Thursday, 9 May 2024
World

‘คิม จองอึน’ เป็นปลื้ม การฝึกซ้อมของทหารพลร่ม เน้น ปรับปรุงข้อด้อย เพื่อเตรียมพร้อม ในสงครามที่อาจเกิดขึ้น

(16 มี.ค.67) เอเอฟพี รายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ เดินทางไปควบคุมการฝึกซ้อมพลร่มเพื่อแสดงศักยภาพทางทหารของกองทัพเกาหลีเหนือว่าสามารถยึดครอง 'ภูมิภาคที่เป็นศัตรู' ได้อย่างรวดเร็ว

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังการซ้อมรบร่วมประจำปีฟรีดอม ชิลด์ ระหว่างกองทัพสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ครั้งล่าสุดสิ้นสุดลงเมื่อ 13 มี.ค. โดยนายคิมเพิ่งเดินทางไปดูการฝึกซ้อมรถถังหลักรุ่นใหม่และการซ้อมยิงปืนใหญ่ด้วยกระสุนจริงในช่วง 10 วันที่ผ่านมา

เกาหลีเหนือมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อการซ้อมรบร่วมทางอากาศของสองชาติพันธมิตรซึ่งผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าเพราะกองทัพอากาศเกาหลีเหนือถือเป็นจุดอ่อนที่สุดในเหล่าทัพทั้งหมด และการบัญชาการการซ้อมพลร่มมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบความพร้อมของทหารพลร่มในการระดมพลสำหรับปฏิบัติการใด ๆ ในสถานการณ์สงครามที่อาจเกิดขึ้น

นายคิมย้ำถึงความสำคัญของการประยุกต์ใช้การฝึกอบรมที่สมจริงและเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อบรรลุประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดในสมรภูมิรบจริงตาม

สื่อทางการยังระบุด้วยว่านายคิมพึงพอใจอย่างยิ่งกับการฝึกซ้อมของทหารพลร่มที่มีความสามารถในการรบที่สมบูรณ์แบบจากการยึดเป้าหมายของศัตรูในการจำลองสถานการณ์รบทันทีที่ได้รับคำสั่ง

'โซเชียล' ทำพิษ!! Gen 'Y-Z' สหรัฐฯ อาการหนัก หมกมุ่นเรื่องเงิน-เทียบกับผู้อื่น จนด้อยค่าตนเอง

(17 มี.ค.67) Business Tomorrow เผยรายงานจากบริษัทการเงิน Credit Karma ที่ระบุว่า 1 ใน 3 หรือ 29% ของชาวสหรัฐฯ ตกอยู่ในภาวะคิดหมกมุ่นเรื่องเงิน หรือ Money Dysmorphia ซึ่งคนกลุ่มนี้มักเปรียบเทียบสถานะทางการเงินของตนเองกับบุคคลอื่นและรู้สึกว่าตัวเองยังมีเงินไม่เพียงพอ 

Life Planning Partners บริษัทวางแผนด้านการเงินกล่าวว่า ปัญหานี้มีมานานมาก แต่ระดับได้สูงขึ้นจากการเข้ามาของโซเชียลมีเดีย แม้คนที่ประสบปัญหาคิดหมกมุ่นเรื่องเงินจะมีเงินเก็บมากกว่าค่าเฉลี่ยก็ตาม แต่คนพวกนี้ก็ได้ยอมรับว่าตนนั้นหมกมุ่นกับการอยากเป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวย

ประมาณ 43% ของกลุ่มคนเจน Z และ 41% ของกลุ่มคนเจน Y กำลังต่อสู้อยู่กับการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นทางโซเชียลมีเดีย และรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าในด้านการเงิน โดยมีชาวสหรัฐฯเพียง 14% ที่มองว่าตัวเองมีฐานะมั่งคั่ง 

รายงานอีกฉบับจาก LendingClub ระบุว่า ชาวอเมริกันกว่าครึ่งหนึ่งมีรายได้กว่า 1 แสนดอลลาร์ต่อปี แต่คนเหล่านี้ก็ยังพูดว่าพวกเขาใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน

ปัญหาเงินเฟ้อสูงและความไร้เสถียรภาพที่ยืดเยื้อยาวนานได้บั่นทอนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคส่วนใหญ่ ขณะที่อินสตาแกรมก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบเช่นกัน

'ปูติน' แลนด์สไลด์เลือกตั้งรัสเซีย นั่งเก้าอี้ ปธน.สมัยที่ 5 ขอบคุณผู้ใช้สิทธิที่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจ

(18 มี.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียซึ่งเป็นที่จับตาจากทั่วโลกออกมาชัดเจนแล้วว่า ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 5 ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายเหนือคู่แข่ง

หลังจากนับคะแนนไปได้ 3 ใน 4 คณะกรรมการการเลือกตั้งของรัสเซียกล่าวว่า มีประชาชนออกมาใช้สิทธิทั้งสิ้น 74% และปูตินเป็นผู้นำด้วยคะแนนเสียงสูงถึง 87.14% ถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2563 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขยายวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จาก 4 ปี เป็น 6 ปี โดยไม่นับวาระการดำรงตำแหน่งที่ผ่านมาของปูติน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซีย ระหว่างปี 2543-2551 แล้วเว้นวรรคมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนชนะการเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2555

ขณะที่ปูตินกล่าวขอบคุณ ‘ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ’ จากชาวรัสเซีย พร้อมทั้งกล่าวว่า ต่อให้บุคคลภายนอกต้องการ ‘ข่มขู่’ และ ‘ปราบปราม’ รัสเซียมากเพียงใด วิธีการดังกล่าวไม่เคยประสบความสำเร็จ และจะไม่มีทางประสบความสำเร็จ

ด้านทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียครั้งนี้ ‘ไม่มีความเสรีและยุติธรรม’ เนื่องจากมีการตัดสิทธิผู้สมัครทุกคน ที่มีแนวคิดทางการเมืองตรงข้ามกับปูติน และนักเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามล้วนถูกคุมขัง หรือกระทั่งเสียชีวิตอย่างปริศนา หนึ่งในนั้นคือ นายอเล็กซี นาวัลนี ซึ่งเสียชีวิตที่เรือนจำในไซบีเรีย เมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา

ส่วนประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า ปูติน ‘คือเผด็จการ’ และ ‘ยึดติดกับอำนาจ’ 

อนึ่ง การเลือกตั้งผู้นำรัสเซียครั้งนี้ จัดขึ้นในพื้นที่หลายแห่งของยูเครน ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย นับตั้งแต่สงครามระหว่างสองประเทศปะทุ เมื่อเดือนก.พ. 2565 ด้วย เรียกเสียงประณามจากหลายฝ่ายเช่นกัน รวมถึงสหประชาชาติ (ยูเอ็น)

‘Loud budgeting’ เทรนด์ใช้ชีวิตมาแรงของคนรุ่นใหม่ ลดการเข้าสังคม หันมาอวดการ ‘ประหยัดเงิน’ อย่างมีสไตล์

(18 มี.ค.67) กลายเป็นอีกเทรนด์ที่น่าจับตาสำหรับ Loud budgeting ซึ่งเกิดจากผู้ใช้ TikTok ที่มีชื่อว่า 'Lukas Battle: ได้ออกมาแชร์เทรนด์ Loud Budgeting ที่เป็นกระแสถึงยอดคนดู 1.4 ล้านครั้ง ซึ่งเขาพูดถึงวิธีการใช้เงินแบบคนรวยที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่ยึดติดแบรนด์

Loud budgeting เทคนิคในการประหยัดเงินที่เราต้องลดการเข้าสังคม เช่น การไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนหรือไปร่วมงานแต่งงาน โดย Lukas Battle ได้บอกว่า Loud budgeting เป็นเทรนด์การอวดความประหยัดให้คนรู้ว่าเราไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่เราแค่ ‘ไม่อยากใช้เงิน’

ก่อนหน้านี้จะมีกระแส Quiet luxury หรือการประดับประดาหรือแต่งตัวแพง ๆ แบบเรียบง่ายที่โด่งดังในโลกออนไลน์ Lukas Battle มองว่า Loud budgeting นั้นเท่และเข้าใจได้ดีกว่า เขาเล่าว่า เขาเล่ามันในโลกออนไลน์ขำ ๆ ในตอนแรก แต่เมื่อพอเป็นกระแส เขาจึงเริ่มมั่นใจมากขึ้นในการเปิดเผยเรื่องสถานะการเงินออกมา ซึ่งมันดูดีพอ ๆ กับการอวดของรวย ๆ เช่นกัน

แม้จะมีความรู้ทางการเงินต่ำที่สุดกว่าเจนอื่น ๆ แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้ทำให้เจน Z และเจน Y สรรหาข้อมูลทางการเงินมากที่สุด ประมาณ 52% ของ เจน Z และ 48% ของเจน Y มีแรงจูงใจที่จะเพิ่มความรู้ทางการเงินของตน ตามรายงานจากสถาบัน TIAA

Erica Sandberg ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของ CardRates บริษัทให้ความรู้เกี่ยวกับบัตรเครดิต กล่าวว่าถ้าเราลองทำตามเทรนด์นี้จะช่วยให้เราลดความเครียดเรื่องเงินมากขึ้นและจะช่วยให้เราใช้เงินได้อย่างคุ้มค่าทุกบาท

สิ้น!! 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ผู้สร้าง 'Sparko Box' ต้นแบบ 'คาราโอเกะ' เครื่องแรกของโลก

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'อัตสึมิ ทาคาโนะ' ลูกสาวของ 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ได้ออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ผู้สร้างเครื่องคาราโอเกะเครื่องแรกของโลกได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 100 ปี โดย 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' สร้างเครื่องคาราโอเกะมาตั้งแต่ปี 1967 โดยตั้งชื่อให้มันว่า 'Sparko Box' เป็นอุปกรณ์ลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมบรรจุเทปคาสเส็ต 8 แทร็ก สามารถบรรเลงเสียงเพลงจากเทปให้ผู้คนได้ร้องตามแบบอัตโนมัติ โดยที่คนร้องต้องอ่านเนื้อเพลงจากสมุดเล่มเล็กที่แถมมาให้

'Sparko Box' จะมีกระแสตอบรับที่ดีมากจากผู้ที่ได้ลองใช้งานตามคลับและบาร์ แต่บรรดาเจ้าของบาร์ต่างพากันตีกลับเครื่องร้องคาราโอเกะดังกล่าวกลับไปยังโรงงานภายในเวลาไม่นาน เพราะเกิดกระแสความหวาดกลัวขึ้นในหมู่นักร้อง-นักดนตรีสมัยนั้น โดยกลัวว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่คน นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จ 

ต่อมาปี 1970 'ไดสุเกะ อิโนะอุเอะ' นักดนตรีชาวญี่ปุ่นได้สร้างเครื่องร้องคาราโอเกะชื่อว่า '8 Juke' ขึ้นพร้อมทั้งมีการปรับแต่งคีย์เพลงต่างๆ ให้คนทั่วไปสามารถร้องตามได้ง่ายขึ้น ก่อนจะกลายเป็นต้นแบบของเครื่องร้องคาราโอเกะที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ก็ยังได้รับการจดจำในฐานะบุคคลผู้ประดิษฐ์เครื่องคาราโอเกะเป็นเครื่องแรกของโลก

'หม่าล่าทั่ง' ของเด็ดประจำเมือง 'เทียนสุ่ย' นทท.แห่ลิ้มลองไม่ขาดสาย ชูเอกลักษณ์เฉพาะตัว ‘น้ำมันพริกรสชาติเผ็ดชา-เส้นแป้งเหนียวนุ่มทำมือ’

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยามฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นและสวยงาม บรรดาร้านหม่าล่าทั่งใน ‘เทียนสุ่ย’ เมืองโบราณเก่าแก่พันปี ณ มณฑลกานซู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้ต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลกด้วยอาหารรสชาติเผ็ดร้อนกลิ่นหอมหวนนี้

โดย หม่าล่าทั่ง ของแต่ละภูมิภาคในจีนจะมีรสชาติแตกต่างกัน แต่ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้คนเหมือนกัน โดยหม่าล่าทั่งของเมืองเทียนสุ่ยมีเอกลักษณ์เฉพาะจากน้ำมันพริกรสชาติเผ็ดชาและกลิ่นหอมเตะจมูกบวกกับเส้นแป้งเหนียวนุ่มทำมือ ชวนผู้คนต่อแถวซื้อยาวเหยียด

เมืองเทียนสุ่ยมีย่านการค้าที่รวบรวมร้านหม่าล่าทั่งอันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักบนโลกอินเทอร์เน็ต ที่ซึ่งบรรดานักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้าลองลิ้มชิมรสกันไม่ขาดสาย ดังเช่นร้านของ ‘ฮาไห่อิง’ ผู้เผยว่าแต่ละวันรับลูกค้ามากกว่า 700 คน

ด้าน ต่งจิ้งเหยียน วัย 29 ปี จากเมืองต้าชิ่ง มณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเทียนสุ่ยกว่า 1,000 กิโลเมตร ได้ดั้นด้นลากกระเป๋าสัมภาระมาต่อแถวรอชิมหม่าล่าทั่ง เมนูที่เธอบอกว่าคุ้มค่ากับการเดินทางไกลมารับประทานถึงที่

ทั้งนี้ เมืองเทียนสุ่ยจัดบริการรถโดยสารสายหม่าล่าทั่งเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวฟรี พร้อมทีมอาสาสมัครประจำสถานีขนส่ง จุดชมวิว และร้านหม่าล่าทั่งชื่อดัง คอยแนะนำการ ‘ชอปปิง-กินเที่ยว’ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญขยายเวลาเปิดทำการ

นอกเหนือจากหม่าล่าทั่งแล้ว เมืองเทียนสุ่ยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติน่าสนใจมากมาย เช่น หมู่ถ้ำหินแกะสลักม่ายจีซาน พิพิธภัณฑ์เมืองเทียนสุ่ย พื้นที่ชมวิววัดฝูซี ฯลฯ

คนแวดวงอุตสาหกรรมมองว่าตลาดวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของเมืองเทียนสุ่ยจะเข้าสู่ช่วงคึกคักมีชีวิตชีวาและปลดปล่อยพลังการบริโภคเพิ่มขึ้นตามการมาถึงของช่วงหยุดสั้นยาวต่างๆ เช่น เทศกาลชิงหมิง วันหยุดแรงงาน และอื่น ๆ

สังคมจีนป่วน!! เทรนด์ 'Spicy milk style' เซ็กซี่ฟันน้ำนม ลุกลาม พ่อแม่จีนบ้าจี้ จับลูกแต่งตัวเซ็กซี่ หวังดัง-ดึงดูดเชิงพาณิชย์

สังคมจีนกำลังถกประเด็นร้อน เมื่อเกิดกระแสแฟชั่นฟันน้ำนมใหม่ล่าสุด ที่เรียกว่า 'Spicy milk style' หรือ เซ็กซี่ฟันน้ำนม ที่พ่อ-แม่ชาวจีน นิยมแต่งตัวลูกสาววัยอนุบาลด้วยเสื้อผ้าที่เน้นโชว์สัดส่วน เรือนร่าง ว่าเป็นแค่ 'แฟชั่น' การแต่งตัวเลียนแบบผู้ใหญ่ หรือ แก่แดดเกินวัยไม่เหมาะสม หรือไม่?

'Spicy Milk Style' มาจากภาษาจีนคำว่า 奶辣风 (หน่ายล่าเฟิน) ที่ไม่ได้หมายถึงหม่าล่าหม้อไฟรสเผ็ดของชาวจีน แต่หมายถึงกระแสแฟชั่นที่พี่พ่อแม่จีนจับลูกเล็ก ๆ ของตนเองมาที่แต่งตัวสไตล์เผ็ด ๆ แซ่บ ๆ ที่ตัดเย็บเลียนแบบเสื้อผ้าผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น กระโปรงรัดรูป เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว ชุดเปลือยหลัง และรองเท้าส้นสูง เป็นต้น 

ไม่เท่านั้น ยังถ่ายรูปลูก ๆ ของตนในชุดเซ็กซี่เผยแพร่ลงใน Weibo เว็บไซต์โซเชียลของจีน จนกลายเป็นไวรัล และสร้างกระแสความนิยมขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มพ่อแม่จีนที่ต้องการให้ลูก ๆ ของตนเป็นจุดสนใจ ส่งผลให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ในจีนลงมาแข่งขันผลิตเสื้อผ้าเด็กเล็กที่ออกแนวเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย 

หากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน คงไม่มีใครนึกออกว่า การจับเด็กวัยอนุบาลมาแต่งตัวเป็นสาวฮอตจะเป็นจุดขายได้อย่างไร แต่ในตอนนี้ กระแสการแต่งตัวสไตล์เซ็กซี่ฟันน้ำนมมีให้เห็นอย่างมากมายตามสื่อออนไลน์ของจีน หลายครั้งที่มีการเจาะจงใช้นางแบบเด็กเล็กมาแต่งกายในชุดเซ็กซี่ มาโปรโมตขายเสื้อผ้า และ สินค้า เพื่อกระตุ้นยอดวิวอีกด้วย

แน่นอนว่าในช่วงเริ่มกระแส สังคมจีนยังมองว่าเป็นเพียงการจับเด็กมาแต่งตัวตามแฟชั่น เพื่อสร้างคอนเทนต์ลงในโซเชียล และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการโฆษณา โปรโมตสินค้า เสื้อผ้าแฟชั่น หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเด็กเท่านั้น จนชาวจีนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา 

แต่ต่อมาเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 สื่อท้องถิ่นจีนรายงานข่าวครูประถมของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งพบเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมต้นของตนสวมชุดกระโปรงสั้น เปลือยหลัง มาโรงเรียน เธอจึงเรียกผู้ปกครองมาเพื่อตักเตือนและขอร้องให้เปลี่ยนเป็นชุดสุภาพเมื่อมาโรงเรียน แต่ปรากฏว่าพ่อแม่ของเด็กปฏิเสธที่จะเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของเด็ก 

ยิ่งไปกว่านั้น สื่อจีนยังพบว่า มียังพ่อแม่ของเด็กคนอื่นอีกหลายคนที่จับลูกสาวของตนแต่งชุดเซ็กซี่เป็นประจำ แถมยังให้โพสต์ท่ายั่วยวนแบบผู้ใหญ่เพื่อแชร์ลงในโซเชียลอีกด้วย โดยให้คำจำกัดความว่าเป็น 'Soft Pornography' - โป๊แบบอ่อน ๆ 

ทั้งนี้ หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวครูสาวชาวปักกิ่งตักเตือนผู้ปกครองเรื่องการให้ลูกแต่งตัวแบบ 'Spicy milk style' มาโรงเรียนแต่ถูกพ่อแม่ปฏิเสธก็กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในโลกโซเชียลจีนทันที โดยมีผู้มาถกเถียงในหัวข้อนี้มากถึง 130 ล้านวิว และร่วมแชร์ประสบการณ์ แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

ฝ่ายที่คัดค้านมองว่า เด็กเล็กควรสวมเสื้อผ้าสมวัย เพราะเด็กมีกิจกรรม และการออกกำลังกายที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ การที่ให้เด็กมาสวมชุดรัดรูป กระโปรงสั้น เปิดเผยสัดส่วน หรือสวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจ อีกทั้งเครื่องแต่งกายเหล่านั้นมักดึงดูดความสนใจจากคนแปลกหน้า ที่อาจส่งผลเสียทางอารมณ์ของเด็กเล็ก เช่น ความวิตกกังวล หรือ ขาดความมั่นใจในตัวเองได้ในระยะยาว

อีกทั้งยังเป็นการสร้างค่านิยมด้านความงามที่ผิดให้กับเด็ก ที่ให้ความสำคัญแต่เพียงรูปลักษณ์ความงามภายนอกมากจนเกินไป และยังมีผลต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง หรือเพื่อนวัยเดียวกัน เพราะเครื่องแต่งกายที่แตกต่าง อาจสร้างความแปลกแยกทางสังคมให้เด็กได้ 

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวจีนบางกลุ่มก็มองว่า คำว่าแฟชั่น มีความหมายกว้างกว่า 'เครื่องแบบ' และมีการเติบโตตามยุคสมัยที่มีเสรีภาพในการแต่งกายมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ 'Spicy milk style' ส่วนหนึ่งมาจากพ่อแม่ในยุคมิลเนเนียน หรือพ่อแม่ที่เกิดหลังยุค 1990s ที่นิยมให้ลูกแต่งตัวเหมือนตนเอง หรือแต่งชุด พ่อ-แม่-ลูก แบบเดียวกัน เวลาออกไปเที่ยว แฟชั่นแบบ 'Spicy milk style' จึงเกิดขึ้น และหากพ่อแม่ให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่ลูก ๆ ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร 

แต่ทั้งนี้ China Daily สื่อของรัฐบาลชี้ว่า ถึงจะเป็นเรื่องแฟชั่นก็ควรมีขอบเขต โดยเฉพาะ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กเล็ก ที่ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดเชิงพาณิชย์ หรือ ใช้เด็กในเชิงสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายอย่างไม่เหมาะสม 

อย่างที่แบรนด์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Balenciaga เคยพลาดมาแล้ว ด้วยการให้เด็กเล็กในโฆษณาสินค้าอุ้มตุ๊กตาหมีที่สวมเครื่องพันธนาการทางเพศ หรือแบรนด์เนมหรูอย่าง Louis Vuitton และ Billionaire Boys Club ที่เปิดไลน์เสื้อผ้าเด็ก ก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า 'เซ็กซี่' ในประโยคที่พูดถึงเด็กเช่นกัน 

ดังนั้นขอบเขตของแฟชั่นเด็กควรอยู่ที่ตรงไหน การใช้เพียงวิจารณญาณของพ่อแม่อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'ทรัมป์' ลุยหาเสียง-ขึ้นเวทีปราศรัยในรัฐโอไฮโอ กร้าว!! หากตนพ่ายแพ้ 'สหรัฐฯ จะต้องนองเลือด'

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ปราศรัยหาเสียงให้กับเบอร์นี โมเรโน ผู้ลงสมัครวุฒิสภาของพรรครีพับลิกัน ในเมืองแวนดาเลีย รัฐโอไฮโอ และอ้างว่า ตนจะปกป้องความมั่นคงทางสังคม พร้อมเตือนว่า ประเทศจะนองเลือดถ้าเขาพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งเดือน พ.ย. นี้

ทั้งนี้ ในการปราศรัย ทรัมป์ได้กล่าวยกย่องโมเรโนว่าเป็น ‘แชมป์คนแรกของอเมริกา’ และเป็น ‘นักการเมืองคนนอก’ ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตพัฒนาชุมชนในโอไฮโอ

“เขาจะเป็นนักรบในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าว

ขณะเดียวกันทรัมป์ก็ใช้เวทีนี้ในการเผยแพร่คำกล่าวปราศรัยที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายและดูหมิ่นตามสไตล์ของเขา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า ประเทศจะล่มสลายอีกครั้ง หากปธน.ไบเดนชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2

“ถ้าผมไม่ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ประเทศจะต้องนองเลือด" ทรัมป์เตือน ขณะที่พูดถึงผลกระทบภายนอกต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ และได้เผยแผนจ่อเพิ่มภาษีรถยนต์แบรนด์ต่างชาติ

หลังจากนั้น ทรัมป์ก็อ้างว่า “ถ้าผมไม่ชนะเลือกตั้งครั้งนี้ ผมไม่มั่นใจว่าพวกคุณจะมีโอกาสได้เลือกตั้งอีกครั้งในประเทศนี้หรือเปล่า”

ด้านรอยเตอร์ได้ถามเจมส์ ซิงเกอร์ โฆษกหาเสียงของไบเดน ถึงคำปราศรัยดังกล่าวของทรัมป์ ซิงเกอร์จึงประณาม ‘ลัทธิหัวรุนแรง’ ของทรัมป์ และว่านั่นเป็น ‘ความกระหายอยากแก้แค้น’ และเป็น ‘ภัยคุกคามจากความรุนแรงทางการเมือง’

‘TikTok’ อ่วม!! โดน ‘อิตาลี’ ปรับเงิน 10 ล้านยูโร เหตุไม่ควบคุม ‘เนื้อหาอันตราย’ ต่อเยาวชน

(19 มี.ค.67) TikTok กำลังเผชิญกับปัญหาจากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นคำถามจากการให้บริการในสหรัฐอเมริกา และล่าสุดทางการอิตาลีสั่งปรับเป็นเงิน 10 ล้านยูโร เนื่องจากไม่ได้ตรวจสอบเนื้อหาที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ที่อายุน้อยหรือผู้ใช้งานอื่นๆ อย่างเหมาะสม

แพลตฟอร์มที่มี ByteDance บริษัทแม่สัญชาติจีนเป็นเจ้าของกำลังเผชิญกับความล้มเหลวในการสร้างมาตรการปลอดภัยต่อและการปกป้องผู้เยาว์ที่ยังไม่สามารถแยกแยะเนื้อหาที่เหมาะสมได้ และอาจได้รับอิทธิพลจากพฤติกรรมการโน้มน้าวชักจูงจากกระแสไวรัล ตามรายงานของหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดด้านการแข่งขันของอิตาลีหรือ AGCM

ทั้งนี้ หน่วยงานเฝ้าระวังดังกล่าวได้จับตามอง และกล่าวถึงวิดีโอไวรัลที่กำลังเป็นปัญหา โดยมีเนื้อหาในการท้าให้ผู้เข้าร่วมทำภารกิจที่เรียกว่า ‘French scar’ โดยเฉพาะ ผู้ใช้งานเยาวชน ด้วยการหยิกแก้มตัวเองเพื่อสร้างรอยช้ำบนโหนกแก้ม ในเนื้อหานี้ TikTok ไม่ได้มี ‘มาตรการที่เพียงพอ’ ในการควบคุมและจัดการ เพื่อให้แพลตฟอร์มเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน AGCM กล่าว หลังจากการสอบสวนในเรื่องนี้ที่เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลของอิตาลีเรียกร้องให้ TikTok ระงับวิดีโอดังกล่าวออกจากแพลตฟอร์ม หลังจากภารกิจ ‘French scar’ ดังกล่าวส่งผลที่เป็นอันตรายและกลายเป็นประเด็นสำคัญที่สร้างความกังวลใจ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ TikTok ถูกพิจารณาว่าไม่ปลอดภัย และถูกปรับจากการขาดประสิทธิภาพในมาตรการรักษาความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา อังกฤษได้ปรับ TikTok เป็นเงินจำนวน เกือบ 16 ล้านเหรียญฐานใช้ข้อมูลของผู้ใช้งานที่เป็นเยาวชนในทางที่ไม่เหมาะสม และละเมิดข้อจำกัดอายุของผู้ใช้แพลตฟอร์ม

ด้านองค์กรอิสระดังกล่าวยังพบว่า ฟีเจอร์ ‘For you’ ของ TikTok สามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้ที่เป็นเด็กเข้าสู่เนื้อหาที่เป็นอันตรายได้ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ Eric Adams นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กฟ้อง TikTok พร้อมด้วยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น Meta ในข้อหาเป็นต้นเหตุของวิกฤติสุขภาพจิตของเยาวชน

ผู้แทนจาก TikTok ออกมาให้ความเห็นว่า แม้ว่าจะมีหลายกรณีที่ TikTok ล้มเหลวในการทำให้แอปโซเชียลมีเดียปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ทุกคน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของ AGCM ในอิตาลี

“เนื้อหาที่เรียกว่า 'French scar' มีการค้นหาเฉลี่ยเพียง 100 ครั้งต่อวันในอิตาลีก่อนที่จะมีการประกาศของ AGCM เมื่อปีที่แล้ว และทาง TikTok จำกัดการเปิดเผยเนื้อหานี้ไว้นานแล้วโดยกำหนดให้ผู้เข้าถึงเนื้อหาต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี” โฆษกของ TikTok กล่าวกับ Fortune

TikTok กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันในตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งคือ สหรัฐฯ ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติลงมติเห็นชอบร่างกฎหมาย ที่มีอำนาจสั่งห้ามแพลตฟอร์มให้บริการในสหรัฐฯ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้ผ่านการอนุมัติ และกำลังถูกพิจารณาจากวุฒิสภา โดยที่ผลลัพธ์ยังคงไม่แน่นอน

ในบรรดาข้อกังวลหลายประการนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน ซึ่ง TikTok ได้ปฏิเสธมาตลอด ความกังวลดังกล่าวทำให้รัฐบาลหลายแห่งสั่งห้ามให้มีการติดตั้งแพลตฟอร์มบนอุปกรณ์ของรัฐบาล

แม้ว่าอนาคตของ TikTok จะแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ TikTok ก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ทรงอิทธิพลที่สุดโดยมีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย วิธีที่แพลตฟอร์มจะรับมือกับข้อร้องเรียนจากหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการขาดความปลอดภัยอาจชี้ให้เห็นทิศทางในอนาคตของการดำเนินงานของแพลตฟอร์ม

อึ้ง!! ‘หนุ่มไต้หวัน’ ลงทุนแช่ขาในน้ำแข็ง จนต้อง ‘ตัดขา’ หวังเคลมเงินประกัน 8 กรมธรรม์ 47 ล้านบาท

(19 มี.ค.67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับหนุ่มไต้หวัน ที่ลงทุนตัดขา 2 ข้าง หวังเคลมประกัน 8 กรมธรรม์ประมาณ 47 ล้านบาท (41.26 ดอลลาร์ไต้หวัน) โดยมีเนื้อหาดังนี้…

นักศึกษาชายวัย 24 ปี ชื่อ จาง หนาน และ เหลียว หนาน เพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนมัธยม ขาดการติดต่อตอนขึ้นมหาลัย และกลับมาติดต่อกันอีกครั้ง โดย จาง หนาน มาทำงานในมหาวิทยาลัย ส่วน เหลียว หนาน ยังเรียนอยู่ ทั้งสองสมรู้ร่วมคิดจัดจากเคลมประกัน โดยแผนการได้เริ่มขึ้น
จาง หนาน ทำประกันชีวิตครั้งแรก หลายกรมธรรม์คุ้มครองสูงสุด 5 บริษัท 8 กรมธรรม์ เพื่อฉ้อโกง หวังเคลมเอาเงินประกัน

นักศึกษาชายอ้างว่าเขาขี่สกู๊ตเตอร์ ท่ามกลางอากาศหนาวจัด ในเดือน ม.ค.66 และเกิดอุบัติเหตุ ต้องตัดขาทั้งสองข้างจากอาการบวมน้ำเหลือง หิมะกัด ติดเชื้อ

>> ตามหาหลักฐาน

วันที่ 26 ม.ค.66 จาง หนาน และ เหลียว หนาน ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปซื้อน้ำแข็งแห้งในเขตซานชง เมืองนิวไทเป ตอนกลางคืนและกลับไปบ้านของ เหลียว หนาน ในเขตจงซานเมืองไทเป จากนั้นได้ให้ จาง หนาน นั่งบนเก้าอี้ และใช้สายรัดมัดติดเก้าอี้ และจุ่มขาแช่ลงไปในถังที่มีน้ำแข็งแห้ง ตั้งแต่ตี 2 ถึง 12.20 น. ของอีกวัน และได้มีการบันทึกคลิปและถ่ายรูปเหตุการณ์ไว้ ต่อมา 28 ม.ค.66 จาง หนาน ถูกส่งไปโรงบาลแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลแมคเคย์เมโมเรียล กรุงไทเป หลังจากรักษานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ขาทั้งสองข้างของจาง ถูกตัดออกตั้งแต่ใต้เข่า

หลังจากนั้นได้เริ่มเคลมประกันจากเหตุผล ‘ทุพพลภาพ’ ได้เงิน 261,000 บาท จากบริษัทแรก
แต่บริษัทที่เหลือ 4 บริษัทหลอกได้ยาก ทำให้การเคลมไม่สำเร็จ บ.ประกันสังเกต จาง หนาน ซื้อกรมธรรม์ใกล้วันที่เกิดเหตุไม่นาน นำมาสู่การแจ้งความ

ศาลไต้หวันได้มีการตัดสินคดี วันที่ 14 มี.ค.67 จากข้อมูล สำนักงานสืบสวนกลางไต้หวัน พบความผิดปกติหลายอย่าง จาง หนาน ซื้อประกันวงเงินคุ้มครองสูงสุดไม่นาน และอ้างว่าหิมะกัดรุนแรงขณะเดินทาง ซึ่งไม่สมเหตุสมผล และในไต้หวันไม่เคยมีเหตุการณ์นี้ ทั้งนี้ ข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันในวันเกิดเหตุ 26 ม.ค.66 อุณหภูมิ 6-17 องศาฯ ไม่หนาวพอที่จะเกิดหิมะกัด ร่องรอยขาของจางต้องอุณหภูมิติดลบหนัก

รวมทั้งภาพถ่ายแผลจากโรงพยาบาล ผิดปกติ ขาทั้ง 2 ข้างมีจุดร่องรอยเท่ากันในจุดที่เกิดแผล 
นอกจากนี้ ผลจากการค้นห้องพัก 15 มี.ค.66 พบถังและอุปกรณ์ในการจัดฉาก สรุปได้ว่าน่าจะเป็นอาการบาดเจ็บที่มนุษย์สร้างขึ้น สุดท้ายทั้งสองตกเป็นผู้ต้องหา ฉ้อโกงเงินประกัน และพยายามฉ้อโกงเงินประกัน ต้องขึ้นศาลรับโทษ

อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนยังพบแรงจูงใจการฉ้อโกง พบว่า เหลียว หนาน กำลังประสบปัญหาทางการเงินเนื่องจากการสูญเสียเงินสกุลเงินดิจิทัล จึงหลอกให้ จาง หนาน ลงนามตกลงกันว่าจะจ่ายเงิน 28 ล้านบาท ให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินประกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top