Sunday, 18 May 2025
World

กระจ่าง!! Tesla ขายได้แค่ 1 คันทั้งเดือนในเกาหลีใต้ เพราะขายหมดจนไม่เหลือสต็อกรถไว้ขายในเดือนมกราคม

(8 ก.พ.67) Business Tomorrow ได้ออกบทความกรณีข่าวสะพัด Tesla ขายได้แค่ 1 คันทั้งเดือนจริงหรือไม่? โดยมีเนื้อหาดังนี้...

จากเหตุการณ์ที่ประเทศเกาหลีขายรถยนต์ EV อย่าง Tesla ได้เพียง 1 คันในเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลายคนอาจจะมองว่าเป็นข่าวร้ายและขาลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ในเกาหลีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับวงการ EV และ Tesla ที่ Tesla ขายรถในเกาหลีใต้ทั้งเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้เพียงแค่ 1 คัน

📌 ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ?

เพราะหากเราเจาะเข้าไปดูรายละเอียดให้ดีแล้ว เราจะทราบว่า Tesla ในเกาหลี (หรือแม้แต่ในไทยก็ตาม) จะไม่ได้รับรถจากโรงงานจีนเลยในเดือนแรกของไตรมาส เพราะรถทั้งหมดกำลังถูกขนผ่านเรือจากจีนเข้ามาอยู่ กว่าจะได้รับรถก็คือต้องรอเป็นเดือนที่ 2 และ 3 ของไตรมาส ทำให้ยอดขาย Tesla ในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียจะออกมาในรูปแบบนี้เสมอ คือยอดขายในแต่ละไตรมาสจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามเดือน และไปสูงสุดที่เดือนที่ 3 เสมอ

📌 ทำไม Tesla ถึงต้องทำแบบนี้ ?

ทั้งนี้เพื่อ Maximize ให้ยอดจดทะเบียน หรือยอดขายของรถสูงที่สุดในไตรมาสเดียว หาก Tesla ไม่กำหนดการส่งออกจากจีนให้ดี และส่งรถออกมาในเดือนสุดท้ายของไตรมาส จะทำให้รถเหล่านั้นอยู่ระหว่างการเดินทางในช่วงการปิดงบรายไตรมาส และไม่ได้รับรู้เข้าไปในบัญชี

ทำให้ในเดือนแรกของทุกไตรมาส Tesla จะส่งรถออกไปให้ประเทศที่อยู่ไกลที่สุดก่อน ที่ใช้เวลาเดินทางมากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าในไตรมาสนั้น ประเทศนั้นจะได้มีเวลาส่งมอบรถให้ได้มากที่สุด (หากส่งเรือไปถึงช้า เวลาขายในไตรมาสก็จะน้อย) ก่อนที่จะค่อย ๆ ส่งออกให้กับประเทศที่อยู่ใกล้ขึ้น ให้มีเวลาในการขายที่มากขึ้นไปตาม ๆ กัน 

จนเดือนสุดท้ายที่ไม่สามารถส่งรถออกทัน Tesla ก็จะขายรถเหล่านั้นในตลาด Domestic ของจีนให้มากที่สุด เพื่อเร่งยอดการส่งมอบในแต่ละไตรมาส

📌 สรุปแล้วดีกับ Tesla ?

ทำให้หากเราเห็นว่า Tesla ในเกาหลีขายได้เพียง 1 คันในเดือนมกราคม นั้นหมายความว่า Tesla ได้ขายรถในเกาหลีออกไปเกือบทุกคันจนหมดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาแล้ว ! ทำให้ไม่เหลือสต็อกรถไว้ขายในเดือนมกราคม

ด้วยสิ่งเหล่านี้ทำให้สามารถสรุปสั้น ๆ ได้ว่า จริง ๆ แล้วนี่เป็นข่าวที่ดีมากสำหรับ Tesla และวงการรถ EV ในเกาหลีเลยทีเดียว

‘คุณแม่ชาวอังกฤษ’ โวย!! ไม่มีใครสละที่นั่งบนรถไฟให้ลูกของเธอ คนที่นั่งมีแต่ผู้ชาย แต่กลับมองเด็ก 5 ขวบนั่งบนพื้นหน้าตาเฉย

(8 ก.พ. 67) เพจ ‘Around the World’ ได้แชร์เรื่องราวของคุณแม่รายหนึ่งที่ได้ออกมาระบายความรู้สึกผ่านติ๊กต็อก ถึงกรณีไม่มีใครลุกให้ลูกชายของเธอนั่งเลยแม้แต่คนเดียว โดยระบุว่า…

ผู้หญิงรายหนึ่งทนไม่ไหว ใช้ TikTok ระบายความคับข้องใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครลุกให้ลูกชายวัยเด็กเล็กของเธอนั่ง บนขบวนรถไฟขบวนหนึ่งในอังกฤษ แม้แต่รายเดียว ทั้งที่เก้าอี้ในบริเวณใกล้เคียง มีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้น

ในวิดีโอ ซึ่งมีผู้เข้าชมแล้วมากกว่า 2.1 ล้านวิว ผู้ใช้นามว่า @kellyk2016 ต้องการแฉให้เห็นว่าลูกชายของเธอ ต้องนั่งบนพื้นของขบวนรถไฟ เนื่องจากไม่มีเก้าอี้ว่างเหลืออยู่ เธอระบุด้วยว่า "คนเหล่านี้ทุกคนเอาแต่มองดูลูกชายของฉันนั่งอยู่บนพื้น ไม่รับรู้อะไรกันเลย"

ตามรายงานของเดลิเมล ระบุว่า รถไฟที่เคลลีโดยสารนั้น ได้แก่ รถไฟสาย Southern Rail Train และจากข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซต์ ดูเหมือนผู้โดยสารจำเป็นต้องซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถไฟ แต่เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ สามารถใช้บริการฟรี ทว่าในกรณีนี้ผู้โดยสารจะสามารถนั่งบนที่นั่งได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ๆ จับจอง

ทางด้านเว็บไซต์ของ Southern Rail Train ชี้แจงว่า "คุณสามารถนำเด็กอายุ 5 ขวบมาใช้บริการได้ โดยไม่เสียค่าโดยสาร หากว่าคุณมีตั๋ว อย่างไรก็ตามคุณสามารถใช้เก้าอี้ได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีความจำเป็นแล้ว สำหรับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่มีตั๋ว"

ผู้ชมบางส่วนแสดงความไม่พอใจกับคลิปบน TikTok ดังกล่าว แสดงความคิดเห็นตำหนิ เคลลี แม้ว่าเธอจะพยายามชี้ให้เห็นว่าลูกของเธอควรได้รับเก้าอี้นั่งเป็นลำดับแรก ๆ 

"เด็กไม่ควรได้เก้าอี้นั่งในลำดับแรก ๆ คนพิการ ผู้หญิงตั้งครรภ์ คนชรา และเด็กทารก ต่างหาก ที่ควรได้นั่งบนเก้าอี้ในลำดับแรกๆ" ผู้ใช้รายหนึ่งเขียน

ส่วนอีกคนเขียนว่า "บทเรียนของชีวิต กรุณาจองตั๋วที่นั่งล่วงหน้า ทำไมคุณถึงคิดว่าลูกของคุณควรมีความสำคัญลำดับต้น ๆ เป็นเพราะคุณบอกงั้นหรือ?" 

ขณะที่อีกคนเขียนติดตลกว่า "เด็ก ๆ นั่งบนพื้น ผู้ใหญ่นั่งบนเก้าอี้ นี่คือที่เขาเรียกว่าการให้ความเคารพ"

อย่างไรก็ตาม เคลลี ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า เธอจะมอบเก้าอี้ให้ลูกของเธอ ถ้าเธอมีที่นั่ง แต่ในกรณีนี้เธอเองก็ไม่มีที่นั่ง ทั้งที่ก็ซื้อตั๋วเช่นกัน

ขณะเดียวกันผู้ติดตามบน TikTok ของเธอบางส่วน แสดงความเห็นเข้าข้าง เคลลี และลูกชายของเธอ โดยชี้ให้เห็นถึงทัศนคติที่ย่ำแย่ของพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมลุกให้เด็กนั่ง "มันเป็นพฤติกรรมแย่ ๆ ของพวกผู้โดยสารและความเห็นแย่ๆของผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ เป็นฉัน ฉันจะมอบเก้าอี้ให้เด็กนั่งภายในเวลาไม่กี่วินาที"

'ลิซ่า' ขึ้นแท่น CEO เปิดบริษัทชื่อ 'LLOUD'  แพลตฟอร์มด้านดนตรีและความบันเทิง

สร้างปรากฏการณ์แบบไม่มีพัก สำหรับ 'ลิซ่า BLACKPINK' หรือ 'ลิซ่า ลลิษา มโนบาล' ศิลปินสาวเคป๊อปที่ทรงอิทธิพลระดับโลก โดยเมื่อวันที่ 7 ก.พ.67 เธอได้โพสต์ภาพพอร์ตเทรตสีขาวดำลงในไอจีสตอรี่ พร้อมระบุข้อความ '02.08.2024 Coming Soon' ซึ่งหลายคนต่างก็เดากันไปต่างๆ นานา ว่า 'ลิซ่า' ตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่ เพลงใหม่, สังกัดใหม่, งานใหม่, หรือพรีเซนเตอร์สินค้าใดๆ หรือเปล่า?

ทว่าล่าสุด (8 ก.พ.67) ก็ได้มีการขอเฉลยแล้วว่า 'ลิซ่า' ได้เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า 'LLOUD' แพลตฟอร์มด้านดนตรีและบันเทิง พร้อมแคปชันว่า...

"Introducing LLOUD, a platform to showcase my vision in music and entertainment. Join me on this exciting journey to push through new boundaries together."

(ขอแนะนำ LLOUD แพลตฟอร์มเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ของฉันในด้านดนตรีและความบันเทิง ร่วมเดินทางที่น่าตื่นเต้นนี้เพื่อก้าวข้ามขอบเขตใหม่ไปด้วยกันกับฉัน)

ทราบมาว่า ตอนนี้ในเว็บไซต์มีให้ลงทะเบียนเพื่อติดตาม Exclusive Update แล้วด้วย อีกทั้งยังมีการเปิดช่องทางติดตามในโซเชียลมีเดียครบทุกแพลตฟอร์มใหญ่ๆ แล้ว 

ก็คงต้องตามดูกันว่า LLOUD ของ ซีอีโอป้ายแดงอย่างลิซ่า จะพาความสุขใดๆ มาให้แฟนๆ ได้ตามกรี๊ดกันบ้าง

‘นครเซินเจิ้น’ เจ๋ง!! เปิดบริการใช้ ‘โดรน’ ส่ง ‘อาหารทะเล’ สามารถทะยานสู่ฟ้ารับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 20 กิโลกรัม

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เส้นทางการจัดส่งอาหารทะเลด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ ‘โดรน’ เปิดดำเนินงานแล้วโดยเชื่อมระหว่างท่าเรือหนานอ้าวซวงยง ทางตะวันออกของนครเซินเจิ้น มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน และเขตหลงกั่งภายในเมือง

โดรนขนส่งซีฟู้ดสามารถทะยานขึ้นบินด้วยน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 20 กิโลกรัม โดยอาหารทะเลจะถูกส่งไปยังบริษัทขนส่งในพื้นที่ ก่อนส่งต่อถึงมือลูกค้าในที่สุด

‘ญี่ปุ่น’ พบน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสี 5.5 ตัน รั่วไหลจาก ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ’

(9 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นเปิดเผยการพบน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีรั่วไหลจากอุปกรณ์ภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ปริมาณรวม 5.5 ตัน

รายงานข่าวดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลจากโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ คอมปานี (TEPCO) ระบุว่าคนงานพบน้ำรั่วไหลออกจากอุปกรณ์ที่ใช้กรองน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ระหว่างตรวจสอบอุปกรณ์ ตอนราว 08.53 น. ของวันพุธ (7 ก.พ. 67) ตามเวลาท้องถิ่น 

TEPCO เป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้า โดยประเมินว่าน้ำที่รั่วไหลมีปริมาณ 5.5 ตัน น้ำปนเปื้อนอาจมีสารกัมมันตรังสี เช่น ซีเซียมและสตรอนเชียม อยู่ราว 2.2 หมื่นล้านเบ็กเคอเรล

ทั้งนี้น้ำที่รั่วไหลออกมาทั้งหมดได้แทรกซึมลงสู่พื้นดิน แต่ขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของระดับกัมมันตรังสีในช่องทางระบายน้ำใกล้เคียง ส่วนเทปโกได้ปิดพื้นที่ที่น้ำรั่วไหลเป็นพื้นที่ห้ามเข้าแล้ว

อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เคยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 9.0 ตามมาตราแมกนิจูด และสึนามิเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2011 ประสบเหตุแกนหลักหลอมละลายและปล่อยกัมมันตรังสีออกมาจนถือเป็นอุบัติเหตุนิวเคลียร์ ระดับ 7 ซึ่งสูงสุดในมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ (INES)

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะได้ผลิตน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีปริมาณมหาศาลจากการหล่อเย็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในอาคารเตาปฏิกรณ์ ซึ่งปัจจุบันถูกกักเก็บอยู่ในถังที่โรงไฟฟ้าฯ

ญี่ปุ่นเริ่มต้นปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 แม้มีกระแสคัดค้านต่อเนื่องมากมายจากรัฐบาลและชุมชนต่าง ๆ หน่วยงานสิ่งแวดล้อม เอ็นจีโอ และกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาคแปซิฟิก

‘ปูติน’ ลั่น!! รัสเซียไม่คิดขยายวงสงครามไปประเทศอื่น เผย เกือบปิดดีลยูเครนสำเร็จ แต่อีกฝ่ายถอยทัพไปก่อน

เมื่อไม่นานนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอเมริกันเป็นครั้งแรก ของ ประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ แห่งรัสเซีย ได้กล่าวยืนยันว่า รัสเซียจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองจนถึงที่สุด แต่เขาไม่สนใจที่จะขยายวงสงครามยูเครนไปยังประเทศอื่นๆ อย่างโปแลนด์ หรือลัตเวีย

บทสัมภาษณ์ผู้นำรัสเซีย ความยาวกว่า 2 ชั่วโมง โดย ‘ทัคเกอร์ คาร์ลสัน’ อดีตพิธีกรรายการทอล์กโชว์แนวการเมืองชาวอเมริกัน ผู้เคยจัดรายการ Tucker Carlson Tonight ทางช่องฟ็อกซ์นิวส์ ที่คาร์ลสันเดินทางมาสัมภาษณ์ที่กรุงมอสโก ของรัสเซีย เมื่อวันอังคารที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่นำออกอากาศทาง tuckercarlson.com เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. ในช่วงหนึ่ง ปูตินกล่าวว่า ผู้นำตะวันตกตระหนักดีว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความปราชัยทางยุทธศาสตร์ให้กับรัสเซีย และกำลังสงสัยว่าจะทำอย่างไรต่อไป ก่อนที่ปูตินจะกล่าวต่อไปว่า “เราพร้อมสำหรับการเจรจา”

เมื่อถูกคาร์ลสันถามถึงฉากทัศน์ที่ผู้นำรัสเซียจะส่งกองทหารรัสเซียเข้าไปยังโปแลนด์ ซึ่งเป็นชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) หรือไม่ ปูตินกล่าวตอบว่า “มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น หากโปแลนด์โจมตีรัสเซีย ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเราไม่มีความสนใจโปแลนด์ ลัตเวีย หรือที่อื่นใด”

ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์ที่ปูตินพูดเป็นภาษารัสเซียและถูกพากย์ทับเป็นภาษาอังกฤษนั้น ปูตินเริ่มต้นด้วยการร่ายยาวถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับยูเครน โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ และใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการคร่ำครวญว่า ยูเครนใกล้จะบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามแล้ว ในการเจรจาที่นครอิสตันบูลเมื่อเมษายนปี 2022 แต่อีกฝ่ายกลับถอยไป เมื่อทหารรัสเซียถอนกำลังออกจากพื้นที่ใกล้กรุงเคียฟ

ปูตินยังกล่าวถึงสหรัฐอเมริกาว่า มีประเด็นเร่งด่วนภายในประเทศที่ต้องกังวล

“จะดีกว่าไหมถ้าเจรจากับรัสเซีย? ทำข้อตกลง ได้เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังพัฒนาไปในขณะนี้แล้ว โดยตระหนักว่ารัสเซียจะสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองจนถึงที่สุด”

นอกจากนี้ ผู้นำรัสเซียยังกล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุข้อตกลงในการปล่อยตัว ‘นายอีแวน เกิร์ชโควิช’ นักข่าวอเมริกันของหนังสือพิมพ์เดอะ วอลสตรีทเจอร์นัล ที่ถูกจับกุมในประเทศรัสเซีย เมื่อเกือบ 1 ปีก่อนและกำลังรอการพิจารณาคดีในข้อหาจารกรรม โดยปูตินเปิดเผยว่า หน่วยปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียและสหรัฐฯ กำลังหารือกันในคดีเกิร์ชโควิชอยู่ ซึ่งมีความคืบหน้าอยู่บ้าง

นับเป็นการให้สัมภาษณ์สื่อสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกของปูตินนับจากปี 2021 และก่อนที่สงครามรุกรานยูเครนของรัสเซียจะเปิดฉากขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

นักวิจัยเดนมาร์กฝึก AI ให้คาดคะเน ‘ชะตาชีวิต’ มนุษย์ พบแม่นยำเกือบ 80% บอกได้ถึงขั้นใครอยู่ใครไปใน 4 ปีข้างหน้า

(10 ก.พ. 67) Business Tomorrow เผย ทีมนักวิจัยจากเดนมาร์กพัฒนา AI สุดล้ำที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัว และคาดการณ์อนาคตของคนได้อย่างแม่นยำ ผ่านโมเดลที่ใช้ชื่อว่า ‘life2vec’ ซึ่งทำงานโดยใช้เทคนิค Machine Learning และ Natural Language Processing (NLP) วิเคราะห์ข้อมูลประชากรกว่า 6 ล้านคนจากเดนมาร์ก ครอบคลุมข้อมูลตั้งแต่ปี 2551-2559 

โมเดลนี้เรียนรู้จากข้อมูลสุขภาพ การศึกษา รายได้ อาชีพ และอื่นๆ ซึ่งสามารถคาดคะเนพฤติกรรมความคิด, ความรู้สึก หรือแม้กระทั่งแนวโน้มการเสียชีวิตได้

ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ทำการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง 100,000 คน ในช่วงอายุ 35-65 ปี ซึ่งผลที่ออกมานั้น life2vec สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำถึง 78% ว่าใครจะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตใน 4 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม life2vec ยังมีข้อจำกัดบางประการ อย่างเช่น ไม่สามารถคาดการณ์การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บอกอายุขัยที่แน่นอน หรือใช้งานในชีวิตจริงได้ แต่เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์ต่อวงการสุขภาพ ธุรกิจประกันชีวิต และอาจนำไปสู่เครื่องมือใหม่ๆ ในการวางแผน ดูแล และป้องกันปัญหาสุขภาพ

‘โพลมะกัน’ ชี้!! นายจ้าง 40% เลี่ยงรับคน GEN Z เข้าทำงาน เหตุ!! คนเหล่านี้ไม่มีความพร้อมสำหรับชีวิตการทำงาน

ความแตกต่างระหว่างวัยในการทำงานเป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าจะรุ่นเบบี้บูมเมอร์ เจน-เอ็กซ์ ไปจนถึงรุ่นมิลเลเนียล แต่ในการสำรวจล่าสุดที่ไปสอบถามความเห็นนายจ้างอเมริกันนับร้อย อาจทำให้คนรุ่นใหม่นอยด์ได้ เมื่อนายจ้างต่างยกให้คนเจน-ซี (Gen Z) เป็นช่วงอายุที่ถูกยี้ในตลาดแรงงานไปเสียแล้ว

การสำรวจความคิดเห็นกรรมการและผู้บริหารจำนวน 800 คนในสหรัฐฯ ในเรื่องการรับคนเข้าทำงานในตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2023 พบว่า นายจ้างราว 40% หลีกเลี่ยงการจ้างงานผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าคนเหล่านั้นไม่มีความพร้อมสำหรับชีวิตการทำงาน

นายจ้างที่ร่วมการสำรวจ 20% กล่าวว่า ผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ มักจะมาสัมภาษณ์งานพร้อมกับผู้ปกครองของตน นายจ้างอีก 21% กล่าวว่า ตนต้องเจอกับผู้สมัครงานที่ปฏิเสธที่จะเปิดกล้องในระหว่างการสัมภาษณ์งานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ บ้างก็มีปัญหาที่ไม่ยอมสบตาผู้สัมภาษณ์ บางคนแต่งกายไม่เหมาะสม และยังมีที่ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย

ผลการสำรวจดังกล่าวไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับไมเคิล คอนเนอร์ส ผู้สรรหาบุคลากรด้านบัญชีและเทคโนโลยีในเขตกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นผู้เตรียมความพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานให้กับผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย

เขากล่าวว่า ดูเหมือนคนเหล่านี้จะขาดความจริงจังกับชีวิต ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาต้องการได้งานหรือไม่ หรือว่าฝืนใจทำ เขายังไม่เคยเจอกับผู้สมัครที่ปฏิเสธที่จะเปิดกล้อง แต่เขาเจอกับนักศึกษาที่มาสัมภาษณ์งานออนไลน์ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการสัมภาษณ์งาน อย่างเช่น ที่นอกห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

ทั้งคอนเนอร์ส และ ไดแอน เกเยสกี ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่วิทยาลัย Ithaca ในนิวยอร์ก ต่างเห็นพ้องว่าการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการเติบโตและวุฒิภาวะของผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย

เกเยสกีกล่าวว่า “การเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายของพวกเขานั้นมีปัญหามากมาย พวกเขาไม่ได้มีงานสำเร็จการศึกษา ไม่ได้มีงานเต้นรำ หรืองานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ อย่างที่เคยมีมา นอกจากนี้พวกเขาไม่สามารถทำงานในช่วงฤดูร้อนของปีนั้นก่อนที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ และแม้กระทั่งตอนที่พวกเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ เช่น การมีวิทยากรรับเชิญ การฝึกงาน หรือการไปเรียนต่างประเทศ ก็ถูกระงับไปด้วยเช่นกัน”

เรื่องดังกล่าวส่งผลให้นักเรียนมีความมั่นใจเกี่ยวกับความสามารถของตนในการมีส่วนร่วมในโลกของการทำงานน้อยลง

ในส่วนของมหาวิทยาลัยที่จะสามารถช่วยให้นักศึกษามีความพร้อมสำหรับการทำงานได้ ก็คือสิ่งที่พวกเขาได้สัมผัสนอกห้องเรียน เช่น การได้พบปะพูดคุยกับผู้คนที่มีความแตกต่างจากตัวเอง การได้ทำงานในโครงการต่าง ๆ ในชุมชน และการได้ฝึกงาน ซึ่งหยุดไปในช่วงของการแพร่ระบาด

นอกจากนี้ แล้วผลสำรวจยังชี้ว่า นายจ้างอีก 38% กล่าวว่า ตนหลีกเลี่ยงการจ้างงานผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการสนับสนุนคนงานที่มีอายุมากกว่า และพวกเขาก็ยินดีที่จะจ่ายเงินให้คนงานที่มีอายุมากกว่าหรือเพิ่มสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ให้ทำงานทางไกลได้มากขึ้น

เกือบครึ่งหนึ่งของนายจ้างกล่าวว่า พวกเขาต้องไล่พนักงานที่เพิ่งเรียนจบออกจากงาน 63% กล่าวว่าพนักงานจบใหม่บางคนที่ตนจ้างมาไม่สามารถรับมือกับภาระหน้าที่ของตนได้ 61% บอกว่าพนักงานเหล่านั้นมาทำงานสายบ่อยครั้ง 59% บอกว่าพวกเขามักทำงานไม่ทันกำหนดเวลา และ 53% บอกว่าพนักงานใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวมักเข้าประชุมสาย

คอนเนอร์สกล่าวว่า พนักงานจบใหม่เหล่านี้น่าจะบริหารงานที่ได้รับมอบหมายได้ดีขึ้นมากหากได้ทำงานในออฟฟิศมากกว่านี้ เพราะการทำงานจากที่บ้านในช่วงเวลาหนึ่งอาจทำให้พวกเขาทำงานล่าช้าลง และว่าพวกเขาต้องการที่ปรึกษาเพื่อที่จะได้เรียนรู้และมีความก้าวหน้าในอาชีพการงานของตน

เกเยสกีจากมหาวิทยาลัย Ithaca กล่าวด้วยว่า เธอพบว่านักศึกษามีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบรรดาครูอาจารย์ก็พยายามรับมือกับปัญหานี้ด้วยการเข้มงวดในเรื่องการเข้าเรียนให้น้อยลง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเรื่องกำหนดการส่งงาน และบรรดานายจ้างเองก็รับรู้ได้ถึงระดับของความวิตกกังวลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนี้

คอนเนอร์สกล่าวอีกว่าแม้ว่าการเตรียมความพร้อมทางวิชาชีพของ คนรุ่น Gen Z จะแย่ลงในช่วงการเกิดโรคระบาดใหญ่ แต่เรื่องนี้เป็นเทรนด์ที่เขามองเห็นมาหลายปีแล้ว พร้อมชี้ว่า “คนรุ่นนี้คำนึงเรื่องงานอดิเรกของตนมากกว่าและมีความยืดหยุ่นในเรื่องนั้น” นอกจากนี้ความอยากมีเงินทองหรือความต้องการก้าวหน้าในอาชีพการงานก็ลดน้อยลง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้นเอง

นายจ้างครึ่งหนึ่งที่ร่วมการสำรวจกล่าวว่า นักศึกษาจบใหม่ที่พวกเขาสัมภาษณ์ได้เรียกร้องค่าจ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเกเยสกีเชื่อว่าอาจเป็นเรื่องของการที่คนหนุ่มสาวมีความตระหนักรู้มากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ และพวกเขาคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ เอารัดเอาเปรียบพนักงานตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และเห็นถึงความร่ำรวยเป็นพันล้านของบรรดาเจ้าของบริษัท จึงทำให้พวกเขาต้องการที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม

‘จีน’ เผย ยอดจองเที่ยว-จับจ่ายช่วงตรุษจีนพุ่งสูง สะท้อน!! เศรษฐกิจฟื้นตัวดี-การบริโภคแข็งแกร่ง

(10 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานสถานการณ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ว่า แทนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อรวมตัวกับครอบครัวและญาติมิตรในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ‘เฉิงว่านฉี’ เป็นหนึ่งในชาวจีนที่เลือกจองโรงแรมในเกาะไห่หนาน (ไหหลำ) เพื่อท่องเที่ยวกับครอบครัว

‘เหม่ยถวน เตี่ยนผิง’ (Meituan Dianping) บริษัทอีคอมเมิร์ซจีน เจ้าของแพลตฟอร์มรวมบริการออนไลน์ เช่น รีวิวร้านอาหาร สั่งอาหาร เผยว่าช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนปีนี้ การบริโภคที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น จองที่พัก ตั๋วเข้าจุดชมวิว และบัตรการคมนาคมขนส่งจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดคำสั่งซื้อที่เป็นการจองล่วงหน้าระยะครึ่งเดือนเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2023

บริษัทฯ ระบุว่าหลายๆ เมือง เช่น ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, ซานย่า, ฮาร์บิน, เฉิงตู, กว่างโจว, ซีอัน และอื่นๆ ขึ้นแท่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศจีน ขณะที่ชาวจีนที่ทำการจองเพื่อท่องเที่ยวในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ ยอดจองและคำสั่งซื้ออาหารมื้อค่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าตามธรรมเนียมจีน ซึ่งเป็นวันที่ครอบครัวชาวจีน จะรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ยังเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว เหม่ยถวน เตี่ยนผิงระบุด้วยว่า มีผู้บริโภคสั่งอาหารทั้งมื้อหรือสั่งอาหารเพื่อนำมาเสริมในมื้ออาหารผ่านบริการสั่งอาหารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น และพบว่าในสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ยอดจองรับประทานอาหารค่ำสำหรับครอบครัวตามร้านอาหารต่างๆ เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า

ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อไม่กี่วันมานี้โดยแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์แห่งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับเหม่ยถวน เตี่ยนผิง ระบุว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา ยอดขายสุรา นม และเชอร์รี ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ขณะที่ยอดขายสินค้าหลายประเภททั้งเครื่องใช้ในบ้าน ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ของใช้สำหรับแม่และเด็ก รวมถึงเสื้อผ้าพุ่งสูงขึ้นเกินร้อยละ 100

ด้าน ‘พินตัวตัว’ (Pinduoduo) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของจีน ได้เปิดตัวแคมเปญชอปปิงรับตรุษจีน ร่วมกับบรรดาผู้ประกอบการจากทั่วประเทศในเดือนมกราคม เพื่อรับรองว่าอุปทานจะเพียงพอสำหรับการจับจ่ายช่วงเทศกาล และพบว่าปริมาณการขายสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดเพิ่มสูงขึ้นในหลากหลายระดับ เช่น ยอดขายอาหารสดคุณภาพสูงอย่างเชอร์รี สตรอว์เบอร์รี และปูยักษ์ (King Crab) ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

‘หานหยาง’ ชาวจีนผู้ทำงานในกรุงปักกิ่งมานาน 5 ปี เลือกที่จะสั่งซื้ออาหารและผลไม้ทางออนไลน์ เพื่อจัดส่งให้พ่อแม่ซึ่งอยู่ที่บ้านเกิดในเมืองสวี่ชาง มณฑลเหอหนานทางตอนกลางของประเทศ แม้ว่าเขาจะเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงวันหยุดก็ตาม โดยให้เหตุผลว่าการซื้อของขวัญออนไลน์ล่วงหน้านั้นสะดวกสบายมาก

‘หลี่จี้เหว่ย’ ผู้บริหารจากสถาบันวิจัยเหม่ยถวน (Meituan Research Institute) ระบุว่า ข้อมูลการจองล่วงหน้าก่อนถึงวันหยุดที่มีแนวโน้มดีนั้น ตอกย้ำถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการบริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน พร้อมเสริมว่าแนวโน้มเชิงบวกด้านการจับจ่ายนี้ ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการบริโภคออนไลน์ในปี 2024 ด้วยเช่นกัน

ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง  หลังไอ-มีเลือดออกจำนวนมาก จาก ‘ปาก-จมูก’

(11 ก.พ.67) จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์เนื้อหากรณี ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง ด้วยอาการไอ มีเลือดออกจำนวนมากจากปากและจมูกเป็นลิตร จนกระเด็นเลอะที่นั่ง ผนัง และพื้นที่โดยรอบ

‘ลุฟท์ฮันซา’ (Lufthansa) เที่ยวบิน LH773 แอร์บัส A380 จากกรุงเทพฯ ไปมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยเที่ยวบินได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.40 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา

***จากคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์ และนั่งใกล้ผู้โดยสาร (ชั้นประหยัดพรีเมียม)

“ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เดินทางมากับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ โดยชายวัย 63 ปีรายนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะป่วย มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก (Cold Sweats) และเขาหอบหายใจเร็วมาก” คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลังและลูกเรือเล่า อีกทั้งพวกเขาได้สอบถามอาการจากภรรยาชาวฟิลิปปินส์ และได้คำตอบว่า “อาจเพราะเหนื่อยจากการเร่งรีบ เพื่อวิ่งมาขึ้นเครื่องบิน”

ทั้งนี้ คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง ซึ่งเป็นฝ่ายหญิงนั้นเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาล ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริค เธอมองว่าอาการชายวัย 63 ไม่ดีขึ้น จึงแจ้งลูกเรือว่า เขาจำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างเร่งด่วน และผู้โดยสารคนอื่นๆ ยังพยายามให้ความช่วยเหลืออีกด้วย

กัปตันได้ประกาศหาแพทย์บนเที่ยวบิน ต่อมา แพทย์ชายชาวโปแลนด์วัยประมาณ 30 ปี (ภาษาอังกฤษไม่คล่อง) บนเครื่องบิน ได้มาดูอาการ โดยแพทย์ถามผู้ป่วยเพียงสั้นๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรและสัมผัสชีพจร จากนั้นแพทย์บอกว่า เขาโอเค เขาสบายดี 

จากนั้น ลูกเรือได้เสิร์ฟ ‘ชาคาโมมายล์’ (ชาดอกไม้) ให้ผู้ป่วย แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที เขากลับไอ และกระอักเลือดพุ่งออกมาใส่ถุงที่ภรรยาเตรียมไว้รองน้ำลาย จนมีเลือดไหลออกมาทั้
ทางปากและจมูก

ผู้โดยสารบนเครื่องที่เห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้อง และตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

จากคำบอกเล่าคู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง บอกว่าชายวัย 63 ปีรายนี้ เสียเลือดเป็นลิตร เลือดของเขาได้กระเด็นเลอะผนังเครื่องบินและบริเวณโดยรอบนั้น

ลูกเรือพยายามช่วยเหลือชายคนดังกล่าวด้วยการทำ CPR ประมาณ 30 นาที แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้…

ต่อมา กัปตันประกาศแจ้งการเสียชีวิตให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ทราบ ภายใต้บรรยากาศบนเที่ยวบินขณะนั้นที่เงียบสงัด

ลูกเรือได้นำร่างของชายวัย 63 ปี ไปเก็บไว้ในส่วนห้องครัวของเครื่องบิน และกัปตันได้นำเครื่องบินวนกลับกรุงเทพฯ ประเทศไทยในทันที

ข้อมูลเที่ยวบินระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าว ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.50 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. และเดินทางกลับถึงประเทศไทย เวลา 02.35  น. ของวันศุกร์ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา

***ผู้โดยสารคนอื่นๆ ร้องเรียนว่า พวกเขาต้องรอนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่มีคำแนะนำใดๆ จากสายการบินลุฟท์ฮันซาเลย และต่อมาได้ถูกจองเที่ยวบินอื่นให้เดินทางไปยังเยอรมนี โดยต้องแวะพักที่ฮ่องกง

ด้านภรรยาชาวฟิลิปปินส์ของชายผู้เสียชีวิต ได้อยู่ที่สนามบินในกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่างๆ ต่อ เพียงลำพัง

อย่างไรก็ตาม ข่าวต้นทางไม่ได้เปิดเผยชื่อและอาการของโรคของผู้โดยสาร

ภาพจาก : Blick


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top