Monday, 7 July 2025
World

อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำไทย จ่อนั่งผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศ คุมการเมืองเอเชีย ดูแลความสัมพันธ์จีน-เกาหลีเหนือ

(24 ม.ค.68) สำนักข่าวนิเคอิรายงานว่า นาย ไมเคิล ดีซอมบรี อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับตำแหน่งนักการทูตระดับสูงด้านเอเชียของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในรัฐบาลชุดใหม่

ดีซอมบรี ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศ มีแนวโน้มที่จะได้รับตำแหน่งแทน แดเนียล คริเทนบริงค์ นักการทูตอาวุโสในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการขั้นสุดท้าย ก่อนจะเสนอชื่อให้วุฒิสภาพิจารณา

ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งสำคัญที่มีความรับผิดชอบในการจัดการกับประเด็นที่ละเอียดอ่อนในภูมิภาค ทั้งความสัมพันธ์กับจีน ปัญหาความมั่นคงของเกาหลีเหนือ และการรักษาความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับพันธมิตรสำคัญ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ดีซอมบรีมีความรู้และประสบการณ์ด้านการควบรวมกิจการในเอเชีย โดยได้ใช้ชีวิตอยู่ในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปี ก่อนจะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยในช่วงปี 2563-2564 นอกจากนี้ เขายังมีความสามารถในการพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว และยังสามารถสื่อสารภาษาเกาหลีและญี่ปุ่นได้บ้าง

นักวิชาการชำแหละ ทรัมป์บอกลา WHO ถอนข้อตกลงปารีส เปิดช่องจีนครองบทบาทผู้นำโลก

(24 ม.ค.68) หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยสองเพียงไม่นาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกใน 2 องค์กรระดับโลกคือ การถอนตัวออกจากสมาชิกองค์การอนามัยโลก และการถอนตัวสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งท่าทีทั้งสองดังกล่าว นักวิชาการจากสถาบันในรัฐแคลิฟอร์เนียมองว่า เป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น 

ศาสตราจารย์โรเดอริก เคียวเวียต (Roderick Kiewiet) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (Caltech) เผยต่อสำนักข่าวสปุตนิกว่า ในกรณีการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายในการจำกัดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมนั้น มีลักษณะเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น เพราะสหรัฐและประเทศอื่น ๆ แทบไม่มีทางบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ได้อยู่แล้ว

“การถอนตัวของสหรัฐเป็นเพียงการยืนยันว่าทั่วโลกยังคงใช้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในอัตราเดิมต่อไปอีกนาน” เคียวเวียตกล่าว ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับศาสตราจารย์คานิชกัน สถาสิวัม (Kanishkan Sathasivam) จากมหาวิทยาลัยเซเลมสเตต รัฐแมสซาชูเซตส์ เห็นด้วยว่าการถอนตัวครั้งนี้เป็นเพียง 'เชิงสัญลักษณ์' และคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว  

“หลายสิ่งที่สหรัฐทำในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นดำเนินการผ่านกฎหมายในประเทศ ทั้งระดับรัฐบาลกลางและรัฐ ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยลำพัง” สถาสิวัมกล่าว  

ด้าน ศาสตราจารย์ริชาร์ด เบนเซล (Richard Bensel) จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ กล่าวว่า การถอนตัวของสหรัฐจากข้อตกลงปารีสจะลดบทบาทของประเทศในเวทีโลก ขณะเดียวกัน จีนอาจใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มบทบาทความเป็นผู้นำของตัวเอง “ผลกระทบหลักจากการถอนตัวครั้งนี้คือการสูญเสียอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐ ขณะที่จีนจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ทรัมป์ทิ้งไว้” เบนเซลกล่าว  

ขณะที่กรณีทรัมป์สั่งถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) สะท้อนว่าทรัมป์ละเลยความเป็นจริงของวิกฤตภูมิอากาศและผลกระทบในระดับโลก แกเร็ธ เจนกินส์ นักวิจัยอาวุโสอิสระจากโครงการศึกษาซิลค์โร้ดและศูนย์ตุรกีแห่งสถาบันนโยบายความมั่นคงและการพัฒนาในกรุงสตอกโฮล์มกล่าวว่า 

"ทุกประเทศจำเป็นต้องดำเนินมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิก เช่นเดียวกับที่เราทุกคนต้องรับผลกระทบ หากสหรัฐฯ ผลิตน้ำมันมากขึ้น ก็จะสร้างมลพิษมากขึ้น และเช่นเดียวกับที่การแพร่ระบาดของโควิดแสดงให้เห็นว่าโรคระบาดเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดน แน่นอนว่า WHO จะทำงานได้อย่างแข็งแกร่งหากสหรัฐยังเป็นสมาชิกอยู่ ดังนั้นการถอนตัวจาก WHO จะจะยิ่งทำให้องค์กรนี้อ่อนแอลง" เจนกินส์กล่าว 

อย่างไรก็ตาม เจนกินส์ เห็นพ้องกับนักวิชาการคนอื่นๆ ว่า การที่สหรัฐถอนตัวจาก WHO จะเป็นโอกาสทองที่จีนจะก้าวขึ้นมามีบทบาทในองค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลกนี้มากขึ้น 

สส.รีพับลิกัน ผุดไอเดียแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดัน 'ทรัมป์' นั่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3

(24 ม.ค.68) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันได้ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 23 มกราคม เพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีในอนาคตสามารถดำรงตำแหน่งได้มากถึง 3 สมัย

ญัตติที่เสนอขึ้นมาเพียงไม่กี่วันหลังจากที่นายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง โดยนายแอนดี้ โอเกิลส์ สส.พรรครีพับลิกันจากรัฐเทนเนสซี ซึ่งเป็นผู้เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ได้กล่าวว่า นายทรัมป์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นฟูสหรัฐให้กลับมายิ่งใหญ่และควรได้รับโอกาสอีกครั้งเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปัจจุบัน มาตราที่ 22 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐกำหนดให้ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกสามารถดำรงตำแหน่งได้สูงสุดเพียง 2 สมัย โดยระบุว่า "ไม่มีบุคคลใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกินกว่า 2 ครั้ง" ในขณะที่การแก้ไขครั้งนี้จะเปลี่ยนเป็น "ไม่มีบุคคลใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกินกว่า 3 ครั้ง"

นอกจากนี้ยังมีการเสนอการแก้ไขเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่เกิน 2 ปีในระหว่างที่บุคคลอื่นดำรงตำแหน่ง ซึ่งจะสามารถลงเลือกตั้งได้อีกเพียงครั้งเดียว

นายโอเกิลส์กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะช่วยให้สหรัฐสามารถรักษาผู้นำที่กล้าหาญไว้ในประเทศได้

มาตราที่ 22 ได้รับการเสนอในปี 2490 และมีการรับรองในปี 2494 เพื่อป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีคนใดดำรงตำแหน่งยาวเกินไป โดยอ้างอิงถึงอดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ ผู้เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพรรครีพับลิกันจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่จำนวนที่นั่งเพียงแค่ 3 ที่นั่งทำให้การผ่านญัตตินี้ยังมีความยากลำบาก และคาดว่าแนวทางนี้อาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเดโมแครต

'ทรัมป์' สั่งเปิดแฟ้มลับคดีลอบสังหาร 'เจเอฟเค' และ 'มาร์ติน ลูเธอร์ คิง'

(24 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจัดทำแผนการเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารที่สำคัญ 3 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ได้แก่ การสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี, โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 23 มกราคมว่า "หลายคนรอคอยการเปิดเผยนี้มานาน และเราจะเปิดเผยทุกอย่าง" พร้อมกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องส่งแผนการเปิดเผยเอกสารภายใน 15 วัน

การลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดีเกิดขึ้นที่ดัลลาสในปี 1963 ขณะที่โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีถูกยิงเสียชีวิตในปี 1968 ขณะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในแคลิฟอร์เนีย และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนก็ถูกสังหารในเมมฟิส รัฐเทนเนสซี

เอกสารเกี่ยวกับการสืบสวนเหล่านี้ได้ถูกเปิดเผยบางส่วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังมีเอกสารอีกจำนวนมากที่ถูกเก็บเป็นความลับ โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีของเคนเนดีที่มีรายละเอียดซับซ้อน

การสืบสวนเกี่ยวกับการสังหารของเคนเนดีระบุว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียว แต่ยังมีข้อสงสัยและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของกลุ่มต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่รัฐบาล มาเฟีย หรือบุคคลอื่น ๆ ซึ่งได้สร้างข้อสงสัยในหมู่ประชาชน

ในปี 1992 สหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายให้เปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนภายใน 25 ปี ซึ่งมีการเปิดเผยเอกสารจำนวนมากในยุคของทรัมป์และโจ ไบเดน แม้ว่าเอกสารบางส่วนยังคงเป็นความลับ

ทรัมป์เคยสัญญาว่าจะเปิดเผยเอกสารทั้งหมดในระหว่างการดำรงตำแหน่งครั้งแรก แต่ไม่ได้ทำตามสัญญา หลังจากที่หน่วยงานอย่างซีไอเอและเอฟบีไอขอให้เก็บเอกสารบางส่วนเป็นความลับ

การลงนามในคำสั่งล่าสุดของทรัมป์ระบุว่า การรักษาความลับไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสาธารณชน ซึ่งอาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการลอบสังหารและความเชื่อมโยงของออสวอลด์กับหน่วยงานต่าง ๆ

นอกจากนี้ เอกสารที่เปิดเผยเมื่อไม่นานนี้ยังมีการเพิ่มข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการติดตามออสวอลด์โดยซีไอเอ รวมถึงการให้ข้อมูลจากพยานเห็นเหตุการณ์ ซึ่งทำให้ทฤษฎีที่ว่าออสวอลด์เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียวต้องได้รับการพิจารณาใหม่

ในคดีของโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีและมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ก็ยังมีความสงสัยในคำกล่าวอ้างว่า เซอร์ฮานและเจมส์ เอิร์ล เรย์ เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียว เนื่องจากครอบครัวของทั้งสองได้ตั้งคำถามว่า การลอบสังหารเป็นผลจากแผนการสมคบคิดที่กว้างขวางกว่าที่เคยเชื่อกัน

ทรัมป์เผย น้ำมัน-ก๊าซคือทรัพย์สินล้ำค่า พร้อมขู่ใช้ภาษีเป็นอาวุธทุบจีน

(24 ม.ค.68) ในการสัมภาษณ์พิเศษกับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับจีนเกี่ยวกับไต้หวันและการค้า เนื่องจากสหรัฐฯ มีแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่เหมือน 'บ่อทองคำ' ซึ่งจีนต้องการ

ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐฯ มีภาษีที่เป็น 'แต้มต่อ' เหนือจีน และแม้ว่าตนจะไม่อยากใช้มาตรการภาษี แต่การกำหนดภาษีก็เป็น อำนาจมหาศาล ที่สหรัฐฯ มีเหนือจีน

"เรามีทั้งน้ำมันและก๊าซมากกว่าประเทศอื่น ๆ... นี่คือทรัพย์สินอันล้ำค่า จีนไม่มีสิ่งเหล่านี้... เราจะทำให้ประเทศของเราร่ำรวยอีกครั้ง และพลังงานจะเป็นตัวนำทาง แต่ยังมีสิ่งอื่นๆ เช่น ภาษี" ทรัมป์กล่าว

ในสัปดาห์นี้ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนอีก 10% โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ พร้อมกับการใช้ภาษี 25% กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากจีนส่งออกเฟนทานิลไปยังแคนาดาและเม็กซิโก

ก่อนหน้านี้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปีที่แล้ว ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขาจะเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนถึง 60%

ทางด้านนางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน 'เป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกัน' และรัฐบาลจีนมั่นใจว่าทั้งสองประเทศจะสามารถหาทางประนีประนอมกันได้ แต่จีนพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเสมอ

'บารัค โอบามา' หย่า 'มิเชล โอบามา' จบชีวิตคู่ 33 ปี โยงดาราสาว 'เจนนิเฟอร์ อนิสตัน' มือที่สาม

(24 ม.ค.68) ข่าวลือที่กำลังเป็นกระแสฮอตบนโลกโซเชียลของสหรัฐฯ กล่าวถึงการหย่าร้างของบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีและมิเชล โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง หลังจากที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 33 ปี โดยข่าวลือเหล่านี้เริ่มต้นจากคำพูดของ 'เมแกน แมคเคน' นักจัดรายการวิทยุชื่อดังที่ออกมาเปิดเผยว่า ทั้งสองได้แยกกันอยู่และกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว นอกจากนี้ยังมีรายงานจากสื่อหลายแห่ง เช่น เดลิเมลล์ และ The Economic Times ที่เผยแพร่ข่าวว่า มิเชล โอบามา ไม่ได้เข้าร่วมงานพิธีสำคัญสองงานร่วมกับบารัค โอบามา ที่กรุงวอชิงตันดี.ซี. ซึ่งยิ่งทำให้ข่าวลือนี้มีมูลมากขึ้น

ข่าวลือที่ทำให้เรื่องนี้ยิ่งได้รับความสนใจคือการเชื่อมโยงชื่อของ 'เจนนิเฟอร์ อนิสตัน' นักแสดงสาวจากซีรีส์ดัง 'เฟรนดส์' กับบารัค โอบามา หลายแหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้งสองกำลังคบหาดูใจกัน แม้ว่าอนิสตันจะออกมาปฏิเสธในรายการ Jimmy Kimmel Live และยืนยันว่าเป็นแค่เพื่อนกัน แต่ข่าวลือดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การคาดเดาเกี่ยวกับสถานะของทั้งสามคนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่สังคมจับตามอง โดยมีการแสดงความเห็นจากนักข่าวชื่อดัง 'มีเกน เคลลี' ที่กล่าวว่า หากข่าวลือนี้เป็นความจริง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการการเมืองของพรรคเดโมแครตอย่างใหญ่หลวง 

ถึงแม้ว่าบารัค โอบามา และมิเชล โอบามาจะไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับข่าวลือนี้ แต่มีการพบเห็นทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกันเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาที่ร้านอาหารในลอสแอนเจลิส ซึ่งยังคงเป็นที่จับตาของสาธารณชนทั่วโลก

จีนใช้หุ่นยนต์เชิดสิงโต!! ต้อนรับตรุษจีน ปี 2025 จีนอวดคนทั้งโลก โชว์ประเพณีการเชิดสิงโต กับความไฮเทคของจีน

จีนใช้หุ่นยนต์เชิดสิงโต!! 
#ตรุษจีน ปี 2025 จีนคงอยากจะอวดทั้งโลก โชว์ประเพณีจีน Soft Power การเชิดสิงโตกับความไฮเทคของจีน !! #SoftPower

‘รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ’ ประกาศชัด!! ‘พาสปอร์ต’ ต้องระบุ!! เพศ ‘ชาย - หญิง’ เท่านั้น ห้ามขีดฆ่า

(25 ม.ค. 68) นายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายใหม่เกี่ยวกับการระบุเพศ ใน ‘หนังสือเดินทาง’ ว่า 

มีแต่ ชาย หรือ หญิง เท่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ทั้งนี้การระบุ ‘X’ หรือแทนการขีดฆ่าไม่ระบุเพศ ในหนังสือเดินทางไม่อนุญาตให้ทำได้อีกต่อไป

‘ครูเดวิด’ ฉะยุคทรัมป์ เศรษฐีครองอเมริกาจะแย่ลง ‘อาจารย์อดัม’ ซัดเดือด!! ไบเดนนั่นแหละห่วย

(25 ม.ค. 68) ภายหลัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสาบานตนรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ทั่วโลกก็ต่างจับตาถึงทิศทางการทำงานของทรัมป์โดยเฉพาะในเรื่องความร่วมมือและเศรษฐกิจ

ล่าสุด ครูเดวิด วิลเลี่ยม ติ๊กต็อกเกอร์ดัง ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ไทยมานาน ได้ออกมาเผยแพร่คลิปแสดงความคิดเห็นใจความตอนหนึ่งว่า อีลอน มัสก์ ไม่ได้เป็นคนดี สนใจแต่เงิน เขาไม่สนใจประชาธิปไตย ถามว่ารู้ได้ไง ถ้าคุณดูอย่างทวิตเตอร์จะเปลี่ยนเป็น x ทำไมไม่รู้ แต่ถ้ามีใครมาวิจารณ์เขา เขาจะเอาปิดบัญชีนั้นไปเลย แสดงว่าไม่สนใจเรื่อง Free Speech แล้วคนๆ นี้ที่เป็นเศรษฐีทำไมถึงได้เข้าไปพูดในงานที่โดนัล ทรัมป์ไปพูดได้ยังไง

ขณะเดียวกันนโยบายของทรัมป์ใช้งบประมาณมหาศาลเลยนะ งบประมาณของอเมริกาจึงต้องเพิ่มไม่ใช่ลดลง แล้วก่อนหน้านี้ทรัมป์ยังประกาศช่วงหาเสียงว่า เหตุผลที่ต้องทรัมป์เพราะจะขับไล่ต่างด้าวไปให้หมด และเก็บสิ่งดีๆ สำคัญไว้ให้คนอเมริกัน

นอกจากนี้คนรอบตัวทรัมป์มีแต่เศรษฐีมากกว่านักการเมืองเสียอีก นักการเมืองที่ถูกเลือกด้วยประชาชน แต่ทรัมป์เอาเจ้าของบริษัทรวยๆ ดังๆ ได้นั่งเก้าอี้พรีเมียม นั่นหมายความว่าเขาอยากจะบอกประชาชนว่าใครคือเจ้าของประเทศ คอยดูเลยนะว่า อเมริกาจะเลอะเทอะมาก คนจนจะจนลง คนรวยจะรวยมหาศาล

ต่อมา อาจารย์อดัม แบรดชอว์ ชาวอเมริกันผู้มีประสบการณ์การสอนในประเทศไทยกว่า 18 ปี และมีรายการสอนภาษาอังกฤษในโทรทัศน์ทางหลาย ๆ ช่อง ได้แชร์คลิปดังกล่าวและระบุว่า

“ถุย!! เดวิดไม่ใช่ตัวแทนชาวเมกันหรอก มีแต่แขวะเมกาและอวยประเทศไทย ผมเองก็รักประเทศไทยมาก ๆ เหมือนกัน แต่ไม่ได้แปลว่าต้องมาบอกว่าเมกาแย่อย่างนี้อย่างนั้น ขณะเดียวกัน ผมเข้าใจเจตนาของเดวิดคืออยากเรียกยอดวิวด้วยการพูดในสิ่งที่เค้าคิดว่าคนไทยอยากจะฟัง

แต่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทราบดีว่าไบเดนนั่นแหละห่วยแตกมาก ไม่ได้ทำห่าอะไรใน 4 ปีที่ผ่านมานอกจากปิดปากทุกคนที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับนโยบายชัตดาวน์และที่มาของโควิด ถามหน่อยในช่วงของไบเดนอัตราเงินเฟ้อเป็นยังไงบ้าง ? แล้วอัตราดอกเบี้ยล่ะ”

'มาร์โก รูบิโอ' จี้!! เวียดนาม ให้เร่งแก้ปัญหาการค้าเกินดุลกับ ‘อเมริกา’ หลังยอดขาดดุล 11 เดือนแรกปีที่แล้ว พุ่งทะลุ 1.1 แสนล้านดอลลาร์

(26 ม.ค. 68) ‘มาร์โก รูบิโอ’ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับการรับรองจากวุฒิสภาเป็นคนแรกในรัฐบาลทรัมป์ ต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม บุ่ย แทงห์ เซิน (Bui Thanh Son) เมื่อวันศุกร์ เรียกร้องให้เวียดนาม ‘แก้ปัญหาการค้าที่ไม่สมดุลกับสหรัฐ’ และหารือเรื่องความกังวลต่างๆ เกี่ยวกับจีน  

ทั้งนี้ เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดในโลก จากข้อมูลของทางสหรัฐพบว่า เฉพาะช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 ยอดเกินดุลการค้าและบริการสูงถึงกว่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นเพราะค่าเงินดองที่อ่อนค่าลงทุบสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  ทำให้เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจับตาว่าอาจจะถูกหมายหัวในยุคของรัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  

แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุว่า ในการหารือกันทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรกระหว่างนักการทูตระดับสูง 2 คน ทั้งสองได้แสดงความยินดีในวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเวียดนาม และความคืบหน้าที่เกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม (Comprehensive Strategic Partnership) ซึ่งทั้งสองประเทศได้ตกลงกันในปี 2023

รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐยังได้หารือถึงข้อกังวลในภูมิภาค ซึ่งรวมถึง ‘พฤติกรรมก้าวร้าวของจีนในทะเลจีนใต้’ ด้วย และในขณะที่มีการชื่นชมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน รูบิโอก็ได้เรียกร้องให้เวียดนามแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าด้วย

ทั้งนี้ แม้ว่าเวียดนามจะกลายมาเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่สำคัญของสหรัฐ แต่นักวิเคราะห์มองว่า

ของสหรัฐในเดือนนี้แสดงให้เห็นว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐกับเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบ 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐ ‘สูงที่สุดเป็นอันดับ 4 รองจากจีน สหภาพยุโรป และเม็กซิโก’

ก่อนหน้านี้ที่ทรัมป์เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในวาระแรก ทรัมป์ได้สิ้นสุดวาระปีสุดท้ายด้วยการที่กระทรวงการคลังสหรัฐออกประกาศว่า ‘เวียดนาม’ และ ‘สวิตเซอร์แลนด์’ เป็นสองประเทศที่เข้าข่าย ‘บิดเบือนค่าเงิน’ (currency manipulation) โดยมีการแทรกแซงตลาดทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเพื่อความได้เปรียบทางการค้า

ทางด้านนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ได้กล่าวในที่ประชุม เวิลด์ อีโคโนมิ ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เวียดนามกำลังดำเนินการหาทางออกเพื่อสร้างสมดุลเรื่องดุลการค้ากับสหรัฐ โดยย้ำคำมั่นสัญญาที่จะ "ซื้อเครื่องบิน" ของบริษัทโบอิ้ง และแสดงความสนใจในการซื้อสินค้าไฮเทคอื่นๆ ของสหรัฐมากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top