Thursday, 9 May 2024
World

'ไอเอส' อ้างตัว 'กราดยิง' คอนเสิร์ตที่มอสโก ส่วนกลุ่มหนุนยูเครน' ปัดเอี่ยว ฟาก 'รัสเซีย' ลั่น!! "มันเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้าย" ปูตินรับทราบ

(23 มี.ค.67) คนร้ายกลุ่มหนึ่งเปิดฉากกราดยิงและขว้างระเบิดใส่การแสดงดนตรีร็อก ที่คอนเสิร์ตฮอลล์ชานกรุงมอสโก สังหารผู้เข้าชมไปอย่างน้อย 40 คน บาดเจ็บอีก 100 คน นอกจากนั้นยังวางเพลิงทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามภายในฮอลล์ ทั้งนี้ตามการปากคำของพวกเจ้าหน้าที่รัสเซียตลอดจนคลิปวิดีโอที่มีผู้นำออกเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ล่าสุด กลุ่ม 'รัฐอิสลาม' (ไอเอส) ออกมาแถลงอ้างตัวเป็นผู้ก่อเหตุคราวนี้

กลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้ซึ่งสวมเครื่องแบบชุดลายพราง ได้บุกเข้าไปในอาคารดังกล่าว จากนั้นก็เปิดฉากกราดยิงและขว้างระเบิดมือ หรือไม่ก็เป็นระเบิดเพลิงที่ทำให้เกิดไฟไหม้ ตามปากคำของนักหนังสือพิมพ์ผู้หนึ่งที่ทำงานให้สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสตี ของทางการรัสเซีย ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ

เพลิงได้ลุกลามอย่างรวดเร็วไปทั่วหอแสดงดนตรี โครคัส ซิตี้ คอนเสิร์ต ฮอลล์ แห่งนี้ ที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองคราสโนกอร์สก์ ทางตอนเหนือของเมืองหลวงรัสเซีย ซึ่งสามารถบรรจุผู้ชมได้หลายพันคน และใช้เป็นที่แสดงของศิลปินระหว่างประเทศระดับท็อปมาแล้วหลายรายการ ทั้งนี้ อาคารแห่งนี้นอกจากคอนเสิร์ตฮอลล์แล้ว ยังมีหอประชุม และโรงละคร โดยใช้ชื่อเรียกรวมๆ กันว่า โครคัส ซิตี้ ฮอลล์ นอกจากนั้น บริเวณใกล้ๆ ยังมีศูนย์การค้า ซึ่งเรียกกันว่า โครคัส ซิตี้ เช่นกัน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คนร้ายบุกเข้าไป ขณะที่วง 'ปิกนิก' ที่เป็นวงร็อกยุคโซเวียต กำลังจะเริ่มการแสดง โดยบัตรการแสดงคราวนี้ขายได้หมดเกลี้ยงทั้ง 6,200 ที่นั่ง

นอกจากนั้นมีสื่อรัสเซียบางเจ้ารายงานว่าได้เกิดการระเบิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 รวมทั้งมีข่าวว่าคนร้ายบางคนยังคงปักหลักอยู่ภายในอาคาร โดยพยายามสร้างเครื่องกีดขวางกำบังตัวเอง

“จากข้อมูลข่าวสารในเบื้องต้น มีผู้ถูกสังหารเสียชีวิตไป 40 คน และอีกกว่า 100 คนได้รับบาดเจ็บ โดยเป็นผลจากการโจมตีของพวกผู้ก่อการร้ายภายในโครคัส ซิตี้ ฮอลล์” เป็นคำแถลงของสำนักงานเอฟเอสบี ที่เป็นหน่วยงานความมั่นคงของรัสเซีย ซึ่งอ้างอิงโดยสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ และสื่อรัสเซียรายอื่นๆ

พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของรัสเซียบอกว่า การสืบสวนสอบสวนโดยถือว่าเป็นคดี “ก่อการร้าย” เริ่มต้นขึ้นแล้ว และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้รับรายงานข่าวเพิ่มเติมล่าสุดอย่างสม่ำเสมอ โฆษกทำเนียบเครมลิน ดมิตริ เปสคอฟ แถลงกับสื่อมวลชนรัสเซีย

ทางด้านหน่วยทหารรักษาดินแดนแห่งชาติของรัสเซียบอกว่า กำลังของตนได้เข้าไปอยู่ในที่เกิดเหตุ และกำลังค้นหาพวกคนร้าย ขณะที่ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายหนึ่งระบุว่าเห็นพวกตำรวจพร้อมด้วยสุนัขนักดมกลิ่น ออกตรวจตรายวดยานต่างๆ ที่จอดอยู่ใกล้ๆ กับอาคารที่เกิดเหตุ

สำหรับกลุ่ม 'รัฐอิสลาม' ออกคำแถลงอ้างว่า พวกนักรบของตนได้โจมตี 'การชุมนุมใหญ่' บริเวณนอกกรุงมอสโก และ 'ได้ล่าถอยกลับมายังฐานของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย'

ช่องข่าว บาซา แอน์ด มาช ทางแพลตฟอร์มเทเลแกรม ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพวกหน่วยงานความมั่นคง ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอแสดงให้เห็นเปลวไฟและควันโขมงลอยขึ้นมาจากอาคารแห่งนี้

ภาพอื่นๆ แสดงให้เห็นชาย 2 คน กำลังเดินอยู่ในฮอลล์ และมีคนอย่างน้อย 1 คนนอนอยู่บนพื้นใกล้ๆ กับทางเข้า นอกจากนั้นยังเห็นพวกผู้เข้าชมคอนเสิร์ตกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ข้างใต้ที่นั่งหรือกำลังพยายามที่จะหลบหนี

พวกเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงที่สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์สัมภาษณ์ ระบุว่ามีคนร้ายระหว่าง 2 ถึง 5 คน “สวมเครื่องแบบทางยุทธวิธีและถืออาวุธปืนอัตโนมัติ” เปิดฉากยิงใส่พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่บริเวณทางเข้า จากนั้นก็เริ่มกราดยิงภายในฮอลล์

“คนที่อยู่ข้างในฮอลล์ได้รับคำแนะนำให้หมอบอยู่กับพื้นเพื่อรักษาตัวเองไม่ให้ถูกยิงเป็นเวลาราว 15 ถึง 20 นาที” สื่อรัสเซียอ้างคำบอกเล่าของนักหนังสือพิมพ์อาร์ไอเอ โนวอสตี โดยเขาบอกด้วยว่า ผู้คนเริ่มคลานออกมาข้างนอก เมื่อได้รับแจ้งว่าปลอดภัย

ทางด้านกระทรวงเหตุฉุกเฉินของรัสเซีย โพสต์ข้อความทางช่องเทเลแกรมของตนว่า มีคนราว 100 คนหลบหนีออกมาได้ผ่านทางห้องใต้ถุนของฮอลล์ ขณะที่อีกหลายๆ คนหลบภัยพักพิงที่บริเวณใต้หลังคา

ทว่าประมาณหนึ่งในสามของอาคารแห่งนี้ทีเดียวที่เกิดไฟไหม้ สำนักข่าวทาสส์รายงาน

ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา แถลงว่า เหตุคราวนี้เป็น “การโจมตีอย่างนองเลือดของผู้ก่อการร้าย”

“ประชาคมระหว่างประเทศทั้งมวล ต้องประณามอาชญากรรมอันน่าขยะแขยงครั้งนี้” เป็นข้อความที่เธอโพสต์ทางเทเลแกรม

ด้านทำเนียบขาวของสหรัฐฯ จอห์น เคอร์บี โฆษกด้านความมั่นคง แถลงแสดงความเป็นห่วงบรรดาเหยื่อของการโจมตีกราดยิงอย่างเลวร้ายคราวนี้

ทางทำเนียบขาวบอกด้วยว่า ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ในเฉพาะหน้านี้ ว่าเหตุคราวนี้เกี่ยวข้องกับการสู้รบขัดแย้งในยูเครน

สำหรับทำเนียบประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการโจมตีนี้ ขณะที่ฝ่ายข่าวกรองทหารของยูเครนยังไม่ลืมที่จะเรียกเหตุการณ์คราวนี้ว่า เป็น 'การยั่วยุ' ของรัสเซีย รวมทั้งกล่าวหาว่าพวกหน่วยพิเศษของมอสโกอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

ด้านกองกำลังอาวุธที่อ้างว่าเป็นชาวรัสเซียซึ่งสู้รบเพื่อยูเครน โดยใช้ชื่อว่า 'กองกำลังรัสเซียแห่งเสรีภาพ' และมีบทบาทรับผิดชอบก่อการโจมตีเข้าไปในพื้นที่ของรัสเซียซึ่งอยู่ใกล้ๆ ชายแดนยูเครนมาแล้วหลายครั้ง ในคราวนี้ได้ออกมาปฏิเสธเช่นกันว่า พวกตนไม่มีส่วนใด ๆ

กรุงมอสโกและเมืองใหญ่ของรัสเซียแห่งอื่นๆ เคยตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มอิสลามิสต์ต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็มีเหตุร้ายหลายกรณีเช่นกันที่ไม่ทราบมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่ชัดเจน

ก่อนหน้านี้ในเดือนนี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงมอสโก ได้ออกคำเตือนพลเมืองของตนว่า “พวกสุดโต่งมีแผนการที่จะออกปฏิบัติการแล้ว โดยพุ่งเป้าหมายที่การชุมนุมขนาดใหญ่ๆ ในมอสโก” รวมทั้งงานคอนเสิร์ต

'เจ้าหญิงเคท' แถลงการณ์ผ่านคลิปวิดีโอ ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งระยะเริ่มต้น

เมื่อวานนี้ (22 มี.ค.67) เคเทอรีน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ หรือเจ้าหญิงเคท พระชายาในเจ้าชายวิลเลียม แห่งราชวงศ์อังกฤษ ทรงแถลงผ่านคลิปวิดีโอ ว่า พระองค์ทรงป่วยเป็นมะเร็งระยะเริ่มต้น อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด (คีโม)

เจ้าชายวิลเลียมและพระองค์เอง พยายามจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เพื่อทำความเข้าใจกับลูก ๆ อย่างเหมาะสม เวลานี้ต้องการเวลา พื้นที่ และความเป็นส่วนตัว

เปิดยอดผู้เสียชีวิต 'กราดยิงคอนเสิร์ต' ในรัสเซีย พุ่ง 60 ศพ เจ็บ 145 คน ด้านสหรัฐฯ ยัน!! รู้ข่าวกรองล่วงหน้า จึงเตือนมะกันอพยพตั้งแต่ต้นเดือน

(23 มี.ค.67) ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุกลุ่มมือปืนบุกกราดยิงและวางเพลิงคอนเสิร์ตวงร็อคที่ชานกรุงมอสโกเมื่อวันศุกร์ (22 มี.ค.) เพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 60 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 145 คน โดยกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบ ขณะที่สหรัฐฯ เผยได้รับข่าวกรองเตือนล่วงหน้าว่าจะมีเหตุโจมตีเกิดขึ้น และได้เตือนพลเมืองอเมริกันให้เดินทางออกจากรัสเซีย หรือหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีการรวมคนจำนวนมากๆ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

ในการโจมตีครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับรัสเซียนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่พวกอิสลามิสต์จับครูและนักเรียนกว่า 1,000 คนเป็นตัวประกันที่โรงเรียนเบสลัน (Beslan School) เมื่อปี 2004 กลุ่มมือปืนได้สาดกระสุนเข้าใส่ประชาชนที่เข้าชมคอนเสิร์ตวง 'ปิกนิก' ซึ่งเป็นวงร็อคยุคโซเวียต ภายใน 'โครคัส ซิตี้ ฮอลล์' ซึ่งเป็นฮอลล์คอนเสิร์ตทางตะวันตกของกรุงมอสโกที่จุผู้เข้าชมได้ถึง 6,200 คน

ภาพจากคลิปวิดีโอที่ผ่านการยืนยันแล้วจะเห็นผู้คนเข้าไปนั่งในฮอลล์คอนเสิร์ต จากนั้นก็พากันวิ่งกรูไปยังทางออกต่างๆ ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังขึ้นต่อเนื่องและเสียงหวีดร้องของผู้คน นอกจากนี้ยังมีคลิปที่กลุ่มชายฉกรรจ์กราดยิงเข้าใส่ฝูงชน และมีเหยื่อบางคนนอนแน่นิ่งจมกองเลือด

พนักงานสอบสวนรัสเซียออกมายืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิต ณ ขณะนี้มากกว่า 60 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายงานยอดผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 145 คน ในจำนวนนี้มีอยู่ราวๆ 60 คนที่อาการสาหัส

ทำเนียบเครมลินระบุว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน กำลังติดตามข้อมูลอัปเดตสถานการณ์จากบรรดาหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคง รวมถึง อเล็กซานเดอร์ บอร์ตนิคอฟ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงกลางของรัสเซีย (FSB)

พนักงานสอบสวนรัสเซียยังได้เผยแพร่ภาพปืนไรเฟิลคาลาชนิคอฟอัตโนมัติ 1 กระบอกซึ่งเป็นอาวุธของกลุ่มคนร้าย รวมถึงเสื้อกั๊กที่มีกระสุนสำรอง และกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเครื่องกระสุนอีกจำนวนมาก

สำนักข่าวอามัก (Amaq) ของกลุ่มไอเอสได้แถลงยืนยันผ่านเทเลแกรมว่า นักรบไอเอสอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีคอนเสิร์ตที่ชานกรุงมอสโก โดยได้ “สังหารและทำให้ผู้คนบาดเจ็บไปหลายร้อยคน รวมถึงสร้างความเสียหายรุนแรงต่อสถานที่ ก่อนจะถอนกำลังกลับสู่ที่ตั้งอย่างปลอดภัย”

สื่อรัสเซียบางสำนักได้เผยแพร่ภาพชาย 2 คนที่คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มคนร้ายขับขี่ยานพาหนะสีขาว โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่ามือปืนถูกจับกุมได้หรือไม่อย่างไร เนื่องจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องรับมือกับเหตุไฟไหม้รุนแรงที่เกิดขึ้น และหน่วยฉุกเฉินก็ต้องเร่งอพยพผู้ชมคอนเสิร์ตออกมา และมีรายงานว่าหลังคาคอนเสิร์ตฮอลล์บางส่วนพังถล่มลงมาด้วย

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งออกมาให้ข้อมูลวานนี้ (22) ว่า รัฐบาลอเมริกันได้รับข่าวกรองยืนยันว่าเหตุการณ์นี้เป็นฝีมือกลุ่มไอเอสจริง และวอชิงตันเคยเตือนมอสโกล่วงหน้าไปแล้วหลายสัปดาห์ว่าอาจจะเกิดเหตุโจมตีขึ้น

“เราได้มีการแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่รัสเซียไปแล้วอย่างเหมาะสม” เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามระบุ และไม่ขอให้รายละเอียดเพิ่มเติม

เหตุกราดยิง โครคัส ซิตี้ ฮอลล์ ซึ่งอยู่ห่างจากทำเนียบเครมลินไปเพียง 20 กิโลเมตรเกิดขึ้นเพียงราวๆ 2 สัปดาห์ หลังจากที่สถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงมอสโกได้ออกคำเตือนว่าจะมี 'กลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่ง' วางแผนก่อเหตุโจมตีภายในกรุงมอสโก

ก่อนที่สถานทูตอเมริกันจะออกคำเตือนแค่ไม่กี่ชั่วโมง FSB ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลงานด้านข่าวกรองต่อจากองค์กรสายลับ KGB ในยุคสหภาพโซเวียตของรัสเซีย ประกาศว่าสามารถสกัดแผนของเครือข่ายไอเอสในอัฟกานิสถานที่เตรียมโจมตีโบสถ์ยิวแห่งหนึ่งในกรุงมอสโก

FSB ระบุว่า เครือข่าย IS กลุ่มนี้ปฏิบัติการอยู่ในภูมิภาคคาลูกา (Kaluga) ของรัสเซีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ISIS-Khorasan ซึ่งมีเป้าหมายสถาปนารัฐคอลีฟะห์ที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามขึ้นในพื้นที่แถบอัฟกานิสถาน ปากีสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน และอิหร่าน

ปูติน ได้ทำให้สงครามกลางเมืองซีเรียเปลี่ยนทิศทางด้วยการเข้าแทรกแซงในปี 2015 โดยช่วยหนุนหลังรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ต่อสู้กับพวกฝ่ายค้าน รวมถึงกลุ่มไอเอสด้วย

คอลิน คลาร์ก ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ Soufan Center ระบุว่า “ISIS-K จ้องหาโอกาสโจมตีรัสเซียมาตลอด 2 ปี และสื่อโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขาก็มักจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ ปูติน ด้วยเสมอ”

มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ระบุว่า นี่คือ “การก่อการร้ายนองเลือด” ที่ผู้คนทั่วโลกสมควรร่วมกันประณาม

สหรัฐฯ รวมถึงบรรดาชาติในยุโรป กลุ่มรัฐอาหรับ และอดีตรัฐในสหภาพโซเวียต ต่างแสดงความตกตะลึงและส่งสารแสดงความเสียใจไปยังรัสเซียเกี่ยวกับเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น ขณะที่ มีไคโล โปโดลยัค ที่ปรึกษาของประธานาธิบดียูเครน ยืนยันว่างานนี้เคียฟ 'ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง'

Pizza Hut ออกเมนู ‘พิซซ่าผักชี’ ที่ญี่ปุ่น พร้อมใส่ภาษาไทย ลงไปในโปสเตอร์โปรโมต

(23 มี.ค.67) พิซซ่าในตำนาน! Pizza Hut ญี่ปุ่น ออกเมนูสูตรพิเศษ โรยหน้าผักชีแบบจุก ๆ เขียวขจีไปทั้งถาด แถมมีภาษาไทยอยู่ในโปสเตอร์

หากพูดถึง 'ผัก' ที่มีทั้งคนชื่นชอบและไม่ชอบนั้น หลายคนคงนึกถึง 'ผักชี' เป็นอย่างแรก สำหรับคนที่ไม่ชอบ แค่โรยหน้านิดเดียวก็ไม่ชอบ ส่วนคนที่ชอบนั้นก็ยิ่งกว่าคลั่งไคล้ กินคู่แทบทุกเมนูอาหาร

โดยเมื่อเดือนมีนาคมของปีก่อน ทาง Pizza Hut ของญี่ปุ่นได้ออกเมนู 'พิซซ่าผักชี' จนสร้างความฮือฮาไปทั่วโซเชียล เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม ทั้งยอดขายเกินคาดและคำเรียกร้องของลูกค้า ในปีนี้ทาง Pizza Hut จึงนำเมนูพิซซ่าในตำนานกลับมาอีกครั้ง

ทั้งนี้ นอกจากเมนูพิซซ่าผักชีจะเป็นที่พูดถึงแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือ มีภาษาไทยปรากฏอยู่ในโปสเตอร์โฆษณาด้วย โดยเขียนกำกับว่า “ผักชีมากเกินไป มากกว่าหญ้า มากกว่าป่าไม้”

โดยพิซซ่าผักชีแบ่งเป็นสองแบบคือ 'พิซซ่าผักชีมากเกินไป' ที่เป็นสูตรดั้งเดิม ใช้ผักชี 3 ต้น และ 'พิซซ่าผักชีมากกว่าหญ้า มากกว่าป่า' ที่ได้เพิ่มปริมาณผักชีเป็นสองเท่า ซึ่งใช้ผักชีไปมากกว่า 6 ต้น โรยหน้าแบบจุใจเลยทีเดียว

สำหรับการจัดจำหน่าย มีขายเฉพาะขนาดกลาง หรือไซซ์ M เท่านั้น โดยพิซซ่าผักชีมากเกินไป มีราคาอยู่ที่ 2,480 เยน (ราว 594 บาท) ส่วนพิซซ่าผักชีมากกว่าหญ้า มากกว่าป่าไม้ มีราคาอยู่ที่ 2,980 เยน (ราว 713 บาท)

โดยพิซซ่าหน้าสุดพิเศษครั้งนี้จะวางขายตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 67- 14 เม.ย. 67 และมีจำหน่ายเฉพาะ Pizza Hut ญี่ปุ่นบางสาขาเท่านั้น ใครที่เป็นผักชีเลิฟเวอร์ และได้ไปเยือนญี่ปุ่น บอกเลยว่าห้ามพลาด!

นักวิจัยจีน ผ่าตัดปลูกถ่าย ตับหมูดัดแปลง สู่ร่างกายมนุษย์ได้สำเร็จ คาดจะช่วยแก้ไขปัญหา ขาดแคลนอวัยวะ ให้กับผู้ป่วยได้อีกมาก

(23 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักวิจัยของจีนประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองตาย ซึ่งตับดังกล่าวสามารถทำงานได้ดีในร่างกายมนุษย์เป็นระยะเวลา 10 วัน ก่อนที่การศึกษาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงเมื่อวันพุธ (20 มี.ค.) ตามความต้องการของครอบครัวผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

การปลูกถ่ายครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการปลูกถ่ายอวัยวะของสัตว์สู่ร่างกายมนุษย์ โดยดำเนินการโดยโต้วเคอเฟิง นักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน และทีมงานที่นำโดยเถาไคซาน แพทย์จากโรงพยาบาลซีจิงในเครือมหาวิทยาลัยการแพทย์กองทัพอากาศ ในนครซีอัน มณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะดังกล่าวเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง และผ่านการรับรองว่ามีภาวะสมองตายในการประเมินสามครั้ง โดยครอบครัวของผู้ป่วยยินดีที่จะมีส่วนร่วมในการวิจัยข้างต้นเพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าทางการแพทย์

ทั้งนี้ แผนการผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมได้รับการพิจารณาและอนุมัติโดยคณะกรรมการด้านวิชาการและจริยธรรมต่าง ๆ และดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของจีนอย่างเคร่งครัด

โต้วระบุว่าการปลูกถ่ายอวัยวะครั้งนี้ถือเป็นการปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ครั้งแรกในวงการการแพทย์ และการวิจัยข้างต้นถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในสาขาการปลูกถ่ายข้ามสายพันธุ์ (xenotransplantation) อีกทั้งส่งมอบพื้นฐานทางทฤษฎีและประสบการณ์เชิงปฏิบัติสำหรับการทำงานทางคลินิกในอนาคต

เดวิด คูเปอร์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาด้านการปลูกถ่ายข้ามสายพันธุ์จากโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์ เจเนอรัล ในนครบอสตัน แสดงความยินดีกับทีมงานของโต้วสำหรับความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ โดยระบุว่าการศึกษานี้ของจีนจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญว่าการปลูกถ่ายตับหมูจะสามารถช่วยให้ผู้คนมีชีวิตรอดได้หรือไม่ แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วันก็ตาม

โต้วระบุว่าการวิจัยและการประยุกต์ใช้เทคนิคการปลูกถ่ายตับข้ามสายพันธุ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคตับจำนวนมาก ทว่ายังคงมีปัญหาขาดแคลนอวัยวะในการปลูกถ่ายอย่างรุนแรง

โต้วทิ้งท้ายว่าสำหรับในอนาคต การปลูกถ่ายตับข้ามสายพันธุ์อาจเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น และกลายเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่จะแก้ปัญหาขาดแคลนอวัยวะสำหรับการปลูกถ่าย ท่ามกลางเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง

ชายแคนาดา 2 คน ถูกสลับตัวกัน ตั้งแต่เกิดในโรงพยาบาล ผู้ว่าการรัฐฯ ขอโทษ แต่ทั้งคู่ไม่ยอม เตรียมตั้งทนาย ฟ้องค่าเสียหายแล้ว

(24 มี.ค.67) TNN World รายงานว่า มีชายชาวแคนาดา 2 คน ได้ลองตรวจดีเอ็นเอ จากชุดตรวจดีเอ็นเอแบบง่าย ที่ตรวจได้เองที่บ้าน แต่ความจริงจากชุดตรวจดีเอ็นเอ ได้เปลี่ยนชีวิตของชายวัย 70 ปีทั้งสองคนไปตลอดกาล เพราะพวกเขาเพิ่งรู้ว่า เขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับครอบครัวที่เลี้ยงดูพวกเขามาเลย

ริชาร์ด โบเวส์ จากเซเชลท์ เมืองชายฝั่งทะเลในรัฐบริติชโคลัมเบีย เติบโตขึ้นมาทั้งชีวิตโดยเชื่อว่า ตัวเขาเป็นชนพื้นเมือง แต่การตรวจดีเอ็นเอแสดงให้เห็นว่าเขามีเชื้อสายยูเครน ยิวอัซเกนัซ และโปแลนด์ผสมกัน

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ห่างออกไป 2,400 กิโลเมตร น้องสาวของเอ็ดดี แอมโบรส จากเมืองวินนิเพก รัฐแมนิโตบา เติบโตมาในครอบครัวเชื้อสายยูเครน ได้ตรวจดีเอ็นเอและพบว่า เธอไม่มีความเกี่ยวข้องกับเอ็ดดีเลย และโบเวส์คือพี่ชายที่แท้จริงของเธอ

ต้นเหตุของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับตั้งแต่วันที่พวกเขาลืมตาดูโลก ริชาร์ด โบเวส์ และเอ็ดดี แอมโบรส เกิดในวันเดียวกัน โรงพยาบาลเดียวกัน ในอาร์บอร์ก เมืองเล็ก ๆ ในรัฐแมนิโตบา เมื่อปี 1955 แต่ถูกสลับตัวกันและสลับครอบครัวผู้ให้กำเนิดตั้งแต่วันนั้น

โดยเมื่อวันที่ 21 มี.ค.67 ซึ่งผ่านไปเกือบ 70 ปี ทั้งคู่ได้รับการขอโทษอย่างเป็นทางการแบบพบหน้า จากวาบ คินิว ผู้ว่าการรัฐแมนิโตบา เนื่องจากเขาทั้งคู่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการที่ถูกสลับตัวกันตั้งแต่เกิด

คินิวกล่าวว่า วันนี้ผมมาเพื่อขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว จากการกระทำที่ทำร้ายเด็กสองคน พ่อแม่ 2 คู่ และครอบครัว 2 ครอบครัวในหลายรุ่น บางครั้งเราถูกสอนให้เรียนรู้เรื่องความเห็นอกเห็นใจ จากการลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนอื่นจะเป็นอย่างไร ถ้าคำสอนนี้เป็นความจริง แขกผู้มีเกียรติของเราในวันนี้คงจะเข้าใจเรื่องความเห็นอกเห็นใจสูงมากในระดับที่น้อยคนจะได้สัมผัส

ในสมัยเด็กแอมโบรสเคยชักชวนเด็กหญิงจากเมืองใกล้เคียง 2-3 เมืองให้เข้าร่วมทีมเบสบอลใสช่วงปิดเทอม โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า นั่นคือพี่สาวแท้ ๆ ของเขา

ส่วนโบเวส์ ในสมัยวัยรุ่น เขาชอบตกปลา มีครั้งหนึ่งที่พี่สาวแท้ ๆ ของเขา ตกปลาอยู่ข้าง ๆ กัน ซึ่งทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าแท้จริงพวกเขาเป็นพี่น้องกัน

ปัจจุบันแอมโบรสได้ติดต่อญาติและครอบครัวทางสายเลือดแล้ว และได้เข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์แมนิโตบาเมทิสของชนพื้นเมือง

ส่วนโบเวส์ก็วางแผนที่จะติดต่อกับครอบครัวทางสายเลือดของเขาเช่นกัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลูกสาวทั้งสองคนของเขาก็ได้สักคำว่า "แอมโบรส" บนแขนของพวกเขา เพื่อระลึกถึงนามสกุลที่แท้จริงของพ่อ

บิล แกนช์ ทนายของทั้งคู่ มีแผนที่จะฟ้องรัฐแมนิโทบา เนื่องจากต้องการคำขอโทษและเงินชดเชย ในเบื้องต้นจังหวัดไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับความบอบช้ำทางจิตใจที่เกิดขึ้นกับชายทั้งสอง และอ้างว่าโรงพยาบาลที่เกิดเหตุเป็นของเทศบาล ดังนั้นจึงไม่ใช่ความรับผิดชอบของจังหวัด

กรณีสลับตัวในลักษณะนี้ถูกพบเป็นครั้งที่ 3 แล้วในแคนาดา และในอนาคตอาจพบอีกเนื่องจากชุดตรวจดีเอ็นเอเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/YhbACNCaPCJCLZ52/?mibextid=oFDknk
 

จีน เอาจริง ออกมาตรการใหม่ ปราบปราม ประมงเถื่อน เพื่อดูแล สายพันธุ์ปลาล้ำค่า ซึ่งมีความสำคัญ ทางเศรษฐกิจ

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่า กระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน จะดำเนินมาตรการใหม่เพื่อปราบปรามกิจกรรมการประมงผิดกฎหมายในปี 2024

โดยทางกระทรวงฯ ได้แถลงว่ามาตรการชุดใหม่ครอบคลุม การส่งเสริมงานคุ้มครองลูกปลาไหล ซึ่งเป็นสายพันธุ์ปลาล้ำค่าและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ

คณะเจ้าหน้าที่ทางการจะกระชับการบังคับใช้กฎหมายในการกำกับดูแลการจับลูกปลาไหล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอันดีของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงฯ จะเดินหน้าบังคับใช้คำสั่งห้ามจับปลาตามลุ่มแม่น้ำแยงซี พร้อมดำเนินมาตรการตรวจตราอย่างเข้มงวดที่สุดในช่วงพักการจับปลาฤดูร้อนของประเทศ

นอกจากนั้นกระทรวงฯ จะพยายามอนุรักษ์สัตว์น้ำตามธรรมชาติและกำกับควบคุมอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วย

'ชุดนักเรียนไทย' เทรนด์สุดฮิตในหมู่ 'เด็กนักเรียนเวียดนาม' นำมาใส่ถ่ายภาพจบการศึกษา แล้วแอคท่าเหมือนหลุดมาจากซีรีส์ไทย

(24 มี.ค.67) Youtube ช่อง ‘ส่องโลกคอมเมนต์’ ได้ลงคลิปเกี่ยวกับ เรื่องที่นักเรียนเวียดนามแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย โดยได้ระบุว่า ...

นักเรียนเวียดนามแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย ถ่ายรูปวันจบการศึกษาโดยสวมชุดนักเรียนไทย ถ่ายรูปหมู่ และก็ไม่ใช่เป็นการถ่ายเล่นเล่นถ่ายกันเองด้วยกล้องมือถือ แต่จะเป็นการจ้างช่างภาพมืออาชีพใช้กล้องตัวใหญ่ เพื่อถ่ายเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง ถ่ายเป็นเซต ตามมุมต่างๆของโรงเรียนที่อยากบันทึกความทรงจําไว้กับเพื่อนๆ

การถ่ายภาพวันจบการศึกษา เป็นกิจกรรมสําคัญอย่างหนึ่งของเด็กม.ปลายเวียดนาม แค่คล้ายกับที่นักศึกษาไทยจะจ้างช่างถ่ายรูปมาถ่ายรูปวันรับปริญญา

และกระแสฮิตยอดนิยมในตอนนี้ ก็คือธีม การถ่ายภาพจบการศึกษาด้วยการใส่ชุดนักเรียนไทย มันมาเป็นอันดับหนึ่งเลยฮิตมากจริงๆ

นอกจากชุดนักเรียนไทยแล้ว เขาก็ยังถ่ายภาพด้วยมุมกล้อง ทำทางท่าโพสต์เลียนแบบมาจากซีรีส์ไทย คือให้มุมภาพมุมมองเนี่ย มันเหมือนกับว่าหลุดออกมาจากซีรีส์ไทยเลย ก็จะมีธีมการถ่ายภาพคอนเซปต์อื่นๆเช่นชุดประจําชาติเวียดนาม ชุดแฟนซี ชุดแฮร์รี่พอตเตอร์ หรืออื่นๆรองลงมา แต่การถ่ายภาพในคอนเซ็ปต์ชุดนักเรียนไทย ได้รับความนิยมสูงที่สุด 

โฆษณาการให้บริการถ่ายภาพวันจบการศึกษาใน ธีมชุดนักเรียนไทย ซึ่งที่นู่น เขาจะใช้คําว่าการถ่ายภาพวันจบการศึกษา คอนเซปต์ไทยแลนด์

อย่างเพจสตูดิโอ อันนี้ เขาก็โพสต์ว่าขอเชิญชวนน้องๆมัธยมมาถ่ายภาพวันจบการศึกษาในคอนเซปต์เครื่องแบบนักเรียนไทยที่สวยงามเรียบร้อย มีบุคลิกเหมือนกับในซีรีส์ไทย ความสดใสของเยาวชนรุ่นใหม่ จากคําโฆษณา เขาก็โพสต์ภาพผลงานการถ่ายภาพเซ็ตใหญ่ของน้องในโรงเรียนทันฮุงดาวที่เป็นภาพหมู่วันจบการศึกษาในชุดนักเรียนไทย

อีกราย ร้านเขาก็โพสต์ว่า มาร่วมบันทึกความทรงจําในวัยรุ่น มาบันทึกช่วงเวลาดีดีกับเพื่อนรัก แล้วทางร้านเราก็มีบริการ ชุดนักเรียนไทย ชุดพละ 

และก็มีรับงานถ่ายภาพกลางคืนพร้อมรถรับส่ง คือตามเพจสตูดิโอช่างภาพที่เวียดนามเท่าที่ หาข้อมูลแบบไวไว ก็จะกดเจอไม่น้อยกว่า 10 ร้านเลยที่ให้บริการถ่ายภาพวันจบการศึกษาในคอนเซปต์นักเรียนไทย

ชุดนักเรียนไทยได้รับความนิยมโดยเฉพาะอย่างในประเทศจีนเนี่ย ก็เห็นมานานแล้วนะ แต่ที่เวียดนาม เด็กนักเรียนมัธยมเวียดนามชอบชุดนักเรียนไทย ถึงขนาดเอาไปใส่ถ่ายภาพในวันจบการศึกษา ซึ่งเป็นวันสําคัญของเขาเลยแสดงว่านักเรียนเวียดนามเขาชอบชุดนักเรียนไทยมากจริงๆ

นี่คือซอฟท์พาวเวอร์ที่แท้จริง มันคือสิ่งที่คนอื่นชื่นชอบ โดยที่เราไม่ต้องไปโฆษณาขายสิ่งนั้นเลย ชุดนักเรียนไทยเข้าข่ายเต็มเป้าเลย 

ชุดนักเรียนไทยที่ดูเก๋กู๊ดดูน่ารักใส่แล้วดูดีในสายตาของน้องๆนักเรียนเวียดนามและจากกระแสอิทธิพลของซีรีส์ไทยที่เกี่ยวกับนักเรียนไทยที่เข้าไปฉายที่นู่น จนโด่งดังในเวียดนาม หลายต่อหลายเรื่อง ก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่นักเรียนใส่แล้วดูดีเข้าไปอีก ลองไปหาข้อมูลเพิ่ม ก็พบว่าจุดนักเรียนไทยเนี่ย มีวางขายอยู่เต็มเวียดนามเลย ไม่ว่าจะช็อปปี้ ลาซาด้าเวียดนามก็มีชุดนักเรียนไทยโพสต์ขายเต็มไปหมด

แต่น่าเสียดาย เท่าที่แอบกดดู เหมือนจะเป็นสินค้าจีน เพราะชุดนักเรียนไทยเนี่ย ส่งมาจากประเทศจีน มันก็ไม่น่าจะใช่นะ

เดี๋ยวเราลองไปดูกันว่า เด็กมัธยมเวียดนามเขาจะคิดเห็นคอมเมนต์ กันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับชุดนักเรียน

ภาพเซตนี้ดูดีมาก

ในชั้นเรียนของหนูก็ถ่ายรูป Concept นักเรียนไทยเหมือนกันน่ารักมาก ดูแล้วเหมือนภาพในหนังไทยเลย

หนังสือรุ่นเราเอาแบบนี้กันไหม

เอาไว้ เรียนจบฉันก็อยากใส่ชุดนักเรียนไทยแบบนี้บ้าง

โอ้พระเจ้าถ่ายรูปแบบนี้มันดูดีจริงๆ

ดูเจ๋งมากเลยเพื่อนๆเราก็ถ่ายแบบนี้กันดีกว่า

ชุดนักเรียนไทยน่ารักมาก

ชุดที่ฉันปรารถนา

น่ารักเกินไปไหม

ฉันชอบการถ่ายรูปนักเรียนไทยแบบนี้มันดูสนุกสนานสดใสสำหรับพวกเราวัยรุ่น

เฉลย!! 'สุนัข' ในตุรเคีย 'จ้องมอง-แบ่งอาหาร' ในท่อระบายน้ำ เพราะลูกแมวตัวเล็กอาศัยอยู่ โดยไม่รู้ว่าแม่มันอยู่ที่ไหน

(25 มี.ค.67) คุณประภาส ชลศรานนท์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ได้โพสต์เรื่องราวน่าประทับใจผ่านเฟซบุ๊ก 'Prapas Cholsaranon' ระบุว่า...

ผู้คนที่มาท่องเที่ยวที่ถนนเฟทิเย่ต์ เมืองอิซมิท ประเทศตุรเคีย เริ่มสงสัยเจ้าแอนนี่สุนัขจรจัดตัวหนึ่งที่เอาแต่จ้องมองเข้าไปในท่อระบายน้ำทุกวัน

มันทำอย่างนั้นไปทำไม

ยิ่งมีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปเจ้าแอนนี่นั่งเฝ้านั่งมองท่อระบายน้ำมาลงโซเชียลมีเดีย ผู้คนก็ยิ่งช่วยกันตั้งข้อสงสัย

คนกลุ่มหนึ่งตั้งข้อสงสัยว่าหรืออาจเป็นเพราะกลิ่นจากท่อระบายน้ำที่ดึงดูดสุนัข

อีกกลุ่มหนึ่งคิดว่าหรือมันมีสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้ 

อีกกลุ่มก็ค้านว่ามันอาจเป็นแค่แสงวับ ๆ แวมๆที่สะท้อนลงไปผิวน้ำ

พ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นหลายคนพยายามก้มมองลงไปในท่อระบายน้ำ แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด

บางคนก็พยายามเงี่ยหูฟังว่ามันจะมีเสียงอะไรให้ได้ยินบ้าง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินอะไร

ในที่สุดก็มีคนไปตามตำรวจดับเพลิงมาช่วยเปิดตะแกรงเหล็กฝาท่อระบายน้ำที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากออกดู 

เปิดแล้วเอาไฟฉายส่องลงไปก็ไม่เห็นอะไร

พอเอาฝาท่อมาปิด เจ้าแอนนี่ก็ยังคงนั่งมองท่อระบายน้ำต่อไป

อีกมุมหนึ่งของถนน โซฟีสาวน้อยใจบุญคนหนึ่งที่ชอบเอาอาหารมาเลี้ยงสุนัขจรจัด เธอเห็นรูปของเจ้าแอนนี่ในโซเชียลมีเดีย เธอจำมันได้ว่ามันเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่ชอบมากินอาหารที่เธอนำมาให้

คราวนี้เธอจึงเพิ่งสังเกตว่า เจ้าแอนนี่ไม่ได้กินอาหารที่เธอให้จนหมดเหมือนสุนัขตัวอื่น เมื่อเธอให้ชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งแก่เจ้าแอนนี่ไป เธอจึงได้เห็นว่าเจ้าแอนนี่คาบเอาอาหารเดินหนีออกไปอีกทางหนึ่ง เธอรีบเดินตามเจ้าแอนนี่ไป แน่นอนมันไปที่ท่อระบายน้ำปริศนานั้น

เธอเห็นกับตาว่าเจ้าแอนนี่มันกัดเนื้อที่เธอให้ออกเป็นชิ้น ๆ แล้วทิ้งลงไปในท่อระบายน้ำนั้น

โซฟีรีบโทรหาตำรวจดับเพลิง เธอคิดว่าในท่อระบายน้ำน่าจะมีสัตว์อะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ 

ตำรวจดับเพลิงกลับมาที่บริเวณท่อระบายน้ำอีกครั้ง แล้วก็เปิดฝาท่อระบายน้ำ คราวนี้พวกเขาใช้อุปกรณ์ก้านยาว ๆ ราวสามสี่เมตรผูกกับสมาร์ตโฟนแล้วก็แหย่ลงไปแล้วบิดเข้าในทางขวางของท่อระบายน้ำที่ตามองเข้าไปไม่ถึง แล้วก็ถ่ายวิดีโอด้วยสมาร์ตโฟนไปตลอดเวลาของการแหย่ไม้ลงไป

ในที่สุดทุกคนก็ได้รู้แล้วว่าเจ้าแอนนี่มันจ้องมองเข้าไปในท่อระบายน้ำทุกวันด้วยเหตุผลอะไร เมื่อตำรวจดับเพลิงนำวิดีโอนั้นมาเปิดดู

ลูกแมวตัวเล็ก ๆ ห้าตัวอาศัยอยู่ในนั้นโดยไม่รู้ว่าแม่มันอยู่ที่ไหน

ตำรวจรื้อท่อระบายน้ำแล้วนำลูกแมวผอมโซที่หวาดกลัวผู้คนทั้งหมดออกได้

และตอนจบของพฤติกรรมอันน่าสงสัยของเจ้าแอนนี่ครั้งนี้ก็คือ ชาวบ้านและตำรวจต่างช่วยกันแบ่งลูกแมวไปเลี้ยงดู 

ฟองสบู่ Forest City เมืองใหม่แห่งอนาคตในมาเลเซีย โครงการยักษ์ 3.6 แสนล้าน ที่กำลังกลายเป็นเมืองร้าง

หากนับย้อนหลังไปเมื่อปี พ.ศ. 2559 ชาวมาเลเซียจำนวนไม่น้อย น่าจะตื่นเต้นกับโครงการพัฒนาเมืองใหม่ ระดับเมกะโปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘Forest City’ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ บริษัท เอสพลานาด แดงกา 88 ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาเลเซีย และ ‘คันทรี การ์เดน’ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้น ๆ ของจีน ในเขตพื้นที่ของรัฐยะโฮร์ ที่เชื่อมต่อกับสิงคโปร์ ด้วยงบประมาณก่อสร้างสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท) 

โดยโครงการนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลจีนเป็นครั้งแรกราวๆ ปี พ.ศ. 2549 ที่หวังจะให้เป็นส่วนหนึ่งในแผน Belt and Road Initiatives มีเป้าหมายยกระดับพื้นที่ในเขตรัฐยะโฮร์ ให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่ ครบครันด้วย อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า, ที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถรองรับประชากรได้ถึง 7 แสนคน 

และยังเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ บริษัท คันทรี การ์เดน อีกด้วย หลังจากมีการนำเสนอ โครงการมานานถึง 10 ปี Forest City ก็ได้รับการอนุมัติก่อสร้างโดย อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2578 

แต่ทว่า วันนี้ Forest City ที่ผู้สร้างโปรโมตว่าจะกลายเป็นเมืองสวรรค์ในฝันของคนมีอันจะกิน มีแววจะกลายเป็นเมืองร้าง (Ghost Town) ไปเสียแล้ว เมื่ออาคารหลายแห่งสร้างแล้วเสร็จไปกว่าครึ่ง แต่กลับมีคนที่มาอยู่จริงน้อยมาก 

วันนี้เราจึงเห็นแต่ภาพตึกสูงระฟ้า เรียงรายเต็มพื้นที่หน้าชายหาด ยาวเหยียดเป็นกิโลของ Forest City ที่ถูกทิ้งร้าง มืดมิด เงียบเหงา ไร้ผู้คน และรถรา นอกจากเสียงจิ้งหรีดเรไรดังสนั่นทั่วบริเวณ

ชาวมาเลเซียบางส่วน ที่เข้ามาจับจอง ซื้อห้องพักใน Forest City ในช่วงเปิดโครงการด้วยความหวังว่าจะได้อยู่ในย่านสังคมเมืองใหม่อนาคตไกล ต่างรู้สึกผิดหวัง และ ต้องการย้ายออกเพราะเริ่มไม่ไหวจะทนกับบรรยากาศอันแสนวังเวง ถ้าจะมีข้อดีเพียงอย่างเดียวใน Forest City ณ ขณะนี้ คือ ความเงียบสงบสำหรับคนที่ต้องการปลีกวิเวกอย่างแท้จริง

สาเหตุที่โครงการยักษ์ Forest City ผิดเป้าค่อนข้างไกล แถมมีโอกาสที่จะกลายเป็นเมืองผีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้น เกิดจากหลายปัจจัย 

และสิ่งที่ประเมินพลาดที่สุดอย่างแรกคือ การเจาะกลุ่มเป้าหมายในช่วงเปิดโครงการ ที่เน้นไปยังกลุ่มลูกค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีฐานะตั้งแต่ระดับกลาง - สูง เป็นหลัก ที่กำลังมองหาสินทรัพย์ลงทุนในต่างแดน แทนที่จะเป็นชาวมาเลเซียทั่วไป จึงทำให้โครงการนี้ถูกวิพากษ์ วิจารณ์จากชาวมาเลเซียจำนวนมากว่าเป็นการสร้างเมืองเพื่อผลประโยชน์ของคนจีนเป็นสำคัญมากกว่าชาวมาเลเซียเจ้าของประเทศ 

เมื่อเน้นไปที่ตลาดจีน โครงการนี้จึงได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่รัฐบาลจีนมีนโยบายปิดเมืองนานนับปี ทำให้ชาวจีนส่วนใหญ่เดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ยังถดถอยหลังวิกฤติการระบาด จึงทำให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของ Forest City ไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างที่คาดการณ์ไว้

อีกทั้งปัญหาด้านการเงินของ บริษัทคันทรี การ์เดน ที่เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักในโครงการนี้ จากวิกฤตฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และ ประชาชนทั่วไปที่กำลังพิจารณาเช่า-ซื้อ ทรัพย์สินในโครงการ Forest City กับอนาคตที่คาดเดาได้ยากว่า คันทรี การ์เดน จะกลับมาฟื้นสภาพ รอดพ้นจากภาวะหนี้สินในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตนได้เมื่อไหร่ 

รวมถึงปัจจัยด้านกำลังซื้อของชาวจีนที่ไม่เหมือนเดิม จากที่ประเมินในช่วงก่อนวิกฤติ Covid-19 ทำให้ Forest City จำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธการตลาดหลายครั้ง จากการสร้างเมืองใหม่เพื่ออยู่อาศัยของกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำ ที่เน้นไปที่เศรษฐีชาวจีนเป็นหลัก ถูกเปลี่ยนมาเป็นเมืองเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนชายทะเลระยะสั้นสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ทั้งชาวจีน และ มาเลเซีย ซึ่งสามารถกระตุ้นยอดจองโรงแรม ที่พักในเมืองได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถลบล้างภาพเมืองร้างขนาดมหึหาออกไปได้

ล่าสุด เมื่อ สิงหาคม 2566 นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ก็ออกมาช่วยสนับสนุนโครงการ Forest City อีกครั้งด้วยการประกาศยกระดับพื้นที่เมืองนี้ให้กลายเป็น ‘เขตการเงินพิเศษ’ เพื่อจูงใจนักลงทุนด้านการเงิน และ แรงงานทักษะสูงเข้ามาช่วยกู้เมือง โดยมีการเสนอสิทธิพิเศษด้านวีซ่า และ ภาษีในอัตราพิเศษ และยังสนับสนุนให้มีการจัดงานอีเวนต์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยหวังที่จะปลุกเมืองนี้ให้กลับมาเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ให้สมกับเป้าหมายและเม็ดเงินที่ลงทุนไปแล้วมากมายมหาศาล

ดังคำกล่าวที่ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน โปรเจกต์ 20 ปี อย่าง Forest City ก็เช่นกัน ที่อาจต้องใช้เวลาต่อจากนี้อีกสักระยะ ว่าเมืองแห่งนี้ จะกลายเป็นเมืองใหม่ของมนุษย์ หรือ เป็นจะเพียงสุสานของซากตึก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top