังชาติพันธุ์อาจปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

สมุทรปราการ-“นายกแดง” อนุศักดิ์ นาคทิม แชมป์เก่า ลงสมัครเลือกตั้งชิงเก้าอี้นายกท้องถิ่นกำลังใจล้นหลาม

(3 เม.ย. 68) ที่อาคารสำนักงานเทศบาลตำบลบางเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ได้เปิดรับสมัครนายกเทศมนตรีตำบลบางเมืองเป็นวันแรก โดยผลการจับฉลากทางด้าน นาวาเอก อนุศักดิ์ นาคทิม อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง แชมป์เก่า ขวัญใจพี่น้องประชาชน ได้เบอร์ 1 ในนามกลุ่มบางเมืองก้าวหน้า มีกองเชียร์มาให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมากทำให้บรรยากาศดูคึกคัก 

ขณะที่ผู้ท้าชิงคือ นายปาณวัฒน์ อุทัยเลิศ ได้เบอร์ 2 กลุ่มอาสาพัฒนาบางเมือง และ นายประสิทธิ์ เจตน์ทรงธรรม ได้เบอร์ 3 พรรคประชาชน หลังจากนี้ทั้ง 3 เบอร์เตรียมตัวลงพื้นที่หาเสียงไปพบประพูดคุยเพื่อขอคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน 

สืบเนื่องจาก นาวาเอก อนุศักดิ์ นาคทิม อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง ได้หมดวาระลงและกำหนดให้มีการรับสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง รวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น ในวันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งซึ่งการรับสมัครเลือกตั้งนั้น มีปลัดเทศบาลปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลบางเมืองและคณะเจ้าหน้าที่คอยอำนวยการดูแลความเรียบร้อย

นอกจากนี้ ยังมีกองเชียร์จำนวนมากมาให้กำลังใจพร้อมทั้งส่งเสียงเชียร์ นาวาเอก อนุศักดิ์ นาคทิม (นายกแดง) อดีตนายกบางเมืองกันล้นหลามและขอให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้อีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

จีนสั่งสอบเข้ม ‘ไชน่าเรลเวย์’ อาจเจอคดีหนัก หากพบความผิดพลาดโครงสร้าง สตง.

(3 เม.ย 68) เหตุการณ์อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม กลายเป็นประเด็นร้อนระดับนานาชาติ หลังจาก นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ออกมาโพสต์แสดงความเสียใจ พร้อมให้คำมั่นว่า รัฐบาลจีนจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการตรวจสอบ

ล่าสุด ทางการจีน สั่งสอบสวนด่วน บริษัทก่อสร้างจีนที่รับผิดชอบโครงการนี้ โดยเฉพาะ บริษัท ไชน่าเรลเวย์นัมเบอร์ 10 ซึ่งเป็นซับคอนแทรคเตอร์ของโครงการ และอยู่ภายใต้การกำกับของ บริษัทแม่ ไชน่าเรลเวย์

โดยมีการรายงานว่า รัฐบาลจีนเรียกตัวผู้บริหารระดับสูงของไชน่าเรลเวย์ ทั้งหมดเข้ารับการสอบสวน และยืนยันว่า หากพบหลักฐานว่ามีความผิดพลาดในการออกแบบ การก่อสร้าง หรือการตรวจสอบโครงสร้าง บริษัทจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนออกคำสั่งด่วนถึงทุกบริษัทจีนที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานของประเทศเจ้าบ้านอย่างเคร่งครัด โดยระบุชัดว่า หากพบการละเมิดกฎระเบียบหรือมาตรฐานความปลอดภัย อาจต้องเผชิญบทลงโทษจากทั้งรัฐบาลจีนและรัฐบาลของประเทศที่ดำเนินธุรกิจ

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจีนสะท้อนถึงความโปร่งใสและมาตรการที่เข้มงวด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบุคคลสำคัญในประเทศไทย ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการก่อสร้างดังกล่าว ขณะเดียวกัน สังคมยังจับตาว่า รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้ และจะมีมาตรการใดในการดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องในประเทศต่อไป

สำหรับ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (China Railway No. 10 Engineering Group) ได้ร่วมเป็นกิจการร่วมค้าและชนะการประมูลโครงการภาครัฐในประเทศไทยอย่างน้อย 13 โครงการ ระหว่างปี พ.ศ. 2562 ถึง พ.ศ. 2565 รวมมูลค่ากว่า 7,232 ล้านบาท โครงการที่สำคัญ ได้แก่

1. ท่าอากาศยานนราธิวาส อาคารที่พักผู้โดยสารและสิ่งก่อสร้างประกอบ มูลค่า 639 ล้านบาท
2. เคหะชุมชนภูเก็ต เป็นทาวน์โฮมจำนวน 354 หน่วย มูลค่า 343 ล้านบาท
3. อาคารคลังสินค้าที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มูลค่า 146 ล้านบาท
4. หอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มูลค่า 132 ล้านบาท
5. ศูนย์ฝึกอบรมมวยสากลมาตรฐานนานาชาติ ที่สนามกีฬาหัวหมาก มูลค่า 608 ล้านบาท
6. อาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 มูลค่า 386 ล้านบาท
7. โครงการพัฒนาที่ดินและก่อสร้างศูนย์บริการลูกค้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต มูลค่า 210 ล้านบาท
8. อาคารที่ทำการกองทัพเรือ มูลค่า 179 ล้านบาท
9. อาคารสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มูลค่า 716 ล้านบาท
10. สถาบันฝึกอบรมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นครชัยศรี มูลค่า 606 ล้านบาท
11. อาคารผู้ป่วยนอกและฉุกเฉิน โรงพยาบาลสงขลา มูลค่า 426 ล้านบาท
12. อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มูลค่า 2,136 ล้านบาท
13. อาคารเรียนและปฏิบัติการ โรงเรียนวัดอมรินทราราม มูลค่า 160 ล้านบาท

ทั้งนี้ การที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ได้รับงานก่อสร้างภาครัฐหลายโครงการในประเทศไทย แสดงถึงบทบาทที่สำคัญของบริษัทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่ม ความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มงวด

ผู้ช่วย รมว. กระทรวง อว.ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน.และ ”Kick off “เพื่อขับเคลื่อน Soft Power ด้านมวยไทย” ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี

(3 เม.ย. 68) นวัตกรรม ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. และ ”Kick off “การส่งเสริมงานด้าน อววน. เพื่อขับเคลื่อน Soft Power ด้านมวยไทย” ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี  ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง เมืองราชบุรี 

นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า 
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มีแนวทางที่ดีในการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์ชุมชนและภาคอุตสาหกรรม ทำให้บัณฑิตสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวง อว. เองก็ได้มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันการศึกษา สร้างความร่วมมือกับสถานประกอบในการร่วมผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์สถานประกอบการภายใต้โครงการสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน (Cooperative and Work Integrated Education หรือ CWIE) ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อเพิ่มโอกาสฝึกงานและสร้างเครือข่ายการจ้างงานที่กว้างขึ้น นอกจากนี้มหาวิทยาลัยได้บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานการศึกษาในจังหวัดได้เป็นอย่างดี เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีคุณภาพทั้งสติปัญญา กาย ใจ ด้วยการพัฒนาหลักสูตร สื่อ และกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม รวมถึงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้สัมมาชีพในชุมชน เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาผ่านประสบการณ์การทำงาน
 
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มีโครงการที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจฐานรากและอุตสาหกรรมเกษตรถือเป็นจุดแข็งที่ช่วยยกระดับท้องถิ่นได้จริง และอยากให้มหาวิทยาลัยเร่งผลักดันงานวิจัยให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางเพื่อเชื่อมโยงนักวิจัย ผู้ประกอบการ และนักลงทุน ซึ่งกระทรวง อว. มีผู้เชี่ยวชาญและเครือข่ายหลายหน่วยงานที่พร้อมและยินดีให้คำปรึกษา รวมทั้งงบประมาณการสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเต็มที่
 
ด้าน Soft Power มวยไทย การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และฝึกอบรมด้านมวยไทยเป็นแนวคิดที่ดีที่ช่วยอนุรักษ์ สืบสานต่อยอดมรดกวัฒนธรรมของชาติ และแปลงมาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ผ่านกิจกรรมทั้งการกีฬา และการท่องเที่ยว อยากให้มหาวิทยาลัยได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นศูนย์กลางในเรื่องนี้ ขยายผลไปยังสถาบันอื่นที่สนใจร่วมขับเคลื่อนให้กระจายทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงขยายกิจกรรมสู่ระดับนานาชาติ เช่น การจัดการแข่งขันหรือหลักสูตรแลกเปลี่ยนด้านมวยไทย เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย
 
จากการลงฟื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในวันนี้ ทางกระทรวงอว. ได้เห็นศักยภาพของมหาวิทยาลัยและจุดเด่นของมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะมวยไทยซึ่งเป็น Soft Power ที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ผ่านอุตสาหกรรมกีฬา ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสื่อบันเทิงซึ่ง กระทรวง อว. เล็งเห็นว่าในอนาคตอาจร่วมกันพัฒนาบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพเกี่ยวกับมวยไทย โดยนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา เช่น ฟิตเนสเพื่อสุขภาพ การพัฒนาอุปกรณ์กีฬา เทคโนโลยีการฝึกซ้อม หรือศาสตร์การแพทย์แผนไทย สื่อดิจิทัลเกี่ยวกับมวยไทยหรือการพัฒนาแพลตฟอร์มเรียนรู้มวยไทยออนไลน์ โดยเร่งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและนักลงทุน เพื่อขยายโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยนำมวยไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศ 

แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และเป็นอีกหนึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ กระทรวง อว. จะเร่งผลักดันให้เกิดโครงการอบรมและรับรองมาตรฐานครูมวยไทยระดับสากล เพื่อส่งเสริมให้ครูมวยไทยสามารถไปทำงานในต่างประเทศได้สนับสนุนให้นักศึกษามีโอกาสฝึกงานกับค่ายมวย สถานที่ท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างทักษะการทำงานที่ตรงกับความต้องการของตลาด และส่งเสริมให้เยาวชนและนักศึกษาที่สนใจมวยไทยสามารถเข้าถึงแหล่งทุน ทุนการศึกษา หรือโครงการแลกเปลี่ยน เพื่อพัฒนาตนเองสู่ระดับสากลได้ต่อไป
 
กระทรวง อว. มุ่งมั่นสนับสนุนการนำวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมมาใช้พัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน และยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เราเชื่อว่าการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ จะช่วยให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงในการเผยแพร่แนวทางเหล่านี้ และหวังว่าจะได้ร่วมมือกันต่อไปในการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม การศึกษา และเศรษฐกิจ รวมทั้งมวยไทยเพื่อสร้างโอกาสให้กับคนไทย และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เวทีโลก

นางสาวประภารัตน์ นาคผจญ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า  ในนามของจังหวัดราชบุรี รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับท่านและคณะ ในโอกาสที่ได้กรุณาเดินทางลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการขับเคลื่อน งานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาจังหวัดราชบุรี ตลอดจนการส่งเสริมอัตลักษณ์ การสืบสานภูมิปัญญา และมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ ผ่านแนวคิดซอฟต์พาวเวอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำศิลปะมวยไทยมาสร้างคุณค่าและเพิ่มพูนศักยภาพกำลังคน 

ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงได้มีบทบาทสำคัญในการสืบสาน ต่อยอด และเชื่อมโยงองค์ความรู้
สู่การพัฒนาเศรษฐกิจระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
จังหวัดราชบุรีให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืนข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ท่านและคณะคงได้เห็นถึงศักยภาพอันหลากหลายของจังหวัดราชบุรี ทั้งในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งล้วนเป็นฐานรากสำคัญที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ตามนโยบายของรัฐบาล

ในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ได้มีบทบาทสำคัญในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมมาขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดราชบุรีอย่างเป็นรูปธรรม โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่ ผ่านการให้บริการวิชาการ งานวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม เพื่อยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรของจังหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 

โครงการที่เกี่ยวข้องกับ “มวยไทย” ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ทรงคุณค่าของประเทศไทย มหาวิทยาลัยฯ ได้สืบสานและต่อยอดองค์ความรู้ดังกล่าวสู่การพัฒนาในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านกีฬา    การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการศึกษาตลอดช่วงวัย ซึ่งล้วนเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มุ่งส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นศูนย์กลางการพัฒนาองค์ความรู้ และเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การลงพื้นที่ของท่านในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวคิด และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับพื้นที่กับกระทรวง อว. เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของจังหวัดราชบุรีต่อไป

นายทัศนา แช่มสะอาด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเบิกไพร กล่าวว่า ขอขอบพระคุณ ที่ท่านได้ให้เกียรติมาเยี่ยมชมบูธนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการ "ต้นกล้ามวยไทยตำบลเบิกไพร"  เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการส่งเสริมและขับเคลื่อนศิลปะมวยไทยในระดับชุมชนศิลปะมวยไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ทั้งในด้านศิลปะการต่อสู้ การออกกำลังกาย และการส่งเสริมคุณธรรมวินัยแก่เยาวชน 

โครงการ  "ต้นกล้ามวยไทยตำบลเบิกไพร" จึงเกิดขึ้นเพื่อต่อยอดการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนชุมชนในท้องถิ่น เพื่อให้มวยไทยเป็นที่แพร่หลายและได้รับการอนุรักษ์สืบทอดอย่างยั่งยืนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะช่วยส่งเสริมและขยายโอกาสให้เยาวชนได้เข้าถึงการเรียนรู้ศิลปะมวยไทยอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น

‘ดร.วีระศักดิ์’ ชี้ ไทยต้องเร่งเจรจา - ซื้อสินค้าสหรัฐฯมากขึ้น พร้อมปรับทิศทางการค้า มุ่งตลาดจีน – อินเดีย - อาเซียน

(3 เม.ย. 68) ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยแพร่บทวิเคราะห์นโยบาย “Reciprocal Tariffs” และ “สงครามภาษี” ของทรัมป์ ในบริบทเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ว่านโยบาย “Reciprocal Tariffs” เสนอให้สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ “เทียบเท่า” หรือ “ลดหย่อนจากอัตราที่ประเทศต่างๆ เก็บจากสินค้าอเมริกัน” 
ตัวอย่าง :
•ประเทศไทย
•เรียกเก็บภาษีจากสินค้าอเมริกัน: 72%
•ทรัมป์เสนอเก็บภาษีจากสินค้าไทย: 36%

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
1. การกลับมาของแนวคิดกีดกันทางการค้า (Protectionism)
•เป็นการลดบทบาทของ WTO และแนวทางการค้าเสรี
•จุดชนวนให้เกิด “สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน, สหภาพยุโรป และประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

2. ห่วงโซ่อุปทานโลกได้รับผลกระทบ
•อุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดอเมริกา เช่น เวียดนาม ไทย เกาหลีใต้ จะได้รับผลกระทบจากยอดส่งออกที่ลดลง
•ทำให้บริษัทข้ามชาติต้องทบทวนการตั้งฐานการผลิต

3. เงินเฟ้อและราคาสินค้าสูงขึ้น
•ผู้บริโภคในสหรัฐฯ และทั่วโลกจะต้องแบกรับต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น
•อาจนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

4. การปรับทิศทางภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจ
•ประเทศต่างๆ อาจลดการพึ่งพาการค้าอเมริกา และหันไปหาตลาดจีน อินเดีย หรือในภูมิภาคอาเซียนผ่าน RCEP

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

1. ภาคการส่งออกเสี่ยงอย่างมาก
•หากถูกเก็บภาษี 36% จากสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อาจกระทบสินค้าไทยหลายหมวด เช่น:
•ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
•ชิ้นส่วนยานยนต์
•ผลไม้ อาหารแปรรูป
•กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่าไทยอาจเสียรายได้จากการส่งออก 7–8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

2. จีดีพีลดลง
•การส่งออกไทยคิดเป็นเกือบ 60% ของจีดีพี
•หากรายได้ส่งออกหายไป อาจทำให้จีดีพีลดลงถึง 1.2 จุดเปอร์เซ็นต์ จากที่คาดการณ์เดิมที่ 2.5%

3. มาตรการรับมือของไทย
•พยายาม นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง น้ำมันดิบ
•พิจารณา ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ บางรายการ
•อาจต่อรองให้ ซื้อหรือเช่าเครื่องบินจากบริษัทอเมริกัน เพื่อรักษาความสัมพันธ์

4. ผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างชาติ
•นักลงทุนต่างชาติอาจหลีกเลี่ยงไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ
•ประเทศที่ถูกเก็บภาษีน้อยกว่า เช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หรือชิลี อาจได้เปรียบมากขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์
1.ใช้การทูตเชิงรุก เจรจาแบบทวิภาคีกับสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
2.เร่งกระจายความเสี่ยงตลาดส่งออก ไปยังประเทศในอาเซียน จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง
3.ยกระดับอุตสาหกรรมไทย ให้มีนวัตกรรม เทคโนโลยีสูง เพื่อหลุดจากการพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์
4.ส่งเสริมการค้าในภูมิภาค ผ่านข้อตกลง RCEP และกรอบความร่วมมืออื่นๆ

“ภาษี 36% ต่อสินค้านำเข้าจากไทย” จะรุนแรงและมีผลลุกลามในหลายระดับ โดยเฉพาะในกลุ่ม ร้านอาหารไทย และ ซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชียในสหรัฐฯ ซึ่งเป็น “แนวหน้า” ของวัฒนธรรมการบริโภคเอเชียในอเมริกา

ต่อไปนี้คือ การวิเคราะห์เจาะลึกในประเด็นที่ยกขึ้นมา:

1. ภาษี 36% ของสินค้าไทย “แรงกว่า” จีน
•จีน 34% แต่ไทย 36% สะท้อนว่าทรัมป์มองไทยเป็นประเทศที่ได้เปรียบการค้ากับสหรัฐมากกว่าจีนในสัดส่วนบางหมวด ซึ่ง น่าตกใจ และอาจมีผลกระทบ “แรงเฉียบพลัน” เพราะจีนมีอำนาจต่อรองและโครงข่ายส่งออกหลากหลายกว่า
•ไทยอาจไม่มีระบบ “โซ่อุปทานภายในประเทศ” ที่ใหญ่พอจะดูดซับผลกระทบได้ทัน เช่น จีนหรืออินเดีย

2. ร้านอาหารไทยในสหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤติ 3 ชั้น
•ต้นทุนสินค้าเพิ่มทันที 30–40%: น้ำปลา ซอส น้ำพริก มะพร้าว เครื่องแกง เครื่องปรุงสำเร็จ—สินค้าหลักที่ร้านอาหารไทยพึ่งพาเกือบ 100%
•ไม่สามารถปรับราคาขายได้ทัน: เพราะลูกค้าเป็นชาวอเมริกันหรือคนเอเชียหลากหลายเชื้อชาติที่มีความไวต่อราคามาก
•ความเสี่ยงสูญเสียลูกค้า + ปิดกิจการ: ร้านอาหารไทยขนาดเล็กและกลางจะมี “margin” ต่ำอยู่แล้ว ภาษีนี้อาจทำให้หลายร้านถึงขั้นต้องลดพนักงานหรือปิดตัว

3. วิกฤติที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย (Asian Markets)
•ซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย เช่น 99 Ranch, H Mart, Mitsuwa, หรือร้าน Local อาจเจอปรากฏการณ์ “ตุนของ” ทันทีในคืนนี้หรือสัปดาห์นี้
•สินค้าไทย เช่น น้ำปลา ตราเด็กสมบูรณ์ / น้ำพริกเผา / ข้าวหอมมะลิ / น้ำกะทิ / มะม่วงดอง ฯลฯ จะมีราคาสูงขึ้นทันที 30–40% เมื่อสต๊อกเก่าหมด
•จะกระทบ ชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเอเชียในสหรัฐฯ หลายสิบล้านคน โดยเฉพาะ คนไทย เวียดนาม ลาว เขมร และชาวจีนบางกลุ่มที่ใช้ของไทยเป็นประจำ

4. ผลกระทบทางวัฒนธรรมและ Soft Power ของไทย
•ร้านอาหารไทยคือ Soft Power ที่สำคัญที่สุดของไทยในต่างประเทศ มีบทบาทในการสร้างภาพลักษณ์ เชื่อมโยงวัฒนธรรม และกระตุ้นการท่องเที่ยว
•ภาษีนี้ ทำลายเส้นเลือดฝอยของ Soft Power ไทย อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระดับนี้

ข้อเสนอเชิงนโยบายเร่งด่วน
1.รัฐบาลไทยควรเจรจาระดับทวิภาคีเร่งด่วน โดยเน้นความเสียหายทางวัฒนธรรมและผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐ
2.ใช้ TTM (Thai Trade Missions) ในสหรัฐฯ ร่วมกับสถานทูต ผลักดันให้ แยกสินค้าประเภทอาหาร Soft Power ออกจากบัญชีภาษี
3.สนับสนุนระบบ e-Export + ลดต้นทุนส่งออก เช่น ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ B2B, B2C เพื่อให้ร้านค้าขนาดเล็กสามารถเข้าถึงตลาดตรงได้
4.ให้ BOI หรือกรมส่งเสริมการค้าออกมาตรการสนับสนุนต้นทุน SMEs ไทยในต่างประเทศ ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

นี่อาจเป็นจังหวะเหมาะที่ไทยควรพิจารณาเปลี่ยนแหล่งนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากรอบๆบ้านที่ยังเผา
ไปสู่การนำเข้าจากอเมริกาเหนือ 

ได้ใช้เป็นเเรงต่อรองด้านนโยบายการค้า ได้ลดปัญหาฝุ่นและการเผา ลดการเสียพื้นที่ป่าต้นน้ำ และได้ความมั่นคงอีกบางอย่างกลับมา มีเวลาไปลงแรงลงเวลาและลงทุนในการเปลี่ยนพืชเชิงเดี่ยวในภาคเกษตรมากขึ้น

ปี้บ่อนเบี้ย : จากเศรษฐกิจเงา สู่บาดแผลของชาติ บทเรียนจากรัชกาลที่ 5 ถึงสังคมไทยปัจจุบัน

(3 เม.ย. 68) กลางแสงไฟมัวหมองของโรงบ่อนในสมัยรัชกาลที่ 5 เสียงเม็ดถั่วกระทบโต๊ะหินดังกระทบหูผู้คนที่เบียดเสียดกันในวงพนัน ภาพชายชาวจีนในเสื้อคอกลม มือข้างหนึ่งถือ “ปี้” เซรามิก อีกข้างคลึงลูกปัดนับแต้ม เสียงเรียก “ถั่วโป!” ดังสลับกับเสียงหัวเราะคละเคล้าเสียงถอนหายใจ เป็นฉากชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรื่องปกติในหัวเมืองสยามจากเกมเสี่ยงโชค สู่กลไกรัฐ: บ่อนเบี้ยและอากรในราชสำนัก

หากมองการพนันเพียงผิวเผิน อาจเป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงส่วนบุคคล แต่ในสมัยอยุธยาเรื่อยมาถึงต้นรัตนโกสินทร์ การพนันกลับกลายเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้ของรัฐ ผ่านระบบสัมปทานที่เรียกว่า “อากรบ่อนเบี้ย” รัฐเปิดให้เอกชนผูกขาดกิจการบ่อน แลกกับการเก็บภาษีเข้าท้องพระคลัง ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 3 เคยทำรายได้ถึงปีละ 400,000 บาท

ขุนพัฒน์ แซ่คู และอำนาจในเงามืด

ในกลุ่มผู้รับสัมปทานบ่อนเบี้ย “นายอากร” ที่มีบทบาทสำคัญคือ นายเส็ง แซ่คู (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ชินวัตร”) ผู้ได้รับสัมปทานบ่อนในจันทบุรี ก่อนจะขยายอิทธิพลไปสู่ภาคเหนือ เบื้องหลังความสำเร็จของนายเส็ง คือความชำนาญในการจัดการระบบปี้ — เหรียญเซรามิกที่ใช้แทนเงินในบ่อน

แต่ปี้ไม่ได้อยู่แค่ในวงพนัน เมื่อเศรษฐกิจขาดแคลนเงินปลีก ปี้เหล่านี้ก็หลุดออกมาสู่ตลาด ถูกใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายของจริง กลายเป็น “เงินคู่ขนาน” ที่ไม่ผ่านมือรัฐ

พระราชหัตถเลขาจากยุโรป: เมื่อในหลวงทรงลองเล่นการพนัน

ในพระราชหัตถเลขาเมื่อปี พ.ศ. 2450 ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพจากเมืองซานเรโม อิตาลี พระองค์ทรงเล่าว่า

> “ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจ ข้อซึ่งเข้าใจว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้น ไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไร ๆ หมด
ชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ”

เป็นคำกล่าวที่ไม่ได้มีเจตนาเย้ยหยันประชาชน แต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างลึกซึ้ง หากกิจกรรมอย่างการพนันที่สนุกเกินต้าน ไร้การควบคุม เข้าถึงปัจเจกชนอย่างไม่มีกรอบ — สังคมจะเดินไปทางใด?

เลิกบ่อน: การปฏิรูปครั้งใหญ่ในยุครัชกาลที่ 5

หลังเสด็จกลับจากยุโรป รัชกาลที่ 5 ทรงตัดสินใจเลิกบ่อนเบี้ยทั่วราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2460 โดยมีการสำรวจพบว่า หลังเลิกบ่อนแล้ว อาชญากรรมลดลง วิวาทในครอบครัวลดลง และการค้าขายกลับดีขึ้น

จากพระราชดำรัส...สู่คำถามในยุคปัจจุบัน

บทเรียนจากอดีตถูกบันทึกไว้ครบถ้วน ทว่าผ่านมาเพียงร้อยปี คำถามกลับหวนกลับมาอีกครั้งในรูปของ “คาสิโนถูกกฎหมาย” ที่ถูกเสนอเป็นนโยบายเพื่อหารายได้เข้ารัฐ

ใช่, รายได้จากคาสิโนอาจมหาศาล แต่หากไม่เข้าใจบทเรียนของ "ปี้โรงบ่อน" ไม่เข้าใจว่าทำไมรัชกาลที่ 5 จึงยอมเสียรายได้จำนวนมหาศาลเพื่อปิดบ่อน แล้วเราในวันนี้จะเดินหน้าไปโดยไม่สนใจร่องรอยจากอดีตเลยหรือ?

บทสรุป: การพนันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายในตัวเอง — หากควบคุมไม่ได้ มันก็กลายเป็นภัย

การพูดถึงปี้ในบ่อนเบี้ย หรือชื่อของผู้ที่เคยได้รับสัมปทาน ไม่ได้หมายถึงการประณามหรือรื้อฟื้นเพื่อลงโทษใครในประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นการย้ำเตือนว่า ระบบเศรษฐกิจใดก็ตามที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบความรับผิดชอบของรัฐ — ย่อมย้อนกลับมาทำลายสังคมในที่สุด

และไม่ว่าคาสิโนจะถูกเรียกด้วยถ้อยคำใหม่ว่า “รีสอร์ทครบวงจร” หรือ “เครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ” คำถามเดิมก็ยังตามมา :

เราแน่ใจหรือว่าได้วางรากฐานไว้ดีพอ…ก่อนจะอนุญาตให้คนทั้งประเทศเข้าไปเล่นด้วยกัน?

บรรณานุกรม
1. ธัชพงศ์ พัตรสงวน. “ปี้ในบ่อนเบี้ยหัวเมือง.” กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร. สืบค้นเมื่อ 2565.
2. เฉลิม ยงบุญเกิด. ปี้โรงบ่อน. พระนคร: ศิวพร, 2514.
3. Kom Chad Luek. “เปิดตำนานตระกูลชินวัตร.” คมชัดลึกออนไลน์, 2566.
4. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 8, ตอนที่ 40. “ข้อบังคับสำหรับนายอากรบ่อนเบี้ย.” 3 มกราคม ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434).
5. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 17 ตำนานเรื่องเลิกหวยแลบ่อนเบี้ยในกรุงสยาม. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2463.
6. เอกสารจดหมายเหตุแห่งชาติ. “บ่อนเบี้ยมณฑลฝ่ายเหนือ.” กรมราชเลขาธิการ ร.5 ค 14.1 ค/2.

‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ สวนกลับ สก.พรรคเส้นด้าย ปมพูดแรงบอกคนในพื้นที่ตึกถล่ม “เสียชีวิตหมดแล้ว” ลั่นยังมีความหวังเสมอ

เมื่อวันที่ (2 เม.ย. 68) ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง ได้มีการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สอง (ครั้งที่ 1) ประจำปี โดยมีวาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่กำลังทวีความรุนแรง

ระหว่างการประชุม นายพีรพล กนกวลัย สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตพญาไท พรรคเส้นด้าย ได้ตั้งกระทู้ถามสดถึงการเตรียมการรับมือของกรุงเทพมหานคร โดยระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 มีนาคม 2568 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมกว่า 160,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง

“ทุกคนเป็นคนไทย ต้องดูแลทุกคนให้ได้รับวัคซีนครบถ้วน กลุ่มที่มีรายได้สามารถฉีดวัคซีนเองในราคา 600 – 1,200 บาท แต่ยังมีกลุ่มคนยากจนที่เสี่ยงสูงมาก จึงอยากทราบว่ากรุงเทพมหานครมีแผนช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร” นายพีรพล กล่าว

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้มอบหมายให้ น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโรค และแนวทางแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการอภิปราย นายพีรพลได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ท่านต้องดูแลประชาชนให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ตั้งศูนย์สาธารณสุขแล้วรอให้ประชาชนเดินทางไปหาเอง กลุ่มเสี่ยงเป็นคนไทย ต้องดูแลให้ได้รับวัคซีนก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต”

คำพูดดังกล่าวทำให้ นายชัชชาติ ลุกขึ้นตอบกลับว่า “ขอความกรุณาอย่าใช้คำว่า ‘เสียชีวิตหมดแล้ว’ เพราะยังมีความหวัง ขอให้เชื่อว่าเรายังมีโอกาสช่วยเหลือผู้ป่วยและป้องกันการสูญเสีย ขออย่าใช้คำที่ทำให้หมดกำลังใจ เพราะญาติของผู้ป่วยยังมีความหวัง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top