Saturday, 17 May 2025
World

‘ไทย’ รุกคว้าโอกาสธุรกิจ หลัง ‘รถไฟจีน-ลาว’ เปิดให้บริการ หวังเพิ่มทางลัดส่งออกสินค้าไทย จากหนองคายสู่ตลาดจีน

(15 เม.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, หนองคาย ประเทศไทย รายงานว่า นายธนภัทร ยุทธเกษมสันต์ ผู้ประกอบการไทยวัย 43 ปี ซึ่งทำธุรกิจเอ็สเอ็มอี (SMEs) ด้านไอทีในจังหวัดหนองคาย บอกเล่าความรู้สึกของการเดินทางด้วยทางรถไฟจีน-ลาวครั้งแรก ซึ่งน่าประทับใจ สะดวกสบาย และสะอาดมาก ยกเว้นเพียงการซื้อบัตรโดยสารที่ค่อนข้างยาก เพราะมีคนอยากซื้อเยอะมากเช่นกัน

ทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2021 ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการเดินทางด้วยรถไฟสายนี้ในช่วงวันหยุด เช่นเดียวกับนายธนภัทรที่ขึ้นรถไฟไปยังบ่อเต็น จุดเชื่อมต่อข้ามไปยังมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน สวนกระแสชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่เลือกนั่งรถไฟไปพักผ่อนหย่อนใจในแขวงหลวงพระบาง

นายธนภัทร ตระหนักถึงโอกาสสำคัญที่เพิ่มขึ้นหลังจากทางรถไฟจีน-ลาว เปิดบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดน เมื่อวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) เพราะกลายเป็นช่องทางลัดสู่ตลาดจีนสำหรับผู้ประกอบการในจังหวัดหนองคาย ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างกรุงเทพมหานคร

นายธนภัทร ชี้ว่า คนหนองคายไม่จำเป็นต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อขึ้นเครื่องบินไปจีนอีกแล้ว ซึ่งช่วยลดระยะทางระหว่างชุมชนธุรกิจและตลาดจีน โดยเขากำลังจับตามองพื้นที่บางส่วนของอวิ๋นหนาน ที่อาจเป็นตลาดส่งออกชั้นดีสำหรับสินค้าไทยจากหนองคาย เช่น แคว้นปกครองตนเองสิบสองปันนา กลุ่มชาติพันธุ์ไท ซึ่งมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับไทย

เมื่อวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) นายธนภัทร เผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า เขาหวังขยายตลาดสำหรับสินค้าไทย เพราะตลาดจีนมีขนาดใหญ่มาก และหวังว่าทางรถไฟสายนี้จะเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะทำให้สามารถส่งออกสินค้าไปยังภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน หรือแม้แต่กรุงปักกิ่ง

นอกจากนี้ การบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนของทางรถไฟจีน-ลาว สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนได้มากขึ้น นายธนภัทรจึงหวังว่า บริการนี้จะช่วยเปิดโอกาสสำหรับการร่วมงานกับธุรกิจจีนด้วย โดยเขาหวังว่าผู้ประกอบการจากจีนจะมาที่หนองคาย เพราะตัวเลขผู้ประกอบการที่มีมากขึ้นหมายถึงโอกาสที่เพิ่มมากตามไปด้วย

'สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา' ยุทธศาสตร์เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ สร้างมูลค่าการค้ามหาศาลต่อไทย ใต้รัฐบาลที่ถูกตราหน้าว่า 'เผด็จการ'

ไม่รู้ว่าคนไทยจะทราบกันหรือไม่ว่า 'สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา' แห่งที่ 2 ถือเป็นโครงการที่สร้างมูลค่าการระหว่างประเทศระหว่างไทยกับเมียนมา ผ่านด่านชายแดนถาวรแม่สอดให้กับประเทศไทยในปีที่ผ่านมาสูงถึง 105,426 ล้านบาทนั้น ซึ่งถูกผลักดันมาจากรัฐบาลที่ตอนนั้นใครๆ เรียกว่า 'เผด็จการ' 

เอย่าจำได้ว่า ตอนนั้นรัฐบาลเผด็จการมีวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกลถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ โดยหวังให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมทั้งทางบก, น้ำ และอากาศ ในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียในอนาคต ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้มีการเชื่อมโยงด้านระบบโลจิสติกส์ทั้งระบบเป็นแบบ 'ไร้รอยต่อ' หรือที่เรียกว่า Seamless Connectivity

แต่ก่อนอื่น เอย่าขอเล่าถึงปฐมบทของเรื่องราวนี้ก่อน โดยขอย้อนกลับไปในสมัยยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ซึ่งในช่วงเวลานั้น 'นายอลงกรณ์ พลบุตร' ได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ และมีการลงพื้นที่สำรวจและประชุมร่วมกันกับ หอการค้าจังหวัดตาก และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการผลักดันโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา แห่งที่ 2 อยู่หลายรอบ เพื่อการริเริ่มโครงการสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เป็นผลสำเร็จ อันเนื่องมาจากมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเมียนมา ณ ชายแดนแม่สอด -เมียวดี เจริญเติบโตขึ้นทุกๆ ปี อาจส่งผลทำให้เกิดความหนาแน่นจากรถบรรทุกที่ข้ามสะพานแห่งที่ 1 ได้ จนทำให้การจอดรอของรถบรรทุกต่างๆเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรในตัวเมืองแม่สอด ที่ทำให้เกิดปัญหาการจราจรในตัวเมืองแม่สอด

อย่างไรก็ตาม โครงการการก่อสร้างสะพานฯ และ ถนนเลี่ยงเมือง ก็ได้หยุดชะงักลง พร้อมกับการยุบสภาของ 'นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' ในตอนนั้น กลับกันตลอด 3 ปีที่ได้มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจมาเป็น 'พรรคเพื่อไทย' ก็ไม่ได้มีการพัฒนาโครงการนี้ต่อ ด้วยสาเหตุทางการเมือง เพราะพื้นที่จังหวัดตากไม่ใช่พื้นที่คะแนนเสียงหรือฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย จนกระทั่งมาถึงวันเกิดรัฐประหารขึ้น โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 

ทว่า หลังจาก 2 เดือนของการรัฐประหาร รัฐบาล คสช.ในขณะนั้น ได้มีการส่งทีมเศรษฐกิจของ คสช. เข้ามาลงพื้นที่สำรวจและพูดคุย จึงได้เริ่มมีการปัดฝุ่นโครงการสะพานมิตรภาพ ไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้จากการร่วมผลักดันของหอการค้าจังหวัดตากและจังหวัดตาก รวมถึงการใช้ ม.44 ในเวลานั้น ทำให้รัฐบาล คสช. ได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อเริ่มโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 นี้ขึ้นมาใหมา โดยได้เริ่มก่อสร้างในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 และแล้วเสร็จเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562

'บ.ยานยนต์จีน' เตรียมตั้งฐานการผลิตใน 'ประเทศไทย' ทุ่มเงินลงทุนกว่า 885 ลบ. สะท้อนความเชื่อมั่น ศก. ไทย

(16 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 66 ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัล หนังสือพิมพ์หลักทรัพย์ในสังกัดสำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า บริษัทฉางสู ทงรุ่น ออโต แอกเซสซอรี จำกัด (Changshu Tongrun Auto Accessory Co., Ltd.) มีแผนสร้างฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยวงเงินลงทุนไม่เกิน 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 885 ล้านบาท)
         
แถลงการณ์ของบริษัทฯ ระบุว่า ฐานการผลิตใหม่นี้จะผลิตแม่แรงยกรถยนต์ แม่แรงไฮดรอลิก ตู้เครื่องมือช่าง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และโดยหลักแล้วจะส่งขายในตลาดสหรัฐ ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
         
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการฐานการผลิตในไทยแห่งนี้จะเริ่มก่อสร้างในเดือนส.ค. 66 และมีระยะเวลาก่อสร้างตามแผนงานนาน 12 เดือน โดยจะก่อสร้างทั้งโรงงานใหม่ คลังสินค้า อาคารสำนักงานเพื่อการวิจัยและพัฒนาและเพื่อการซื้ออุปกรณ์

บริษัทฉางสู ทงรุ่น ออโต แอกเซสซอรี กล่าวว่า การลงทุนในฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศไทยนั้นจะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และเอื้อต่อการบูรณาการทรัพยากรของบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มขีดความสามารถของบริษัทในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงโดยรวม


ที่มา : https://news.ch7.com/detail/637421?fbclid=IwAR1kyrJIwxvahDAPL3Ky5uRGezEGlb7MHeNqsXqnSqV9UwzMTjmEWJg1AO8

นักวิทย์จีน’ ยืนยัน รอยบุ๋มที่พบในร้านอาหารทางตอนใต้ของจีน อาจเป็น ‘รอยเท้า’ ของ ‘ไดโนเสาร์ซอโรพอด’ อายุนับ 100 ล้านปี

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 66 สำนักงานข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า ฟอสซิลรอยเท้าไดโนเสาร์ที่พบในร้านอาหารแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เป็นของไดโนเสาร์คอยาวที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 100 ล้านปีก่อน

การค้นพบสุดแปลกนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วโดยลูกค้าร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นไวรัลทั่วโลกเนื่องจากเป็นการพบรอยเท้าในสถานที่ที่แปลกไปจากเดิม ปัจจุบัน ทีมนักบรรพชีวินวิทยานานาชาติได้เผยแพร่การค้นพบนี้ในวารสารครีเทเชียส รีเสิร์ช (Cretaceous Research) ฉบับล่าสุด หลังจากพวกเขาใช้เครื่องสแกนสามมิติเพื่อวิเคราะห์ ‘รอยเท้า’ ที่พบในร้านอาหารเหล่านี้

นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า กลุ่มรอยเท้า ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ 50-60 เซนติเมตรเหล่านี้ อาจเป็นของไดโนเสาร์ซอโรพอดที่มีความยาว 8-10 เมตร จำนวนหนึ่ง ซอโรพอดมีหัวเล็ก คอยาว หางยาว และถูกกล่าวขานว่า ‘เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยอาศัยอยู่บนบก’ เท่าที่มีข้อมูลจวบจนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานี้มีย่างก้าวที่สั้นมาก พวกมันเดินทางได้ไกล 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

วันที่ 10 ก.ค. 2022 โอวหงเทา ลูกค้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองเล่อซานของมณฑลเสฉวน สังเกตเห็นรอยยุบที่แปลกตาบนพื้นของร้าน ด้วยความที่เขาสนใจศึกษาความรู้ด้านบรรพชีวินวิทยา จึงสันนิษฐานว่า รอยดังกล่าวน่าจะเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์ ก่อนจะติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง รองศาสตราจารย์สิงลี่ต๋า จากมหาวิทยาลัยธรณีศาสตร์แห่งประเทศจีน (China University of Geosciences) ให้มาตรวจสอบ

6 วันถัดมา รองศาสตราจารย์สิงได้นำทีมนักวิจัยเข้าตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากองค์พระใหญ่เล่อซาน พระพุทธรูปหินสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจีน ไปเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น

‘อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน’ โอกาสใหม่เศรษฐกิจ ‘จีน-แอฟริกา’ ช่วยกลุ่มธุรกิจเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ลดต้นทุนรอบด้าน

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า หนังสือพิมพ์ข้อมูลเศรษฐกิจรายวัน (Economic Information Daily) สังกัดสำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อไม่นานนี้ว่า ‘อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน’ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการค้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วระหว่างจีนและแอฟริกา โดยทำให้มีสินค้าจากแอฟริกาเข้าสู่ตลาดจีนเป็นจำนวนมาก

ผู้ขายกาแฟจากเอธิโอเปีย ซอสพริกจากรวันดา ชาดำจากเคนยา ช็อกโกแลตจากกานา เม็ดมะม่วงหิมพานต์จากแทนซาเนีย ฯลฯ เข้าถึงผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างง่ายดาย ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

มีสินค้ามากกว่า 200 ชนิดจากกว่า 20 ประเทศในทวีปแอฟริกา ที่ได้รับการแนะนำสู่สายตาผู้บริโภคชาวจีนผ่านการสตรีมมิง หรือ ไลฟ์สด บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซช่วงเทศกาลชอปปิงออนไลน์ ที่จัดขึ้นโดยจีนตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.- 12 พ.ค. ปี 2022 เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าจากแอฟริกา โดยข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ชี้ว่ายอดขายชาดำของเคนยาและยอดขายกาแฟเอธิโอเปียในช่วงเทศกาลดังกล่าว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 409 และร้อยละ 143.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยอดในปี 2021

ขณะที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีน เช่น คิลิมอลล์ (Kilimall) อาลีบาบา (Alibaba) คิคู (Kikuu) และ ชีอิน (Shein) ก็พยายามที่จะเจาะเข้าสู่ตลาดแอฟริกาเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น คิลิมอลล์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ก่อตั้งในเคนยาเมื่อปี 2014 และมีห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในจีน ได้เปิดบริการธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ บริการชำระเงินผ่านมือถือ และบริการขนส่งข้ามพรมแดน แก่ผู้ใช้งานในแอฟริกากว่า 10 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเคนยา ยูกันดา และไนจีเรีย เกิดการสร้างงานมากกว่า 10,000 ตำแหน่งให้กับคนในท้องถิ่น

วิเคราะห์ ‘การเงิน-เทคโนโลยี-พลังงานโลก’ วิวัฒนาการพาสังคมโลกเพื่อก้าวไปสู่ยุคใหม่

(17 เม.ย.66) รายงานว่า ล่าสุด Elon Musk เริ่มเคลื่อนไหวทางเทคโนโลยีโลกครั้งใหญ่!!! หลังจากเขาประกาศจัดตั้งบริษัท ‘X’ เพื่อพัฒนา AI ขั้นสูงมาแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI, Microsoft และ Bard AI ของ Google โดยตรง ! แม้ก่อนหน้านี้พึ่งออกมาเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงเอาไว้อย่างน้อย 6 เดือนเพราะโดยอ้างเหตุผลว่าจะเป็นอันตรายต่อโลก ทำให้ชาวโลกเกิดคำถามว่าที่ออกมา Discredit อยู่นี้เป็นเพราะแค่กลัวตามคนอื่นไม่ทันหรือไม่? เพราะปากบอกให้โลกหยุด แต่ตัวเองกลับจัดตั้งบริษัทพัฒนา AI ซะเอง!?

เขาก่อตั้งบริษัท X และพึ่งรวมถึง Twitter เข้าไปด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาในการสร้าง ‘Everything App’ หรือกล่าวคือแอปพลิเคชั่นอเนกประสงค์ตัวเดียวที่ตอบสนองได้แทบทุกอย่างในชีวิตประจำวันทางอินเตอร์เน็ตของมนุษย์

ตอนนี้เจ้าพ่อ Tesla กำลังสรรหาวิศวกรจากแล็บ AI ชั้นนำของโลกมาร่วมงาน ซึ่งรวมถึง DeepMind ของ Alphabet (บริษัทแม้ของ Google) ในขณะที่เขาสำรวจแนวคิดและแผนการของบริษัทคู่แข่งที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือ OpenAI ที่ Microsoft เข้าไปลงทุน และแน่นอนว่า Elon Musk นั้นไม่ถูกกับ Bill Gates เลย (เท่าที่สื่อรายงานออกมาตลอดหลายปี)

Musk เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในยุคแรก แต่สุดท้ายก็ลาออกเนื่องจากมีความขัดแย้งกับแนวทางของผู้บริหารคนอื่น ๆ โดยหลังจากเขาลาออกมา OpenAI ก็ได้เปลี่ยนแนวทางและเริ่มหาทางเพิ่มผลกำไร พร้อมกับได้รับเงินระดมทุนจาก Microsoft มา 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนที่จะเพิ่มทุนอีก 10x เท่าเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อ ChatGPT เปิดตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น เมื่อดูฉากหลังที่ Elon Musk กับ Bill Gates ไม่ถูกคอกันแล้ว ก็น่าสนใจว่า X จะพัฒนา AI มาแข่งขันกับ OpenAI และ Microsoft ได้ดีแค่ไหน? และจะสามารถตามกลุ่มผู้นำได้ทันหรือไม่? เพราะการที่ Musk เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงชั่วคราวนี้ แต่ตัวเขาเองก็เร่งพัฒนา AI อยู่ซะงั้น (มีรายงานว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้สั่งซื้อ Chip ขั้นสูงของ Nvdia ราว 10,000 ตัวเพื่อนำไปพัฒนา AI)

ดูเหมือน Elon Musk จะเคยด่าว่า ChatGPT นั้นมีอคติทางการเมืองและเป็นอันตราย ขณะที่เขากล่าวว่าต้องการพัฒนา AI ที่มีความสมจริงมากขึ้น ย้อนแย้งกับที่เขาเรียกร้องให้คนอื่นหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงอย่างสิ้นเชิงแบบตรงข้าม 180 องศา!

ขณะเดียวกัน เขาพึ่งเจรจากับบริษัท Etoro ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ชื่อดังของโลก เพื่อทำให้ Twitter สามารถเชื่อมต่อกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ในอนาคต โดยคาดว่าจะเปิดให้ซื้อ-ขายหุ้นและเหรียญต่าง ๆ ได้ด้วย ซึ่งก็ต้องมารอดูกันว่าการสร้าง Everything App ของเขาจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด?

สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือในอนาคต AI เหล่านี้จะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ว่ามันจะก่อให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่นั่นก็จะเป็นไปพร้อมกับการที่ความต้องการแรงงานมนุษย์ลดลงในระยะยาว และมนุษย์ก็จะต้องปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานในอนาคตไปอีกมาก เพื่อให้เชื่อมโยงกับความฉลาดของ AI ที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 อย่างที่ World Maker เคยรายงานไปแล้วว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก Goldman Sachs ระบุว่า AI อาจแทนที่งานมนุษย์ในปัจจุบันได้ถึง 300 ล้านตำแหน่งเป็นอย่างน้อย และทุกวันนี้งานต่าง ๆ ก็เริ่มใช้ AI เข้ามาคุมเป็นแบบระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงยุคเริ่มต้นของ Generative AI ที่จะฉลาดล้ำกว่า AI ยุคเก่า ๆ อีกหลายเท่าตัว ตามที่ Bill Gates กล่าวว่ามันสำคัญพอ ๆ กับการกำเนิดของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างมาก

และพร้อม ๆ กันนี้ ทางด้านฮ่องกงก็กำลังเร่งให้ธนาคารต่าง ๆ มีการรับลูกค้าที่เป็นบริษัท Crypto มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากออกมาประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตโลก ซึ่งเป็นการกลับลำ 180 องศาเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนแสดงท่าทีว่าไม่เอา Crypto และถึงกับสั่งห้ามไม่ให้คนในประเทศไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากเกิดวิกฤตหายนะเช่น LUNA และ FTX ที่ทำให้ผู้บริโภคสูญเงินไปมหาศาล จีนก็เริ่มเปลี่ยนหน้ามาสนับสนุนคริปโตโดยทันที

ซึ่งในอนาคต ฮ่องกงจะสนับสนุน Crypto โดยมีกฏหมายรองรับอย่างเป็นทางการให้บริษัทสามารถ List เหรียญได้และให้ผู้บริโภครายย่อยเข้าไปลงทุนได้อย่างสะดวกง่ายดาย หน่วยงานในฮ่องกงของ Bank of Communications ของจีนกำลังทำงานร่วมกับบริษัท Crypto หลายแห่งที่ได้รับอนุญาตในเมือง และกำลังเจรจากับบริษัทที่ได้รับการควบคุมอื่น ๆ เกี่ยวกับการเปิดบัญชี

เหรียญหลัก ๆ ที่ถูกพูดถึงในฮ่งอกงตอนนี้ก็คือ Bitcoin, Ether และ Tether ซึ่ง 2 เหรียญแรกเคยเป็นกระแสก่อนหน้านี้ และเคยมีสื่อไทยบางแห่งออกมาหลอกเงินชาวบ้านเชียร์ซื้อ Bitcoin ที่ยอดดอยก่อนราคาร่วงยับ -80% ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฮ่องกงเป็นไปเพื่อที่จะพยายามรักษาตำแหน่งจุดศูนย์กลางการเงินโลกของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลจีนแข็งกร้าวกับสหรัฐฯ และตะวันตกมากขึ้น รวมถึงการยึดอำนาจ และปรับเปลี่ยนกฏระเบียบต่าง ๆ ก็ได้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อตลาดฮ่องกงไป

พูดง่าย ๆ ว่าความเคลื่อนไหวเชิงผ่อนคลายของฮ่องกงต่อตลาด Crypto ในตอนนี้ ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกหลายชาติที่กำลังปราบปรามคริปโตอย่างเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทางรัสเซียเองก็เพึ่งประกาศเชื่อม Metamask และ Ethereum Blockchain เข้ากับระบบการเงินของ Sberbank ทำให้เราพอจะเห็นภาพฉายได้ว่าตลอดที่ผ่านมาจีน-รัสเซียมีส่วนชักใยอยู่เบื้องหลังคริปโตเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอดูกันว่าความพยายามของจีน-รัสเซียในการดัน Crypto (รวมถึงทองคำและหยวน) ขึ้นมาเพื่อทุบอำนาจของดอลลาร์ จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ? ซึ่งหากดูจากทรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ คริปโตเหมือนจะมาแรงแต่สุดท้ายก็พังยับ และแม้ว่าในปัจจุบันจะฟื้นตัวมาเล็กน้อย แต่ในแง่ของความเชื่อมั่นก็อาจต้องรอดูว่าจะมั่นคงในระยะยาวได้ไหม ? โดยปู่ Warren Buffet เป็นนักลงทุนระดับตำนานคนหนึ่งที่ออกมาด่าว่า Bitcoin และ Crypto นั้นไร้ค่าและจะพบจุดจบไม่สวยงาม ในขณะที่บางคนก็เชียร์ว่า Bitcoin และ Crypto จะสามารถล้มดอลลาร์ได้

(**ทั้งนี้ก็อย่าลืมพิจารณาเรื่องของ CBDC ที่จะเข้ามามีบทบาทอีกมากในอนาคต ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อ Crypto ขณะที่เงินดอลลาร์นั้นเผชิญข่าวกระหน่ำว่าจะกลายเป็นแบงก์กงเต็ก แต่หากดูตามสภาพจริงตอนนี้ดอลลาร์ยังครองการค้าโลกอยู่ถึง 88%**)

⚠️ กลับมาทางด้านสหรัฐฯ...ท่ามกลางฉากที่ดุเดือดในแง่ของ AI และการเงินโลกตอนนี้ พบว่ามหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกมีการอัดฉีดเงินลงทุนในภาคเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นถึง 20x เท่าเมื่อเทียบจากปี 2019 ! ซึ่งเป็นการแสดงให้เห้นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังเอาจริงในการยกระดับเทคโนโลยีของตัวเองไปอีกขั้น จากที่เป็นผู้นำโลกอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก

ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะรวมไปถึง AI, คอมพิวเตอร์, ควอนตัม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-การแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ ! และยังเป็นการปรับเปลี่ยน Supply Chain เพื่อลดการพึ่งพาจีนลงอีกด้วย ท่ามกลางความตึงเครียดของ 2 ขั้วอำนาจโลก

ทางกลุ่มประเทศ G7 เองก็พึ่งออกมาให้คำมั่นว่าจะเร่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน) ที่ปล่อยคาร์บอนสูงให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยจะยกระดับความจริงจังในการลด ละ เลิก การใช้พลังงานเก่าและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาทดแทน

ตัวเลขคร่าว ๆ ที่เปิดเผยออกมาคือจะเพิ่มการผลิตพลังงานจาก Solar Cells ขึ้นอย่างน้อย 3x เท่าและเพิ่มการผลิตพลังงานจากลมอย่างน้อย 7x เท่าภายในปี 2030 (เทียบจากระดับในปี 2021) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือการปล่อยคาร์บอนให้ใกล้เคียงกับ 0 ภายในปี 2050

นั่นหมายความว่าปริมาณการใช้น้ำมันดิบ ถ่านหิน และพลังงานเก่าอื่น ๆ จะลดลงเร็วขึ้นเมื่อเทียบจากในอดีต ซึ่งเมื่อเรานำมารวมกับภาพการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ว่านี่คือการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

(**เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ปัจจุบันโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้วประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ก่อนยุคอุตสาหกรรม ขณะที่ประเทศชั้นนำทั่วโลกกำลังหาทางป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกพุ่งขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส**)

📌 แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งมหากาพย์เช่นนี้จะต้องมีผลกระทบในระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่นวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่โลกจะไปสู่ยุคใหม่ แปลว่าตลาดการเงินโลกและสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมไปถึงธุรกิจและภาคเศรษฐกิจ Real Sectors จะต้องเผชิญความผันผวนในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

‘ทางรถไฟจีน-ลาว’ หนุนธุรกิจ ‘หนองคาย’ คึกคัก ขนส่งร่นเวลา-จ้างงานสะพัด-นักท่องเที่ยวหนาตา

เมื่อวันที่ (17 เม.ย.66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า จังหวัดหนองคายของไทยได้ร่วมแบ่งปันความสุขช่วงเทศกาลสงกรานต์กับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงอย่างลาว นับตั้งแต่ทางรถไฟจีน-ลาว เปิดให้บริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนเมื่อวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) อันเป็นวันเทศกาลที่มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับไทยและลาว

จิรนันท์ สกุลตั้งไพศาล ที่ปรึกษาสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคาย กล่าวว่าผู้ประกอบการจำนวนมากในภาคการท่องเที่ยวท้องถิ่นเริ่มได้รับการสอบถามจากนักท่องเที่ยวชาวไทยเกี่ยวกับบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนของทางรถไฟจีน-ลาว

ความสนใจใคร่รู้นี้ไม่ได้สร้างความแปลกใจแก่จิรนันท์ ผู้บริหารโรงแรมในหนองคาย เนื่องจากเธอพบเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทยหลั่งไหลข้ามพรมแดนช่วงวันหยุด เพื่อสัมผัสประสบการณ์ทางรถไฟจีน-ลาว นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อเดือนธันวาคม 2021

“ชาวไทยจะเดินทางมาหนองคายเพื่อสอบถามวิธีขึ้นรถไฟจีน-ลาว บางครั้งเรามีลูกค้าเยอะเกินกว่าจะให้บริการได้” จิรนันท์ระบุ

นักท่องเที่ยวจำนวนมากจะพักค้างคืนในหนองคายก่อนเดินทางไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ของลาวที่อยู่ห่างราว 20 กิโลเมตร โดยแผนการเดินทางนี้ช่วยกระตุ้นธุรกิจโรงแรมของจิรนันท์และภาคการท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ต้องการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

ด้าน มนนิภา โกวิทศิริกุล ประธานหอการค้าจังหวัดหนองคาย แสดงความหวังว่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาลาวจะเดินทางมาท่องเที่ยวต่อในหนองคายและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยหนองคายกำลังเตรียมพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงจัดเตรียมการขนส่งและพนักงานที่พูดภาษาจีนเพิ่มขึ้น

‘ไต้หวัน’ จ่อซื้อ ‘ฮาร์พูน’ ขีปนาวุธของสหรัฐฯ กว่า 400 ลูก มูลค่ากว่า 1.1 พันล้านบาท เตรียมพร้อมรับภัยคุกคามจากจีน

ไต้หวันจะซื้อ ‘ฮาร์พูน’ ขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นของสหรัฐฯ สูงสุด 400 ลูก ในยามที่ต้องเผชิญภัยคุกคามจากจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

เมื่อวันที่ (17 เม.ย.66) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพตากอน) เคยแถลงเกี่ยวกับสัญญามูลค่า 1,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับขายขีปนาวุธต่อต้านเรือ 400 ลูก เมื่อวันที่ 7 เมษายน แต่ไม่ได้ระบุชื่อผู้ซื้อ โดยบอกแต่เพียงว่าคาดหมายว่าการผลิตจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2029 อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กรายงานล่าสุด บอกว่าผู้ซื้อรายดังกล่าวได้แก่ไต้หวัน

‘ฟินแลนด์’ ยึดสมัยที่ 6 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ส่วน ‘ไทย’ รั้งที่ 60 ผลงานขยับ ก้าวขึ้นมา 1 อันดับ

พอนึกถึงประเทศที่คาดว่าจะมีความสุขที่สุดในโลก หลายคนมักนึกถึง ‘ฟินแลนด์’ และแน่นอนว่า จากสถิติที่ผ่านๆ มา จวบจนล่าสุด ฟินแลนด์ก็ยังไม่แผ่ว และครองหัวตารางมาอย่างสม่ำเสมอ ตอกย้ำด้วยการจัดอันดับ ‘ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก 2023’ ผ่าน World Happiness Report ซึ่งปีนี้ ‘ฟินแลนด์’ ก็ครองตำแหน่งนี้เป็นสมัยที่ 6 ติดต่อกันเข้าไปแล้ว

สำหรับรายงานชิ้นนี้ จัดทำโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ถูกเผยแพร่ผ่าน UN Sustainable Development Solutions Network ที่ทำการสำรวจด้วยการประเมินระดับความสุขของประชาชนหลายล้านคนจากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก โดยจะมีตัวแปรหลักๆ ด้วยกัน 6 อย่าง ได้แก่…

1. รายได้ (GDP ต่อหัว)
2. การสนับสนุนทางสังคม 
3. สุขภาพชีวิตที่ดีทั้งกายใจ (ช่วงอายุขัย)
4. เสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิต
5. ความเอื้ออาทร / เห็นอกเห็นใจ
6. การตระหนักรู้ถึงคอร์รัปชัน

ยิ่งไปกว่านั้น กว่าจะมาเป็นการจัดอันดับได้ การสำรวจก็ได้ถูกลากยาวครอบคลุมกว่า 3 ปี เช่นในรายงานชิ้นนี้ จะถูกสำรวจตั้งแต่ปี 2020 - 2022 และออกมาเป็นรีพอร์ตประจำปี 2023

สำหรับ ‘ฟินแลนด์’ ที่ยังคงเป็นนัมเบอร์วันแล้ว ในส่วนของประเทศที่ประชากรมีความสุขที่สุดในโลก ตามการรายงานของ World Happiness Report ในลำดับถัดมา จะประกอบไปด้วย

‘Apple’ เปิดตัวบริการบัญชีเงินฝาก ให้กับผู้ใช้ไอโฟน ดอกเบี้ยสูงถึง 4.15% ต่อปี ไม่มีขั้นต่ำ-ปลอดค่าธรรมเนียม

(18 เม.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัท แอปเปิล อิงค์ เปิดตัวบริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดอกเบี้ยสูงถึง 4.15% ให้กับผู้ใช้ไอโฟน สามารถฝากถอนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำ และ ค่าธรรมเนียมบริการ โดยเริ่มให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯ ก่อนเท่านั้น รายงานแจ้งว่า Apple Card บัตรเครดิตของบริษัทแอปเปิล ออกโดยธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เปิดทางเลือกให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จาก Goldman Sachs ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 4.15% ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา สำหรับเงื่อนไขการให้บริการเมื่อมีการเปิดบัญชีแล้ว Daily Cash หรือ cash back จากการซื้อผลิตภัณฑ์แอปเปิลจะถูกโอนเข้าสู่บัญชีเงินฝากโดยอัตโนมัติ รวมถึงการโอนเงินจากบัญชีธนาคารเพิ่มเติมเข้าสู่บัญชีเงินฝากก็เป็นอีกช่องทางในการใช้บริการ

นอกจากนี้ การบริการดังกล่าวจะไม่มีค่าธรรมเนียม และไม่มีข้อกำหนดยอดเงินขั้นต่ำ ผู้ใช้สามารถตั้งค่าและจัดการบัญชีออมทรัพย์ได้โดยตรงจาก Apple Card ใน Wallet อย่างไรก็ตาม การบริการ Apple Pay บนอุปกรณ์แอปเปิล iPhone, iPad หรือ Mac และผู้สนใจสามารถเปิดบัญชีดังกล่าวจากแอปพลิเคชัน Wallet บนเครื่อง iPhone ที่มีระบบปฏิบัติการตั้งแต่ iOS 16.3 ขึ้นไป และจะเริ่มบริการเฉพาะในสหรัฐฯ ก่อนเท่านั้น

เมื่อตั้งค่าบัญชีออมทรัพย์แล้ว เงินสดในอนาคตทั้งหมด ที่ผู้ใช้ได้รับจะถูกฝากเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติ ปลายทางของ Daily Cash สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และไม่มีข้อจำกัดว่าผู้ใช้ Daily Cash สามารถรับรายได้เท่าใด เพื่อเพิ่มเงินออมให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใช้สามารถฝากเงินเพิ่มเติมในบัญชีออมทรัพย์ผ่านบัญชีธนาคารที่เชื่อมโยง หรือจากยอดคงเหลือ Apple Cashผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงแดชบอร์ดการออมที่ใช้งานง่ายใน Wallet ซึ่งสามารถติดตามยอดเงินในบัญชีและดอกเบี้ยที่ได้รับเมื่อเวลาผ่านไปได้อย่างสะดวก ผู้ใช้ยังสามารถถอนเงินได้ตลอดเวลาผ่านแดชบอร์ด Savings โดยโอนไปยังบัญชีธนาคารที่เชื่อมโยงหรือไปยังบัตร Apple Cash โดยไม่มีค่าธรรมเนียม

สถาบันประกันเงินฝากแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เผยว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก APY สำหรับบัญชีเงินฝากทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาเฉลี่ยอยู่ที่ 0.35% ดังนั้น แอปเปิล อินคอร์ปอเรชั่น จ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ระดับ 4.15% จึงถึงได้ว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเฉลี่ย โดยธนาคารพาณิชย์ในระบบการเงินของสหรัฐอเมริกามีการแข่งขันที่สูงมากกับบัญชีเงินฝาก


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/725193


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top