Wednesday, 30 April 2025
TheStudyTimes

วิชาภาษาไทย: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาไทย)

THE STUDY TIMES X ClassOnline

????วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม

วิชาภาษาไทย: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาไทย)

โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์

ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

#ClassOnline

https://www.classonline.co.th/

.

.

วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาอังกฤษ)

THE STUDY TIMES X ClassOnline

????วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม

วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาอังกฤษ)

โดย ครูพี่ทาม์ย ฐานุวัชร์ รินนานนท์

ศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (เรียนเน้นภาษาสเปน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อาจารย์ผู้สอนอบรม TOEIC ให้องค์กรภาครัฐและเอกชนระดับประเทศ

#สอนวิชาภาษาอังกฤษ ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

#ClassOnline

https://www.classonline.co.th/

.

.

 

พูดกับลูกแบบนี้ ไม่ได้ผล!! การพูดจาข่มขู่ เป็นวิธีการให้ลูกทำตัวเกเร ไม่มีการกระทำที่ถูก จากวิธีคิดที่ผิด

พ่อแม่บางคนติดกับดักอำนาจตัวเอง สำหรับเด็กๆ แล้วเหมือนคำท้าทายให้เด็กๆ ทำในสิ่งที่พ่อแม่ห้าม คำว่า “เดี๋ยวเถอะ ถ้าลูกทำอีกครั้งนะ” การรับรู้ของเด็กจะไม่ได้ยินคำว่า “ถ้าลูก” แต่จะได้ยินคำว่า “ลูกทำอีกครั้งนะ” การตีความการข่มขู่ครั้งนั้น เหมือนว่า ถูกคาดหวังว่าให้พวกเขาทำตัวเกเรอีกครั้ง

คำตักเตือนของคุณ เสมือนเป็นการท้าทายให้เด็กพยามแสดงความเป็นตัวเองมากขึ้น ถ้าเขาเป็นคนเคารพในตัวเองมากๆ เขาจะฝ่าฝืนคำสั่งคุณ เพื่อแสดงให้โลกรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่รู้สึกเกรงกลัวและหวั่นไหวเมื่อถูกข่มขู่

วิธีสื่อสารบางอย่างที่เราใช้พูดกับลูก เป็นสิ่งที่ไม่ได้ผลอย่างยิ่ง นอกจากจะทำให้เราไม่บรรลุจุดมุ่งหมายในการสื่อสารกับลูกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น มันจะก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย วิธีสื่อสารที่ว่า เช่น การข่มขู่ การติดสินบน การให้คำมั่นสัญญา การพูดจาถากถาง การใช้คำพูดที่รุนแรงเกินเหตุ การพูดทำร้ายจิตใจ รวมถึงการสอนเด็กให้สุภาพมีมารยาทด้วยคำพูดที่หยาบคาย

การทำร้ายเด็กด้วยคำพูด ข่มขู่ ต่อว่า ตำหนิ ว่าเขาน่าเกลียด โง่  ซุ่มซ่าม ย่อมมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเด็ก เด็กจะมีปฏิกิริยาทั้งร่างกายและจิตใจ  เช่น เสียใจ โกรธ เกลียด เด็กจะเริ่มมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะในใจครุ่นคิดแต่จะเอาคืน อาจมีปัญหาในการแสดงออก ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทำให้ทั้งเด็กและพ่อแม่ต้องทุกข์ระทม

พ่อแม่ที่พูดซ้ำ ๆ ว่าลูกโง่ เด็กคนนั้นก็จะเชื่อคำพูดประโยคซ้ำๆ นี้โดยอัตโนมัติ เชื่อว่าตัวเองนั้นโง่จริงๆ เขาจะเริ่มเห็นตัวเองเป็นคนโง่ลงเรื่อย ๆ  และจะยอมแพ้ต่อความพยายามและต่อการใช้ความคิดไปโดยปริยายเช่นกัน

แต่ก็ประหลาดใจมากที่บ่อยครั้งที่ได้ยินคำพูดที่ข่มขู่ เกรี้ยวกราด ถากถาง คำพูดเชิงลบ ที่ลดคุณค่าตัวตนของลูก

ตัวอย่างเช่น 
- เธอมันหนักไม่เอา เบาไม่สู้ ทำอะไรก็ไปไม่รอด
- ตั้งแต่เธอลืมตาดูโลก ธุรกิจฉันก็ขาลงทันที
- เธอมันเหมือนแม่ไม่มีผิด ไม่ได้เรื่องพอๆ กัน
- อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอ….
- คนอย่างเธอมันเก่งไม่จริง
- ระวังตัวให้ดี สักวันหนึ่ง….
- เธอมันคือตัวปัญหา ตัวซวย

แบบแผนการสื่อสารแบบนี้ ถือว่าเป็นการสื่อสารที่มีแต่จะทำร้ายจิตใจลูกให้ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ

สิ่งสำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังของหลักการสื่อสาร คือ การที่ผู้ใหญ่ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ และต้องมีความเคารพในตัวของเด็ก


เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima

อ้างอิงข้อมูล: หนังสือ วิธีพูดกับลูก

รู้จัก “ถ้วยอนามัย” ทางเลือกใหม่ของสาวสายกรีน

สวัสดี ท่านผู้อ่าน THE STUDY TIMES ทุกท่านนะคะ วันนี้ป้าหมึกอยากจะมาแนะนำสิ่งใหม่ ของใหม่ ที่หลาย ๆ คนอายกจะรู้ อยากจะลอง วันมามากของผู้หญิงทั้งหลายจะต้องสบายขึ้นด้วย “ถ้วยอนามัย” แต่จะมีความวิเศษยังไงนั้น ตามป้าหมึกมาได้เลยค่ะ (: 

ป้าก็พึ่งรู้ว่าในโลกปัจจุบันเดี๋ยวนี้มีนวัตกรรมใหม่ มากมายเต็มไปหมด ป้าตามแทบไม่ทันแล้วล่ะคะ อย่าง “ถ้วยอนามัย” เนี่ย ก็พึ่งได้ยินชื่อมาเหมือนกัน แล้วมันมีความน่าสนใจมาก เลยอยากจะขอแบ่งปันมาให้ท่านผู้อ่านได้กระจ่างกันว่า มันคืออะไร มีหน้าตาอย่างไรค่ะ

เจ้า “ถ้วยอนามัย” เป็นถ้วยเล็ก ๆ มีปลายที่เป็นเหมือนก้าน ยื่นออกมาเล็กน้อย ตัวถ้วยทำจากซิลิโคนที่สามารถบีบ และบิดให้เล็กลง เพื่อการสอดใส่ผ่านช่องคลอดเข้าไปด้านในเพื่อรองรับเลือดประจำเดือนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเลยค่ะ ในปัจจุบันสาว ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายคนเริ่มหันมาใช้ถ้วยอนามัยกันมากขึ้น ความพิเศษมีอะไรบ้าง มาค่ะ ป้าจะเล่าให้ฟัง 

ซึ่งเจ้าตัวถ้วยอนามัยนี้มีสามารถที่จะรองรับประจำเดือนของเราได้ทั้งวันเลยค่ะ เพราะด้วยรูปทรงที่เป็นถ้วยทำให้สามารถรองรับประจำเดือนแม้จะมามากเท่าไรก็ตาม โดยส่วนใหญ่การรองรับจะอยู่ที่ประมาณ 12 ชั่วโมง ซึ่งเป็นข้อดีที่เราไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ และที่สำคัญเหมาะมาก ๆ เลยนะคะ ในวันที่เราอาจจะต้องมีกิจกรรมพิเศษ ไปโลดเล่นเต้นระบำก็ไม่ต้องห่วงค่ะ และที่สำคัญเราสามารถใส่ถ้วยอนามัยสามารถทำกิจกรรมทางน้ำได้อีกด้วยนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะหลุดระหว่างทำกิจกรรม

และข้อดีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ สามารถนำมาใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ค่ะ โดยเราสามารถนำมาทำความสะอาดด้วยสบู่หรือน้ำยาที่ใช้ล้างกับตัวซิลิโคนได้ จึงเป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่งเพราะว่าแต่ก่อนท่านผู้หญิงหลาย ๆ คนจะต้องซื้อผ้าอนามัยแบบแผ่นพอใช้เสร็จก็ต้องทิ้ง เป็นขยะย่อยสลายยากอีก ป้าว่าเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ เลยนะคะ นอกจาก Save เงินในกระเป๋าแล้วยัง Save โลกจากขยะผ้าอนามัยอีกค่ะ 

แต่ที่สำคัญในการใช้ถ้วยอนามัยคือ อาจจะต้องเลือกขนาดและเลือกไซส์ให้เหมาะสมกับรูปร่าง และช่วงอายุของเรา เพราะถ้าเราเลือกขนาดผิด อาจจะทำให้เราใช้ถ้วยอนามัยได้ไม่เต็มที่ ขนาดของถ้วยอนามัย จึงมีความสำคัญต่อสรีระร่างกายของเรามากเลยค่ะ โดย

- เด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี : ไซส์เล็ก (S)
- ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 30 ปีที่ยังไม่เคยคลอดลูก: ไซส์กลาง (M)
- ผู้หญิงทุกวัยที่มีการคลอดทางช่องคลอดอย่างน้อย 1 ครั้ง : ขนาดใหญ่ (L)

แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละคนด้วยนะคะ เพราะสรีระ รูปร่างของแต่ละคนมีขนาดไม่เท่ากัน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ด้วยนะคะ 

หลาย ๆ คนอาจจะเคยเจอเหตุการณ์คือในช่วงแรกมีอาการกลัวเกิดขึ้นว่า จะหลุดหายเข้าไปเลยรึเปล่า ความจริงแล้วถ้าเราสวมใส่ถูกวิธีก็จะไม่มีอะไรน่ากังวลเลยล่ะค่ะ ป้าเลยขออนุญาตแปะภาพวิธีการใส่สักหน่อยนะคะ


นอกจากนี้การพับถ้วยอนามัยเข้าไปในส่วนช่องคลอดของเราก็มีการพับหลากหลายรูปแบบเลยค่ะ 

ข้อเสียของถ้วยอนามัยอาจจะเป็นในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด เพราะว่าถ้วยอนามัยเป็นการรองรับประจำเดือนของเรา อาจจะต้องมีการเททิ้งและทำความสะอาดให้ดีนะคะ เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย โดยเมื่อเราถอดถ้วยอนามัยแล้วให้ถ้วยอนามัยไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 3 – 5 นาทีแล้วนำออกมาผึ่งให้แห้ง หลังจากนั้นทำความสะอาดโดยสบู่อีกรอบหนึ่งแล้วนำไปตากให้แห้ง อาจจะยุ่งยากไปสักนิดแต่รับรองว่าปลอดภัย ปลอดเชื้อโรคแน่นอนค่ะ 

และนี้ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ป้าอยากมาบอกเล่าเกี่ยวกับ ถ้วยอนามัย ถ้าเกิดใครสนใจอยากที่จะลองใช้ ก็ควรลองศึกษาดี ๆ ก็ใช้นะคะ ทุกสิ่งทุกอย่างควรศึกษาวิธีการใช้ เข้าใจผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น เพื่อความปลอดภัย และความสบายใจของตัวเราเองด้วยค่ะ สำหรับครั้งหน้าป้าจะมาเล่าอะไร คอยติดตามกันด้วยนะคะ Have a nice day ค่ะ (: 


แหล่งข้อมูล 
https://undubzapp.com/ถ้วยอนามัย
https://www.sanook.com/health/24249/ 
https://www.happicup.com/
https://bestreview.asia/best-menstrual-cup/

คุณหนึ่ง ฐนพงศ์ ลือขจรชัย | THE STUDY TIMES STORY EP.57

บทสัมภาษณ์ คุณหนึ่ง ฐนพงศ์ ลือขจรชัย ปริญญาโทและเอก คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นักเขียน
จากนักกฎหมายสายนิติศาสตร์ สู่นักเขียนผู้ใช้ประสบการณ์และความรู้ถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ

ในช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย คุณหนึ่งเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โดยส่วนใหญ่เป็นคนที่ชื่นชอบในการทำกิจกรรม ซึ่งคุณหนึ่งได้เข้าร่วมชมรมเชียร์ มีกิจกรรมที่โดดเด่น คือ การแปลอักษรในงานจตุรมิตร คุณหนึ่งเป็นสต๊าฟ รับผิดชอบในงานกิจกรรม ทำให้ไม่ค่อยได้เข้าเรียน จึงต้องมีความพยายามมากขึ้นในการเรียน ส่งงาน ส่งการบ้าน เทคนิคในการเรียนของคุณหนึ่งคือ ชื่นชอบในการอ่านหนังสือ ทำความเข้าใจกับตัวเองมากกว่า ทำให้เข้าใจบทเรียนและไม่ลืมในสิ่งที่ได้จากการอ่าน

ก่อนจะเข้าเรียนในระดับปริญญาตรี คุณหนึ่งยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางสายอาชีพไหน จนได้เข้าร่วมแข่งขันตอบปัญหาวิชาด้านกฎหมาย โดยได้รับโอกาสจากคุณครูท่านหนึ่ง และได้รับรางวัลชนะเลิศมา เลยรู้สึกว่าตัวเองถนัดด้านกฎหมายและคิดว่าเมื่อจบแล้วสามารถทำเป็นวิชาชีพได้ จึงตัดสินใจสอบเข้าในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

เมื่อเข้าไปเรียนในคณะนิติศาสตร์ คุณหนึ่งรู้สึกว่าวิธีเรียนเพื่อไปแข่งขันกฎหมายกับวิธีเรียนในระดับมหาวิทยาลัย มีความแตกต่างแทบจะเป็นคนละเรื่องกัน  เหมือนต้องไปเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เพราะคณะนิติศาสตร์เป็นการเรียนกึ่งวิชาชีพ ไม่ได้มีแค่หลักวิชาการ และการเรียนกฎหมายจะไปอิงกับเรื่องอื่นๆ ทางสังคมค่อนข้างเยอะ โดยคุณหนึ่งได้กล่าวว่า การเรียนนิติศาสตร์ไม่ใช่แค่ว่าชอบกฎหมาย ไม่ชอบกฎหมาย แต่จะต้องรู้ตัวเองด้วยว่ากฎหมายเรื่องอะไรที่เราอยากจะอยู่กับมัน 

เมื่อจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี คุณหนึ่งได้เข้าทำงานในสายนิติศาสตร์อย่างเต็มตัว กลับกลายเป็นว่าเป็นสิ่งที่เหมือนทั้งรักและเกลียด เพราะคุณหนึ่งชอบในเรื่องเนื้อหากฎหมาย แต่เมื่อมาทำงานจริง ๆ ได้เห็นผู้คนผิดหวัง เสียใจ ล้มละลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อยากพบเจอ เลยได้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรหากไม่ทำสายกฎหมายต่อ กระทั่งย้อนกลับไปในสมัยเรียนนิติศาสตร์ พบว่าวิชาที่ชื่นชอบที่สุดคือ ประวัติศาสตร์กฎหมายและนิติปรัชญา ซึ่งเป็นวิชากฎหมายที่เป็นวิชาการแท้ๆ คุณหนึ่งเลยตัดสินใจอยากที่จะเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กฎหมายที่ประเทศสก็อตแลนด์ แต่ก็มีเหตุที่ทำให้ไม่ได้ไป สุดท้ายตัดสินใจเรียนต่อประวัติศาสตร์ เพื่อทำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กฎหมาย ที่ประเทศไทย  

คุณหนึ่งเล่าวว่า การเรียนในช่วงแรกค่อนข้างยาก เพราะยังแยกประวัติศาสตร์กับโบราณคดีไม่ออก แต่เมื่อทำงานจริง ได้นำข้อเด่นของตัวเองจากการเรียนกฎหมายและความชอบในประวัติศาสตร์มารวมกัน พัฒนางานได้ดีจนสามารถคว้ารางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่น ตีพิมพ์เป็นหนังสือออกสู่สาธารณะ ชื่อเรื่องว่า เสียดินแดนมลายู : ประวัติศาสตร์ชาติฉบับ Plot Twist และในปัจจุบันคุณหนึ่งกำลังศึกษาปริญญาเอก คณะศิลปศาสตร์ (ประวัติศาสตร์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยู่ระหว่างทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องของเขตแดนแม่น้ำโขง 

จุดเริ่มต้นการเป็นนักเขียน คุณหนึ่งฝึกฝนเริ่มเขียนหนังสือมาตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษา ไม่ว่าจะเป็นนิยายแฟนตาซีจากความสนใจในเรื่องแฮรี่พอตเตอร์ เขียนแล้วใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็พยายามเขียนต่อไป รวมถึงการเขียนนิยาย เรื่องสั้น เขียนจดหมายส่งประกวดทางไปรษณีย์ ได้รับรางวัลบ้างก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว หลังจากที่คุณหนึ่งได้รับการตีพิมพ์หนังสือเล่มแรก และได้รับโอกาสจากทางผู้ใหญ่ คุณหนึ่งตอบรับทุกโอกาสที่เข้ามา พร้อมทั้งหาความรู้และประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น คุณหนึ่งได้แชร์ข้อคิดที่ว่า คนเราอาจจะไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง รู้ครึ่งหนึ่งไม่รู้ครึ่งหนึ่ง สำคัญคือเวลาโอกาสมาหาเราให้รีบคว้าเอาไว้ เพราะอาจจะเป็นจุดที่ทำให้เกิดโอกาสในครั้งต่อ ๆ 

คุณหนึ่งแชร์มุมมองว่า นักเขียนหลาย ๆ คนอาจจะคิดในแง่ลบว่าทำไมหนังสือของตัวเองถึงยังไม่ได้ตีพิมพ์ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับคนที่อยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง ขั้นแรกคือ ทำต้นฉบับให้ดีที่สุดและส่งให้กับทางสำนักพิมพ์ ถ้ายังไม่ดีก็ส่งเล่มใหม่ ส่งไปเรื่อยๆ แล้วรอการตอบกลับ

สำหรับคุณหนึ่ง สิ่งที่ได้รับจากการเป็นนักเขียน คือ การฝึกวิธีคิดและวินัยในการเขียนให้จบ คุณหนึ่งมองว่า สำคัญที่สุดของการเขียนไม่ใช่เขียนดี แต่ต้องเขียนให้จบ หนังสือเล่มนึงควรเขียนให้จบดราฟแรกภายใน 3 – 4 เดือน หากนานกว่านั้นมีแนวโน้มที่จะไม่จบ เพราะสมาธิหลุด เริ่มมีไอเดียใหม่ อยากที่จะไปเขียนในเรื่องอื่น ๆ งานเขียนหนังสือเป็นงานที่ทำกับตัวเอง ต้องอยู่กับตัวเอง พูดคุยกับตัวเอง ไม่มีใครช่วยได้ 

คุณหนึ่งฝากทิ้งท้ายสำหรับน้องๆ ไว้ว่า ไม่ว่าจะกิจกรรมหรือการเรียน มีอะไรให้ทำไป ลองทุกอย่างจะได้รู้ว่าตัวเองชื่นชอบอะไร การถูกคาดหวังให้เลือกคณะที่ถูกต้องได้ใน ม.6 แทบเป็นไปไม่ได้เลย คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานตรงกับที่ตัวเองได้เรียนในระดับปริญญาตรี ถ้ามีกิจกรรมให้ไปลองให้หมด ค่อยๆ ทำไป ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอจุดที่ทำงานเอนจอย ชอบ ดี และหาเงินกับมันได้ ต้องลองทำไปเรื่อย ๆ 

.

.

.

.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top