Friday, 20 June 2025
Hard News Team

30 เมษายน พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทอดพระเนตรสุริยุปราคากับคณะทูตฝรั่งเศส ปูทางสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัยอยุธยา

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระโอรสของพระเจ้าปราสาททองและพระราชเทวี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 ของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยพระปรีชาสามารถและวิสัยทัศน์ที่ล้ำลึก ทั้งด้านการทหาร การทูต และการส่งเสริมวัฒนธรรมและวิทยาการ โดยเฉพาะการเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก ซึ่งในขณะนั้น ฝรั่งเศสเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับกรุงศรีอยุธยาอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาและการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงการสังเกตดาราศาสตร์ผ่านกล้องดูดาวที่พระองค์ทรงได้รับการช่วยเหลือจากคณะบาทหลวงฝรั่งเศส ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่พระองค์และข้าราชการไทย

โดยในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 เป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทย เนื่องจากในวันดังกล่าว สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่เกิดขึ้น ณ พระที่นั่งเย็น พระที่นั่งตำหนักกลางทะเลชุบศร เมืองลพบุรี โดยมีคณะบาทหลวงฝรั่งเศสและข้าราชบริพารฝ่ายไทยร่วมทอดพระเนตรด้วยกัน เหตุการณ์นี้ถือเป็นการแสดงออกถึงพระราชความสนใจในวิทยาการและการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ซึ่งพระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะนำความรู้จากตะวันตกมาปรับใช้ในการปกครองและพัฒนาประเทศไทยในด้านต่าง ๆ

การทอดพระเนตรสุริยุปราคาในครั้งนี้สะท้อนถึงความสนพระทัยของสมเด็จพระนารายณ์ในวิทยาการและความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ พระองค์ไม่เพียงแต่สนใจในเรื่องการทหารและการปกครองเท่านั้น แต่ยังทรงมีพระราชวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาอาณาจักรอยุธยาในด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคแห่งการเรียนรู้และเปิดรับความรู้จากต่างประเทศ

ในรัชสมัยของพระองค์ การทูตกับฝรั่งเศสมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการส่งคณะราชทูตไปยังฝรั่งเศสเพื่อสร้างความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ให้ความสำคัญกับการส่งคณะทูตและนักวิทยาศาสตร์มายังประเทศไทย การเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูตนี้นอกจากจะส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการทหารแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการเปิดประตูสู่วัฒนธรรมตะวันตกในประเทศไทยอีกด้วย

เหตุการณ์ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 เป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในฐานะพระมหากษัตริย์ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ทั้งในด้านการปกครอง การทหาร และการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการสนใจในดาราศาสตร์และการสังเกตการณ์สุริยุปราคา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในการพัฒนาประเทศผ่านการศึกษาความรู้จากต่างประเทศ การทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนี้จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความรู้ในวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเปิดรับนวัตกรรมและวิทยาการจากโลกภายนอก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอาณาจักรอยุธยาในหลายมิติ

'อดีตข้าราชการ กต.' เผยเหตุ 'ในหลวง-พระราชินี' ทรงขับเครื่องบินเยือน ‘ภูฏาน’ ด้วยพระองค์เอง

(29 เม.ย. 68) นายบุญญ์พัชรเกษม เสริมวัฒนากุล อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ผลิตสารคดีเทิดพระเกียรติ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก "Boonpachakasem Sermwatanarkul" ระบุว่า Why not? คำถามซ่อนความนัย ทำไมถึงต้องทรงขับเครื่องบินด้วยพระองค์เองล่ะ?

ทำไมไม่ให้นักบินประจำเครื่องบินพระที่นั่งขับเครื่องบินถวายเพื่อพระองค์ท่านจะได้พักพระวรกายก่อนทรงงานตามหมายเสด็จพระราชดำเนินเต็มทั้งวันและทุกวันในการเสด็จเยือน?

ทำไม ทำไม และทำไม ที่ไม่อาจนำคำถามสารพันและสารเลวมาโพสให้ย่ำยีหัวใจคนไทยที่กำลังเปี่ยมสุขและเต็มปิติในการเสด็จเยือนต่างประเทศเป็นทางการ หรือ State Visit เป็นครั้งแรกแห่งรัชสมัยที่ 10

ก่อนจะตอบตามความเข้าใจของข้าพเจ้าที่เฝ้าติดตามอ่าน รับฟังและรับชมข่าวพระราชสำนักผ่านหนังสือพิมพ์ ฟังประกาศทางวิทยุทรานซิสเตอร์ ผ่านหน้าจอทีวีขาวดำเลยจนมาเป็นทีวีสี ผ่านสื่อมวลชนทั้งหมดเหล่านี้คือรวมเวลาประสบการณ์ในการเป็นผู้รับข่าวสารราชสำนักมามากกว่า #ครึ่งศตวรรษ แล้วยิ่งได้ใช้เวลาร่ำเรียนฝึกปรืองานพิธีทางการทูตไทย #เกือบ2ทศวรรษ กับการทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ และ #กว่า1ทศวรรษ ในการตระเวนตะลุยเกือบทุกจังหวัดในทุกภูมิภาคและคนไทยในต่างประเทศเพื่อถ่ายทำถ่ายทอดหัวใจคนไทยทุกหมู่เหล่าผ่านสารคดีเฉลิมพระเกียรติ เพื่อจะแสดงยืนยันถึง #สัญญะของการตั้งใจมุ่งมั่น หรือ #มีเจตนาอย่างแน่วแน่ ที่จะมอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อแสดงความหมายที่ถ่องแท้ของคำว่า #มิตรภาพอันยิ่งใหญ่ ให้กับใครสักคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง

การทรงขับเครื่องบินเพื่อลงจอดหรือขึ้นบินบนสนามบินที่ได้ชื่อว่า เป็น #สนามบินที่หินที่สุดและยากที่สุดอันดับต้นของโลก แค่มีรับสั่งอย่างฉับพลันทันใดแล้วก็ทรงประทับที่นั่งและทรงขับเครื่องบินได้ทันทีกระนั้นหรือ

เปล่าเลย..ไปถามนักบินทุกคนไม่ว่านักบินไทยหรือต่างชาติ การจะบินลงสนามบินที่ภูฏานคงต้องซ้อมบินในห้องนักบินจำลองไม่รู้กี่สิบหรือร้อยชั่วโมงบิน ถึงจะชำนาญและมั่นใจพร้อมจะทำการบินได้จริง

พระองค์ท่านล่ะ..ก็คงต้องทรงงานไม่ต่างจากนักบินคนอื่นๆ คงทรงตระเตรียมเส้นทางการบิน ทรงซ้อมบิน ทรงวางแผนการบินมาอย่างดี ด้วยพระประสงค์ประการเดียว คือ ทรงให้การตั้งพระราชหฤทัยมุ่งมั่นในการบินของพระองค์ครั้งนี้เป็นเสมือน #ของขวัญพิเศษ เป็นประจักษ์หลักฐานแห่งมิตรภาพระหว่างทั้งสองประเทศ ระหว่างทั้งสองพระราชวงศ์และสัมพันธภาพของประชาชนชาวภูฏานและชาวไทย

#สัญญะ คือ #ความตั้งพระทัย ในครั้งนี้ ทุกคนทุกฝ่ายทุกดวงใจประจักษ์ตรงกันเที่ยงแท้แน่นอนว่า ทรงมุ่งมั่น ทรงกล้าหาญ และทรงตั้งพระทัยพระราชทานมอบความกล้าหาญของทั้งสองพระองค์นี้ฝากไว้บนดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัย บนแผ่นดินราชอาณาจักรภูฏานไปจนตราบนานแสนนาน

#ที่เราเห็นอาจเป็นเพียงเสี้ยว
#ที่เราไม่เห็นยังมีอื่นๆอีกมากมาย
#สิ่งสำคัญคือมิตรภาพงดงามตราบนาน

ขอพระราชทานพระราชานุญาต กราบถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคลบาทของทั้งสองบดินทร์ เพื่อปักปิ่นมิตรภาพไทยและภูฏานให้แน่นแฟ้น และเพื่อเป็นเช่นปิ่นหทัยบนกลางดวงใจพสกนิกรทั้งสองแผ่นดิน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า นายบุญญ์พัชรเกษม เสริมวัฒนากุล (ผู้ร้อยเรียงเรื่องราวแห่งสัญญะอันสง่างาม) 

‘บางจาก’ เดินหน้าขับเคลื่อนน่านฟ้าคาร์บอนต่ำ ตั้งหน่วยผลิต Neat SAF แบบ Stand Alone แห่งแรกในไทย

กลุ่มบริษัทบางจาก เปิดหน่วยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) ณ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง เป็นหน่วยผลิต Neat SAF 100% ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ (Stand Alone) แห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด บริษัทในกลุ่มบริษัทบางจาก ภายใต้ระบบที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวเพื่อความยั่งยืน จากผู้นำพลังงานทดแทนสู่ผู้บุกเบิกพลังงานแห่งอนาคต

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หน่วยผลิต SAF แห่งนี้เป็นหน่วยผลิต Neat SAF 100% แบบ Stand Alone แห่งแรกของประเทศไทยที่ดำเนินการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต ไปจนถึงการขนส่ง ภายใต้ระบบที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ISCC (International Sustainability and Carbon Certification) โดยมีกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 ล้านลิตรต่อวัน ใช้เทคโนโลยี HEFA (Hydroprocessed Esters and Fatty Acid) แปรรูปกรดไขมันหรือน้ำมันพืช เช่น น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ที่ผ่านการออกแบบและพัฒนาโดยความร่วมมือกับ 2 บริษัทชั้นนำของโลก คือ Desmet จากประเทศเบลเยี่ยม ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการปรับสภาพวัตถุดิบ (Pretreatment) และ UOP Honeywell จากสหรัฐอเมริกา ผู้นำด้านเทคโนโลยีแปรสภาพไฮโดรโปรเซสซิ่ง (Hydroprocessing) ทำให้กระบวนการผลิตสามารถควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดการวัตถุดิบ การปรับสภาพน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว การเติมไฮโดรเจน การปรับโครงสร้างโมเลกุล ไปจนถึงการกลั่นแยก (Fractionation) เพื่อให้ได้เชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเทียบเท่าน้ำมันอากาศยานตามมาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials) โดยมีผลิตภัณฑ์หลักคือ Neat SAF และผลิตภัณฑ์ร่วมเช่น Bio-LPG และ Bionaphtha ขณะนี้ หน่วยผลิต SAF อยู่ระหว่างการทดสอบสมรรถนะของโรงงาน (Plant Performance Test Run) 

จากข้อมูลขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ภาคการบินมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 492 ล้านตันต่อปี แม้จะใช้พลังงานเพียงร้อยละ 2.9 ของโลกเท่านั้น การพัฒนา SAF จึงเป็นหัวใจของแผนการลดคาร์บอนในระดับโลก สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากถึงร้อยละ 80 ซึ่งมากกว่าและคุ้มทุนกว่าเทคโนโลยีอื่น ๆ ในปัจจุบัน โดยหลายประเทศได้ออกมาตรการบังคับใช้ SAF (SAF Blending Mandate) ในเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานแล้ว เช่น สหภาพยุโรป (ร้อยละ 2 ในปี 2568 และร้อยละ 6 ในปี 2573) สหราชอาณาจักร (ร้อยละ 2 ในปี 2568 และร้อยละ 10 ในปี 2573) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 1 ในปี 2569 และร้อยละ 5 ในปี 2573) สำหรับประเทศไทย อยู่ระหว่างการพิจารณาการกำหนดมาตรการผสมดังกล่าว

นอกจากช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคการบินแล้ว SAF ยังช่วยลดมลพิษทางอากาศอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแทบไม่มีสารอะโรมาติกเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารนี้เป็นสารที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการกระตุ้นการเกิดโรคมะเร็ง และยังมีปริมาณสารซัลเฟอร์ต่ำมาก จึงช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ รวมถึงลดความเสี่ยงของการเกิดฝนกรดอีกด้วย

โครงการนี้สะท้อนความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานของกลุ่มบริษัทบางจาก ต่อยอดจากประสบการณ์กว่า 20 ปีในการพัฒนาพลังงานทดแทน เริ่มจากความร่วมมือกับกรมอู่ทหารเรือในปี 2543 ในการสร้างโรงงานผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว เพื่อใช้ในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา และนำร่องการผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลเป็นรายแรกในประเทศไทยในสถานีบริการน้ำมันบางจากเมื่อปี 2547 นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มโครงการรับซื้อน้ำมันพืชใช้แล้วจากชุมชนและเครือข่าย เพื่อนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลตั้งแต่ปี 2551 จนได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำด้านพลังงานทดแทนของประเทศ และพัฒนามาสู่ผู้บุกเบิกพลังงานแห่งอนาคตด้วยการผลิต Neat SAF ซึ่งให้ความสำคัญกับระบบความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการรับซื้อน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วผ่านโครงการ 'ทอดไม่ทิ้ง' ที่สถานีบริการบางจากกว่า 290 แห่งทั่วประเทศ และตั้งเป้าขยายเป็น 2,000 แห่งภายในสิ้นปี 2568 รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการจัดหาวัตถุดิบกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรภาคธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมรองรับระบบ Book & Claim ซึ่งเป็นแนวทางที่องค์กรระดับโลกใช้ในการสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงสะอาด เพื่อให้ผู้โดยสารและสายการบินสามารถร่วมสนับสนุนการลดคาร์บอนได้โดยตรง ผ่านการอ้างสิทธิ์การใช้ SAF ที่ผลิตขึ้นจริง พร้อมได้รับใบรับรองการลดคาร์บอน ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้อย่างเป็นรูปธรรม

ญี่ปุ่นเตือนแรง มาตรการภาษี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กำลังเขย่าพันธมิตร ชี้อาจเป็นบูมเมอแรงทำเอเชียตีตัวออกห่างสหรัฐฯ ซบอกจีนแทน

(29 เม.ย. 68) อิตสึโนริ โอโนเดระ (Onodera Itsunori) หัวหน้าฝ่ายนโยบายของพรรครัฐบาลญี่ปุ่น (LDP) แสดงความกังวลว่า มาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้หลายประเทศในเอเชียที่เคยมีท่าทีใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น หันไปสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาค

คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นระหว่างที่โอโนเดระร่วมงานที่สถาบันฮัดสัน กรุงวอชิงตัน โดยเขาระบุว่าหลายประเทศในเอเชียเริ่มไม่สบายใจกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการภาษีของทรัมป์ที่อาจสร้างแรงจูงใจให้พันธมิตรเดิมเปลี่ยนทิศทางทางยุทธศาสตร์

โอโนเดระยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมความร่วมมือด้านกลาโหมกับสหรัฐฯ ท่ามกลางภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากจีน โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลในช่องแคบไต้หวัน การซ้อมรบเชิงรุก และการกดดันด้านจิตวิทยาในประเด็นดินแดนพิพาท

ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นเตรียมเปิดเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่าทรัมป์พยายามผลักภาระค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันให้ญี่ปุ่นมากขึ้น โอโนเดระเสนอให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาความร่วมมือในการผลิตและส่งออกอาวุธ เช่น กระสุน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายใหม่ของญี่ปุ่นที่เปิดทางสู่การส่งออกยุทโธปกรณ์มากขึ้นในอนาคต

ม.นานาชาติกวางตุ้ง ผลักดันโมเดล ‘ภาษา+เทคโนโลยี’ ส่งนักศึกษาเยือน Alibaba แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน AI และระบบคลาวด์ เพื่อพัฒนาการแปลในยุคดิจิทัล

(29 เม.ย. 68) มหาวิทยาลัยภาษาและการค้าต่างประเทศกวางตุ้ง (GDUFS) เดินหน้าปั้นนักแปลพันธุ์ใหม่ที่ไม่เพียงเก่งภาษา แต่ยังเข้าใจเทคโนโลยี ล่าสุดส่ง “หลี่ หมิงข่าย” นักศึกษาสายเทคโนโลยีและการแปล ร่วมภารกิจระดับโลกที่สำนักงานใหญ่ Alibaba และบริษัทเทคโนโลยี Xinfengwei เมืองหางโจว ประเทศจีน เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียด้าน AI กับเยาวชนจากนานาชาติ

ภารกิจครั้งนี้ หลี่ หมิงข่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับนักศึกษาและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยคีล ประเทศเยอรมนี พร้อมนำเสนอโปรเจกต์ “แอป AI แบบไม่ต้องเขียนโค้ด” บน DingTalk ด้วยภาษาอังกฤษ และเข้าร่วมการถกประเด็นระดับโลก เช่น บทบาทของ AI ต่อการศึกษาและความร่วมมือข้ามชาติ ถือเป็นเวทีที่ผสมผสานทั้งนวัตกรรมและวัฒนธรรมอย่างลงตัว

ในการเยือน ซิน เฟิงเวย นักศึกษาจาก GDUFS ยังได้สัมผัสเวิร์กช็อปด้าน “AI แปลภาษาบนคลาวด์” ซึ่งร่วมพัฒนาโดย GDUFS และ Alibaba Cloud พร้อมเรียนรู้เบื้องหลังการจัดการระบบคลาวด์ แชทอัจฉริยะ และโมดูลการเรียนรู้แบบใหม่ ซึ่งทีมของหลี่หมิงข่ายกำลังนำกลับไปปรับใช้กับหลักสูตรของมหาวิทยาลัยอย่างเข้มข้น

ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนวิสัยทัศน์ของ GDUFS ที่ต้องการยกระดับการศึกษาด้านการแปลให้ทันสมัย ด้วยเทคโนโลยี AI และการเรียนรู้แบบประสานศาสตร์ โดยในเดือนธันวาคม 2024 ได้เปิดตัว “แพลตฟอร์ม AI แปลภาษาผ่านระบบคลาวด์” ที่ออกแบบตามมาตรฐาน CSE ของจีน มีฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น การวัดผลอัตโนมัติและ AI เพื่อนช่วยเรียน

ไม่หยุดแค่ในประเทศ GDUFS ยังขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเก๊า (MPU) และองค์การสหประชาชาติ เพื่อปั้นนักแปลที่มีทั้งอุดมการณ์ ความรู้รอบด้าน และศักยภาพในการทำงานระดับโลก โดยในปี 2023 ได้จัดการแข่งขันล่ามระดับนานาชาติ “อวิ๋นซานเปย” รอบชิงชนะเลิศครั้งที่ 3 อย่างยิ่งใหญ่

จากเวทีหางโจวสู่คลาสเรียนดิจิทัล GDUFS กำลังเขียนนิยามใหม่ของนักแปลมืออาชีพในศตวรรษที่ 21 ด้วยการผนวก “ภาษา+เทคโนโลยี” เข้าด้วยกัน เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาก้าวสู่โลกอนาคตที่ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างทักษะและนวัตกรรมอีกต่อไป

บทเรียนจากไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในยุโรป ไทยพร้อมรับมือหรือยัง? หากต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้

เมื่อวานนี้ (28 เม.ย.68) เกิดเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในยุโรปที่ไม่เคยมีมาก่อน ครอบคลุมพื้นที่ 4 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม สเปน โปรตุเกส และภาคใต้ของฝรั่งเศส โดยเหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางวัน ระบบไฟฟ้าของแต่ละประเทศล่มพร้อมกันในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่งผลให้ระบบคมนาคมหลักอย่างสนามบิน รถไฟ รถราง และรถไฟใต้ดินต้องหยุดให้บริการทันที บางขบวนหยุดกลางเส้นทาง ผู้โดยสารหลายหมื่นคนติดค้างอยู่กลางทางโดยไม่มีการสื่อสาร

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในหลายพื้นที่หยุดทำงาน ประชาชนไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสิ้นเชิง บรรยากาศในเมืองใหญ่หลายแห่งเงียบสนิทราวกับกลายเป็นเมืองร้างชั่วขณะหนึ่ง สถานพยาบาลต้องหันไปใช้ไฟฟ้าสำรองด้วยเครื่องปั่นไฟ ส่วนร้านค้า สถานีบริการน้ำมัน และตู้เอทีเอ็มต่าง ๆ ก็หยุดชะงักไปตามกัน ความเสียหายครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะระบบไฟฟ้าเท่านั้น แต่ขยายวงไปกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง

แม้ว่ายังไม่มีการยืนยันสาเหตุอย่างเป็นทางการ แต่หลายฝ่ายรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์ต่างตั้งข้อสันนิษฐานไปในทิศทางเดียวกันว่านี่ไม่น่าใช่อุบัติเหตุธรรมดา หากแต่เป็นการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างจงใจ หลายคนสังเกตว่าความพร้อมเพรียงในการล่มของระบบหลายประเทศในเวลาใกล้เคียงกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอาจมี 'แผนการ' หรือ 'วาระซ่อนเร้น' อยู่เบื้องหลัง

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงนำมาสู่คำถามสำคัญที่เราคนไทยต้องย้อนกลับมามองตัวเองอย่างจริงจังว่า —

หากวันหนึ่งประเทศไทยต้องเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เราพร้อมรับมือหรือยัง?

ระบบไฟฟ้า ระบบคมนาคม เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ต คือหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยในทุกวันนี้ แต่ในขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยความเปราะบาง หากถูกโจมตีพร้อมกันแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ผลกระทบอาจหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่เราคาดคิด

เรามีระบบเตือนภัยไซเบอร์แบบเรียลไทม์เพียงพอหรือไม่?

เรามีแผนสำรองรองรับสถานการณ์ไฟฟ้าดับหรือเครือข่ายล่มระดับประเทศหรือไม่?

เราซักซ้อมประชาชนให้รู้วิธีรับมือในภาวะไร้ไฟ ไร้สัญญาณ หรือไร้เงินสดหรือยัง?

ที่สำคัญกว่านั้น — เราพร้อมจะลงทุนป้องกันภัยที่ 'อาจจะเกิด' ก่อนที่มันจะกลายเป็นภัยที่ 'เกิดขึ้นจริง' หรือไม่?

บทเรียนจากยุโรปในวันนี้ กำลังส่งสัญญาณเตือนเราดัง ๆ ว่า โลกในยุคนี้ไม่ได้แข่งขันกันแค่เศรษฐกิจหรือเทคโนโลยี แต่กำลังแข่งขันกันเรื่อง 'ความอยู่รอด' ของโครงสร้างพื้นฐานด้วยเช่นกัน และใครที่ไม่เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ อาจไม่มีโอกาสได้แก้ตัวในวันพรุ่งนี้

และสิ่งที่เราต้องตระหนักให้ชัดเจนคือ — เหตุการณ์ครั้งนี้อาจไม่ได้เป็นเพียง 'ภัยธรรมชาติ' หรือ 'ความผิดพลาดของระบบ' แต่อาจเป็นสัญญาณชัดเจนของ 'สงครามพลังงาน' และ 'สงครามลูกผสม' (Hybrid Warfare) รูปแบบใหม่ ที่ศัตรูไม่จำเป็นต้องยิงปืนสักนัด ก็สามารถทำให้ทั้งประเทศเป็นอัมพาตได้ในเวลาไม่กี่นาที

สงครามพลังงาน (Energy War) ใช้อาวุธที่มองไม่เห็น — คือการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน เพื่อบั่นทอนเศรษฐกิจ เสถียรภาพ และความมั่นใจของประชาชน ขณะที่สงครามลูกผสม (Hybrid Warfare) ผสานทั้งการโจมตีทางไซเบอร์ การบิดเบือนข้อมูล และการทำลายระบบสาธารณูปโภคในคราวเดียวกัน

วันนี้ยุโรปได้เผชิญหน้าไปแล้ว — พรุ่งนี้จะถึงคราวของเราหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า "วันนี้" เราจะเริ่มป้องกันตัวเองทันหรือเปล่า

สส.เดโมแครต เสนอ 7 ญัตติด่วนถอดถอน ‘ทรัมป์’ พ้นตำแหน่ง ปธน. ปมใช้อำนาจเกินขอบเขต-ขัดขวางกฎหมาย-รับสินบน และอีกเพียบ!!

(29 เม.ย. 68) นายชริ ธาเนดาร์ (Shri Thanedar) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียจากพรรคเดโมแครต รัฐมิชิแกน เสนอญัตติถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยชี้ว่าเป็นการรับมือกับพฤติกรรมที่บ่อนทำลายหลักนิติธรรมและประชาธิปไตยของสหรัฐฯ พร้อมนำเสนอบทความถอดถอนจำนวน 7 ประการ ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหาการขัดขวางกระบวนการยุติธรรม การใช้อำนาจบริหารโดยมิชอบ การติดสินบน และการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐอย่างผิดกฎหมาย

ในรายละเอียดข้อกล่าวหา นายธาเนดาร์ ระบุว่าทรัมป์ได้เพิกเฉยต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง ดำเนินนโยบายเนรเทศที่ละเมิดสิทธิทางกฎหมาย ใช้อิทธิพลครอบงำกระทรวงยุติธรรม และก่อตั้ง “กระทรวงประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล” หรือ DOGE ซึ่งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยมีการกล่าวหาว่า “อีลอน มัสก์” ได้รับอำนาจเกินควรผ่านหน่วยงานดังกล่าว

บทความถอดถอนยังชี้ว่าทรัมป์ใช้ตำแหน่งเพื่อโจมตีนักวิจารณ์และสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง เป็นการละเมิดสิทธิตามบทบัญญัติการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 1 นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องการใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการคุกคามทางทหารต่อประเทศอื่น ๆ ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ

นายธาเนดาร์เรียกร้องให้รัฐสภาเร่งดำเนินการ โดยกล่าวว่า “เราไม่สามารถรอให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้ได้” อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าญัตติดังกล่าวมีแนวโน้มไม่คืบหน้า เนื่องจากพรรครีพับลิกันยังควบคุมทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งอาจขัดขวางการพิจารณาได้ตั้งแต่ต้นทาง

BYD ปักธงสีหนุวิลล์ ‘กัมพูชา’ ลงทุน 32 ล้านดอลล์ สร้างโรงงานผลิตรถ EV ตั้งเป้าผลิต 10,000 คันต่อปี ส่งออกทั่วโลก-เตรียมยลโฉมคันแรกพฤศจิกายนนี้

(29 เม.ย. 68) BYD ผู้ผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) จากจีน เดินหน้าขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ ล่าสุดเริ่มก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 เมษายน โดยโรงงานนี้เป็นแห่งแรกของกัมพูชาที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และมีมูลค่าการลงทุนรวม 32 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,171.2 ล้านบาท) ครอบคลุมพื้นที่ 12 เฮกตาร์ (75 ไร่)

โรงงานจะดำเนินการในรูปแบบ CKD (Completely Knocked Down) โดยนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนมาประกอบในกัมพูชา คาดว่าเฟสแรกจะเริ่มผลิตรถยนต์ BEV และ PHEV ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งมีกำลังการผลิตปีละ 10,000 คัน และรถยนต์คันแรกจะออกจากสายการผลิตช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในกัมพูชาแม้ยังเล็กแต่ถือว่าเติบโตได้อย่างเร็ว โดยในปี 2567 มีการจดทะเบียนรถ EV เพิ่มขึ้นถึง 620% จากปีก่อนหน้า ซึ่ง BYD เป็นหนึ่งในแบรนด์ยอดนิยม ร่วมกับ Toyota และ Tesla ทั้งนี้ BYD เข้าตลาดกัมพูชาตั้งแต่ปี 2020 และได้เปิดตัวรุ่น Atto 3 ไปในปี 2565

สำหรับโครงการในกัมพูชานี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายกำลังการผลิตในอาเซียน ต่อจากโรงงานในไทยที่เปิดเมื่อกลางปี 2567 และโรงงานใหม่ในอินโดนีเซียมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งจะช่วยเสริมบทบาทของ BYD ในการเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคอาเซียน

Pet Hotel Bangkok คือโรงแรม 5 ดาวที่ให้บริการดูแลและรับฝากสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณ

Pet Hotel Bangkok คือโรงแรม 5 ดาวที่ให้บริการดูแลและรับฝากสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณ

Pet Hotel Bangkok ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 103 มีห้องหลายขนาดตั้งแต่ 1.4-2.8 ตร. ม.

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' มุ่งสู่จังหวัดที่ 20 ของภาคอีสาน สร้างโอกาส สร้างชีวิต แก่ชาวยโสธร มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

(29 เม..ย.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดยโสธร (จังหวัดที่ 20 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน  จำนวน 31 ครัวเรือน และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวยโสธรในครั้งนี้ทั้งสิ้น 802,240 บาท (แปดแสนสองพันสองร้อยสี่สิบบาทถ้วน) 

นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายชาญชัย ศรศรีวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วย นางสาวนิภา ทองก้อน ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน ผู้แทนอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อดีตอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิรวมสามัคคียโสธร เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี พร้อมด้วย อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนพดล ทรงแสง (จิ้ม ชวนชื่น) นายสวิช เพชรวิเศษศิริ (บี๋) ร่วมในพิธี และสร้างสีสันภายในงาน โดยมี ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ ณ หอประชุมจังหวัดยโสธร ศาลากลางจังหวัดยโสธร อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top