Monday, 23 June 2025
Hard News Team

อาจารย์ - ลูกศิษย์ ‘วิศวะบางมด’ ลงพื้นที่รอบมหาวิทยาลัย ผนึกกำลังนำวิชาชีพรับใช้สังคม พร้อมเรียนรู้งานจากสถานการณ์จริง

เมื่อวันที่ (3 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก Faculty of Engineering,KMUTT ของ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โพสต์ข้อความว่า...

บ้านสวนธน พุทธบูชา 47
⚙️คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี #วิศวะบางมด ตรวจสอบความมั่นคงอาคารหลังเหตุแผ่นดินไหว

ทีมคณาจารย์และนักศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. #ทีมวิศวกรมดอาสา มจธ. และพันธมิตร ได้เร่งดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารความมั่นคงของอาคาร

ทีมตรวจสอบ นำโดย:
1. รศ. ดร.ชัยณรงค์ อธิสกุล
2. ดร.กสาน จันทร์โต
3. ณัฐวัฒน์ มหาสุวรรณชัย (พาสเวิร์ด)
4. รวิวาร เอกอินทุมาศ (เกรส)
5. โฆษิต จริยาทัศน์กร (หนึ่ง)
6. ธิปก กิจกอบสิน (หนึ่ง)
7. พัฒนา อุ่นยิ่งเจริญ (นิค)
8. กฤษณ์ เอื้อสุนทรพานิช (กิต)
9. Leangheng Chea (Heng)
10. สหัสวรรษ วัยนิพิฐพงษ์ (เชน)
11. ปองชัย ศรีแสงทอง (เปา)

วิศวกรอาสา จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. #วิศวะบางมด 
ตรวจสอบในเขตรอบมหาวิทยาลัย
สอบถามรายละเอียดและติดต่อทีมได้ที่:
• 02-470-9016 / 061-357-4755

คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. โทร 02-470-9017
Faculty of Engineering, KMUTT
Website: https://eng.kmutt.ac.th/
Instagram: https://www.instagram.com/engineeringkmutt/
Facebook: https://www.facebook.com/eng.kmutt
TikTok: https://www.tiktok.com/@engineeringkmutt

พพ. แจงภารกิจคืนพื้นที่เกาะร้อยไร่สำเร็จ – ไร้ผู้บุกรุกแล้ว เร่งเดินหน้าฟื้นฟู พร้อมปิดพื้นที่ทางเข้าถาวรกันบุกรุกซ้ำ

พพ.แจงภารกิจคืนพื้นที่เกาะร้อยไร่สำเร็จ! ไม่มีผู้บุกรุกเหลืออยู่ในพื้นที่อีกต่อไป  ประกาศปิดพื้นที่เด็ดขาด ห้ามบุกรุกซ้ำ เดินหน้าฟื้นฟูเขื่อนคิรีธารสู่การจัดการน้ำและพลังงานอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ (3 เม.ย. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะทำงานติดตามการบุกรุกพื้นที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธาร ณ ห้องประชุมตากสิน ศาลากลางจังหวัดจันทบุรี โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อหารือสถานการณ์การคืนพื้นที่ 'เกาะร้อยไร่' และแนวทางควบคุมการใช้พื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำอย่างเข้มงวด และภายหลังการประชุม ดร.หิมาลัยพร้อมคณะได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพจริงทั้งทางบกและทางน้ำ ณ เขื่อนคิรีธารและเกาะร้อยไร่ พร้อมดำเนินการ 'ปิดพื้นที่ทางเข้าเกาะร้อยไร่ถาวร' เพื่อไม่ให้มีการกลับเข้าบุกรุกซ้ำ

ดร.หิมาลัยให้สัมภาษณ์ว่า ภายหลังครบกำหนด 30 วันที่ให้โอกาสแก่ผู้บุกรุกตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะนี้ไม่มีผู้บุกรุกหลงเหลืออยู่ในพื้นที่เกาะร้อยไร่อีกต่อไป โดยราษฎรที่เคยใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้ดำเนินการรื้อถอนระบบน้ำและสิ่งปลูกสร้างออกทั้งหมด เหลือเพียงต้นทุเรียนและต้นกล้วยบางส่วนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการต่อ “เราให้โอกาสแล้ว ให้เวลาแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาต้องเดินหน้า หากใครยังฝ่าฝืน จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซาก ขอประกาศว่า พื้นที่เกาะร้อยไร่ถือเป็นเขตควบคุม ห้ามเข้ายึดครองหรือใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกต่อไป” 

พร้อมกันนี้ยังขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้อยู่ภายใต้กฎหมาย และเคารพพื้นที่ของทางราชการ “เราต้องการให้การจัดการทรัพยากรน้ำและพลังงานของประเทศดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ ขอความกรุณาอย่าบุกรุกพื้นที่ของรัฐ เพราะหากยังมีผู้ฝ่าฝืน พพ. ก็จำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ”

ด้าน นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า พพ.ได้ติดตั้งป้ายห้ามเข้าพื้นที่ในบริเวณที่ยึดคืนอย่างชัดเจน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ตรวจสอบร่วมกับชุมชนทั้งทางบกและทางน้ำอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเตรียมใช้โดรนบินสำรวจและกำหนดมาตรการตรวจการประจำเดือนเพื่อเฝ้าระวังการบุกรุกซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนพื้นที่อื่นภายในเขตโครงการ พบว่ายังมีการบุกรุกบนเกาะต่าง ๆ จำนวน 7 เกาะ รวมพื้นที่กว่า 164 ไร่ และบริเวณป่าสงวนอื่น ๆ อีกกว่า 225 ไร่ โดยได้ติดประกาศขอคืนพื้นที่ใหม่เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 20 เมษายน 2568 หากยังไม่มีการออกจากพื้นที่ พพ. จะดำเนินการแจ้งกรมป่าไม้เพื่อดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด  

สำหรับกรณีพื้นที่ทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) จำนวน 48 ไร่ 31 ตารางวา ครอบคลุม 54 แปลง พพ.ได้ส่งหนังสือถึง ส.ป.ก. เพื่อขอให้เพิกถอนสิทธิในแปลงที่ทับซ้อน และจัดทำแนวเขตใหม่โดยเร่งด่วน ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการรังวัดกันเขตแล้ว 44 แปลง

นอกจากนี้ พพ. ยังอยู่ระหว่างแผนพัฒนาฟื้นฟูพื้นที่เขื่อนคิรีธาร อาทิ การปรับปรุงสวนสาธารณะพื้นที่ 27 ไร่ การออกแบบภูมิทัศน์บริเวณพลับพลาที่ประทับ พร้อมขอจัดงบประมาณปี 2570 จัดทำรั้วรอบเขื่อน เสริมคันดิน และถนนภายในพื้นที่โครงการ ระยะปี 2571–2574 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำและการผลิตไฟฟ้า

รัสเซียบอกชัด ‘ไม่เคยขอ’ สหรัฐยกเลิกคว่ำบาตร โชว์ GDP พุ่งสวนทางยุโรป

(4 เม.ย. 68) คิริลล์ ดมิทรีเยฟ ผู้อำนวยการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซีย (Russian National Wealth Fund) ออกมาให้สัมภาษณ์กับ ฟิล แมททิงลีย์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ CNN เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยกล่าวถึงท่าทีของรัสเซียในการประชุมหารือร่วมกับตัวแทนจากสหรัฐอเมริกา พร้อมยืนยันหนักแน่นว่า รัสเซียไม่เคยร้องขอให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร

“เราไม่ได้ต้องการการผ่อนปรนจากสหรัฐฯ เพราะประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่า มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกเป็นปัจจัยเร่งให้ประเทศของเราปรับตัว และหันกลับมาพึ่งพาตนเองอย่างจริงจังมากขึ้น” ผู้อำนวยการฯ กล่าว

เขายังเสริมว่า ผลลัพธ์ของการปรับตัวดังกล่าวสามารถเห็นได้ชัดจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา โดย จีดีพีของรัสเซียเติบโตสูงถึง 4% ในขณะที่ ยุโรปเติบโตเพียง 1% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจรัสเซียสามารถยืนหยัดและพัฒนาได้แม้อยู่ภายใต้แรงกดดันระหว่างประเทศ

แหล่งข่าวจากฝั่งรัสเซียยังเปิดเผยว่า ในการหารือกับคณะตัวแทนสหรัฐฯ ฝ่ายรัสเซียให้ความสำคัญกับประเด็นความร่วมมือในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น เสถียรภาพพลังงาน ความมั่นคงทางอาหาร และการพัฒนานวัตกรรมในอนาคต มากกว่าจะโฟกัสที่ประเด็นคว่ำบาตร

การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกยังคงตึงเครียด ขณะที่หลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่ามาตรการคว่ำบาตรชุดต่อไปจากฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ จะมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างไร

แม้จะยังไม่มีท่าทีผ่อนคลายจากทั้งสองฝ่าย แต่สัญญาณจากฝั่งรัสเซียครั้งนี้นับเป็นการส่งสารที่ชัดเจนว่า “การพึ่งพาตนเอง” อาจกลายเป็นหัวใจหลักของนโยบายเศรษฐกิจในยุคหลังการเผชิญหน้ากับโลกตะวันตก

เปิดรับสมัครแล้ว! DAD NIDA รุ่นที่ 10 หลักสูตรพัฒนาผู้นำยุคใหม่ ตอบโจทย์การพัฒนาศักยภาพด้านบริหาร - สร้างคอนเนคชันทางธุรกิจ

(4 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘DAD NIDA’ เพจประชาสัมพันธ์หลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD) จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนสมัครเรียนโครงการ DAD NIDA รุ่นที่ 10 ระบุว่า…

ถ้าคุณกำลังมองหาหลักสูตรผู้บริหารที่ช่วยยกระดับศักยภาพและเครือข่าย DAD NIDA รุ่นที่ 10 คือคำตอบ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ การันตีคุณภาพโดย NIDA

Key Highlights ที่คุณไม่ควรพลาด  
New Activities
Speed Networking – ขยายคอนเนคชันทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว
DAD Executive Networking Night – สร้างเครือข่ายกับผู้บริหารระดับแนวหน้า
Executive Learning Circles (elcs) – แลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์แบบเข้มข้น
DAD Site Visit – เรียนรู้จากองค์กรชั้นนำผ่านการเยี่ยมชมสถานที่จริง

New Curriculum องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาผู้นำยุคใหม่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ อัปเดตเทรนด์ดิจิทัลสำคัญ พัฒนา soft skill ด้านภาวะผู้นำในยุคดิจิทัล

หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร
ภาคเอกชน – ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ ข้าราชการและองค์กรภาครัฐ – ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการทูต ข้าราชการตำรวจ นายทหาร และผู้บริหารในองค์กรภาครัฐ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสื่อและสังคม – สื่อมวลชน ศิลปิน ดารา พิธีกร ผู้บริหารภาคประชาสังคม มูลนิธิ ngos สมาคม ก้าวสู่การเป็นผู้นำยุคดิจิทัลกับหลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD) ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนา

ผู้บริหารและผู้นำแห่งอนาคต  
สมัครได้แล้ววันนี้ - 30 เมษายน 2568
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.dadnida.com
ลงทะเบียน https://forms.gle/roAqiV7U1p4oCdSa9
สอบถามเพิ่มเติม โทร. 092-728-6722

ผู้ช่วย รมว. กระทรวง อว.ลงพื้นที่การดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ผลักตันการท่องเที่ยวจากเมืองรองสู่เมืองหลักเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี

นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ลงพื้นที่การดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคกลาง-ตะวันตกประตูสู่ทวาย และการนำ อววน.สู่การพัฒนาท้องถิ่น

การผลักตันการท่องเที่ยวจากเมืองรองสู่เมืองหลักเขตเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี และยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ระหว่างวันที่ 3 - 4 เมษายน 2568 ณ จังหวัดกาญจนบุรี

วันที่ 4 เมษายน 2568 ณ จังหวัดกาญจนบุรี นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่การดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี โดยมีว่าที่ร้อยตรีศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี   ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พจนีย์ สุขชาวนา  อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี  พร้อมด้วย ผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิจัย คณาจารย์ นักศึกษา พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาญจนบุรี และสื่อมวลชน 

ว่าที่ร้อยตรี ศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า จังหวัดกาญจนบุรี ขึ้นชื่อว่า “กาญจนบุรี เมืองแห่งความสุข” เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทั้งทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิต ซึ่งมีศักยภาพอย่างยิ่งในการพัฒนาและต่อยอดด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในทุกมิติ

การที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่จริง เพื่อรับฟังความคิดเห็น และสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในระดับจังหวัด ถือเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จังหวัดกาญจนบุรีพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมืออย่างเต็มที่ กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการบูรณาการกับหน่วยงานด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม และสร้างคุณค่าต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พจนีย์ สุขชาวนา  อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี กล่าวถึง นโยบายตามยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนว่า  มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี อว.ส่วนหน้าจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนโยบายของกระทรวงในการพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพสูง สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายในศตวรรษที่ 21 ในยุคปัจจุบัน และร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนท้องถิ่นในทุกมิติ 

บทบาทและพันธกิจสำคัญของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี คือการเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาท้องถิ่น โดยให้บริการทางวิชาการ วิจัย และนวัตกรรม   ที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง มหาวิทยาลัยจึงได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างองค์ความรู้ เสริมสร้างศักยภาพของชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

ในการนี้ มหาวิทยาลัยฯ ได้ดำเนินกิจกรรมตามยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การถ่ายทอดองค์ความรู้ การอบรมพัฒนาทักษะอาชีพ การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน การสนับสนุนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ
     
ในโอกาสนี้ตัวแทนนักศึกษาและอาจารย์ ได้แสดงความเห็นแลกเปลี่ยนการขับเคลื่อนงานด้าน อววน.

นายเรวัฒน์  ตัวแทนนักศึกษาวิศวกรสังคม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม  กล่าวว่า ผมเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดอบรมน้องๆ และนำทีมน้องๆ ลงพื้นที่ ในการนำเครื่องมือของวิศวกรสังคม เริ่มตั้งแต่กระบวนการสำรวจความต้องการของชุมชน และขณะนี้ผมได้ดำเนินกิจกรรมพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุ ตำบลหนองโรง อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี โดยดำเนินการไปแล้ว 6 กิจกรรม เน้นในเรื่องการบริหารจัดการขยะให้มีมูลค่า การดำเนินงานผ่านไปด้วยดี แต่ยังมีบางส่วนที่ต้องการได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น หน่วยงานที่เข้ามาหนุนเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ต้องการให้มีกิจกรรมและมีการรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมทั้งด้านพัฒนาศักยภาพ ทั้งด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไป 

นายโรจนฤทธิ์ สิริล้อสกุลเพชร  คณะวิทยาการจัดการ กล่าว ทาง อว. มีนโยบายหรือโครงการใดบ้างที่สนับสนุนนักศึกษาหรือบัณฑิตที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง โดยเฉพาะในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การให้คำปรึกษา และการสร้างเครือข่าย

ตัวแทนอาจารย์  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ว่าที่ ร.ต.ดร.นพรัตน์ ไชยชนะ รองคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ประเด็นคำถามถึง อว. เพื่อสะท้อนจากมุมพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี พื้นที่ชายแดนและกลุ่มชาติพันธุ์ในกาญจนบุรีมีลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ค่อนข้างมาก อว. มีแนวทางในการสนับสนุนการขับเคลื่อนงาน อววน. อย่างไรให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์และพื้นที่ชายแดน เช่น การสนับสนุนเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพคนในพื้นที่

อาจารย์จักษุมาลย์ วงษ์ท้าว อาจารย์สาขาวิชานวัตกรรมสังคมเพื่อการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ กลไกขับเคลื่อนสำคัญในกระบวนการ Soft Power ของ อววน. โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนทุนวิจัยแก่สถาบันอุดมศึกษา ในปี 2569 และในอนาคตเป็นอย่างไร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์คมสัน ศรีบุญเรือง อาจารย์สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ งานวิจัยบางงาน เช่น งานการขับเคลื่อนนโยบายจากผลงานวิจัย มีโอกาสหรือไม่ที่จะได้รับการสนับสนุนในระยะเวลาต่อเนื่อง เหมือนมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ จะมีโครงการศึกษาเบื้องต้น การพัฒนาเครื่องในปีแรก ปีที่ 2 ประยุกต์ใช้/ออกแบบนวัตกรรมในพื้นที่จริง 3. การใช้และประเมินผลกระทบในพื้นที่ เพื่อนำมาสู่การต่อยอดสู่นโยบาย ที่สามารถบูรณาการเป็นนโยบายของหน่วยงานจังหวัดได้ เช่น การท่องเที่ยวผ่านผัสสะเมืองเก่ากาญจนบุรี/ การขับเคลื่อนพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองท่องเที่ยว เป็นต้น เนื่องจากงบประมาณที่ได้มาจะเป็นปีต่อปี ทำให้ขาดความต่อเนื่องสานต่อ

สำหรับผลงานคณะฯที่ออกบูธนำเสนอผลการดำเนินงาน 
1.คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี น้ำมันไพลชาววัง , ยาดม , ยาหม่อง , สปาแช่เท้า : วิสาหกิจชุมชนวังขนายเฮิร์บ น้ำพริกกล้วยกรอบสมุนไพร , กล้วยแท่งกรุบกรอบ : วิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาหารบ้านหินแหลม

2.คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ผลิตภัณฑ์จากชุมชนบ้านหนองบาง ตำบลลิ่นถิ่น อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย โครงการ “การจัดการทุนวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนตำบลท่าขนุน 
อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี” (บพท.) ผลิตภัณฑ์ชุมชนวิถีลาวเวียง บ้านดอนคา ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

3.คณะวิทยาการจัดการ ผลิตภัณฑ์มะนาวดอง / มะนาวแช่อิ่ม / มัลเบอร์รี่และมะขามป้อมกวน : วิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรสวนมาลี ผลิตภัณฑ์ไวน์อ้อย น้ำตาลอ้อยแท้ 100% : วิสาหกิจชุมชนแปรรูปอ้อยตำบลหนองตากยา

4.คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ไม้ทำมือคนพิการ : วิสาหกิจชุมชนกลุ่มไม้ทำมือคนพิการ ตำบลจรเข้เผือก ผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยง ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

5.คณะครุศาสตร์Edu-Care-Play 

นอกจากนี้ มีการแสดงต้อนรับ “ระบำศรีชัยสิงห์”
เป็นระบำโบราณคดีที่วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร ได้สร้างสรรค์ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่จากจินตนาการศิลปกรรมภาพจำหลัก ซึ่งภาพจำหลักนี้ ได้ลอกเลียนแบบมาจากปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นโบราณสถานที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ดัดแปลงมาจากท่ารำของนางอัปสรบายน ในสมัยขอมบายน มาเป็นหมู่ระบำนางอัปสรฟ้อนรำถวายพระนางปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นพระมารดาแห่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

แสดงโดย นักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี อำนวยการฝึกซ้อมโดย  ผศ.ดร.พจนีย์ สุขชาวนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และ 
อาจารย์นนท์วริศ เกียรติศรุตสกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ฝึกซ้อมการแสดงโดย อาจารย์ธนพล สามทองกล่ำ อาจารย์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี

‘ป่าฮาลาบาลา’ ผืนป่าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ตำนานแห่งอาถรรพ์ลี้ลับปลายด้ามขวานไทย

ในเวลานี้ผืนป่าดงดิบที่โด่งดังขึ้นมาและอยู่ในกระแสความสนใจของผู้คนคงไม่มีอะไรเกินไปกว่าผืนป่าดิบชื้นผืนสุดท้ายแห่งปลายด้ามขวาน “ฮาลาบาลา” อีกแล้ว

ป่าฮาลาบาลา เป็นผืนป่าฝนเขตร้อนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดผืนหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดนราธิวาสป่าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลาครอบคลุมพื้นที่อำเภอแว้งและอำเภอสุคิริน  

ป่าฮาลาบาลามีความสำคัญต่อระบบนิเวศหลายด้านเช่น 
1 มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้หายากและสัตว์ป่ามากมาย จนได้รับอีกสมญานามหนึ่งว่า 'ป่าอเมซอนแห่งเอเชีย' 

2 มีนกเงือกอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ถึง 10สายพันธุ์จากทั้งหมด 13 สายพันธุ์ที่พบในประเทศไทย

3 เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น กระซู่ หรือแร่ดสุมาตราที่เคยมีรายงานการพบในอดีต สมเสร็จ เสือดำ เสือโคร่ง และเก้งหม้อ  

4 เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและจุดชมวิวที่น่าสนใจ เช่นจุดชมวิวทะเลหมอกผาฆูมิงที่สามารถชมทะเลหมอกและวิวภูเขาสลับซับซ้อนอันสวยงาม, เขื่อนบางลาง สามารถล่องเรือชมธรรมชาติที่สวยงามของอ่างเก็บน้ำได้, น้ำตกสิรินธร เป็นน้ำตกที่สวยงามท่ามกลางป่าดิบ  

ป่าฮาลาบาลา ได้รับสมญานามว่า “แดนสวรรค์แห่งสุดท้ายของไทย” เนื่องจากมีธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์และเงียบสงบ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและการผจญภัย  

ป่าฮาลาบาลาไม่เพียงแต่มีความสำคัญทางธรรมชาติ แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่า ตำนาน และความเชื่อเกี่ยวกับ อาถรรพ์และ สิ่งลี้ลับมากมายที่ทำให้ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่ากลัวไปพร้อมกัน  

ตำนานลี้ลับแห่งป่าฮาลาบาลา

1 เมืองลับแลแห่งฮาลาบาลา
มีเรื่องเล่าว่า ลึกเข้าไปในป่าฮาลาบาลามีเมืองลับแลซ่อนอยู่ เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้คนโบราณที่ไม่ปรากฏในโลกภายนอก ว่ากันว่าผู้ที่เดินทางเข้าป่าโดยไม่เคารพสถานที่ หรือหลงเข้าไปในบางเส้นทาง อาจพบกับเมืองลับแลนี้โดยบังเอิญ แต่จะไม่มีทางกลับออกมาได้  นักเดินป่าหลายคนเล่าว่า บางครั้งพวกเขารู้สึกเหมือนมีคนมอง หรือได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ แต่เมื่อหันไปกลับไม่พบใคร ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นชาวเมืองลับแลกำลังเฝ้ามองอยู่  

2 ผีบังบดและภูตป่าฮาลาบาลา
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าฮาลาบาลาเชื่อว่าในป่ามี วิญญาณเฝ้าป่าหรือที่เรียกว่า ผีบังบดซึ่งเป็นดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในป่าหรือวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขา หากมีคนบุกรุกโดยไม่ขออนุญาต หรือทำลายธรรมชาติ ผีบังบดอาจแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็น เช่น ทำให้หลงป่า แม้จะเดินทางบนเส้นทางเดิมก็หาทางออกไม่เจอ  บางคนที่รอดกลับมาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาเห็นหมู่บ้านหรือบ้านเรือนกลางป่า แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับหายวับไปทันที เหมือนเป็น ภาพลวงตาของภูตผีในป่า

3 อาถรรพ์นกเงือก นกศักดิ์สิทธิ์แห่งฮาลาบาลา
นกเงือกถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของป่าฮาลาบาลา และมีความเชื่อกันว่า นกเงือกเป็นดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่คอยเฝ้าดูแลผืนป่า ชาวบ้านบางคนเชื่อว่าหากใครฆ่านกเงือก จะต้องเผชิญกับเคราะห์ร้าย หรือ อาจพบกับวิญญาณของนกเงือกที่จะมาเอาคืนในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ล้มป่วย หรือหลงป่าแบบไร้เหตุผล  

4 คำสาปแห่งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
มีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นในป่าฮาลาบาลาที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิต บางต้นมีผ้าสีผูกไว้เป็นการบูชา แต่ก็มีคนเล่าว่าหากมีใครไปลบหลู่ หรือพยายามตัดต้นไม้เหล่านี้ อาจพบกับเคราะห์กรรมหนัก เช่น ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง หรือเกิดเรื่องลึกลับจนต้องรีบออกจากป่า หนึ่งในต้นไม้ที่มีเรื่องเล่าขานมากคือ “ต้นไม้ร้องไห้" ว่ากันว่าบางคืนต้นไม้บางต้นในป่าฮาลาบาลาจะส่งเสียงเหมือนเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ไม่มีใครรู้ว่าเสียงนั้นมาจากอะไร แต่บางคนเชื่อว่าเป็น เสียงของวิญญาณที่สิงอยู่ในต้นไม้

5 ทหารผีแห่งฮาลาบาลา
เนื่องจากในอดีต พื้นที่นี้เคยเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบและเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเกี่ยวกับกลุ่มกองกำลังบางกลุ่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หลายคนที่เข้าไปในป่าลึกในเวลากลางคืน เคยเห็นเงาลางๆ ของชายในชุดทหารเดินอยู่ตามเส้นทางหรือบางครั้งได้ยินเสียงปืนและเสียงฝีเท้า แต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่พบใคร  นักเดินป่าบางคนเล่าว่า มีทหารลึกลับโบกมือเรียกให้เดินไปตามเส้นทางบางสายและถ้าหลงเชื่อตามไป อาจพบว่าตัวเองหาทางกลับออกมาไม่ได้  

6 เรื่องเล่าของพรานป่าและการหายตัวไปอย่างลึกลับ
มีเรื่องเล่าว่าพรานป่าบางคนที่เข้าไปล่าสัตว์ในป่าฮาลาบาลา หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยบางครั้งพบอุปกรณ์ล่าสัตว์หรือแคมป์ที่ถูกทิ้งร้าง แต่ไม่พบร่างของพวกเขา บางคนเชื่อว่าพวกเขาถูก "เจ้าป่า" หรือ "ผีป่า" พาไป ไม่สามารถกลับออกมาได้  นักเดินป่าบางคนเคยพบ “รอยเท้าปริศนา” ที่มีเพียงรอยเข้าไป แต่ไม่มีรอยเดินกลับออกมา ทำให้เกิดความเชื่อว่าอาจมี "ประตูมิติ" หรือ "พลังลี้ลับ" ที่ซ่อนอยู่ในป่า  

อย่างไรก็ดี แม้ว่าป่าฮาลาบาลาจะเต็มไปด้วยเรื่องเล่าลึกลับมากมาย แต่หนึ่งในตำนานที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านและพรานป่าที่เคยเข้าไปลึกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ และยังคงเป็นปริศนาเกี่ยวกับสิ่งที่อาจซ่อนอยู่ในป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้  ก็คือตำนานมนุษย์กินคนในป่าฮาลาบาลา

มีเรื่องเล่าว่าลึกเข้าไปในป่าฮาลาบาลา อาจมี กลุ่มชนลึกลับที่แยกตัวจากโลกภายนอกพวกเขาอาศัยอยู่ในป่าลึก ไม่คบหากับคนนอก และมีกฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป  

บางเรื่องเล่ากล่าวว่ากลุ่มคนเหล่านี้อาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่ตกทอดมาจากอดีต หรืออาจเป็นกลุ่มนักโทษหรือกบฏที่หนีเข้าไปซ่อนตัวในป่าและอยู่รอดได้ด้วยการล่าสัตว์และการใช้ชีวิตแบบดึกดำบรรพ์ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาถูกเล่าขานอย่างน่ากลัวก็คือ พฤติกรรมกินเนื้อมนุษย์ และนำเอามนุษย์ที่ล่าได้ไปบูชายันแก่ดวงวิญญาณหรือภูตผีปีศาจที่เป็นที่เคารพนับถือของชนเผ่า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานเกี่ยวกับ นักเดินป่า พราน หรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่เข้าไปในป่าฮาลาบาลาแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บางกรณีพบอุปกรณ์ของพวกเขาถูกทิ้งไว้ แต่ไม่มีร่างของพวกเขา บางคนที่โชคดีรอดออกมาได้ เล่าว่าพวกเขาเห็นเงาตะคุ่มของมนุษย์ที่ไม่ใช่คนทั่วไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้  พรานป่าบางคนเล่าว่า พวกเขาเคยเจอ ซากศพของคนที่หายไป แต่ร่างกายถูกกินไปบางส่วน ลักษณะของบาดแผลไม่ใช่การถูกสัตว์ป่าทำร้าย แต่เหมือนถูกตัดหรือกัดด้วยฟันของมนุษย์ นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ที่ทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับมนุษย์กินคนในป่าฮาลาบาลา  

แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะถูกเล่าต่อกันมาและไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่การหายตัวไปของผู้คนในป่าฮาลาบาลานั้นเป็นเรื่องที่ได้มีการบันทึกไว้จริง แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานบวกกับความทรงจำอันพร่าเลือนของผู้คน ทำให้ตำนานความลี้ลับและเรื่องเล่าแห่งอาถรรพ์ของป่าฮาลาบาลายังคงความขลังและขนหัวลุกแก่ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงและเหล่านักเดินป่ามาจนถึงในปัจจุบัน

อินเดียรื้อสอบบริษัทโยง ‘จอร์จ โซรอส’ เอี่ยวรับทุนอเมริกา (USAID) กว่า 80 ล้านรูปี

(4 เม.ย. 68) คณะกรรมการบังคับใช้กฎหมายของอินเดีย (Enforcement Directorate – ED) อยู่ระหว่างการสอบสวนเชิงลึกเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของบริษัทแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับมหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังระดับโลก “จอร์จ โซรอส” หลังพบว่าบริษัทดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) เป็นจำนวนกว่า 80 ล้านรูปี หรือราว 32 ล้านบาทไทย ในช่วงปีงบประมาณ 2022-2023

แหล่งข่าวจาก ED เปิดเผยว่าบริษัทดังกล่าวอธิบายว่า มีการคืนเงิน 80 รูปี สำหรับบริการที่ให้แก่กลุ่มงานวิจัยในเดลีที่มีชื่อว่า Council on Energy Environment and Water (CEEW) อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ต่อ HT.com CEEW ปฏิเสธว่าไม่มีการเชื่อมโยงไปยัง George Soros หรือ Open Society Foundations

“CEEW ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจอร์จ โซรอส หรือมูลนิธิโอเพ่นโซไซตี้ ASAR Social Impact Advisors ได้รับการว่าจ้างจาก CEEW เพื่อให้บริการเฉพาะสำหรับโครงการ USAID ที่เกี่ยวข้องกับอากาศที่สะอาดขึ้น โครงการนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว CEEW ไม่มีความสัมพันธ์กับ ASAR ในขณะนี้ CEEW ไม่ได้รับคำถามใดๆ จากหน่วยงานรัฐบาลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ASAR เราไม่มีเหตุผลและไม่มีพื้นฐานใดๆ ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสืบสวนที่กำลังดำเนินอยู่” CEEW กล่าว

เจ้าหน้าที่ ED ระบุว่า การสอบสวนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบว่าเงินทุนดังกล่าวถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้หรือไม่ และมีการละเมิดกฎหมายว่าด้วยเงินทุนต่างประเทศ (FCRA) หรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่อาจมีนัยทางการเมือง หรืออิทธิพลต่อความมั่นคงของประเทศ

สำหรับ จอร์จ โซรอส นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี เป็นนักวิเคราะห์ค่าเงิน นักลงทุนหุ้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Soros Fund Management และสถาบัน Open Society Institute ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมและการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั่วโลก เคยตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลอินเดียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทอยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

แม้ในเบื้องต้นยังไม่มีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการต่อบริษัทดังกล่าว แต่การสอบสวนของ ED ได้รับความสนใจจากสาธารณชนและสื่ออินเดียอย่างกว้างขวาง โดยมีการจับตาว่าเรื่องนี้อาจลุกลามไปสู่การทบทวนนโยบายเกี่ยวกับการรับเงินทุนจากต่างประเทศในวงกว้าง

โฆษกของ USAID ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ ขณะที่ตัวแทนของบริษัทที่อยู่ระหว่างการสอบสวนได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับทางการอินเดียอย่างเต็มที่ และยืนยันว่าเงินทุนทั้งหมดถูกนำไปใช้เพื่อ “โครงการด้านการพัฒนาและสาธารณประโยชน์” อย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

ทั้งนี้ การสอบสวนยังคงดำเนินอยู่ โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

นครพนม-รองเลขาธิการ ปปส. ตรวจเยี่ยมกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผน  ปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ในพื้นที่รับผิดชอบของ นบ.ยส.24

เมื่อวันที่ (3 เม.ย.68) เวลา 0930 น. ที่ห้องประชุมพระยอด กองบังคับการมณฑลทหารบกที่ 210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พันเอกศิวดล  ยาคล้าย ผู้อำนวยการส่วนอำนวยการ หน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้การต้อนรับ  นายศิริสุข ยืนหาญ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พร้อมคณะ ในการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผน  ปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน งบประมาณ 2568 ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) โดยมี โดย ผู้แทนสำนักยุทธศาสตร์, สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 4 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ จังหวัดนครพนม เข้าร่วมประชุม และวันที่ 2 เมษายน 2568 คณะผู้แทนสำนักยุทธศาสตร์ได้ลงพื้นที่ บ้านแสนพันท่า หมู่ที่ 4 ตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2109 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 บริเวณวัดศรีสะอาด บ้านเหล่านนาด ตำบลพนอม อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานในหมู่บ้าน/ชุมชน พื้นที่ชายแดน ตำบลท่าจำปา อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม 

โดยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน เพื่อมอบนโยบายในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจในการปฏิบัติงาน และสามารถเร่งรัดการดำเนินงานสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม​ ซึ่งหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการปฏิบัติที่สำคัญแต่ละมาตรการตั้งแต่ 1 ต.ค 67 ถึง ปัจจุบัน ประกอบไปด้วย มาตรการสกัดกั้น มาตรการปราบปราม มาตรการป้องกัน  มาตรการบำบัดรักษา มาตรการบูรณาการ มาตรการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย ตั้งแต่ห้วงเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51​ อำเภอชายแดน (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 68) หน่วยมีผลการปฏิบัติตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปราม ตามแนวชายแดน/ โดยทำการซุ่มเฝ้าตรวจ 6,540 ครั้ง, ลาดตระเวนทางน้ำ 64 ครั้ง, ลาดตระเวนทางบก 5,383 ครั้ง,จัดตั้งจุดตรวจด่านตรวจ 1,530 ครั้ง ทำการปิดล้อมตรวจค้น 47 ครั้ง /ติดตามจับกุม ขยายผล และยึดทรัพย์สิน คดียาเสพติด จำนวน 28 คดี รวมผลการตรวจยึดจับกุมตั้งแต่ห้วงเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 68) มีการตรวจยึดจับกุมจำนวน 216 ครั้ง/ ผู้ต้องหา 272 รายของกลาง ยาบ้า 26,970,802 เม็ด,ไอซ์ 1,216.336 กิโลกรัม, และอื่นๆ

ชาติ CLMV และไทย เผชิญแรงกดดันหนักสุด ท่ามกลางเจตนารมณ์ซ่อนเร้นของมหาอำนาจ

(4 เมษายน 2568) รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ วิเคราะห์ถึงหลักการคำนวณและขึ้นภาษีตอบโต้ไทย ถึง 37% ของสหรัฐฯ 

รศ.ดร.สมภพ มองว่า 10% คือภาษีนำเข้าสินค้าที่ไทยเก็บกับสหรัฐฯ แต่อีก 62% คือ 'ดุลพินิจ' ล้วน ๆ จากปัจจัย Non-Tariff หรือมาตรการที่ไม่เกี่ยวกับภาษีอากร  

“มันใช้อารมณ์ความรู้สึกเป็นตัวตั้งไม่น้อย มันนามธรรมสูงมาก จับต้องไม่ได้” แต่เขาก็ตั้งข้อสังเกตว่า ชาติ CLMV บวก ไทย โดนหนักสุด ทั้งที่ CLMV คือชาติยากจนอันดับต้น ๆ ของโลก คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา ยกเว้นเวียดนาม

“เพราะชาติเหล่านี้ใกล้ชิดกับจีนมาก นี่แหละเจตนารมย์ซ่อนเร้นจริง ๆ ที่เราต้องตีความให้ออก” รศ.ดร.สมภพ กล่าว

ท้ายสุด รศ.ดร.สมภพ ชี้ว่า ไทยมีเวลา 7 วันเพื่อเข้าเจรจาไกล่เกลี่ยกับสหรัฐฯ แต่คิดว่าไม่น่าจะพอ เนื่องจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่มีเจ้าหน้าที่เพียงหลักร้อย ไม่น่าจะรับมือนานาประเทศที่จะแห่กันเข้ามาขอเจรจา 

“แต่นี่แหละคือจุดเริ่มต้นการเจรจา” ที่ผู้เป่านกหวีดก็คือทรัมป์เอง

 'สว.อังกูร' ห่วงความปลอดภัยช่วงสงกรานต์ นำคณะอนุกรรมาธิการฯ ถกร่วมตำรวจทางหลวง เตรียมพร้อมรับมือลดอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ (3 เม.ย.68) ที่ห้องประชุม ชั้น 3 อาคาร 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวงพล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ประธานคณะอนุกรรมาธิการความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา นำคณะอนุกรรมาธิการ และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ เดินทางไปศึกษาดูงานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว และร่วมประชุมนำโดย พ.ต.อ.โอฬาร เอี่ยมประภาส รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง พ.ต.อ.สุขสวัสดิ์  คูสิทธิผล รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับภารกิจและมาตรการส่งเสริมความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 

โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง ได้จัดทำแผนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน  มีการตรวจสอบและเตรียมความพร้อมทางหลวงพิเศษ หมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) และถนนเส้นอื่นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 โดยตลอดเส้นทางที่เปิดให้ประชาชนใช้บริการจะต้องมีความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มความสามารถ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 

จากนั้นเข้าเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมสั่งการจราจร ของกองบังคับการตำรวจทางหลวง ณ ศูนย์สั่งการ 1193 ชั้น 4 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งมีกล้อง CCTV และศูนย์รับแจ้งเหตุ สายด่วน 1193 เพื่อความรวดเร็วในการแจ้งเหตุอุบัติเหตุ การจราจรติดขัด หรือเหตุด่วนเหตุร้ายบนทางด่วนและทางหลวง ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ได้เน้นย้ำการสร้างความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกเเก่นักท่องเที่ยว ซึ่งต้องเร่งการประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง เพื่อให้มีความสะดวกควบคู่ไปกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชนทุกคนในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 นี้

นอกจากนี้ ได้มีพิธีมอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมี พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนรับมอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ จำนวน 25,000 สิทธิ์ พร้อมหมวกนิรภัย มอบโดย นายสุวิรัช  พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก บริษัท เอไอเอ จำกัด เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top