Wednesday, 30 April 2025
TheStudyTimes

การที่ JD Group ได้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งทางด้านการค้าออนไลน์ในจีนนั้น ปัจจัยสำคัญมาจากระบบที่โลจิสติกส์ที่เข้มแข็ง!!

ท่านผู้อ่านน่าจะเคยได้ยินชื่อ JD.com ผู้ให้บริการขายสินค้าออนไลน์จากจีนที่ได้เข้ามาในไทยไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่ JD Group ได้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งทางด้านการค้าออนไลน์ในจีนนั้น ปัจจัยสำคัญมาจากระบบที่โลจิสติกส์ที่เข้มแข็ง

ปี 2003 ประเทศจีนเกิดการแพร่ระบาดของโรคซาร์สส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่กล้าออกมาซื้อของนอกบ้าน ริชาร์ด หลิว (Richard Liu) ที่เคยเปิดร้านขายอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์จึงมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจออนไลน์ และเริ่มก่อตั้ง JD.com ในปี 2004

แต่เดิม JD.com ได้ว่าจ้างผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอก (third party logistics) เป็นผู้กระจายสินค้าให้แก่ตน และทางบริษัทเห็นว่าการที่จะชนะคู่แข่งที่อยู่ในตลาดมาก่อนอย่าง Alibaba ได้ต้องมีระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ผู้ให้บริการที่มีอยู่ในขณะนั้นยังไม่สามารถตอบสนองได้ตามต้องการ จึงได้ก่อตั้ง JD Logistics ขึ้นในปี 2007 โดยเป้าหมายคือส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่าง Amazon ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซระดับโลก 

ในปี 2010 เป็นผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายแรกที่ให้บริการการจัดส่งแบบภายในวันและการจัดส่งในวันถัดไป (same-day and next-day delivery)  ในขณะที่ Amazon ยังให้บริการจัดส่งภายใน 2 วัน และเริ่มให้บริการจัดส่งภายในวันเดียวในอีก 9 ปีต่อมา

ในปี 2016 JD.com เป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายแรกที่เริ่มให้บริการส่งสินค้าด้วยโดรน โดยมองเห็นปัญหาว่าชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล เส้นทางทุรกันดาร มีทางเลือกในการซื้อสินค้าน้อย เพราะผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าเข้าไม่ถึงเนื่องจากต้นทุนการขนส่งที่สูงและไม่คุ้มกับค่าเดินทาง  JD Logistics จึงใช้โดรนที่พัฒนาขึ้นโดย JD-X หน่วยธุรกิจใน JD Group ที่ทำหน้าวิจัยและพัฒนาระบบ Smart Logistics ในการจัดส่งสินค้า ขั้นตอนการทำงาน คือ โดรนพร้อมสินค้าถูกส่งออกจากสถานีขนส่งในแต่ละเมืองและบินไปส่งสินค้าในแต่ละหมู่บ้านตามจุดกำหนด ต่อจากนั้นผู้ประสานงาน JD Logistics แต่ละชุมชนนำสินค้าไปส่งมอบให้ถึงบ้านลูกค้า โดยวิธีการนี้จากเดิมที่ต้องใช้ระยะเวลาหลายชั่วโมงในการขับรถอ้อมเขา หรือต้องต่อเรือเพื่อไปยังเกาะต่าง ๆ เหลือเพียงไม่กี่นาทีสินค้าก็ถูกส่งถึงมือลูกค้าที่อยู่ห่างไกลด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าวิธีการเดิม 

ปี 2019 JD Logistics ได้เปิดตัวรถส่งสินค้าอัตโนมัติมีหน้าที่นำสินค้าไปส่งให้ยังลูกค้าตามสถานที่ต่าง ๆ ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากสถานีขนส่ง โดยรถ 3 คัน สามารถทำงานทดแทนพนักงานขนส่งสินค้าได้ถึง 2 คน จึงสามารถช่วยลดต้นทุนในการจ้างงาน และยิ่งมีประโยชน์ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจุบันให้บริการใน 20 เมืองในจีน

และในปี 2020 JD Logistics เปิดให้บริการจัดส่งด่วนภายในหนึ่งชั่วโมง และขยายศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะ ที่ทำการคัดแยกสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติที่เรียกว่า ”Asia No.1 logistics park” ไปยัง 28 แห่งทั่วประเทศจีน เพื่อเพิ่มพื้นที่การให้บริการจัดส่งสินค้าแบบภายในวันและการจัดส่งในวันถัดไป โดยเพิ่มจาก 6 เมืองเมื่อสิบปีที่แล้วเป็น 200 เมือง ในส่วนเมืองขนาดเล็กที่ไม่คุ้มกับการสร้างศูนย์กระจายสินค้าของตนเอง ได้มีความร่วมมือกับผู้ประกอบการขนส่งในท้องถิ่นให้ทำการจัดเก็บและกระจายสินค้าให้ผ่านระบบของ JD Logistics จนในปัจจุบันมีเครือข่ายคลังสินค้าถึง 1,000 แห่ง และมีพื้นที่รวมกันมากถึง 21 ล้านตารางเมตร

จากตัวอย่างที่เล่ามาเห็นได้ว่า JD.com ได้มุ่งเน้นกลยุทธ์สร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านการตอบสนองที่รวดเร็ว เพื่อให้ได้ผลตามกลยุทธ์ที่ตั้งไว้จึงได้มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ทางด้านโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้เป็นที่หนึ่งทางด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซของจีน

เขียนโดย อาจารย์ ศรัณย์ ดั่นสถิตย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา 


ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.chinadaily.com.cn/a/202012/25/WS5fe54b99a31024ad0ba9e7f6.html
https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/autonomous-delivery-vehicles-deployed-in-chinese-cities-amid-the-covid-19-pandemic
https://www.businessinsider.com/how-chinese-ecommerce-giant-jd-logistics-built-up-to-34-billion-ipo-2021-5
https://corporate.jd.com/ourBusiness#jdLogistics

ฟูจิโอะ ฟูจิโกะ นามปากกาจาก 2 นักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่น ผู้มีแนวความคิดของโลกอนาคตบวกความสร้างสรรค์ ถ่ายทอดผลงานการ์ตูนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างเรื่อง "โดราเอมอน"

“การ์ตูนโดราเอมอน” ถือว่าเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีความนิยมอย่างมาก แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักกับนักเขียนทีมีนามปากกาอย่าง ฟูจิโอะ เอฟ ฟูจิโกะ THE STUDY TIMES จะขอเล่าถึงประวัติและความสำเร็จของนักเขียนผู้นี้กัน  

ฟูจิโอะ ฟูจิโกะ จริง ๆ แล้วเป็นนามปากกาของศิลปิน 2 ท่าน นั้นคือ ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ (ผู้แต่ง) และ อาบิโกะ โมโตโอะ (ผู้วาด)

ฮิโรชิ เกิดวันที่ 1 ธ.ค. ค.ศ.1933 ที่ เมืองทาคาโอกะ จังหวัดโทยาม่า ส่วน โมโตโอะ เกิดวันที่ 10 มี.ค. ค.ศ.1934 ที่เมืองทาคาโอกะ จังหวัด โทยาม่า เช่นเดียวกัน

ทั้ง ฮิโรชิ และ โมโตโอะ เจอกันครั้งแรก ในช่วงสมัยเรียนชั้นประถมปีที่ 5 และกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะต่างมีความชอบในการวาดการ์ตูน โดยทั้งคู่ได้ลงมือวาดการ์ตูน เขียนเรื่องราวด้วยกัน และได้ลองส่งสำนักพิมพ์ โดยเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์คือเรื่อง นางฟ้าทามะจัง (Tenshi no Tama-chan) ลงตีพิมพ์เป็นประจำในนิตยสาร "ไมนิจิ โชกักเซ"

หลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบในชั้นมัธยมปลาย ฮิโรชิได้เข้าไปทำงานในโรงงานลูกกวาด ส่วนโมโตโอะทำงานในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แต่หลังจากทำงานได้ไม่นานฮิโรชิได้รับอุบัติเหตุระหว่างทำงาน จึงตัดสินใจลาออกจากงานและเขียนการ์ตูนอย่างจริงจังอยู่ที่บ้าน โดยมีโมโตโอะคอยมาช่วยเหลืออยู่ตลอดหลังจากเวลาว่างหลังเลิกงาน และได้ออกผลงานเรื่อง ล่องลอย 4 หมื่นปี  และมีผลงานการ์ตูนพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มแรกในนามปากการ่วมกันว่า "อาชิซึกะ ฟูจิโอะ" เรื่อง สงครามโลกครั้งสุดท้าย (UTOPIA—最後の世界大戦 หรือ Utopia: The Last World War) 



หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจจะเขียนการ์ตูนกันต่อไป และได้ย้ายมาอยู่ที่โตเกียว ทั้งคู่ได้ตัดสินใจเปลี่ยนนามปากกาเป็น "ฟูจิโอะ ฟูจิโกะ" และได้มีการเขียนการ์ตูนส่งสำนักพิมพ์อย่างมากมาย แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ทั้งคู่เผลอลืมส่งต้นฉบับให้กับทางสำนักพิมพ์ ทำให้ชื่อเสียงของทั้งคู่ลดลงอย่างมาก แต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมแพ้ลงทุนจัดตั้งบริษัท "สตูดิโอซีโร" และได้มีผลงานทำภาพยนตร์เรื่องยาวอย่างเรื่อง “เจ้าหนูอะตอม” และเริ่มประสบความสำเร็จขึ้นจากการเขียนการ์ตูนเรื่อง “ผีน้อยคิวทาโร่”  ได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูน ซึ่งมีคนติดตามเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ผีน้อยคิวทาโร่ได้ผลิตเป็นการ์ตูนแอนิเมชันฉายทางโทรทัศน์ ส่งผลให้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเป็นอย่างมาก 



หลังจากนั้น ปี ค.ศ.1969 ทั้งคู่เริ่มหาแนวทางสำหรับการ์ตูนเรื่องใหม่โดย ฮิโรชิ ก็ไปสะดุดกับกองของเล่นพวกตุ๊กตาของลูกสาวที่วางเกะกะบนพื้น ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่แมวข้างบ้านกำลังกัดกัน และเมื่อรวมกับจินตนาการส่วนตัวที่อยากได้เครื่องมือช่วยย้อนเวลาไปหาไอเดียใหม่ๆ เชิงวิทยาศาสตร์ จึงเป็นที่มาของหุ่นยนต์แมวสีน้ำเงินที่มาพร้อมสารพัดอุปกรณ์สำหรับแก้ปัญหาจากโลกอนาคต เลยเป็นแนวความคิดในการเขียนการ์ตูน โดราเอมอน โดยเริ่มแรกเป็นการตีพิมพ์ลงในหนังสือการ์ตูนยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก จนเมื่อค.ศ.1973 การ์ตูนโดราเอมอนได้ผลิตเป็นการ์ตูนแอนิเมชันฉายทางโทรทัศน์ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนทั้งคู่ได้รับรางวัล จากสมาคมนักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่น (Nihon Mangaka Association) และได้รับความนิยมอย่างมากจนได้ไปเผยแพร่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก 



หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทำผลงานอีกมากมาย แต่ด้วยความเห็นที่ไม่ค่อยตรงกันทำให้ตัดสินใจเลิกใช้นามปากการ่วมกันและแยกไปมีงานเขียนของตัวเอง ฮิโรชิใช้นามปากกาเป็น "ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ" ส่วนของอาบิโกะเป็น "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ (เอ.)" และฮิโรชิก็ยังสร้างสรรค์ผลงานโดราเอมอนและผลงานอื่น ๆ อีกต่อไป จนกลายเป็นตำนานการ์ตูนญี่ปุ่นที่ทุกคนชื่นชอบจนมาถึงปัจจุบัน

ทาง THE STUDY TIMES ความพยายาม รักและชื่นชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ละทิ้งความฝันและความพยายามจะเป็นทางที่สู่ความประสบความสำเร็จได้ เหมือนกับนักเขียนการ์ตูน 2 ท่านนี้นะคะ 


ที่มา 
https://th.wikipedia.org/wiki/ ฟูจิโอะฟูจิโกะ 
https://www.kartoon-discovery.com/history/fujio.html
https://ahead.asia/2019/09/05/fujiko-fujio-doraemon-creators/

THE STUDY TIMES X ClassOnline X DekThai Online เสาร์อาทิตย์นี้ พบกับ LIVE วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาชีววิทยา

???? THE STUDY TIMES X ClassOnline X DekThai Online เสาร์อาทิตย์นี้

????วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม และ วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2564

⏰เวลา 16.00 น.

พบกับ LIVE วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาชีววิทยา

????วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม
วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาอังกฤษ)

โดย ครูพี่ทาม์ย ฐานุวัชร์ รินนานนท์
ศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (เรียนเน้นภาษาสเปน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อาจารย์ผู้สอนอบรม TOEIC ให้องค์กรภาครัฐและเอกชนระดับประเทศ
#สอนวิชาภาษาอังกฤษ ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

????วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม
วิชาชีววิทยา: เรื่อง Brain

โดย ครูหมอเมศ กฤษณะ ธรรมศิริ 
ปริญญาตรี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
#สอนชีววิทยาม.ต้น-ม.ปลาย

????ช่องทางรับชม LIVE
Facebook และ Youtube: THE STUDY TIMES

ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว THE STUDY TIMES ได้แนะนำแอปพลิเคชันสอนภาษาจีนไว้ใช้ในช่วงโควิด วันนี้เราก็ขอมาแนะนำอีก 5 แอปพลิเคชันกันที่ไว้ใช้ศึกษาภาษาจีนเพิ่มเติมกัน ที่นอกจากจะได้ภาษาแล้วยังได้ความสนุกเพิ่มอีกด้วย !

Pleco Chinese Dictionary

เป็นแอปพลิเคชันพจนานุกรมภาษาจีนมีคำศัพท์ยอดนิยมกว่า 110,000 คำ และมีตัวอย่างประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวันกว่า 25,000 ประโยค นอกจากนี้ยังมีแบบอักษรจีนสไตล์ Kai / Song / Xing อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นในการอ่านคำจากลายมือหรือเอกสารทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจและออกเสียงได้อย่างถูกต้องอีกด้วย

Chinese Zombie – เกมส์คำศัพท์ ภาษาจีน

เป็นแอปที่รวมคำศัพท์พื้นฐานที่ใช้บ่อยและจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเป็นการเรียนรู้ไปกับการท่องคำศัพท์และฆ่าซอมบี้ในเกม ทำให้ฝึกในการจำคำศัพท์ได้ง่าย ๆ 

Learn Mandarin Chinese 5,000 Words

โดยการเรียนรู้ในแอปพลิเคชันนี้คือการท่องจำคำศัพท์แบบ FlashCards (บัตรคำศัพท์) เพื่อให้ผู้ใช้ได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนกลาง เพื่อทำให้การท่องจำคำศัพท์ภาษาจีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

HelloChinese เรียนภาษาจีน

เป็นแอปพลิเคชั่นที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเรียนภาษาจีนและสามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยที่ผู้ใช้สามารถฝึกการพูดและการเขียนภาษาจีน ตัวแอปมีฟังก์ชันวิเคราะห์เสียงและฟังก์ชันการเขียนอักษรจีนด้วยมือ อีกทั้งยังมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจีนคอยเรียบเรียงบทเรียนภาษาจีนให้เหมาะสมกับระบบการเรียนรู้ของคนไทยโดยเฉพาะ

เรียนรู้ภาษาจีน

ในแอปพลิเคชันมีข้อความและคำศัพท์ในภาษาจีนที่ใช้เป็นประจำมากกว่า 800 รายการ มีเนื้อหาสำคัญ ๆ เป็นหมวดหมู่ เช่น การทักทาย สุขภาพ ความรัก ฯลฯ และคำศัพท์พื้นฐานที่ต้องใช้ทุกวัน เช่น วันที่ เวลา สภาพอากาศ สีต่าง ๆ ฯลฯ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นเรียนภาษาจีนมาก ๆ เลยค่ะ

หวังว่าผู้อ่านจะได้ลองฝึกภาษาจีนในช่วงที่ต้องกักตัวแบบนี้นะคะ ถือว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด และทำให้เราได้ฝึกอีกภาษาหนึ่ง เป็นการเปิดโลกกว้างให้ตัวเราประสบคามสำเร็จอีกด้วยค่ะ นอกจากการเรียนผ่านแอปพลิเคชันที่เราได้แนะนำไปแล้วนั้น การฝึกภาษาง่าย ๆ อาจจะเป็นการดูซีรีส์หรือฟังเพลงก็จะช่วยพัฒนาทางด้านภาษาของเราไปได้อีกมากเลยละค่ะ

เก่งภาษาจีนได้ง่ายในช่วงโควิด ด้วย 10 แอปพลิเคชัน (ตอนที่ 1)
Click on Clever >> https://thestatestimes.com/post/2021071305


ที่มา : https://www.iphonemod.net/10-application-practice-chinese-language.html

ทำความรู้จัก “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน : Infrastructure Fund” เพื่อวางกลยุทธ์การลงทุนในช่วงวิกฤต

แม้ในช่วงวิกฤติจะส่งผลให้การลงทุนเกิดความผันผวนอย่างมาก ทั้งต่อระดับความเสี่ยงจากการลงทุน และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับก็ตาม แต่หากนักลงทุนวางกลยุทธ์การลงทุนโดยเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม ก็จะช่วยพลิกวิกฤติเป็นโอกาส และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยลดต่ำทั่วโลก การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund :IFF) เป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนในระดับที่สูงกว่าตราสารหนี้ และมีความผันผวนในระดับที่ต่ำกว่าตลาดหุ้น เนื่องจากจุดเด่นของอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่มีอุปสงค์ยืดหยุ่นต่ำ ไม่ผันแปรตามสภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินค้าและบริการที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน อีกทั้งเป็นธุรกิจที่มี Barrier of Entry สูง (เป็นเจ้าตลาด หรือ ธุรกิจผูกขาด) จึงทำให้มีคู่แข่งขันเข้ามายาก ตลอดจนความสามารถในการขึ้นราคาเมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้นหรือในภาวะเงินเฟ้อได้อีกด้วย

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ภาครัฐและเอกชนใช้ในการระดมทุนจากผู้ลงทุนทั่วไปทั้งรายย่อยและสถาบัน เพื่อนำเงินไปลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในวงกว้างของประเทศ 10 ประเภท ประกอบด้วย ระบบขนส่งทางราง, ประปา, ไฟฟ้า, ถนน, สนามบิน, ท่าเรือน้ำลึก, โทรคมนาคม, พลังงานทางเลือก, ระบบบริหารจัดการน้ำหรือชลประทาน และระบบป้องกันภัยธรรมชาติ โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล และกำไรจากส่วนต่างราคา นอกจากนี้ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดายังได้รับยกเว้นภาษีจากรายได้เงินปันผลดังกล่าวเป็นระยะเวลา 10 ปี ทั้งนี้ในประเทศไทยมีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่

1.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ TFFIF
2.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี หรือ SUPEREIF
3.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือ EGATIF
4.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF
5.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF
6.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF
7.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ หรือ ABPIF และ
8.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ หรือ BRRGIF

นักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ
1.) การซื้อหุ้น IPO ที่ทำการเสนอขายครั้งแรก ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่บริหารจัดการจัดการกองทุนนั้น รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ หรือโบรกเกอร์ที่เป็นผู้จัดจำหน่าย และ

2.) ภายหลังจากหมดช่วง IPO แล้ว กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานก็จะถูกนำเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และซื้อขายเช่นเดียวกับหุ้นทั่วไปบนกระดานหุ้น ดังนั้นผู้ลงทุนจึงต้องเปิดบัญชีและทำการซื้อขายหุ้นโครงสร้างพื้นฐานผ่านโบรกเกอร์ได้

เขียนโดย อาจารย์ กมลวรรณ รอดหริ่ง อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.set.or.th/th/products/listing2/set_iff_p1.html
https://www.finnomena.com/finnomena-ic/scbgif/

การเรียนสายอาชีพถือว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น้อง ๆ ที่จบมัธยมศึกษาตอนต้นมาได้ลงมือปฏิบัติ และ สามารถต่อยอด สร้างฝัน สร้างอาชีพได้ บางครั้งน้อง ๆ อาจจะมองไม่เห็นตัวเองว่าถ้าเรียนในสายสามัญเป็นอย่างไร สายอาชีพถือว่าตอบโจทย์น้อง ๆ สำหรับผู้ทีชื่นชอบลงมือทำ

วันนี้ THE STUDY TIMES จะขอมาแนะนำการเรียนอีกสายหนึ่งที่ถือได้ว่าหลาย ๆ คนที่ยังรู้สึกว่าตัวเองอาจจะต่อยอดพวกสายวิทย์ - คณิต หรือ สายศิลป์ ไม่ได้การเรียนสายอาชีพก็ถือว่าเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน

การเรียนสายอาชีวศึกษาหรือสายอาชีพ คือ การเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือ ปวช. เป็นการเรียนในหลักสูตรที่ไม่ได้เน้นการเรียนวิชาพื้นฐานเหมือนกับสายสามัญ รับนักเรียนที่จบมาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการเรียนสายอาชีพมีระยะเวลาในการเรียน 3 ปี โดยหากเรียนจบแล้วจะมีทางเลือกในการเรียนต่อ 2 ทางเลือกใหญ่ ๆ คือ

1.) การเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือ (ปวส.) ใช้เวลาเรียน 2 ปี หลังจากจบแล้วสามารถเรียนต่อปริญญาตรี อีก 2 ปี

2.การเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย (ระดับปริญญาตรี) ใช้เวลาเรียน 4 – 5 ปี แล้วแต่คณะวิชาที่เลือก

สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นสำหรับการเรียนสายอาชีพคือสำคัญ ได้มีโอกาสเรียนในสายวิชาที่เน้นการทำงานจริงเป็นหลัก ต่อให้เรียนจบระดับ ปวช. ก็สามารถทำงานได้ และทำให้นักเรียนได้เข้าใจถึงการเรียนตามหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อการประกอบอาชีพในอนาคต

สำหรับข้อดีของการเรียนในระดับสายอาชีพมีดังต่อไปนี้

ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ มีรายได้ระหว่างเรียน
หลักสูตรสายอาชีพเน้นการลงมือภาคปฏิบัติอย่างแท้จริง ทุกหลักสูตรมีการฝึกงานเพื่อสร้างเสริม

ประสบการณ์และทักษะ
วิชาชีพตั้งแต่ยังเรียนอยู่ไม่น้อยกว่า 300 ชั่วโมง ได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติงานจริง ฝึกใช้อุปกรณ์ เรียนรู้ กระบวนการในสายอาชีพนั้น ๆ เป็นประสบการณ์ตรงจากหน้างาน

มีทักษะวิชาชีพติดตัว
เพราะการฝึกฝนปฏิบัติงานเป็นประจำย่อมทำให้เกิดทักษะและความเชี่ยวชาญติดตัวไปตลอด เมื่อศึกษาจบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพสามารถใช้เป็นใบเบิกทางสมัครงานได้เลย

เลือกเรียนได้หลากหลายสาขาและอาชีพ 
หลักสูตรสายอาชีพมีให้เลือกเรียนหลากหลายสาขาวิชา สามารถเลือกเรียนได้ตามความสนใจและความถนัดของตัวเอง

เป็นที่ต้องการของบริษัทและแรงงาน
ในปัจจุบันกำลังขาดแคลนช่างฝีมือและบุคลากรวิชาชีพทักษะเฉพาะ เพราะต่างต้องการแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีฝีมือเฉพาะทางในด้านนั้น ๆ ทำให้เมื่อเรียนสายอาชีพจบมาแล้วจะตอบโจทย์กับบริษัทมากกว่า 



และนอกจากนี้สถานที่เรียนปวช.นั้นมีมากมายอยู่ทั่วทุกจังหวัด และการเรียนในสายอาชีพก็มีให้เลือกเรียนอีกมาก โดยจะขอยกตัวอย่างสาขาอาชีพที่เรียนในระดับชั้นปวช. มีดังต่อไปนี้

อุตสาหกรรม สาขาวิชา : ช่างยนต์ ช่างกลโรงงาน ช่างเชื่อมโลหะ ช่างไฟฟ้ากำลัง ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างก่อสร้าง เครื่องเรือนและตกแต่งภายใน สถาปัตยกรรม สำรวจ ช่างเขียนแบบเครื่องกล ช่างซ่อมบำรุง ช่างพิมพ์ เทคนิคแว่นตาและเลนส์ ช่างโทรคมนาคม ช่างเครื่องมือวัดและควบคุม อุตสาหกรรมยาง เมคคาทรอนิกส์ ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีฟอกหนัง ช่างเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ เครื่องกลเกษตร
พาณิชยกรรม สาขาวิชา : การบัญชี การตลาด การเลขานุการ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ธุรกิจสถานพยาบาล การประชาสัมพันธ์ ธุรกิจค้าปลีก ภาษาต่างประเทศ โลจิสติกส์ การจัดการสำนักงาน การจัดการด้านความปลอดภัย ธุรกิจการกีฬา
ศิลปกรรม สาขาวิชา : วิจิตรศิลป์ การออกแบบ ศิลปหัตถกรรม ศิลปกรรมเซรามิก ศิลปหัตถกรรมรูปพรรณเครื่องถมและเครื่องประดับ ถ่ายภาพและมัลติมีเดีย เทคโนโลยีศิลปกรรม คอมพิวเตอร์กราฟิกอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เครื่องประดับอัญมณี ช่างทองหลวง การพิมพ์สกรีน ออกแบบนิเทศศิลป์
คหกรรม สาขาวิชา : แฟชั่นและสิ่งทอ อาหารและโภชนาการ คหกรรมศาสตร์ ธุรกิจเสริมสวย ธุรกิจคหกรรม
เกษตรกรรม สาขาวิชา : เกษตรศาสตร์
ประมง สาขาวิชา : เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สาขาวิชา : การโรงแรม การท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมสิ่งทอ สาขาวิชา : เทคโนโลยีสิ่งทอ เคมีสิ่งทอ เทคโนโลยีเครื่องนุ่งห่ม
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขาวิชา : เทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์
อุตสาหกรรมบันเทิงและดนตรี สาขาวิชา : อุตสาหกรรมบันเทิง การดนตรี การสร้างเครื่องดนตรีไทย
พาณิชย์นาวี สาขาวิชา : เดินเรือ ช่างกลเรือ

ดังนั้นการเรียนสายอาชีพถือว่าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์สำหรับนักเรียน หรือ นักศึกษาที่ต้องการลงมือปฏิบัติจริง ๆ อยากที่จะพัฒนาตัวเองและมีศักยภาพทางด้านอาชีพนั้น ๆ อย่างผู้เชี่ยวชาญ สามารถต่อยอดอาชีพในอนาคตได้ ทาง THE STUDY TIMES หวังว่าน้อง ๆ ทุกคนจะได้รู้แนวทางตัวเองและต่อยอดความฝันของน้อง ๆ ให้ประสบความสำเร็จได้นะคะ 


ที่มา 
https://www.yuvabadhanafoundation.org/th/highschool/studyplan/item4-2/
https://teen.mthai.com/education/176732.html

เยาวชนจีนยุคใหม่ 'หัวก้าวหน้า' และ 'รักชาติ' ไปพร้อมกัน

“ประเทศจีนไม่ได้สมบูรณ์พร้อม แต่มันมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ” ความคิดเห็นจากคนรุ่นใหม่ในจีน ยุคที่เราเรียกว่า #เยาวชนยุคสีจิ้นผิง

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา The Economist ได้เปิดประเด็นที่น่าสนใจซึ่งกำลังเกิดขึ้นในประเทศจีนในเวลานี้ นั่นคือ ‘เยาวชนรุ่นสีจิ้นผิง’ หรือ ‘Generation Xi’

ซึ่งเป็นการนิยามเยาวชนจีนในปัจจุบันที่ทั้งมี ‘ความรักชาติ-ชาตินิยม’ (Patriotism) แต่ก็ ‘หัวก้าวหน้า’ (Progressive) มีความคิดสมัยใหม่ พร้อมขับเคลื่อนสังคมจีนให้พัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา

----------------
'เยาวชนคืนถิ่น'
----------------

ปัจจุบันเยาวชนจีน เริ่มหลั่งไหลกลับไปทำงานในถิ่นฐานบ้านเกิดตามชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบทในประเทศจีนลดน้อยลง

พัฒนาการด้านระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง การสร้างเมืองใหม่ การค้าการลงทุนที่เกิดขึ้นในแต่ละมณฑล ระบบอินเตอร์เน็ต และเทคโนโลยีสมัยใหม่

ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบ มีทางเลือกมากกว่าการเข้าไปเป็นแรงงานหรือพนักงานกินเงินเดือนในเมืองใหญ่ซึ่งมีค่าครองชีพสูง

----------------
ความเหลื่อมล้ำที่ลดลงด้วยเทคโนโลยีออนไลน์
----------------

เทคโนโลยีและระบบออนไลน์ ทำให้ความแตกต่างระหว่างการอยู่ ‘เขตเมือง’ กับ ‘เขตชนบท’ ลดน้อยลงมาก ผู้คนในเมืองเล็กๆ หรือชนบทช้อปปิ้งผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ ไม่ต่างจากผู้คนที่อยู่ในเมืองใหญ่

เมื่อทุกคนเข้าถึงระบบได้จากทุกที่บนผืนแผ่นดินจีน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมากระจุกตัวกันตามเมืองใหญ่

คนรุ่นใหม่ในจีนเห็นโอกาสในการสร้างเนื้อสร้างตัวจากระบบออนไลน์ในโลกยุคดิจิทัล จากการลงทุน การค้า การโฆษณา การทำตลาดออนไลน์ ในขณะที่ทัศนคติเรื่องการรับราชการมีน้อยลง

กระแสโรแมนติกของการหวนคืนสู่ธรรมชาติอันชนบทมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่พากันหาสินค้าท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมารีวิวขายในตลาดออนไลน์ ประกอบกับการรีวิวการท่องเที่ยวท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น

ในขณะที่รัฐบาลและภาคเอกชนจีนก็ได้พัฒนาระบบการค้าออนไลน์ให้มีความสะดวกในทุกมิติ ตั้งแต่การสั่งซื้อ-ขาย การขนส่ง ค่าบริการขนส่งที่มีราคาต่ำ ซึ่งช่วยทำให้ตลาดการค้าเติบโตได้อย่างดี

----------------
'คนจีนโพ้นทะเลคืนถิ่น' (海归)
----------------

ด้านคนรุ่นใหม่ของจีนที่ไปรับการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในชาติตะวันตก เริ่มหันกลับมาทำงานในประเทศจีนมากขึ้น เนื่องจากมองเห็นโอกาสเติบโตที่มากขึ้น รวมถึงรายได้ที่สมน้ำสมเนื้อในการทำงาน

ประกอบกับปัญหาผู้อพยพจากตะวันออกกลาง และนโยบายกดดันจีนของสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้ชาวอเมริกันมองจีนและชาวจีนเป็นภัยคุกคามต่อการครองอำนาจนำของตน จนเกิดกระแสการเหยียดเชื้อชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทำให้ชาวเอเชียจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะชาวจีน หันหน้ากลับไปยังแผ่นดินแม่ที่ซึ่งมีโอกาสมีรายได้ที่ดี และไม่มีปัญหาด้านการเหยียดชาติพันธุ์ รอพวกเขาอยู่

จากสถิติคนจีนที่ไปเรียนต่างประเทศจำนวน 6.2 ล้านคนในระหว่างปี ค.ศ. 2000 - 2019 ปัจจุบันมีถึง 4 ล้านคนที่กลับมาทำงานในประเทศจีน

ในขณะที่ปี 2001 มีเพียงแค่ 14% เท่านั้นที่กลับมาทำงานในประเทศจีนหลังจบการศึกษาในต่างประเทศ แต่ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา คนจีนที่ไปศึกษาต่อและกลับมาทำงานในประเทศจีนพุ่งสูงขึ้นไปถึง 4 ใน 5 ส่วนของทั้งหมด

----------------
*** แน่นอนว่าทุกประเทศทุกสังคมล้วนมีปัญหาของตน แต่การที่คนรุ่นใหม่จะมีสำนึกรักชาติหรือภูมิใจในชาติบ้านเมืองได้ พวกเขาต้องเห็นอนาคต เห็นโอกาส และการพัฒนาที่เกิดขึ้นต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย

และนั่นคือ สิ่งที่รัฐบาลจีนทำให้กับประชาชนของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำประเทศทุกประเทศควรนำมาศึกษาเป็นบทเรียนครับ

เขียนโดย: อ.ดร. กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (KMITL)


อ้างอิง:
https://www.economist.com/special-report/2021-01-23
https://www.economist.com/special-report/2021/01/21/young-chinese-are-both-patriotic-and-socially-progressive
https://www.economist.com/special-report/2021/01/21/the-gap-between-chinas-rural-and-urban-youth-is-closing
https://thinkmarketingmagazine.com/should-mena-be-looking-into-chinas-youth-for-the-future-zak-dychtwald-talks-young-china/

10 อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศจีนที่ได้รับการขนานนามว่าผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพทั้งทักษะด้านวิชาและความรู้ รวมไปถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพและสามารถต่อยอดพัฒนาทางด้านอาชีพได้อย่างดีเยี่ยม (พาร์ท 1)

ประเทศจีน ในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทยเพราะนอกจากการเป็นเพื่อนบ้านที่มีมิตรภาพที่ดีอย่างยาวนาน วัฒนธรรมหรืออิทธิพลก็เข้ามามีส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของคนไทย นอกจากเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่แล้ว เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็ก้าวหน้าอีกด้วย รวมไปถึงการเรียนหนังสือที่ประเทศจีนก็เป็นอันดับต้น ๆ ในการพัฒนาทางด้านการศึกษาเหมือนกัน ในวันนี้ THE STUDY TIMES ขอมาแนะนำ 10 อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศจีนกันว่าจะมีที่ไหนบ้าง เผื่อเป็นการพิจารณาตัดสินใจที่จะเข้าศึกษาต่อในต่างประเทศ ประเทศจีนถือได้ว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่งเลยทีเดียว 

อันดับที่ 1 Tsinghua University (清华大学)
อยู่อันดับที่ 15 ของโลก มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1911 ในชื่อ Tsing Hua Imperial College และเพิ่มการสอนระดับมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1925 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น National Tsing Hua University ในปี ค.ศ. 1928 มีศิษย์เก่าคนสำคัญที่เรียนที่แห่งนี้คือ Xi Jinping ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของประเทศจีน โดย Tsinghua University เป็น 1 ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ 9 แห่งของจีนที่ได้รับการคัดเลือกและได้รับทุนสนับสนุนด้านการวิจัยจากรัฐบาลจีน ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยที่สอบเข้ายากที่สุดแห่งหนึ่งและมีชื่อเสียงโดดเด่นระดับโลกด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จนทุกคนตั้งฉายาให้กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ว่าเป็น "MIT แห่งเมืองจีน"
เว็บไซต์ : https://www.tsinghua.edu.cn/


เครดิตภาพ : https://zhuanlan.zhihu.com/p/145790991

อันดับที่ 2 Peking University (北京大学) 
อยู่ในอันดับที่ 23 ของโลก ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง ก่อตั้งปี ค.ศ. 1898 และมีชื่อเสียงจากการเป็นแหล่งรวมนักศึกษาหัวก้าวหน้าในขบวนการปฏิวัติจีนในช่วงต้นทศวรรษ 1920  มหาวิทยาลัยได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีสายศิลป์อันดับ 1 ของจีน ในมหาวิทยาลัยยังมีสถาปัตยกรรมแบบจีนที่สวยงาม ถือว่านอกจากการเรียนจะแน่น สถานที่ บรรยากาศก็น่าเรียนเพิ่มขึ้นอีกด้วย 
เว็บไซต์ : https://www.pku.edu.cn/


เครดิตภาพ : https://m.cucas.cn/school_column?sid=256

อันดับที่ 3 Fudan University (复旦大学) 
อยู่ในอันดับที่ 34 ของโลก ตั้งอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1905 ในฐานะ Fudan Public School ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Fudan University ในปี ค.ศ. 1917 และต่อมาได้ควบรวมกับ Shanghai Medical University ในปี ค.ศ. 2000 โดยมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงด้านศึกษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และแพทยศาสตร์ อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 30 มหาวิทยาลัยในประเทศจีนที่กระทรวงศึกษาธิการจีนอนุมัติให้เปิดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษให้แก่ชาวประเทศได้เข้ามาศึกษาได้ 
เว็บไซต์ : https://www.fudan.edu.cn/


เครดิตภาพ : https://www.china-admissions.com/fudan-university/

อันดับที่ 4 Shanghai Jiao Tong University (上海交通大学) 
อยู่ในอันดับที่ 47 ของโลก ตั้งอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ก่อตั้งปลายสมัยราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1896 โดยกระทรวงไปรษณีย์และการสื่อสารภายใต้ชื่อ Nanyang Public School มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการยอมรับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านธุรกิจในระดับโลก
เว็บไซต์ : https://en.sjtu.edu.cn/


เครดิตภาพ : https://vse.apru.org/shanghai-jiao-tong-university-2021summer/

อันดับที่ 5 Zhejiang University (浙江大学) 
อยู่ในอันดับที่ 53 ของโลก ตั้งอยู่ในเมืองหังโจว เมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง มหาวิทยาลัยก่อตั้งปี ค.ศ. 1897 เป็น 1 ในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีน มีชื่อเสียงด้านการก่อตั้งทำธุรกิจหรือ Start-Up ส่วนใหญ่ศิษย์เก่าที่จบการศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นเจ้าของบริษัท Start-Up มากกว่า 100 แห่งในประเทศจีน 
เว็บไซต์ : https://www.zju.edu.cn/english/


เครดิตภาพ : http://www.eduincn.com/zhejiang-university/

และนี้ก็เป็นพาร์ทแรกของ 10 อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศจีนที่ได้รับการยอมรับว่ามีชื่อเสียงและสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ ออกมาพัฒนาประเทศและมีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนมากมาย ส่วนอีก 5 อันดับจะมีที่ไหนบ้าง ต้องคอยติดตามกันในสัปดาห์หน้านะคะ 


ที่มา : 
https://www.learningeast.com/
http://www.toeasteducation.com/
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top