Monday, 20 May 2024
World

เปิดความเร็ว T-Flight สุดยอดม้าเหล็กจีนที่ลุ้นพิชิตสปีด 2 พัน กม.ต่อชม. เทียบระยะเวลา 'กรุงเทพ' ไป 'เชียงใหม่' แค่ 30 นาทีถีง

เมื่อวันที่ 5 มี.ค.67 Techhub รายงานว่า เป็นอีกครั้งที่จีนประสบความสำเร็จในการสร้างรถไฟความเร็วสูง รถไฟใหม่นี้เรียกว่า T-Flight และมันเพิ่งทำลายสถิติความเร็วใหม่ที่ 387 ไมล์ต่อชั่วโมง (623 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ทำลายสถิติรถไฟที่เร็วที่สุดของญี่ปุ่นอย่าง MLX01 ที่วิ่งด้วยความเร็ว 361 ไมล์ต่อชั่วโมง ไปแล้ว

T-Flight ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า maglev (Magnetic Levitation) เป็นรถไฟที่ใช้หลักการทางแม่เหล็กในการยกตัวลอยเหนือราง ช่วยลดแรงเสียดทาน รวมกับท่อสุญญากาศต่ำ (Hyperloop) ทำให้ T-Flight จึงสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงได้ขนาดนี้ได้

วิศวกรชาวจีนได้ตั้งเป้าหมายความเร็วนี้ที่ 1,243 ไมล์ต่อชั่วโมง (2,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งเร็วกว่าความเร็วกว่าเครื่องบินโบอิ้ง 737 ถึงสองเท่า ซึ่งถ้าหากได้ความเร็วนี้ เราสามารถโดยสารจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น

ทั้งนี้ รถไฟ T-Flight ได้รับการพัฒนาโดย China Aerospace Science and Industry Corporation (CASIC) ซึ่งในระหว่างการทดสอบที่เมืองต้าถง มณฑลซานซี ทางตอนเหนือของจีน รถไฟ T-Flight ทำความเร็วได้ที่ 387 ไมล์ต่อชั่วโมง ภายในท่อสุญญากาศต่ำที่มีความยาวเพียง 1.2 ไมล์ หรือ 2 กิโลเมตรครับ  และต้องรอดูการทดสอบในระยะไกล ๆ อีกครั้ง ว่ามันจะมีปัญหาอะไรไหม

‘หวังอี้’ ย้ำ!! จีนไม่ปล่อย ‘ไต้หวัน’ แยกตัวจากมาตุภูมิ ฮึ่ม!! ใครหนุน ‘เอกราชไต้หวัน’ เท่ากับท้าทายอธิปไตยจีน

(7 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เปิดเผยว่านโยบายของจีนต่อปัญหาไต้หวันนั้นชัดเจน นั่นคือยังคงพยายามรวมชาติอย่างสันติด้วยความจริงใจที่สุด

"บรรทัดฐานสำคัญที่สุดนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง นั่นคือจีนจะไม่มีทางปล่อยให้ไต้หวันแยกตัวจากมาตุภูมิ" หวังกล่าวที่การแถลงข่าวนอกรอบการประชุมประจำปีของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ

หวังตอบคำถามของสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์ข้ามช่องแคบหลังมีการเลือกตั้งผู้นำและสมาชิกสภานิติบัญญัติของไต้หวันว่าการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นของจีน และผลลัพธ์จะไม่เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และจะไม่เปลี่ยนแปลงกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ที่ว่าไต้หวันจะกลับคืนสู่มาตุภูมิ

"เราจะมีภาพถ่ายรวมประชาคมระหว่างประเทศที่เหล่าสมาชิกล้วนยึดมั่นหลักการจีนเดียว นี่เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น"

หวังกล่าวว่าหลักการจีนเดียวเป็นฉันทมติของประชาคมระหว่างประเทศ พร้อมเตือนว่าผู้ที่ยังคงสมรู้ร่วมคิดและสนับสนุน ‘เอกราชไต้หวัน’ กำลังท้าทายอำนาจอธิปไตยของจีน และประเทศที่ยืนกรานรักษาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับไต้หวันกำลังแทรกแซงกิจการภายในของจีน

กิจกรรมแบ่งแยกดินแดนที่แสวงหา ‘เอกราชไต้หวัน’ ยังคงเป็นปัจจัยบั่นทอนสันติภาพและเสถียรภาพข้ามช่องแคบไต้หวันมากที่สุด ดังนั้นยิ่งยึดมั่นหลักการจีนเดียวอย่างแน่วแน่มากเท่าไร ย่อมจะยิ่งช่วยรับประกันสันติภาพข้ามช่องแคบมากเท่านั้น

ใครก็ตามที่มีส่วนร่วมใน ‘เอกราชไต้หวัน’ บนเกาะไต้หวันจะต้องรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ และใครก็ตามในโลกที่สมรู้ร่วมคิดและสนับสนุน ‘เอกราชไต้หวัน’ จะต้องถูกแผดเผาเพราะเล่นกับไฟ และลิ้มรสชาติอันขมขื่นจากการกระทำของตนเอง

ทั้งนี้ หวังเรียกร้องประชาชนชาวจีนทั้งผองยึดมั่นผลประโยชน์โดยรวมของชนชาติจีน ร่วมกันคัดค้าน ‘เอกราชไต้หวัน’ และสนับสนุนการรวมชาติอย่างสันติ

‘สื่อ UK’ ชี้ รถยนต์ไฟฟ้า ‘จีน’ ยอดขายดีกว่า ‘สหรัฐฯ’ เหตุ ‘ราคาย่อมเยา - ประสิทธิภาพดี’ ถูกใจผู้ซื้อ

เมื่อวานนี้ (7 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์ส (Financial Times) ของสหราชอาณาจักร อ้างอิงมาเธียส เมเดรช ซีอีโอของยูมิคอร์ (Umicore) ผู้ผลิตวัสดุแบตเตอรี่ระดับโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เบลเยียม รายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้าของจีนมียอดจำหน่ายดีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ ‘ด้อยกว่า’ ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและมีราคาย่อมเยา ทำให้รถจีนเป็น ‘รถยนต์ที่ดีและผู้คนเลือกซื้อ’

ด้าน เมเดรช ซีอีโอของยูมิคอร์ ให้สัมภาษณ์ว่าผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันหลายราย ‘พยายามนำยานยนต์ไฟฟ้าที่ดี’ เข้าสู่ตลาด ซึ่งขณะที่ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนกำลังเพิ่มสูง แต่ตลาดในสหรัฐฯ กลับยังมีขนาดเล็ก และผู้ผลิตยานยนต์ของสหรัฐฯ หลายรายยังได้ระงับแผนการขยายโรงงานยานยนต์ไฟฟ้าเนื่องจากอุปสงค์อ่อนตัว

ทั้งนี้ ตลาดยานยนต์พลังงานใหม่มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในจีนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากการผลักดันการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเติบโตของตลาดรถยนต์อย่างรวดเร็วของประเทศ โดยในปี 2023 รถยนต์โดยสารไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 69 ของยอดจำหน่ายทั้งประเทศ ขณะรถไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริดครองสัดส่วนร้อยละ 31

สิ้น ‘อากิระ โทริยามะ’ ผู้ให้กำเนิด ‘ดราก้อนบอล’ ลาโลกในวัย 68 ปี หลังเกิดภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง

(8 มี.ค.67) DRAGON BALL OFFICIAL ได้เปิดเผยข่าวเศร้าผ่านทวิตเตอร์ ว่า ‘อากิระ โทริยามะ’ ผู้ให้กำเนิด ‘ดราก้อนบอล’ เสียชีวิตแล้ว ในวัย 68 ปี

โดยประกาศดังกล่าว เปิดเผยว่า ‘อากิระ’ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 มีนาคม จากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง

เราเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่เขายังมีผลงานอีกหลายชิ้นที่อยู่ระหว่างการสร้างสรรค์อย่างยิ่งใหญ่ และกระตือรือร้น นอกจากนี้ เขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เขาได้ทิ้งมังงะ และผลงานศิลปะไว้มากมายให้กับโลกนี้ ด้วยการสนับสนุนจากผู้คนมากมายทั่วโลก เขาจึงสามารถสานต่ออาชีพของเขาต่อไปได้มาตลอดเวลา 45 ปี

เราหวังว่าโลกแห่งการสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของ ‘อากิระ’ ยังคงเป็นที่รักของทุกคน

เราขอแจ้งข่าวเศร้านี้แก่ทุกคนด้วยความซาบซึ้งในความมีน้ำใจตลอดชีวิตของเขา สำหรับพิธีศพ จะจัดขึ้นกับครอบครัวและพี่น้องไม่กี่คน ตามความปรารถนาของเขา และจะไม่รับดอกไม้หรือของขวัญแสดงความเสียใจ การเยี่ยมเยียน นอกจากนี้ยังขอให้งดสัมภาษณ์ครอบครัว

โดยมีแฟนการ์ตูนต่างเข้าไปแสดงความเสียใจต่อการจากไปครั้งนี้จำนวนมาก

ทั้งนี้ อากิระ โทริยามะ เป็นนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดัง มีชื่อเสียงจากการ์ตูน เรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ ในปี พ.ศ. 2521 ได้ตีพิมพ์ในหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ โชเนนจัมป์ และได้เป็นที่รู้จักกันดีจากเรื่อง ‘ดราก้อนบอล’ ซึ่งตีพิมพ์เป็นเวลา 11 ปี จากปี พ.ศ. 2527 ถึง 2538 รวมทั้งหมด 42 เล่ม นอกจากนี้ ยังมีผลงานจำนวนมาก อาทิ Go! Go! Ackman

ผวายกลำ!! ‘ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส’ ล้อหลุดกลางอากาศ นับเป็นปัญหากลางอากาศหนที่ 3 ในรอบสัปดาห์

(8 มี.ค. 67) เครื่องบินโบอิ้งของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส เที่ยวมุ่งหน้าสู่ญี่ปุ่น ต้องเบี่ยงไปลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแองเจลิส เมื่อเครื่องบินเกิดล้อหลุดกลางอากาศ ไม่กี่วินาทีหลังจากเทกออฟขึ้นสู่ท้องฟ้า ในซานฟรานซิสโก เมื่อวันพฤหัสบดี (7 มี.ค.) สร้างความแตกตื่นเป็นกังวลแก่พวกผู้โดยสารเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ล้อที่หลุดออกจากเที่ยวบิน 35 ของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ก่อความเสียหายแก่รถยนต์หลายคันที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถของสนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก ในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังจากเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ลำนี้ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตอน 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น

ภาพในวิดีโอพบเห็นเครื่องบินสูญเสียล้อๆ หนึ่ง จากทั้งหมด 6 ล้อ บริเวณฝั่งซ้าย ระหว่างที่มันกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ยืนยันกับนิวยอร์กโพสต์ว่า เครื่องบินซึ่งบรรทุกผู้โดยสาร 235 คน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 10 คน และลูกเรือ 4 คน ที่กำลังมุ่งหน้าสู่โอซากา ลงจอดอย่างปลอดภัยที่สนามบินนานาชาติลอสแองเจลิส

"เรากำลังดำเนินการตระเตรียมเครื่องบินลำใหม่เพื่อให้ลูกค้าของเราสามารถเดินทางต่อไปได้" โฆษกสายการบินระบุ ขณะที่ตัวแทนของสายการบินอีกคนบอกกับนิวยอร์กโพสต์ว่าเศษซากล้อตกใส่ลานจอดรถแห่งหนึ่งของสนามบินซานฟรานซิโก ก่อความเสียหายแก่รถยนต์หลายคัน อย่างไรก็ตาม "ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ รันเวย์ปิดทำการเพื่อเคลียร์เศษซากช่วงสั้นๆ และนับตั้งแต่นั้นได้กลับมาเปิดให้บริการแล้ว"

สายการบินชี้แจงว่าเครื่องบินรุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถลอดจอดได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ ยามที่ล้อเกิดปัญหาหรือได้รับความเสียหาย

อย่างไรก็ตาม มันถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วในรอบสัปดาห์นี้ ที่เครื่องบินโบอิ้งลำหนึ่งของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ประสบปัญหากลางอากาศ

โดยเมื่อวันจันทร์ (4 มี.ค.) เครื่องยนต์ตัวหนึ่งของเครื่องบินโบอิ้ง 737-900 ของสายการบินแห่งนี้เกิดไฟลุกไหม้ไม่กี่นาทีหลังจากขึ้นบินในเทกซัส ทำให้เที่ยวบิน 1118 ของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ลำนี้ต้องวกกลับไปยังท่าอากาศยานจอห์จ บุช อินเตอร์คอนติเนนทัล ฮิวสตัน

ในวันเดียวกัน เครื่องบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส อีกเที่ยวจากโฮโนลูลู มุ่งหน้าสู่ ซานฟรานซิสโก ต้องประสบเหตุเครื่องยนต์ตัวหนึ่งขัดข้องเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก อย่างไรก็ตาม เครื่องบินโบอิ้ง 575-300 ลำนี้ลงจอดอย่างปลอดภัย ณ สนามบินปลายทาง ราว 1 ชั่วโมง หลังพบเหตุขัดข้อง

โบอิ้งต้องเผชิญกับประเด็นปัญหาต่างๆ เริ่มมาตั้งแต่เกิดเหตุแผ่นอุดประตู (door plug) หลุดกลางอากาศ บนเที่ยวบินลำหนึ่งของสายการบินอะแลสกา แอร์ไลน์ส เมื่อเดือนมกราคม ต่อมาได้ตรวจพบข้อบกพร่องต่างๆ ในกระบวนการผลิต ระหว่างการตรวจสอบเครื่องบินรุ่นแม็กซ์ 9 ของโบอิ้งเพิ่มเติม

‘ฮ่องกง’ เผย ‘ร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ’ ฉบับใหม่ เพิ่มโทษผู้มีความผิดข้อหา ‘ทรยศ-กบฏ-ก่อวินาศกรรม-ปลุกปั่น’

(8 มี.ค. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทางการฮ่องกงได้เผยแพร่ร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ โดยเพิ่มอัตราโทษแก่ผู้กระทำความผิดในข้อหาปลุกปั่นและเกี่ยวกับความลับทางราชการ

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงฉบับใหม่นี้ ได้กำหนดให้ผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาทรยศ กบฏ และก่อวินาศกรรม จะมีโทษจำคุกตลอดชีวิต ขยายเวลาให้ตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ที่ถูกจับกุมโดยยังไม่มีการตั้งข้อหาได้สูงสุด 14 วัน หากได้รับการเห็นชอบจากผู้พิพากษา และอาจจำกัดการเข้าถึงทนายความ ขณะที่ผู้ต้องหาคดีจารกรรมจะมีโทษจำคุก 20 ปี

ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ยังเสนอเพิ่มบทลงโทษในข้อหาปลุกปั่น ซึ่งมีความหมายถึงการปลุกปั่นความไม่พอใจหรือเกลียดชังต่อรัฐ ผ่านการกระทำ คำพูด หรือการเผยแพร่สิ่งพิมพ์ จากก่อนหน้านี้จะมีโทษจำคุก 2 ปี เป็นสูงสุด 10 ปี สำหรับความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังต่างชาติ รวมถึงผู้ที่มีความผิดในข้อหาเกี่ยวกับความลับทางราชการจะมีโทษจำคุก 10 ปีเช่นกัน และได้เสนอให้เพิ่มโทษผู้ที่มีสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาปลุกปั่นไว้ในครอบครองจาก 1 ปี เป็นสูงสุด 3 ปี โดยตำรวจมีสิทธิที่จะตรวจค้นเพื่อยึดและทำลายสื่อสิ่งพิมพ์เหล่านั้น

สภานิติบัญญัติของฮ่องกงได้เริ่มกระบวนการหารือเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วในวันที่ 8 มีนาคม ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา และสมาชิกสภาหลายคนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าร่างกฎหมายฉบับนี้อาจได้รับการผ่านเป็นกฎหมายก่อนกลางเดือนเมษายน

ด้านนายจอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้เรียกร้องให้สมาชิกสภาเร่งผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ให้เร็วที่สุด โดยบอกว่าภูมิรัฐศาสตร์มีความซับซ้อนมากขึ้น และความเสี่ยงด้านความมั่นคงยังคงอยู่ไม่ไกลจากฮ่องกงเช่นเดิม

ทั้งนี้ นักการทูตต่างชาติและนักธุรกิจต่างๆ กำลังจับตาดูร่างกฎหมายนี้อย่างใกล้ชิด เพราะกังวลว่ามันอาจเป็นการลดทอนเสรีภาพในฮ่องกง หลังก่อนหน้านี้มีการปราบปรามผู้เห็นต่าง จนทำให้นักเคลื่อนไหวและนักการเมืองหลายคนที่ฝักใฝ่ประชาธิปไตยต้องติดคุกหรือลี้ภัยไปต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายบางคนได้วิเคราะห์ร่างกฎหมายดังกล่าวเบื้องต้น ระบุว่าองค์ประกอบในการปรับบทลงโทษในการกระทำความผิดบางอย่างมีความคล้ายคลึงกับของชาติตะวันตก แต่บทบัญญัติบางประการ อาทิ ในข้อหาปลุกปั่นและความลับทางราชการ มีการขยายความกว้างขึ้นและมีโทษรุนแรงขึ้น

ทัวร์ลง Chris Kindred พนักงาน Sweet Baby หลังโพสต์แซะ 'อ.โทริยาม่า' หยิบความตายผู้อื่นมาผูกการเหยียดเชื้อชาติ สุดท้ายลบโพสต์หนี

(9 มี.ค.67) เพจเกมเมอร์ขวาจัด ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการที่ พนักงานบริษัท Sweet Baby Inc ได้โพสต์ด่า อ.โทริยามะ อากิระ ผู้เขียน Dragon Ball โดยได้ระบุว่า ... 

Chris Kindred พนักงานบริษัท Sweet Baby Inc ยังก่อเรื่องไม่เลิก ล่าสุดโพสต์ด่า อ.โทริยามะ อากิระ ผู้เขียน Dragon Ball เพียงไม่กี่ชั่วโมงให้หลังจากที่มีข่าวว่าอาจารย์ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัย 68 ปี จากโรงเส้นเลือดอุดตันในสมอง

Kindred โพสต์เปิดประเด็นทาง Twitter ส่วนตัวว่า "Toriyama สร้างตัวละครผิวดำที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดในอนิเมะซีรีส์เดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะทำแบบนั้นได้"

ไม่มีใครรู้ว่าเขาหมายถึงตัวละครตัวไหน แต่น่าจะหมายถึง Mr. Popo ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่เป็นตัวละครยักษ์ (genie) ผิวสีดำ ซึ่งมักจะตกเป็นประเด็นในฝั่งตะวันตกมาตลอดว่าเป็นการล้อเลียนคนเชื้อสายแอฟริกัน ถึงขนาด Dragon Ball บางเวอร์ชันที่ออกฉายในฝั่งตะวันตกมีการแก้ไขงานภาพเพื่อให้ Mr. Popo ตัวสีน้ำเงินแทนที่จะเป็นสีดำ

@childishgamzeno ก็เข้ามารับลูกต่อว่า "Mr. Popo ขอให้วายร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลกลับมาเกิดใหม่ เพื่อที่จะมาเป็นคนผิวสีที่ถูกฝึกสอนให้เป็นผู้กอบกู้โลกรุ่นต่อไป... อะไรกันวะ?" (น่าจะพูดถึงอูบุ, ร่างเกิดใหม่ของจอมมารบู)

คอมเมนต์ชาวเน็ตที่เข้าไปตอบโต้:
@ktwagie: "เอาความตายของคนอื่นมาใช้เพื่อช่วยเผยแพร่แนวคิดทุเรศ ๆ ของตัวเองนี่มันเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงนะ"

@Cyael: "เจ็บปวดเพราะตัวการ์ตูนถึงขนาดต้องโผล่หัวออกมาต่อว่า Akira Toriyama ที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่ถึง 24 ชม. นี่ไม่ใช่การตกเหยื่อแล้ว มันเป็นการหิวโหยความสนใจเลยแหละ ขอบคุณที่ช่วยสร้างเสียงหัวเราะ คุณมีส่วนช่วยเปิดโปงพรรคพวกของตัวเองที่เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ"
GPrime85: "คุณทำงานเป็น narrative designer แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีทักษะในด้านความมีกาลเทศะเลยนะ คุณถูกจ้างมาในโควต้าคนผิวสีใช่มั้ย?"

@steakdriven: "คนเขาเพิ่งจะเสียชีวิตนะ เคารพกันบ้างเถอะ"

@Romangelo: "Mr. Popo ไม่ใช่คนผิวดำ ไม่ใช่คนแอฟริกัน เขาไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ เขาเป็นยักษ์ (genie)"

@InfraRadical: "Dragon Ball ของ Akira Toriyama จุดประกายให้กับโลกนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันเชื่อมต่อมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์บนโลกใบนี้ มันเป็นแรงบันดาลใจที่จะไม่มีวันที่คนในบริษัทคุณจะสามารถทำได้ตลอดชีวิต"

@Daedalus622: "Akira Toriyama เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน ส่วนมึงเป็นคนที่ทำลายผลงานคนอื่น"

@SicklyTheNinja: "คลานกลับเข้าไปอยู่ในบริษัทตัวเองที่กำลังล่มจมเถอะ"

@Fenrirtheicewo1: "คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังสร้างศัตรูเป็นล้าน ๆ คน? ทั้งจากแอฟริกา, ยุโรป, อเมริกาใต้ ฯลฯ ขอให้โชคดีนะพวก"

@BlackCoffeecino: "เขาเป็นคนที่มีความสามารถนะ ไม่เหมือนมึง"

@No1Rambler: "Mr. Popo เป็นตัวละครที่ดีนะ ไม่เหมือนตัวละครที่บริษัทมึงเคยเขียนบทให้"

@maplesky1998: "ชายคนนั้นสร้างความปรองดองให้กับโลกใบนี้มากกว่าที่คุณหรือบริษัทของคุณเคยทำมา เคารพเขาหน่อยเถอะ อย่าเอาความตายของเขามาหากิน"

@lerigan: "Akira Toriyama เป็นที่รักของคนทั่วโลกนับล้าน และเขาทิ้งมรดกเอาไว้ให้คนเฉลิมฉลองไปอีกหลายรุ่น ในขณะที่คุณ... ทำไม่ได้แม้แต่จะจัดการกับกลุ่มใน Steam ที่เขาเตือนภัยเกมกาก... Toriyama ร่วมสร้าง Chrono Trigger ในขณะที่คุณร่วมสร้าง Suicide Squad รู้จักเจียมตัวมั่ง"

@ThAiBaAg: "อะไรทำให้คุณเป็นคนขี้เหยียดแบบนี้? ชีวิตคุณเคยไปเจออะไรมาเหรอถึงทำให้คุณกลายเป็นคนที่ชอบสร้างความเกลียดชัง? ต้องการคนคอยคุยปรับทุกข์หน่อยมั้ย?"

@OvunCassandra: "เขาคงจะคิดได้ล่ะมั้ง ว่าการทำตัวแบบนี้มันจะช่วยให้เขาสามารถทำเงินได้ เพราะสังคมสมัยนี้มันมีการให้รางวัลกับคนที่ทำตัวเหมือนกับว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ"

รู้จัก ‘GAC AION’ ค่ายรถ EV ยักษ์ใหญ่จากจีน พร้อมท้าชิง ‘ตลาดไทย’

จากกระแสโลกที่หันมาให้ความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมหนุนให้ใช้พลังงานสะอาด หลาย ๆ อุตสาหกรรมต่างตื่นตัวตอบรับกับกระแสดังกล่าว เช่นเดียวกับวงการยานยนต์ ที่ส่งผลให้ รถไฟฟ้า หรือ EV มาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะค่าย EV จากผู้ผลิตสัญชาติจีน ที่ในวันนี้กลายเป็นประเทศที่ส่งออก EV มากที่สุดของโลกไปแล้ว หากนับเฉพาะการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า 100% ล่าสุดพบว่า BYD ค่าย EV ยักษ์ใหญ่จากจีน มียอดขายแซง TESLA ของ อีลอน มัสก์ ไปเรียบร้อย

แน่นอนว่า ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า ของจีนไม่ใช่มีแค่แบรนด์เดียว แต่มีมากมายหลากหลายแบรนด์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์เกิดใหม่จากการสนับสนุนของรัฐบาลกลางของจีน

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับค่าย BYD, ฉางอัน, GWM หรือ Great Wall Motor ที่เข้ามาทำตลาดในไทยเป็นเจ้าแรก ๆ แต่ทว่า ยังมีค่าย EV น้องใหม่มาแรง ที่มีเทคโนโลยีโดดเด่นไม่เป็นรองแบรนด์ที่กล่าวมาเลย และเป็นอีกหนึ่งค่ายที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ว่านี้ก็คือ ‘GAC AION’ (จีเอซี ไอออน) นั่นเอง

สำหรับ GAC AION เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า ในเครือ ‘กว่างโจว ออโต้โมบิล กรุ๊ป’ หรือ GAC Group ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับ Top 5 ของจีน 

โดยโรงงานแห่งแรกของ GAC AION ได้เริ่มเดินสายพานการผลิตเมื่อเดือนเมษายน 2562 และในปี 2565 มียอดขายรถยนต์ EV รวมถึง 2.5 ล้านคัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนล้านหยวน ทำให้ AION ก้าวขึ้นมาติดอันดับ 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ EV ที่มียอดการจำหน่ายสูงสุดของประเทศจีน และยังติดเป็นอันดับ 186 ของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจากการประเมินรายได้และการจัดอันดับของฟอร์จูน โกลบอล 500 อีกด้วย

อย่างที่ทราบกันดีว่า ตลาดรถยนต์ EV ในประเทศไทย กำลังอยู่ในช่วงเนื้อหอมอย่างมาก และ AION เป็นอีกหนึ่งค่ายที่ไม่ยอมพลาดโอกาสทองนี้ โดยได้ประกาศเข้าสู่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอย่างเต็มตัว ด้วยการลงนามแต่งตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ไปเมื่อ วันที่ 28 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นการส่งสัญญาณรุกสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

ขณะเดียวกัน ยังประกาศแผนตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย พร้อมกับได้ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ EV ในไทยให้ได้ 100,000 คันต่อปี รวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการผลิตแบตเตอรี่ด้วย โดยมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยของ AION เบื้องต้น อยู่ที่ประมาณ 1,300 ล้านหยวน หรือ ประมาณ 6,400 ล้านบาท

AION ให้ความสนใจจะเข้ามาปักหมุดลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทย มาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2566 เนื่องจากเห็นโอกาสและศักยภาพตลาดรถยนต์ EV ในไทยที่กำลังเติบโต ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยยังได้ให้การสนับสนุนโครงการรถยนต์ EV และอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการทำการตลาด และนโยบายด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนผ่านทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาคอาเซียน 

ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของ AION ที่ให้ความสำคัญและมองถึงโอกาสที่จะใช้โรงงานในไทยเป็นฐานการผลิต รถยนต์พวงมาลัยขวาโดยเฉพาะ เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย และส่งออกไปยังประเทศที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลก 

ปัจจุบัน AION Thailand ได้เดินหน้าก่อสร้างโรงงานสำหรับผลิตรถยนต์ในประเทศไทย โดยตัวโรงงานตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC จังหวัดระยอง ซึ่งเฟสแรกอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2567 และมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50,000 คันต่อปี 

อย่างไรก็ดี ก่อนที่โรงงานในไทยจะเริ่มเดินสายพานการผลิตได้เต็มรูปแบบ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 2567 หรือต้นปี 2568 ในส่วนของรถยนต์ที่จัดจำหน่าย จะมาจากการนำเข้าจากฐานการผลิตที่ประเทศจีน ซึ่งขณะนี้ได้เดินหน้าลุยตลาดไปแล้ว ทั้งการขยายตัวแทนจำหน่าย และศูนย์บริการ โดยมีเป้าหมาย 3 ปี จะขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาด EV ประเทศไทย

และเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นวันที่ AION ได้เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรก ชื่อรุ่นว่า AION Y Plus รถยนต์ Compact Cross Over 5 ที่นั่ง 

สำหรับจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus นอกจากจะเป็นรถที่มีขนาดใหญ่และอเนกประสงค์แล้ว อีกสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบก็คือ เรื่องของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ AION นำมาใช้ในรถรุ่น Y Plus ที่เรียกว่า Magazine Battery นั่นเอง 

Magazine Battery เป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยสูง พัฒนาขึ้นโดย AION ซึ่งประกอบด้วย เคสด้านบนของแบตเตอรี่ผลิตจากฉนวนทนความร้อนสูงสุดที่ 1,400 องศาเซลเซียส ส่วนเซลล์แบตเตอรี่ที่มีคุณสมบัติทนความร้อนได้มากกว่าปกติ 30% ภายในแบตเตอรี่ยังได้มีติดตั้งระบบการจัดการแบตเตอรี่ รุ่นที่ 4 ที่มีระบบจัดการความร้อน ทำให้แบตเตอรี่เย็นลงได้อย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น Magazine Battery ยังได้ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยขั้นสูง เพื่อให้มั่นใจว่าแบตเตอรี่ที่นำไปใช้กับรถยนต์ไฟฟ้ามีความปลอดภัย โดย GAC AION ได้ทำการทดสอบยิงด้วยกระสุนปืนทะลุแบตเตอรี่ ผลการทดสอบที่ได้คือ แบตเตอรี่ไม่ติดไฟ

รวมถึงทดสอบการเจาะทะลุแบตเตอรี่ด้วยแท่งเหล็ก ด้วยความเร็วที่มากกว่าการยิงด้วยกระสุนปืน และมีเส้นผ่าศูนย์กลางของรอยทะลุขนาดใหญ่กว่ากระสุนปืนถึง 7-8 เท่า ผลการทดสอบที่ได้คือ แบตเตอรี่ไม่ระเบิดและไม่ติดไฟ

ต้องยอมรับว่า ทั้งในด้านเทคโนโลยี และความปลอดภัย รวมถึงศักยภาพด้านอื่น ๆ ของ AION เชื่อว่าจะสามารถต่อกรกับค่าย EV ได้ทุกแบรนด์ในตลาดประเทศไทย แต่จะไปถึงฝั่งฝืนสามารถก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 ของตลาด EV ประเทศไทย ภายใน 3 ปี ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ 

แต่ที่แน่ ๆ การเข้ามาบุกตลาด EV ประเทศไทย ของ AION ในครั้งนี้ คนที่ได้รับประโยชน์เต็ม ๆ ก็คือผู้บริโภคชาวไทย ที่จะมีรถ EV คุณภาพให้เลือกใช้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแบรนด์ ขณะเดียวกัน ยังส่งผลให้เกิดการขยายคลัสเตอร์ยานยนต์ใน EEC อย่างต่อเนื่อง ช่วยผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในอาเซียน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของไทยในการก้าวสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าสำคัญของโลกอีกด้วย

นักบิน ‘บาติกแอร์’ งีบหลับขณะควบคุมเครื่อง เหินฟ้าไปจาการ์ตา เหตุ นอนน้อย ผู้โดยสาร ระทึกกันทั้งลำ คณะกรรมการด้านปลอดภัย สั่งสอบด่วน

เมื่อวานนี้ (9 มี.ค.67) คณะกรรมการด้านความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติอินโดนีเซียหรือ KNKT มีคำสั่งให้เปิดการสอบสวนหลังเกิดเหตุที่น่าตกใจกับสายการบินบาติก แอร์ ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นในเครือไลอ้อนกรุ๊ป โดยนักบินและผู้ช่วยนักบินได้เกิดหลับพร้อมๆกันนานถึง 28 นาที ขณะบินจากสุลาเวสีตะวันออกเฉียงใต้ไปกรุงจาการ์ตา ซึ่งใช้เวลาบินราว 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยเหตุเกิดขึ้นวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา เคราะห์ดีที่เครื่องบินแอร์บัส A320 พร้อมผู้โดยสาร 153 ชีวิตและลูกเรือ 4 ชีวิตเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย

รายงานระบุว่ากระทรวงคมนาคมอินโดนีเซียได้ตำหนิบาติกแอร์อย่างรุนแรงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่เอ็ม คริสตี้ เอ็นดาห์ เมอร์นี ผู้อำนวยการการขนส่งทางอากาศให้เรียกร้องให้สายการบินต่างๆทบทวนและให้ความสำคัญกับเวลาพักผ่อนของนักบินว่าต้องเพียงพอ โดยเฉพาะเที่ยวบินกลางคืน

ด้านบาติกแอร์ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าปฏิบัติตามนโยบายว่าด้วยเรื่องเวลาพักผ่อนของนักบินรวมทั้งมาตรการความปลอดภัยอย่างครบถ้วนทุกอย่าง และล่าสุดได้สั่งพักงานนักบินทั้งคู่ชั่วคราว

ทั้งนี้รายงานเผยว่าวันเกิดเหตุ นักบินพักผ่อนไม่พอ และได้ขออนุญาตผู้ช่วยนักบินงีบหลับ ผู้ช่วยนักบินจึงทำหน้าที่แทน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฎว่าผู้ช่วยนักบินก็เผลอหลับเช่นกัน โดยหอการบินที่สนามบินจาการ์ตาเผยว่านักบินทั้งคู่ขาดการติดต่อเป็นเวลา 28 นาที เมื่อติดต่อไปก็ไม่ตอบกลับ พอนักบินตื่นขึ้นมา ก็พบว่าเครื่องกำลังบินออกนอกเส้นทาง ถึงได้รู้ว่าผู้ช่วยเผลอหลับจึงรีบปลุกและปรับเปลี่ยนเส้นทางการบินใหม่จนมาถึงสนามบินจาการ์ตาอย่างปลอดภัย โดยนักบินทั้งสองคนเป็นชาวอินโดนีเซีย

หลังเกิดเหตุ KNKT ได้แนะให้บาติก แอร์ค่อยหมั่นตรวจเช็คห้องนักบิน และกำชับให้นักบินและลูกเรือต้องพักผ่อนให้พอก่อนออกบิน

‘จีน’ ยกระดับ สามารถสลับแบตฯได้ภายใน 80 วินาที ที่มณฑลเจียงซู ประหยัดเวลาชาร์จ คาดรองรับ ผู้ใช้ยานยนต์พลังงานใหม่ ได้มากกว่า 500,000 ราย

(10 มี.ค.67) การไฟฟ้าแห่งประเทศจีน สาขาเจียงซู เปิดเผยว่าเขตสาธิตดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่เกือบ 500 ตารางกิโลเมตรในเมืองซูโจว อู๋ซี และฉางโจว พร้อมด้วยเสาชาร์จราว 1,300 ต้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับผู้ขับขี่ยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ได้มากกว่า 500,000 ราย

สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการสลับแบตเตอรี่ที่ทำให้ยานพาหนะสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ภายในเวลาเพียง 80 วินาทีจะเปิดให้บริการในเมืองอู๋ซี ก่อนขยับขยายทั่วเขตสาธิตแห่งนี้

ก่อนหน้านี้ ผู้ขับขี่ยานยนต์ไฟฟ้ามักต้องค้นหาสถานีชาร์จบริเวณใกล้เคียง แต่เขตสาธิตใหม่นี้จะใช้อัลกอริธึมอัจฉริยะเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ค้นหาโซลูชันการชาร์จที่รวดเร็วและประหยัดที่สุด ตลอดจนช่วยค้นหาเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมในการชาร์จ

หยวนเสี่ยวตง ผู้อำนวยการด้านเทคนิคของสถาบันวิจัยพลังงานไฟฟ้า สังกัดการไฟฟ้าฯ คาดว่าเขตสาธิตข้างต้นจะสามารถช่วยลดเวลาการเข้าคิวรอชาร์จเฉลี่ยเกือบร้อยละ 50 ต่อเดือน โดยคาดว่าเขตสาธิตแห่งนี้จะขยายไปยังมณฑลอันฮุยและเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี

สำนักบริหารพลังงานแห่งชาติของจีน ระบุว่าสัดส่วนการเป็นเจ้าของยานยนต์พลังงานใหม่ของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยมีการใช้ยานยนต์พลังงานใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 20.41 ล้านคันเมื่อนับถึงสิ้นปี 2023 และเพื่อตอบสนองการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นนี้ จีนจะเดินหน้าปรับปรุงและขยายเครือข่ายสิ่งอำนวยความสะดวกการชาร์จ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 เมื่อเทียบปีต่อปีในปีก่อน และเกือบแตะ 8.6 ล้านเครื่องเมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top