Saturday, 17 May 2025
World

‘ฮ่องกง’ ประเดิมจัด ‘สงกรานต์’ หลังชะงักไป 3 ปี พร้อมสารพัดกิจกรรม ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมไทย

ฮ่องกง, 11 เม.ย. (ซินหัว) — ประชาชนจำนวนไม่น้อยเข้าร่วมกิจกรรมสาดน้ำเคล้าเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ตามประเพณีไทย บริเวณถนนเฉิงหนาน ย่านเกาลูน เขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน เมื่อวันอาทิตย์ (9 เม.ย.) ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่าบริเวณรอบถนนเฉิงหนานของฮ่องกงได้ชื่อว่าเป็น “เสี่ยวไท่กั๋ว” (ประเทศไทยขนาดเล็ก) เนื่องจากมีชาวไทยอาศัยอยู่จำนวนมาก โดยผู้คนไม่ว่าเด็กน้อยหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่ามาจากแห่งหนไหน ต่างสาดน้ำเล่นกันอย่างคึกคัก แสดงความเบิกบานใจและส่งมอบคำอวยพรให้แก่กัน

‘รัสเซีย’ โว!! ทดสอบ ‘ขีปนาวุธข้ามทวีป’ ผ่านฉลุย-แม่นยำ หลัง ‘ปูติน’ ระงับข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ ‘New START’ กับสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า รัสเซียได้ประกาศความสำเร็จในการยิงทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ขั้นสูง หลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ระงับความร่วมมือในข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ ‘New START’ กับทางสหรัฐฯ

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุผ่านแถลงการณ์ว่า เจ้าหน้าที่กองทัพประสบความสำเร็จในการยิงไอซีบีเอ็มออกจากระบบยิงขีปนาวุธภาคพื้นดิน ที่ฐานการยิงจรวดคาปุสติน ยาร์ ของประเทศเมื่อวันอังคาร (11 เม.ย.) และว่า หัวรบทดสอบของขีปนาวุธดังกล่าวได้พุ่งโจมตีใส่เป้าหมายจำลองที่สนามทดสอบขีปนาวุธซารีชากันในประเทศคาซัคสถานตามความแม่นยำที่กำหนดไว้

แม้ว่ากระทรวงกลาโหมของรัสเซียจะไม่ได้ระบุประเภทของขีปนาวุธ ที่ถูกทดสอบเมื่อวันที่ 11 เมษายนอย่างชัดเจน แต่ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ปฏิบัติการดังกล่าวว่าเป็น ‘การทดสอบอุปกรณ์การต่อสู้ขั้นสูงของไอซีบีเอ็ม’

“การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ ทำให้สามารถยืนยันความถูกต้องของการออกแบบวงจร และการแก้ปัญหาทางเทคนิค ที่ถูกใช้ในการพัฒนาระบบขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์อันใหม่” กลาโหมรัสเซีย กล่าว

‘จีน’ เอาจริง!! เร่งจัดการ ‘เนื้อหาออนไลน์ผิดกฎหมาย’ หน่วยไซเบอร์สเปซ เผย ยอดเดือน มี.ค.พุ่ง 16 ล้านกรณี

(12 เม.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า หน่วยกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีน รายงานว่า จีนจัดการกรณีเกี่ยวกับเนื้อหาออนไลน์ผิดกฎหมายหรืออันตราย ช่วงเดือนมีนาคม มากกว่า 16.7 ล้านกรณี ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 จากเดือนก่อนหน้า

รายงานระบุว่า กลุ่มเว็บไซต์รายใหญ่ของจีนได้จัดการกรณีลักษณะดังกล่าวราว 15.52 ล้านกรณี ส่วนเจ้าหน้าที่กำกับควบคุมอินเทอร์เน็ตส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคจัดการกรณีลักษณะดังกล่าวราว 1.18 ล้านกรณี

มนุษยธรรมจอมปลอม ‘จุดด่างดำ’ ใต้กระโปรงเทพีเสรีภาพ ในวันที่ลุงแซมชอบอ้างภาพว่า ‘ตนเป็นผู้โอบอ้อมอารี’

อเมริกาชอบอ้างเรื่องสิทธิและเสรีภาพมาตลอด รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่มักเอาวาทกรรมเหล่านี้มากล่าวหาชาติอื่นอยู่เสมอ จนชาวโลกเอือมระอา เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ลุงแซมนี่แหละที่ชอบชี้นิ้วใส่หน้าคนนั้นคนนี้แล้วป่าวประกาศว่า “พวกแกช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง” 

ดูพระเอกอันดับหนึ่งอย่างไอสิ ทั้งหล่อทั้งโอบเอื้ออารี แถมมีเทพีเสรีภาพเป็นพยานหลักฐานว่าประเทศไอนั้นต้อนรับผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนา ว่าแล้วยักคิ้วติดกันสองทีซ้อน ยิ้มฟันขาวกระจ่างไปทั้งปาก หลิ่วตานิดหนึ่งตามแบบพระเอกหนังฮอลลีวู้ด

ที่ฐานอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนิวยอร์ก มีบทกวี 14 บรรทัดที่เรียกว่า ‘ซอนเนต์’ ของเอมม่า ลาซารัส บทกวีนั้นชื่อ The New Colossus มีเนื้อความเชิงกล่าวต้อนรับผู้อพยพทุกคนในโลกนี้มาสู่อเมริกา ดิฉันแปลท่อนสุดท้ายอันมีใจความสำคัญว่า...

“ได้โปรดส่งผู้อ่อนล้าและทุกข์เข็ญ
ผองชนที่ใคร่ดอมดมกลิ่นอายแห่งเสรีภาพ
ผู้ถูกหยามว่าเป็นเพียงเดนมนุษย์จากดินแดนของท่าน
หรือภิกขาจารไร้เรือนพักอาศัย
โปรดนำผู้คนเหล่านี้มาสู่อ้อมอกข้าเถิด
ข้าชูคบเพลิงรอรับพวกท่าน ณ เบื้องสุวรรณบาลแห่งนี้”

ลุงแซมชอบด่าคนอื่นว่าไร้มนุษยธรรม ไม่เคยส่องกระจกดูตัวเองว่ากระทำต่อคนอื่นไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่าชาติไหนๆ อย่างไทยเราแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโรฮิงญา แต่ก็อ้าแขนรับคนเหล่านี้ไว้เป็นจำนวนมาก ด้วยความเมตตาเยี่ยงชาวพุทธ แม้ว่าโรฮิงญาเหล่านี้จะเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ภายหลังก็ตาม หรือแม้แต่คราวที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว, เขมร หรือพม่าเดือดร้อนเพราะสงครามภายใน เราโอบอุ้มไว้ด้วยความการุณมาทุกยุคสมัย ดูอย่างชาวมอญเถอะ เข้ามาพึ่งพระบรมธิสมภารพระเจ้าอยู่หัวจนกลายเป็นคนไทยอย่างเต็มตัว ไม่ว่าชาติใดภาษาไหน หากเดือดร้อนมา เราก็ยื่นขันน้ำให้ดื่มดับกระหายทั้งสิ้น

หันมาดูกรณีอเมริกา ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเลยคือ คนแถบอเมริกากลางมักได้รับข้อมูลอย่างผิดๆ มาตลอดว่า เมื่อมาถึงอเมริกาแล้ว จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และสามารถอาศัยอยู่ในอเมริกาได้ในฐานะ 'ผู้ลี้ภัย' แต่ความจริงคือเมื่อกลุ่มผู้อพยพเดินทางมาถึงพรมแดนเม็กซิโก-อเมริกา จะถูกเจ้าหน้าที่อเมริกาผลักดันให้กลับประเทศ แถมยังมีฝูงไฮยีน่าหรือพวกเครือข่ายค้ามนุษย์หลอกเอาเงินทองหรือข่มขืนอีกด้วย

ยุคทรัมป์ ทรัมป์นั้นกีดกันผู้อพยพจากประเทศโลกที่สามชัดเจน ทรัมป์เคยหลุดปากเรียกผู้อพยพจากประเทศอเมริกากลางและแอฟริกาว่าเป็น 'ประเทศรูขี้' หรือประเทศโสโครกมาแล้ว อย่าว่าแต่ทรัมป์เลย จะว่าไปทุกรัฐบาลนั่นแหละที่ปากว่าตาขยิบอยู่ตลอด ปากยิ้มร่าแสดงว่าข้าคือพระเอกอันดับหนึ่งของโลก แต่กลับยกตีนเขี่ยพวกเม็กซิกันและอเมริกากลางที่ยากจนไปพ้นๆ บ้านตัวเอง  

นอกจากทรัมป์จะสั่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกแล้ว โอบาม่าก็ทำในสิ่งที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือสั่งประจำการกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 1,200 นาย เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนและการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

ความปากว่าตาหยิบนั้นเห็นได้มาตลอดในประวัติศาสตร์อเมริกา ย้อนหลังไปหลายสิบปี จะเห็นว่าลุงแซมกีดกันผู้อพยพและคนผิวสีในชาติตนเอง ไม่ให้ได้สิทธิที่เท่าเทียมกับคนผิวขาวอยู่ตลอดเวลา เช่น ค.ศ.1790 มีการออกกฎหมายให้สัญชาติ (Naturaliztion Act) มุ่งกีดกันไม่ให้คนผิวดำได้เป็นพลเมืองอเมริกัน 

ก่อนหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ เคยมีประธานาธิบดีที่ชูนโยบาย 'อเมริกาต้องมาก่อน' มาแล้ว นั่นคือ วาร์เรนจี. ฮาร์ดิง ประธานาธิบดีคนที่ 29 (ค.ศ.1921-1923) ออกนโยบายกีดกันต่อต้านผู้อพยพอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้าที่วาร์เรน จี.ร์ดิง จะขึ้นเป็นประธานาธิบดี ชาวยิวและพวกยุโรปตะวันออกหลั่งไหลมาสู่อเมริกาถึง 22 ล้านคน ชาวยุโรปที่ลงเรือเดินทางมาอเมริกา จะเข้ามาทางนิวยอร์กในช่วงเวลานั้น สิ่งแรกที่มองเห็นและถือเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกาคือ เทพีเสรีภาพ

ถอดรหัส 'สื่อปด-ข่าวบิดเบือน' เรื่อง 3 PDF กับ รัฐบาลไทย ความจริงที่ไม่เคยคิดแสวงหา แต่ถูกใจที่ได้มาร่วม 'ใส่สีตีไข่'

เรื่องราวการจับกุม PDF (กองกำลังพิทักษ์ประชาชน : People's Defence Force) ทั้ง 3 คนที่แม่สอด และทางไทยนำส่งกลับไปยังเมียนมา ได้ถูกหยิบมาตีเป็นข่าวใหญ่ เสมือนว่าไทยส่งทั้ง 3 คนไปสู่เงื้อมมือพญายม  
เอย่าว่าดูมันจะโหดร้ายไปหน่อยไหมกับการออกมากระพือข่าวโจมตีรัฐบาลไทย ตั้งแต่ รัฐบาล NUG รวมถึงพรรคก้าวไกลไป และบรรดาเพจที่ออกตัวสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยเสียสุดลิ่มทิ่มประตู โดยมิได้หาความจริงเลยว่า...เนื้อแท้ของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้คืออะไร?

***ตามรายงานข่าวของสื่อไทยบางสื่อระบุว่า....

“สมาชิกแห่งหน่วยรบพิเศษคอมมานโดฯ ทั้ง 3 คน พยายามข้ามชายแดนเมียนมามายังจังหวัดตาก เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของติฮะ หลังจากพวกเขาถูกโจมตีฐานทัพในจนโด (Kyondo) เมืองกอกะเร็ก (Kawkareik) รัฐกะเหรี่ยง เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา จนในวันที่ 1 เมษายน พวกเขาเดินทางไปยังคลินิก จนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองในแม่สอด เพราะหลงทาง”

***คำบรรยายท่อนนี้มีจุดสังเกตที่เป็นนัยยะที่น่าสงสัยดังนี้...

จากประโยคข้างต้นแสดงให้เห็นว่าทั้ง 3 เดินทางมาถึงไทยและอาศัยหลบซ่อนในที่ใดไม่ปรากฎ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ 1 สัปดาห์ก่อนถูกจับ...ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะเดินหลงทางจากจุดซ่อนตัวไปยังคลินิกหรือโรงพยาบาลที่รักษาพวกเขา ทั้งๆ ที่พวกเขาเข้ามารักษาแล้วถึงเกือบ 7 วัน?

น่าสงสัยไหมว่าอยู่ดีๆ คนที่ข้ามแดนมาอย่างผิดกฎหมายจะเดินไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง?...คือ ต้องเข้าใจก่อนว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนี่เขาจะอยู่เฉพาะจุด เช่นบริเวณด่านชายแดน ซึ่งไม่เหมือนตำรวจกองปราบหรือตำรวจตระเวนชายแดนนะ

มาถึงจุดนี้ในข่าวที่สื่อบางสำนักรายงานออกมามีความคลุมเคลือสงสัยมาก แต่ขอละไว้ก่อน เอย่าจะพามาดูข้อกำหนดว่า หากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้พบคนที่เข้าเมืองผิดกฎหมายแล้ว เขาจะทำยังไง?

งานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของเขาโดย ตาม พรบ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในมาตราที่ 12 วรรค 1 ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า...
.
>> มาตรา 12 ห้ามมิให้คนต่างด้าวซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้เข้ามาในราชอาณาจักร...
...วรรค 1 ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางอันถูกต้องและยังสมบูรณ์อยู่ หรือมีแต่ไม่ได้รับการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางเช่นว่านั้นจากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศหรือจากกระทรวงการต่างประเทศ เว้นแต่กรณีที่ไม่ต้องมีการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวบางประเภทเป็นกรณีพิเศษ

>> และในมาตรา 54 ระบุว่า...
...คนต่างด้าวผู้ใดเข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตนั้นสิ้นสุดหรือถูกเพิกถอนแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะส่งตัวคนต่างด้าวผู้นั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักรก็ได้...

สรุปให้สั้นๆ นะ!! จากจุดนี้จึงมั่นใจได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในวันนั้นไม่ได้รู้ด้วยว่า 3 คนนั้นเป็นใคร รู้เพียงแต่ว่า 3 คนนี้เข้ามาอย่างไม่ถูกต้องและต้องถูกส่งกลับตามมาตรา 54 (เคลียร์ตรงนี้ก่อนนะ)

ทีนี้ในข่าวระบุต่อว่า “เจ้าหน้าที่ไทยกลับส่งชายทั้ง 3 กลับไปยังประเทศต้นทาง ด้วยการลงเรือข้ามแม่น้ำเมยในเวลา 08.00 น. ซึ่งสถานที่นั้นคือฝั่งตรงข้ามฐานของกองกำลังพิทักษ์ดินแดนในหมู่บ้านอิงยินเมียอิง (Ingyin Myaing) นอกจากนี้ยังมีคนพบเห็นว่า กองกำลังดังกล่าวยิงใส่ผู้อพยพทั้ง 3 ก่อนลักพาตัวหนีไป”

จากจุดนี้...ว่ากันในเรื่องของการส่งตัวข้ามแดนของไทยตามมาตรา 55 ว่าด้วยการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น ตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่จะส่งตัวกลับโดยพาหนะใดหรือช่องทางใดก็ได้ ตามแต่พนักงานเจ้าหน้าที่จะพิจารณาเห็นสมควร

ส่วนข้อความที่อ้างว่า “กองกำลังดังกล่าวยิงใส่ผู้อพยพทั้ง 3 ก่อนลักพาตัวหนีไป” อันนี้สับสนมากเพราะถูกกุมตัวแล้วถ้ายิงใส่คงไม่ได้ลักพาตัวหนีไปหรอก แต่น่าจะเป็นหอบร่างไร้วิญญาณเสียมากกว่า

การที่ใครจะออกมาตำหนิการทำงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หากคุณเป็นคนไทยควรศึกษาให้มากเกี่ยวกับกฎหมายของไทย ไม่ใช่มีไมค์จ่อปาก คีย์บอร์ดจ่อมือแล้วพูดหรือพิมพ์เป็นเดือดเป็นร้อนโดยหารู้ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายไทย  

...และเชื่อได้เลยถึงจะพาพวกเขาไปส่งฝั่งเมียนมาแล้วเจ้าหน้าที่ไทยยังคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้ง 3 คนเป็นใคร  เพราะประเด็นฝั่งไทยที่ทั้ง 3 โดนจับ คือ เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย...ส่วนฝั่ง NUG ที่ออกมาตำหนิไทยน่ะนะ...ถ้าหากว่าอยากจะรับผิดชอบต่อ 3 คนนี้ไม่ให้ถูกส่งกลับไปยังเมียนมา ก็ควรจะประกาศออกมาเลยถึงสถานที่ตั้งของ NUG ในประเทศไทยและใครเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ไม่รู้จะติดต่อใครจะให้ติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตเมียนมาในกรุงเทพก็ไม่แคล้วได้รับคำสั่งให้ส่งกลับอยู่ดี 

ข้ามมาในฟากของเหล่าเพจสาวกประชาธิปไตย นี่ก็เช่นกัน ก่อนที่จะงับข่าวใดๆ ไปใส่สีตีไข่ ควรหาความรู้เปิดข้อกฎหมายอ่าน ซึ่งเดี๋ยวนี้สามารถหาได้อ่านฟรีในอินเทอร์เน็ตแล้ว อยากจะปลุกปั่นอะไร อ่านและหาความรู้เยอะๆ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อ

*""ประเด็นนี้ทีมงานของเอย่าได้สืบเสาะหาความจริงของเรื่องราวดังกล่าวมาบอกกล่าง ซึ่งน่าจะไม่ตรงกับข่าวในสำนักไหนเลย ลองมาดูไทม์ไลน์กัน...

Warren Buffett ชี้!! Crypto เป็นเพียงแค่เหรียญพนัน แต่ยังมีคนทำเรื่องโง่ๆ เพียงเพราะหวังรวยแบบข้ามคืน

(14 เม.ย. 66) World Maker เผยมุมมองของนักลงทุนระดับตำนานอย่างปู่ Warren Buffett ซึ่งมองว่า “Crypto เป็นเพียงเหรียญพนัน” ที่ไม่เคยมีมูลค่าอะไรจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย ! หลังจากก่อนหน้านี้ออกมากล่าวชัดเจนว่าอนาคตของ Crypto จะพบจุดจบที่เลวร้าย !

ปู่กล่าวว่า “ได้เห็นคนจำนวนมากทำเรื่องโง่ ๆ มาตลอดชีวิต เช่น การซื้อล็อตเตอรี่” (ซึ่งมีโอกาสถูกรางวัลน้อยมาก) และรู้สึกเห็นใจที่คนส่วนใหญ่มีความคิดว่าจะรวยได้รวดเร็วแบบข้ามคืน ! พร้อมทั้งกล่าวว่า Bitcoin หรือ Crypto ก็แทบไม่ต่างกันเลย มันเป็นการพนันล้วน ๆ

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า “สัญชาตญาณในการพนันของคนนั้นแข็งแกร่งมาก” โดยเฉพาะเมื่อเห็นเรื่องราวของคนที่รวยได้แบบข้ามคืนจากการพนัน จะยิ่งทำให้ผู้คนอยากพนันมากขึ้นไปอีก เพราะคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้โชคดี

ทางด้านปู่ Charlie Mungur คู่หูของปู่ Buffett เองก็มีมุมมองที่คล้ายคลึงกัน โดยกล่าวว่าเหรียญเหล่านี้เป็นสิ่งลวงโลกที่เอามาหลอกคนอยากรวยเร็ว มันเป็นเหมือนกามโรคชนิดหนึ่ง และยังกล่าวอีกว่ารัฐบาลควรออกกฏหมายใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าไปเก็งกำไรแบบผิด ๆ จนเกิดหายนะ

📌 ซึ่งพร้อมกันนี้ ราคา Bitcoin พุ่งกลับขึ้นมายืนเหนือ 30,000 $/BTC อีกครั้ง และเริ่มมีข่าวปั่นกระแสเหมือนที่สื่อไทยคุบางแห่งเคยหลอกเงินชาวบ้านโดยเชียร์ซื้อเหรียญพร้อมอ้างว่าเป็นอนาคตของโลกตอนราคาประมาณ 50,000-60,0000 ดอลลาร์ก่อนจะร่วงยับ -80% เช่นเดียวกับที่เชียร์ซื้อหุ้น Tesla ตอนยอดดอย บอกเป็นโอกาสสุดท้ายในการซื้อราคาถูก ก่อนร่วงยับ -70%

อย่างไรก็ตาม บางคนยังพยายามกระหน่ำมุมมองว่า Crypto จะเข้ามาล้มดอลลาร์และระบบเงิน Fiat ในอนาคต โดยให้เหตุผลถึงการพุ่งขึ้นของ Bitcoin ว่ามาจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อระบบการเงินดั้งเดิม โดยเฉพาะหลังจากเกิด Bank Run ทำให้คนสนใจในคริปโตมากขึ้น ?

'ผู้นำเมียนมา' ธำรงหลากอารยะในวันที่ชาติพันธุ์ยังไม่สิ้นศรัทธา เดินหน้ากุมหัวใจชาวรัฐฉาน เพื่อคงไว้ซึ่งความสงบสุข

เมื่อก่อนสงกรานต์ที่ผ่านมา นายพลมิน อ่อง หล่าย ได้ไปเป็นประธานเปิด หอคำแสนหวี ที่เมืองแสนหวี เรื่องนี้นับเป็นก้าวแรกของคำสัญญาที่ นายพลมิน อ่อง หล่ายทำให้แก่ชาวไทใหญ่ ตามที่เขาได้หารือหยุดยิงกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่รัฐฉาน

สำหรับหอคำเมืองแสนหวีที่สร้างใหม่ จะมีความเหมือนกับหอคำเดิมที่ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของขุนส่างต้นฮุง ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทย หลังถูกทำลายไปโดยกองทัพพม่าของนายพลเนวิน ตอนยกเลิกระบอบเจ้าฟ้าในรัฐฉาน

ไม่เพียงเท่านี้ ก่อนหน้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายพล มิน อ่อง หล่าย ก็ได้เป็นประธานในพิธีฝังอิฐเงิน อิฐคำ เปรียบได้กับพิธีวางศิลาฤกษ์ การก่อสร้างหอหลวงเชียงตุงหลังใหม่ บริเวณริมหนองตุง ฝั่งตะวันตก ตรงข้ามที่ตั้งหอหลวงหลังเดิมซึ่งถูกกองทัพพม่าระเบิดทิ้งไปเมื่อ 31 ปีก่อน โดยหอคำที่เชียงตุงนั้นสร้างขึ้นตามความต้องการของชาวเชียงตุงเพื่อเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเชียงตุง โดยใช้ที่ดินซึ่งเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าฟ้าเชียงตุงเป็นสถานที่ก่อสร้างและยึดรูปแบบตามสถาปัตยกรรมของหอหลวงเชียงตุงหลังเดิมตามแบบของเจ้ารัตนะก้อนแก้วอินแถลงที่ได้แรงบันดาลใจในการสร้างหอหลวงหลังนี้ จากการเดินทางไปประชุมที่อินเดีย 

ย้อนไปในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2534 ในยุคที่นายพลตานฉ่วยเป็นผู้นำสหภาพพม่า ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวเชียงตุงที่ดังออกมาจากทั่วทุกหัวระแหง กองทัพพม่าได้ระเบิดหอหลวงเชียงตุงทิ้ง และมอบที่ดินซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอหลวงให้บริษัทเอกชนเช่า สร้างเป็นโรงแรม ใช้ชื่อว่าโรงแรมนิวเชียงตุง และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงแรมอะเมซซิง เชียงตุงในเวลาต่อมา แม้จะมีการขอคืนที่ดินดังกล่าวในสมัยรัฐบาล NLD โดยมีการประชุมระหว่างทายาทของเจ้าก้อนอินแถลงร่วมกับเหล่าผู้อาวุโสของเมืองในการทำหนังสือเรียกร้องขอคืนที่ดินดังกล่าวต่อประธานาธิบดีวิน หมิ่น และผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม, รัฐมนตรีกระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยว รวมถึง ดร.ลิน ทุต มุขมนตรีรัฐฉาน ซึ่งเป็นคนของพรรค NLD

ตราบาปของกองทัพเมียนมาต่อชาวไทใหญ่ การตัดสินใจสุดท้าทายของ ‘มิน อ่อง หล่าย’

หลังจากที่เอย่าได้นำเสนอเรื่องราวการสร้างหอคำหลวงแสนหวีและหอคำหลวงเชียงตุงแก่ชาวแสนหวี ล่าเสี้ยวและเชียงตุงแล้ว อีกเรื่องเรื่องหนึ่งที่เป็นกรณีพิพาทครั้งสมัยนายพลเนวิน ที่สร้างตราบาปให้แก่กองทัพเมียนมาต่อประชาชนชาวไทใหญ่คือการจับ เจ้าส่วยแต๊กและยึดหอเจ้าฟ้าเมืองยองห้วย

แต่ก่อนจะมาพูดถึงเรื่องนี้ เรามารู้จักเจ้าส่วยแต๊กก่อนว่าท่านผู้นี้คือใคร เจ้าส่วยแต๊ก หรือ เจ้าคำศึก พระนามเต็มในฐานะเจ้าฟ้าไทใหญ่แห่งเมืองยองห้วยคือ ‘เจ้าฟ้ากัมโพชรัฐสิริบวรมหาวงศาสุธรรมราชา’ ท่านเป็นประธานาธิบดีแห่งสหภาพพม่าพระองค์แรกหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ และท่านเป็นเจ้าฟ้าพระองค์สุดท้ายของเมืองยองห้วย พระองค์เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงทางการเมืองในหมู่ประชาชนชาวไทใหญ่ พระองค์สิ้นพระชนม์จากการถูกจับขังในคุกในย่างกุ้งหลังจากการรัฐประหารโดยนายพลเนวินในปี พ.ศ. 2505 และในอีก 2 ปีต่อมา หอเจ้าฟ้าเมืองยองห้วยก็ถูกยึดเป็นสมบัติของกองทัพ 

ต่อมา เจ้าเห่หม่า แต๊ก ธิดาของเจ้าส่วยแต๊ก ได้ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลเมียนมาและรัฐบาลรัฐฉาน ขอให้ “คืน” สิทธิ์ครอบครองหอเจ้าฟ้าเมืองหยองห้วยกลับมาให้เธอ ในฐานะทายาทโดยชอบธรรมของเจ้าส่วยแต๊ก

ซึ่งเธอได้ยื่นเรื่องทวงคืนครั้งแรกตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเต็งเส่ง ตั้งแต่ปี 2556 ต่อมาได้ยื่นอีกในปี 2557, 2558, 2560 และ 2562 แต่เธอก็ไม่เคยได้รับคำตอบใด ๆ จากรัฐบาลของประธานาธิบดีเต็งเส่งเลย นั่นก็เพราะว่าปี 2556 รัฐบาลเมียนมาได้มอบกรรมสิทธิ์ให้รัฐบาลรัฐฉานเป็นผู้รับผิดชอบหอเจ้าฟ้าหยองห้วย โดยรัฐบาลรัฐฉานได้เปิดหอเจ้าฟ้าให้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงรูปภาพ 91 รูป ข้าวของเครื่องใช้ของเจ้าฟ้า 338 ชิ้น รวมถึงเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของเจ้าฟ้า 138 ชุด จากนั้นก็ให้เจ้าเห่หม่า แต๊ก กับผู้ช่วยอีก 6 คน คอยดูแล และเป็นผู้อธิบายเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีของชาวไทใหญ่ แก่ผู้ที่มาเยือน

‘นายกฯ คิชิดะ’ ถูกคนร้ายปาระเบิดควันใส่ ขณะปราศรัยที่วากายามะ เคราะห์ดี จนท.เข้ารวบตัวคนร้ายไว้ได้ทัน รีบนำตัวออกจากพื้นที่ทันที

(15 เม.ย. 66) ตำรวจญี่ปุ่นรวบตัวชายต้องสงสัยปาวัตถุคล้ายระเบิดควันเข้าใส่นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ขณะกำลังกล่าวปราศรัยกลางแจ้งที่เมืองวากายามะ (Wakayama) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (15 เม.ย.) โดยผู้นำญี่ปุ่นถูกกันตัวออกจากพื้นที่ และไม่ได้รับอันตราย

สถานีโทรทัศน์ NHK รายงานว่า มีเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนที่ทีมอารักขาจะรีบกันตัวนายกฯ ออกจากพื้นที่ และตำรวจสามารถควบคุมตัวชายต้องสงสัยไว้ได้ในที่เกิดเหตุ

สื่อญี่ปุ่นยังเผยแพร่คลิปเหตุการณ์ที่ผู้คนต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ขณะที่ตำรวจหลายนายรีบพุ่งเข้ากดตัวชายต้องสงสัยลงกับพื้นและนำตัวเขาออกไป

‘ชาวอียิปต์’ เดือด!! รัฐบาลแนะกิน ‘ตีนไก่-กีบเท้าวัว’ บรรเทาจน ขัดวัฒนธรรมผู้คนที่มองเป็นเศษอาหารเหลือทิ้งให้หมาแมวกิน

ไอเดียบรรเจิดหรือไม่...ไม่รู้? แต่ไอเดียแก้ปัญหาของรัฐบาลอียิปต์ ด้วยการออกคำแนะนำให้ประชาชนหันมาบริโภค ‘ตีนไก่-กีบเท้าวัว’ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ ก็ดูจะสร้างความไม่พอใจต่อประชาชนในประเทศอย่างมากเลยทีเดียว

ปัญหาความยากจนและภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนในหลายประเทศต้องแบกรับ หนึ่งในนั้น ก็รวมถึงในประเทศอียิปต์ ที่เงินเฟ้อทะยานขึ้นแตะ 30% จนทำให้ราคาสินค้าหลายประเภท พุ่งขึ้น 2-3 เท่า

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์อียิปต์ร่วงลงกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลต้องประกาศลดค่าเงินหลายครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับการนำเข้าสินค้า

ราคาอาหารคนและอาหารสัตว์ ที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้หลายครอบครัวไม่สามารถซื้อ แม้แต่วัตถุดิบง่าย ๆ อย่างน้ำมันพืช หรือชีสได้

ปีที่แล้ว วีแดด (Wedad) คุณแม่วัยเกษียณชาวอียิปต์ ใช้ชีวิตอย่างไม่ขัดสนแบบคนชนชั้นกลาง อาศัยเงินบำนาญประมาณ 5,500 บาท ที่ได้รับทุกเดือน แต่ปัจจุบัน เธอเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับทุก ๆ คน คือ ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน

วีแดด บอกว่า เธอต้องลดการกินเนื้อ เหลือแค่เดือนละครั้ง บางเดือนก็ไม่กินเลย แต่ก็ยังซื้อไก่กินอาทิตย์ละครั้ง โดยราคาไก่ทั้งตัว ปัจจุบันอยู่ที่ กก.ละเกือบ 78 บาท จากเดิมอยู่ที่ กก.ละ 33 บาทในปี 2021 ส่วนราคาไข่ไก่ทุกวันนี้ พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ฟองละเกือบ 6 บาทแล้ว

***จากสภาวะความยากลำบากที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้รัฐบาลอียิปต์ผุดไอเดียออกคำแนะนำให้ประชาชนหันมาบริโภค ‘ตีนไก่’ และ ‘กีบเท้าวัว’ ที่มีราคาถูก ในช่วงที่ภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 

พลันที่รัฐบาลบอกแบบนี้ ก็เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะแม้ ‘ตีนไก่’ จะเป็นวัตถุดิบที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ หลายประเทศนิยมรับประทานโดยนำมาต้มหรือตุ๋นในน้ำซุป แต่ในบางวัฒนธรรม เช่น อียิปต์ มองว่าตีนไก่ไม่ใช่วัตถุดิบที่นำมาทำอาหารได้ เป็นแค่เศษอาหารเหลือทิ้ง ที่มักให้สุนัขหรือแมวกินเท่านั้น คนจำนวนมากจึงรู้สึกไม่พอใจกับคำแนะนำนี้ เพราะมองว่ารัฐบาลควรพยายามหาทางแก้วิกฤตนี้ให้ได้ แทนที่จะขอให้ประชาชนหันไปกินอาหารที่เป็นสัญลักษณ์ของความยากจน

สำหรับอียิปต์เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาหรับ และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจเหนือกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากรัฐบาลชี้ว่า ประชากรในประเทศราว 30% มีรายได้อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ขณะที่ธนาคารโลกประเมินในปี 2019 ว่า ชาวอียิปต์ประมาณ 60% มีฐานะยากจนหรืออยู่ในกลุ่มเปราะบาง

ด้านประธานาธิบดีอับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจของอียิปต์เริ่มขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ชุมนุมอาหรับสปริงในปี 2011 ประกอบกับจำนวนประชากรในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแตะ 109 ล้านคน ยิ่งซ้ำเติมปัญหาด้านทรัพยากรที่มีจำกัด รวมถึงความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังมีปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งวิกฤตโรคระบาด ซึ่งทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ออกจากอียิปต์ในปี 2020 นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตสงครามในยูเครนด้วย

แต่ละปี จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากรัสเซียและยูเครนเดินทางมาที่อียิปต์ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไปมากนับตั้งแต่เกิดสงคราม จนทำให้รายได้ในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็น 5% ของ GDP ติดลบอย่างหนัก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top