Sunday, 18 May 2025
World

แกนนำ 'เทกซิต' เชื่อ!! 'เทกซัส' แยกตัวจากสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ชี้!! ชนวนชายแดน อาจทำให้อีก 25 มลรัฐ ปลดแอกตัวเองตามมาติดๆ

แกนนำแบ่งแยกดินแดนเทกซัสรายหนึ่ง เชื่อว่าการแยกตัวออกจาก 'สหภาพ' (Union) ความเคลื่อนไหวที่ถูกเรียกขานว่า 'เทกซิต' (Texit) อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ท่ามกลางประเด็นข้อพิพาทระหว่างเกรก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐกับรัฐบาลกลาง เกี่ยวกับการควบคุมแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก

(6 ก.พ.67) นิวยอร์กโพสต์ รายงาน คำกล่าวของ 'ดาเนียล มิลเลอร์' ประธานขบวนการชาตินิยมเทกซัส ระบุว่า "เราอยู่ในจุดที่เทกซิตอยู่ในความคิดของทุกคน ทั้งพวกคนที่สนับสนุนและพวกที่คัดค้าน โดยมีประเด็นชายแดนเป็นแรงเสริม เพื่อเพิ่มการตัดสินใจให้แก่เทกซัส และนั่นจะนำมาสู่การโหวตแบบมีผลผูกพัน เพื่อให้เทกซัสได้กลายเป็นประเทศเอกราชและปกครองตนเอง"

มิลเลอร์ ยังได้กล่าวยกย่อง นายเกร็ก แอบบอต ผู้ว่าการมลรัฐเทกซัส ที่ประกาศสิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐเทกซัส พร้อมเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ใดๆ ของรัฐบาลกลาง ด้วยจุดยืนการปฏิเสธรื้อถอนรั้วลวดหนามที่สร้างขึ้นตามแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก แม้ศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะตัดสินใจแล้วว่ามันไม่ชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นการสะท้อนถึงรัฐบาลกลางที่ล้มเหลวในการปกป้องเทกซัสจากการไหลบ่าพวกผู้อพยพลี้ภัยที่ข้ามชายแดนเข้ามา พร้อมเน้นย้ำทางรัฐเทกซัสมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องตนเอง

ก่อนหน้านี้ แอบบอตต์ ระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตได้เปลี่ยนชายแดนทางใต้ของประเทศให้กลายเป็นจุดเสี่ยงต่อการอพยพย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมายแทนที่จะรักษากฎหมายและปกป้องชายแดน แต่กลับสนับสนุนการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่ชายแดนติดกับเม็กซิโก และผู้ก่อการร้ายเข้าสหรัฐฯ

แน่นอนว่าถ้อยแถลงของผู้ว่าการรัฐเทกซัส ถือเป็นการตั้งป้อมปฏิเสธคำสั่งจากรัฐบาลกลาง และท้าทายอำนาจของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมศุลกากรและป้องกันชายแดน และกระทรวงความมั่นคงของสหรัฐฯ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ มิลเลอร์ ได้สะท้อนความคิดเห็นแบบเดียวกันผ่านทาง podcast ของเขาเมื่อวันอังคารที่แล้วด้วยว่า "ทุกๆ ครั้งที่เทกซัสพยายามทำบางอย่างเพื่อคุ้มกันชายแดน รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงหรือทำอย่างที่ผ่านมา เพื่อเตะถ่วงความพยายามของเทกซัส ให้มันไร้ผล ทั้งๆ ที่กระทรวงทหารและกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะของเทกซัส มีการปฏิบัติการในฐานะผู้ช่วยหน่วยลาดตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ภายใต้คำสั่งให้ปล่อยพวกเขา (ผู้อพยพ) ข้ามเข้ามา และพาพวกเขาขึ้นรถบัส-ขึ้นเครื่องบินและขึ้นเรือไปทุกหนทุกแห่งอยู่แล้ว"

นอกจากนี้ มิลเลอร์ ยังให้สัมภาษณ์กับนิวส์วีก โดยแสดงความมั่นใจด้วยว่า จะมีประชาชนมากขึ้นที่พร้อมลงคะแนน 'เห็นชอบ' ในการลงมติในคำถามที่ว่ารัฐแห่งนี้ควรแยกตัวออกไปหรือไม่? และเกี่ยวกับประเด็นชายแดนนี้ ก็อาจกระตุ้นให้รัฐอื่นๆ พิจารณาแยกตัวออกจากสหรัฐฯ เช่นกัน โดยอ้างถึงกรณีที่มีผู้ว่าการรัฐรีพับลิกัน 25 คน ได้ร่วมลงนามในหนังสือสนับสนุนแอบบอตต์

"มันหมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ มันหมายความว่าเรากำลังพบเห็นการหมุนตัวออกไป ไม่ใช่แค่เทกซัส แต่รวมไปถึงรัฐอื่นๆ ในบรรดา 25 รัฐ" มิลเลอร์กล่าวและว่า "มันคือช่วงเวลาที่น่าสนใจในช่วงชีวิตของเรา และผมคิดว่าเรากำลังมุ่งหน้าสู่จุดหนึ่ง จุดที่อยู่เกินกว่าคำว่าวิกฤตรัฐธรรมนูญ"

'ชิอิโนะ คาโรลินา' ขอสละตำแหน่ง เซ่นข่าวฉาว เป็นนางงามมือที่ 3

จำต้องคืนมงฯ โบกมือลาตำแหน่งนางงามญี่ปุ่นเสียแล้ว สำหรับ ชิอิโนะ คาโรลินา สาวงามเชื้อสายยูเครน ผู้สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศจากงานประกวด Miss Nippon Grand Prix ประจำปี 2024 เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา สร้างประวัติศาสตร์ นางงามที่มีเชื้อสายยุโรป 100% แต่สามารถคว้ามงกุฎจากเวทีประกวดของญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายจากชาวญี่ปุ่นถึงคุณสมบัติในการประกวดนางงามของเธอ 

แต่หลังจากที่ครองตำแหน่งยังไม่ถึงเดือน ชิอิโนะ คาโรลินา จำต้องสละตำแหน่งเสียแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะกองประกวดเรียกคืนรางวัลเพราะเสียงวิจารณ์ว่าเธอไม่ใช่สาวญี่ปุ่น แต่เป็นเพราะข่าวฉาวหลังงานประกวดว่าเธอมีสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว 

โดย Shukan Bunshun หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของญี่ปุ่นได้นำเสนอข่าวว่า ชิอิโนะ คาโรลินา มีความสัมพันธ์กับนายแพทย์คนหนึ่ง ที่มีสถานะ 'แต่งงานแล้ว' ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดธรรมเนียม และ ศีลธรรม ในสังคมญี่ปุ่น

ด้านกองประกวด Miss Nippon Grand Prix เคยออกมาตอบโต้ข่าวฉาวดังกล่าวว่า ทราบเรื่องที่ ชิอิโนะ คาโรลินา กำลังคบหาดูใจกับนายแพทย์คนดังกล่าวแล้ว เนื่องจากฝ่ายชายปิดบังสถานะการแต่งงานของตน ก่อนที่จะมาคบกับ ชิอิโนะ คาโรลินา ดังนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของเธอ และกองประกวดยังคงสนับสนุน  ชิอิโนะ คาโรลินา ในการทำหน้าที่ Miss Nippon Grand Prix ต่อไป

แต่ทว่าเมื่อวันจันทร์ (5 ก.พ. 67) กองประกวดได้ออกประกาศฉบับใหม่ว่า ชิอิโนะ คาโรลินา ออกมายอมรับว่าเธอทราบถึงสถานะครอบครัวของนายแพทย์คนดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคบหากับฝ่ายชาย และได้ขอโทษทีมงาน พร้อมยื่นคำร้องขอสละตำแหน่ง Miss Nippon Grand Prix เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ต่อมา ชิอิโนะ ยังได้โพสต์ข้อความขอโทษถึงภรรยาของฝ่ายชาย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทีมงานกองประกวด และบรรดาแฟนคลับที่ได้สนับสนุนเธอตลอดการแข่งขัน และรู้สึกละอายที่ได้โกหกคนเหล่านี้ จึงขอสละมงกุฏตำแหน่ง Miss Nippon Grand Prix ของเธอเพื่อเป็นการขอโทษต่อสังคม

เป็นการปิดตำนานนางงามฝรั่งคว้ามงฯ นางงามญี่ปุ่น อย่างช็อตฟิลคนทั้งประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับถึงสปิริตความเป็น 'คนญี่ปุ่น' ในตัวของ ชิอิโนะ คาโรลินา แม้แต่วัฒนธรรมการขอโทษ และแสดงความรับผิดชอบเมื่อสำนึกว่าทำผิด ตามสไตล์ญี่ปุ่นแท้จริง ๆ 

‘ผู้ประกอบการจีน’ บุกตลาดต่างประเทศ ทำธุรกิจนอกประเทศจีน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

(6 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บรรดาผู้ประกอบการของจีนเดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศเป็นจำนวนสูงเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้สื่อมวลชนตะวันตกบางส่วนรายงานข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนในเชิงลบ

เมื่อวันอาทิตย์ (4 ก.พ.) ย่าโจว โจวคาน (Yazhou Zhoukan) สื่อมวลชนในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของจีน รายงานว่ากลุ่มผู้ประกอบการของจีนเดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้สหรัฐฯ กำหนดภาษีศุลกากรระดับสูงและการคว่ำบาตรต่างๆ

สิ่งนี้บ่งชี้ความสามารถทางนวัตกรรมอันทรงพลังและการรับรู้ความเสี่ยงของจีน พร้อมกับสร้างพื้นที่เชิงพาณิชย์ใหม่และสะท้อนความสามารถทางการแข่งขันระดับชาติอันแข็งแกร่งของจีน

แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีนสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคชาวต่างชาติ โดยความสามารถในการจัดการทางดิจิทัลและห่วงโซ่อุตสาหกรรมอันสมบูรณ์ของจีนสามารถลดต้นทุนด้วยการไม่ต้องมีพ่อค้าคนกลาง ทำให้ราคาสินค้าไม่แพง

กระบวนการทางดิจิทัลนี้ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตของจีนขยายตัวและปรากฏอยู่ในทั้งประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มผู้ประกอบการของจีนที่เดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศมีข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยี ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

รายงานข่าวยกตัวอย่างจากกลุ่มบริษัทจัดเลี้ยงของจีน ซึ่งพึ่งพาเทคนิคทางดิจิทัลตั้งแต่ห่วงโซ่อุปทานจนถึงการบริการส่วนหน้าในการรักษาความสามารถทางการแข่งขัน โดยบริษัทเหล่านี้บางส่วนได้เข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ในยุโรปและสหรัฐฯ แล้วด้วย

‘คิงชาร์ลส์ที่ 3’ แห่งอังกฤษ ถูกวินิจฉัยป่วยเป็น ‘มะเร็ง’ หลังแพทย์ตรวจพบระหว่างรักษาต่อมลูกหมากโต

(6 ก.พ.67) สำนักพระราชวังบักกิงแฮมของอังกฤษ ออกแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็ง หลังจากที่แพทย์ตรวจพบความผิดปกติระหว่างทรงเข้ารับการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตเมื่อไม่นานมานี้

อย่างไรก็ตาม สำนักพระราชวังบักกิงแฮมไม่ได้ระบุว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่ ระบุแค่เพียงว่า วันนี้ (6 ก.พ.) พระองค์ทรงเริ่มเข้ารับการรักษาตามปกติ ในระหว่างนี้ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้เลื่อนการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ออกไปก่อน แต่สามารถทรงงานกิจการของรัฐและงานเอกสารราชการได้ตามปกติ

“พระองค์ทรงเลือกที่จะแบ่งปันผลการวินิจฉัยของพระองค์เพื่อป้องกันการคาดเดา และหวังว่าจะช่วยให้สาธารณชนเข้าใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งทั่วโลก” สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ระบุในแถลงการณ์

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. สำนักพระราชวังบักกิงแฮม เปิดเผยว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ได้เสด็จออกจากโรงพยาบาลลอนดอน คลินิก แล้วหลังจากประทับมาตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. เพื่อรักษาพระอาการต่อมลูกหมากโต

รายงานข่าวระบุว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 พระชนมายุ 75 พรรษา กลับมามีพระพลานามัยแข็งแรงอีกครั้งหลังจากรับการรักษา โดยสมเด็จพระราชินีคามิลลา เสด็จเยี่ยมพระสวามีทุกวัน และอยู่เคียงข้างพระองค์ในวันที่เสด็จออกจากโรงพยาบาล

ทหารหญิงอิสราเอลเชื้อสายจีนถูกเพื่อนทหารข่มขืน ข่าวที่ไม่ปรากฏในบรรดาสื่อที่สนับสนุนอิสราเอล

ทหารหญิงอิสราเอลที่เกิดในจีนถูกเพื่อนทหารข่มขืน ข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนทหารหญิงอิสราเอลที่มีเชื้อสายจีนโดยเพื่อนทหารของเธอระหว่างที่เธอมีส่วนร่วมในการสู้รบในฉนวนกาซาได้แพร่สะพัดใน Social media ระบุว่า ‘Abigail Weinberg’ ทหารหญิงอิสราเอลซึ่งอพยพมาจากประเทศจีน และเข้าร่วมในกองทัพอิสราเอล ในระหว่างที่เธอมีส่วนร่วมในการสู้รบในฉนวนกาซา เธอถูกเพื่อนทหารข่มขืน 

‘Watan’ หรือ เว็บไซต์ข่าวรายวันของอียิปต์ ได้ติดตามคดีนี้ที่เผยแพร่บน Social media และพบบทความที่ตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ภาษาฮีบรู ‘Yedioth Ahronoth’ เมื่อเดือนกันยายน 2023 ได้เล่าเกี่ยวกับทหารหญิงเชื้อสายจีนในกองทัพอิสราเอล โดยระบุว่าเธอชื่อ ‘Abigail Weinberg’ บทความในหนังสือพิมพ์กล่าวถึงว่า ‘Abigail Weinberg’ อพยพมาจากจีนมายังอิสราเอลตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก และตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพอิสราเอล โดยปัจจุบันเธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานในกองพลทหารปืนใหญ่ที่ 215 และหน่วยของเธอได้ปฏิบัติการในที่ราบสูงโกลาน

ข่าวการข่มขืน Abigail ถูกเผยแพร่โดย Israeli Broadcasting Corporation กล่าวถึงการจับกุมและดำเนินคดีทหารจากกองกำลังสำรองของอิสราเอลในข้อหาข่มขืนเพื่อนร่วมงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการร่วมกับเขาในฉนวนกาซา รายงานเสริมว่าคำฟ้องของทหารรายนี้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนดึกของช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของสงครามอิสราเอลในฉนวนกาซา เนื้อข่าวยังเปิดเผยว่าสารวัตรทหารอิสราเอลจับกุมทหารรายดังกล่าวในข้อหาข่มขืนเพื่อนร่วมงานระหว่างปฏิบัติการทางทหาร

‘ซาอุฯ’ เสียงแข็ง!! ไม่เปิดสัมพันธ์การทูตอิสราเอล  จนกว่าจะยอมให้มีการตั้ง ‘รัฐปาเลสไตน์’

(7 ก.พ.67) กระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียแถลงวันนี้ว่า รัฐบาลได้แสดงจุดยืนให้สหรัฐฯ ทราบแล้วว่าจะไม่เดินหน้าสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล จนกว่าจะมีการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ตามเส้นพรมแดนปี 1967 ที่มีเยรูซาเลมตะวันออกรวมอยู่ด้วย และจนกว่าอิสราเอลจะยุติความรุนแรงในฉนวนกาซา

คำแถลงจากกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียมีขึ้น หลังจากที่ จอห์น เคอร์บีย์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคาร (6 ก.พ.) ว่า รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้รับ ‘ฟีดแบคที่ดี’ จากทั้งซาอุดีอาระเบียและอิสราเอลเกี่ยวกับการพูดคุยเพื่อปรับความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ระดับปกติ

ทางกระทรวงย้ำว่า ถ้อยแถลงที่ออกมานี้ก็เพื่อแสดงถึงจุดยืนที่หนักแน่นของซาอุดีอาระเบียในเรื่องปัญหาปาเลสไตน์ และเป็นการตอบโต้สิ่งที่ เคอร์บีย์ ออกมาพูดก่อนหน้า

แนวคิดในการผลักดันให้อิสราเอลและซาอุดีอาระเบียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเริ่มถูกนำมาหารืออย่างจริงจัง หลังจากริยาดไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านเมื่อเพื่อนบ้านในอ่าวเปอร์เซียอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และบาห์เรนหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลในปี 2020

อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวที่เข้าถึงมุมมองของผู้นำริยาดเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2023 ว่า
สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่คร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาไปแล้วกว่า 20,000 คน ทำให้ซาอุดีอาระเบียตัดสินใจ ‘เบรก’ การเจรจากับอิสราเอลแบบไม่มีกำหนด

กองทัพอิสราเอลเริ่มเปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีฉนวนกาซาทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน หลังจากพวกฮามาสที่ปกครองกาซาบุกจู่โจมภาคใต้ของรัฐยิวเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ปีที่แล้ว และสังหารประชาชนไปราว 1,200 คน อีกทั้งยังจับพลเมืองอิสราเอลและต่างชาติไปเป็นตัวประกันอีก 253 คน

จับตา!! กลไกรัฐจีน สั่งการกองทุน Central Huijin กระหน่ำซื้อหุ้น+กองทุน ETF ในตลาดทุนมากขึ้น

(7 ก.พ. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“🇨🇳 Visible Hand กลไกรัฐจีนทำงานหนัก!! สั่งการให้ Central Huijin ของรัฐบาลจีนกระหน่ำซื้อหุ้น+กองทุน ETF ในตลาดทุนมากขึ้น”

#หุ้นจีน 🇨🇳 ปรับแดนบวก 07.02.2024 เพราะมือที่มองเห็นในจีน!! 

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีน (CSRC) 🇨🇳 ประกาศสนับสนุนให้บริษัท Central Huijin Investment (เซ็นทรัล หุยจิน) บริษัทด้านการลงทุนของรัฐบาลจีนเข้าซื้อกองทุน ETF : Exchange-Traded Funds และซื้อหุ้นในตลาดมากขึ้น เพื่อสนับสนุนตลาดหุ้นภายในประเทศ

Central Huijin Investment Co., Ltd. คือ บริษัทลงทุนของทางการจีน (พรรคคอมมิวนิสต์จีน) 🇨🇳 ตั้งมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2003 โดยอยู่ในสังกัดของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของจีน (Sovereign Wealth Fund ) ที่ใช้ชื่อว่า กองทุน CIC : China Investment Corporation 

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ CIC เป็นกองทุนสถาบันที่มีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ โดยการนำทุนสำรอง reserves หรือรายได้ของประเทศบางส่วนมาฝากไว้กับกองทุน เพื่อหาผลตอบแทน

ในปัจจุบัน Central Huijin ของทางการจีนได้เข้าไปถือหุ้นในธนาคารและสถาบันการเงินสำคัญต่าง ๆ ของจีนกว่า 17 แห่ง เช่น  ธนาคาร Big Four ทั้งสี่ของจีน และธนาคารอื่น ๆ รวมทั้งถือหุ้นในบริษัทประกันต่าง ๆ และถือหุ้นในบิ๊กเทคจีน เช่น Alibaba!!

Central Huijin จึงถือเป็นอีกกลไกรัฐของจีนในการเข้าไปมีบทบาท (พยุง) ตลาดทุนและสถาบันการเงินสำคัญของจีน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน  

#มือที่มองเห็นของจีน 🇨🇳 #กลไกรัฐ

2 มหาวิทยาลัยดังสิงคโปร์ เตรียมเก็บค่าเข้าชมพื้นที่ หลังคณะทัวร์ล้นทะลัก กระทบชีวิตนักศึกษาหลายด้าน

(7 ก.พ. 67) กลายเป็นกระแสทั่วโซเชียล เมื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังของสิงคโปร์ออกกฎ ‘เก็บเงินค่าเข้าชม’ หลังนักท่องเที่ยวแห่เข้ามาเยี่ยมชมในพื้นที่มหาวิทยาลัย จนส่งผลกระทบต่อนักศึกษา

มหาวิทยาลัยชื่อดังของสิงคโปร์ 2 แห่ง ได้แก่ Nanyang Technological University (NTU) และ National University of Singapore (NUS) เจอสถานการณ์ ‘ทัวร์ลง’ ของจริง จนต้องออกมาตรการเพื่อลดจำนวนคณะทัวร์ที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่

สำนักข่าว South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า มหาวิทยาลัยดังทั้งสองแห่งเผชิญปัญหาเดียวกันในระยะหลัง คือมีคณะทัวร์เข้ามาเป็นคันรถจนทำให้การจราจรติดขัด และไม่ใช่แค่ชมภายนอกอาคาร แต่ลามเข้าไปถึงในภายใน 

นักท่องเที่ยวมักจะเข้ามาดูและถ่ายรูปในพื้นที่อ่านหนังสือ ส่งเสียงดังภายในอาคารจนรบกวนสมาธิ แม้กระทั่งเนียนเข้าไปนั่งฟังเลคเชอร์ในห้องเรียน และที่หนักที่สุดคือนักท่องเที่ยวจะต่อคิวร่วมกินข้าวเที่ยงในโรงอาหารด้วย จนนักศึกษาต้องรอคิวซื้อข้าวเป็นชั่วโมง และนักท่องเที่ยวยังร่วมใช้รถชัตเติลบัสภายในวิทยาเขต ทำให้ที่นั่งเต็ม นักศึกษาต้องรอคิวขึ้นรถ ทั้งหมดนี้ทำให้นักศึกษาไม่สะดวกในการจัดการเวลาและเข้าเรียนสาย

เหตุการณ์ปั่นป่วนเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2023 จนทำให้ NTU ออกกฎใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2024 เอเยนซีทัวร์ทั้งหลายที่จะพาทัวร์มาลงในวิทยาเขตจะต้องขออนุญาตมหาวิทยาลัยก่อน และต้องลงทะเบียนคณะทัวร์ผ่านช่องทางออนไลน์ มีการจองตารางเข้าชมล่วงหน้า 

รวมถึงต่อไป NTU จะเก็บ ‘ค่าเข้าชม’ เพื่อใช้บำรุงรักษาสถานที่ และเป็นการควบคุมจำนวนพาหนะเข้าออกพื้นที่ โดยขณะนี้ยังไม่ประกาศราคาและเงื่อนไข

บริษัททัวร์หลายแห่งให้สัมภาษณ์กับ SCMP ว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ต้องการทัวร์มหาวิทยาลัยมักจะมาจาก ‘จีน’ และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการจะพาลูก ๆ วัยประถมถึงมัธยมมาเพื่อ ‘สัมผัสประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย’ ที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของเอเชีย

Times Higher Education นิตยสารอังกฤษที่มักจะจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดทั่วโลกทุกปี เมื่อปี 2023 จัดอันดับ NUS เป็นอันดับ 3 ของเอเชียและอันดับ 19 ของโลก ส่วน NTU ถือเป็นอันดับ 5 ของเอเชียและอันดับ 36 ของโลก

นอกจากชื่อเสียงในด้านการศึกษาแล้ว ทั้งสองมหาวิทยาลัยยังโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมด้วย โดยเฉพาะ NTU ที่มีอาคารที่เป็นไอคอนอย่าง ‘The Hive’ อาคารที่มีรูปร่างเหมือนตะกร้าติ่มซำเรียงซ้อนกัน ทำให้ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาถ่ายรูป

‘สหรัฐฯ’ ขยายขอบเขตความผิดไปถึงผู้ปกครอง ตั้งข้อหาฆาตกรรมแก่แม่ของเด็กก่อเหตุกราดยิง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘สหรัฐฯ’ คือประเทศที่เกิดเหตุ ‘กราดยิง’ ขึ้นบ่อยครั้ง จนแทบจะกลายเป็นภาพจำแล้วว่า ทุกครั้งที่มีข่าวกราดยิง หลายคนจะคิดว่าเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ ไว้ก่อนเลย

แต่หากจะพูดถึงเหตุกราดยิงที่สร้างความช็อกให้กับสังคม หลายคนอาจนึกถึงเหตุกราดยิงโรงเรียนอ็อกซ์ฟอร์ดไฮสคูลในรัฐมิชิแกนเมื่อปี 2021 ซึ่งเด็กชายวัย 15 ปีรายหนึ่งเปิดฉากกราดยิงนักเรียนและครู จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 7 คน

สำหรับผู้เสียชีวิต 4 คนเป็นนักเรียนทั้งหมด ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นนักเรียน 6 คน และครู 1 คน

คดีนี้เป็นที่สนใจของสาธารณชน เพราะมีความพยายามที่จะเอาผิดพ่อและแม่ของเด็กชายผู้ก่อเหตุ คือ เจมส์ ครัมบลีย์ และเจนนิเฟอร์ ครับลีย์ ด้วย ฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และมีการสอบสวนพยานหลักฐานมาโดยตลอด

เจนนิเฟอร์ถูกตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2021 แต่เธอปฏิเสธข้อกล่าวหา

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา คณะลูกขุน 12 คนซึ่งใช้พิจารณาคดีนานกว่า 10 ชั่วโมง ในที่สุดก็มีคำตัดสินให้ เจนนิเฟอร์ มารดาของผู้ก่อเหตุ มีความผิดในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา 4 กระทง ถือเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ที่จะมีการเอาผิดพ่อแม่หรือผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุ ให้ได้รับโทษฐานฆาตกรรมด้วย

ด้วยคำตัดสินนี้ เจนนิเฟอร์อาจถูกพิพากษารับโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี โดยการพิจารณาพิพากษาโทษของเธอจะมีขึ้นในวันที่ 9 เม.ย. 2024

ขณะนี้เธอถูกนำตัวกลับเข้าห้องขังอีกครั้ง โดนเธออยู่ในห้องขังนับตั้งแต่ถูกจับกุมไม่กี่วันหลังเหตุกราดยิง

คดีนี้ถือเป็นกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ไม่ธรรมดาและแปลกใหม่ และแสดงถึงความพยายามที่จะขยายขอบเขตความผิดจากเหตุกราดยิงไม่ให้จบอยู่แค่ที่ตัวผู้ก่อเหตุเท่านั้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้ปกครองจะต้องรับผิดต่อการกระทำของบุตรหลาน เช่น การปล่อยปละละเลยหรือข้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ปกครองของเด็กที่ก่อเหตุกราดยิงต้องรับผิดชอบโดยตรง

เครก ชิลลิง พ่อของ จัสติน ชิลลิง นักเรียนวัย 17 ปีที่เสียชีวิตจากเหตุที่อ็อกซ์ฟอร์ดไฮสคูล กล่าวว่า “มันเป็นสิ่งที่เรารอมานาน แต่แน่นอนว่ามันเป็นก้าวสำคัญในเรื่องของความรับผิดชอบ...มันเป็นเป้าหมายของเรามาโดยตลอด”

ด้าน เจมส์ พ่อของผู้ก่อเหตุ มีกำหนดขึ้นศาลในข้อหาเดียวกันนี้ในช่วงต้นเดือน มี.ค.

ส่วนตัวของผู้ก่อเหตุ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 17 ปี ได้รับสารภาพในข้อหาก่อการร้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 กระทง ข้อหาฆาตกรรม 4 กระทง และอีก 19 กระทงที่เกี่ยวข้องกับเหตุกราดยิง และเมื่อปีที่แล้ว เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา

อัยการระบุว่า ที่เจนนิเฟอร์ต้องรับผิดชอบต่อเหตุกราดยิงนี้เพราะเธอ ‘ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง’ ในการมอบปืนให้กับลูกชายของเธอ ซึ่งในขณะนั้นอายุ 15 ปี และไม่ได้ให้คำแนะนำทางจิตที่เหมาะสมแม้ลูกชายของเธอจะแสดงสัญญาณอันตรายบางอย่างก็ตาม

คาเรน แม็กโดนัลด์ อัยการเขตโอ๊คแลนด์ กล่าวว่า “มันเป็นกรณีที่พบไม่บ่อยนักที่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงอันร้ายแรง...นั่นคือการทำอะไรไปโดยไม่คิด และเธอก็ทำสิ่งหนึ่งโดยไม่คิด ด้วยเหตุนี้จึงมีเด็กถึง 4 คนต้องเสียชีวิต”

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจำเลยแย้งว่าความผิดเป็นของคนอื่นต่างหาก เช่น สามีของเธอที่เก็บอาวุธปืนไว้อย่างไม่เหมาะสม หรือโรงเรียนที่ไม่แจ้งให้เธอทราบเกี่ยวกับปัญหาด้านพฤติกรรมของลูกชาย รวมถึงตัวลูกชายเองที่วางแผนและดำเนินการก่อเหตุด้วยตัวเขาเอง

แชนนอน สมิธ ทนายฝ่ายจำเลยกล่าวว่า คดีนี้จะทำให้ผู้ปกครองทั่วโลกเป็นอันตราย “พ่อแม่ทุกคนสามารถรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่ลูกทำได้จริง ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเหตุไม่คาดฝัน”

ด้านเจนนิเฟอร์ยืนหยัดในการปกป้องสิทธิของเธอเอง โดยเธอไม่ได้แสดงความเสียใจกับการกระทำของเธอ และบอกว่า “ฉันถามตัวเองว่าจะทำอะไรที่แตกต่างออกไปหรือไม่ และฉันคิดว่าคงจะไม่”

‘คณะกรรมาธิการยุโรป’ ประกาศลดปล่อย ‘ก๊าซเรือนกระจก’ 90% ตั้งเป้า!! สู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ ภายในปี 2040

(7 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิภายในสหภาพยุโรปลงร้อยละ 90 ภายในปี 2040 เมื่อเทียบกับระดับในปี 1990 โดยข้อเสนอทางกฎหมายจะจัดทำโดยคณะกรรมาธิการฯ ชุดต่อไปภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปในเดือนมิถุนายน

เป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรปซึ่งจัดทำในปี 2021 ที่มุ่งบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ (climate neutrality) ภายในปี 2050 โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิอย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี 2030 เทียบกับระดับในปี 1990

คณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การกำหนดเป้าหมายสภาพภูมิอากาศปี 2040 จะช่วยวางกรอบการทำงานที่ชัดเจนสำหรับอุตสาหกรรม นักลงทุน ประชาชน และรัฐบาลของยุโรปในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในช่วงทศวรรษนี้ และรับรองว่าสหภาพยุโรปจะอยู่บนเส้นทางสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศต่อไป

นอกจากนี้ เป้าหมายข้างต้นยังจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของยุโรปต่อวิกฤตการณ์ในอนาคต และเสริมสร้างความเป็นอิสระด้านพลังงานของสหภาพยุโรปโดยลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหภาพยุโรปในปี 2022


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top