Tuesday, 29 April 2025
TheStudyTimes

วิชาฟิสิกส์: เรื่อง วงจรไฟฟ้าสำหรับ ม.ต้น

THE STUDY TIMES X DekThai Online

????วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม

วิชาฟิสิกส์: เรื่อง วงจรไฟฟ้าสำหรับ ม.ต้น

โดย คุณน้ำหวาน ภิรมณ กำเนิดมณี

นักเรียนทุน พสวท. (ฟิสิกส์) ปริญญาตรี-ปริญญาเอก สหรัฐอเมริกา

#สอนวิชาฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ เตรียมเข้าม.4

#DekThaiOnline

https://dekthai-online.com/instructor/P'NAMWAN

.

.

วิชาภาษาไทย: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาไทย)

THE STUDY TIMES X ClassOnline

????วันพุธที่ 14 กรกฎาคม

วิชาภาษาไทย: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาไทย)

โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์

ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

#ClassOnline

https://www.classonline.co.th/

.

.

วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาอังกฤษ)

THE STUDY TIMES X ClassOnline

????วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม

วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาอังกฤษ)

โดย ครูพี่ทาม์ย ฐานุวัชร์ รินนานนท์

ศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (เรียนเน้นภาษาสเปน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อาจารย์ผู้สอนอบรม TOEIC ให้องค์กรภาครัฐและเอกชนระดับประเทศ

#สอนวิชาภาษาอังกฤษ ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

#ClassOnline

https://www.classonline.co.th/

.

.

วิชาสังคม: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (สังคม)

THE STUDY TIMES X ClassOnline

????วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม

วิชาสังคม: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (สังคม)

โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์

ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

#ClassOnline

https://www.classonline.co.th/

.

.

เลิกกันแล้ว กลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม? อยากเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า หรือแค่อยากมีเขาอยู่ในชีวิต

บางครั้งความสัมพันธ์ที่จบลง อาจจะไม่ได้จบลงด้วยความรู้สึกแย่ๆ เสมอไป บางคู่จบกันเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน เป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน นิสัยเข้ากันไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของการหมดรักหรือมีมือที่สามเสมอไป

บ่อยครั้งที่ความสัมพันธ์จบลงจึงพบว่ามีทั้งคนที่อยากประคองความสัมพันธ์ไว้ในรูปแบบเพื่อน เพราะไม่อยากเสียความสัมพันธ์ดี ๆ แต่ก็มีอีกหลายคนที่แฟนเก่าถือเป็นของแสลง จบแล้วคือจบ ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือมีกันอยู่ในชีวิต 

Rachel Sussman นักจิตบำบัด จาก New York ผู้เขียนหนังสือ The Breakup Bible ได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องการจะเปลี่ยนสถานะจากแฟนกลับไปเป็นเพื่อน ซึ่งงานวิจัยปี 2000 พบว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนกับแฟนเก่า ส่วนมากแล้วจะค่อนไปทางติดลบ ไม่ได้ดีอย่างที่หลายคนคิด โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อน "ถ้าคุณคบกันจริงจัง ผ่านอะไรต่างๆ ร่วมกันมามากมาย และยิ่งมีเรื่อง Sex เข้ามาเกี่ยวข้อง คุณจะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้ยังไง" Sussman กล่าว

Sussman ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการกลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าว่า "บางทีมันอาจจะเป็นตัวฉุดรั้งที่ทำให้คุณไม่สามารถเริ่มต้นใหม่กับคนใหม่ได้ หรือถ้าคุณเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่ และบอกกับคนใหม่ว่า "แฟนเก่าของฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของฉันด้วยนะ" ถ้าเป็นแบบนั้นคุณคิดว่ามันดีจริงๆ หรอ? แต่ถ้าตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า Sussman แนะนำให้ทั้งคู่ห่างกันจริงๆ หยุดติดต่อกันสักพัก เว้นระยะให้ทำใจ โดยใช้เวลาช่วยเยียวยา 


แต่ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและความรู้สึกของแต่ละบุคคล สำหรับเราแบ่งออกเป็นสองกรณีคือ เราไม่จำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์ดีๆ ไปเพียงเพราะเราไปกันต่อไม่ได้ในความสัมพันธ์รูปแบบคนรัก เราก็สามารถลดสถานะเหลือแค่ความเป็นเพื่อนได้ แต่ข้อนี้อาจใช้สำหรับคู่รักที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน คู่ที่คบกันมาไม่นาน หรือใครที่คบกันเล่นๆ แก้เหงา คนในกลุ่มนี้ก็สามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไม่ยาก แต่คำว่าเพื่อนต้องแลกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากทำได้จริง เราจะมีเพื่อนที่รู้ใจมากๆ เพิ่มอีกหนึ่งคน 

แต่ประเด็นมันอยู่ที่หลายคนมักทำไม่ได้นี่สิ เพราะหากจะให้มองเขาในฐานะเพื่อน ก็อาจมีห้วงหนึ่งที่เผลอหวนคิดถึงวันเวลาเก่าๆ หรือสำคัญที่สุดคือ ถ้าต่างคนต่างมีความรักครั้งใหม่ แฟนใหม่ของเขาหรือของเราจะโอเคหรือเปล่าหากรับรู้ว่าทั้งคู่เคยเป็นแฟนกันมาก่อน บางทีความสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องของคนหลายคน ไม่ใช่เฉพาะการตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่ง  

กฎของการเป็นเพื่อน คือต่างคนต้องอยากเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองคนให้ความร่วมมือ เพราะความเป็นเพื่อนไม่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ฝ่ายเดียว บางทีเราอาจจะอยากมีเขาแค่เพียงเพราะไม่ต้องการจะเสียเขาไป จึงหยิบยกสถานะใหม่ที่ทำให้ประคองเขาในชีวิตได้ แต่หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้มีท่าทีที่อยากจะรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ ก็คงเหมือนการบังคับฝืนใจ กลายเป็นความอึดอัด 


บางความสัมพันธ์ กับคนบางคนก็ไม่จำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์ดีๆ ทิ้ง แต่อีกมุมหนึ่งเราไม่ได้มีหน้าที่รักษาทุกความสัมพันธ์ในชีวิต คนที่ไม่ใช่ ก็ต้องปล่อยให้เขาเดินจากไป 

บางครั้งเราอาจต้องถามตัวเองดีๆ ว่า อยากเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า หรือแค่อยากมีเขาอยู่ในชีวิต? และสิ่งนั้นมันเป็นความต้องการของคนทั้งสอง หรือแค่ของเราฝ่ายเดียว 

เขียนโดย เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง: https://time.com/5320054/stay-friends-with-ex-expert-advice/
https://www.gangbeauty.com/love/125033

คุณแก๊ป นาวาโท ธนเดช จิตร์ประวัติ | THE STUDY TIMES STORY EP.56

บทสัมภาษณ์ คุณแก๊ป นาวาโท ธนเดช จิตต์ประวัติ นักเรียนทุนกองทัพเรือ ศึกษาหลักสูตรเสนาธิการทหาร (Master of Leadership Development) ควบปริญญาโท สาขา M.Sc.(Strategy). Nanyang Technological University. ประเทศสิงคโปร์

หากเราเปลี่ยนคำว่าแข่งขันเป็นคำว่าแบ่งปัน สังคมจะมีแต่ความสุข

จุดเริ่มต้นของการเรียนเตรียมทหาร คุณแก๊ปได้เล่าว่าตัวเองนั้นแบ่งความชื่นชอบของตนเองเป็น 2 แบบ คือ สิ่งที่ตัวเองอยากจะเรียนและสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น โดยสิ่งที่คุณแก๊ปอยากจะเรียนคือ การได้เรียนวิศวะเหมือนกับคุณพ่อ และสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นคือ การเป็นผู้นำ ทำประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง 

ในช่วงขณะนั้นโรงเรียนเตรียมทหารประกาศรับสมัครสอบของทหารทุกเหล่าทัพ คุณแก๊ปได้ลองไปสมัครสอบในทุก ๆ สนาม ผลปรากฏว่าติดทุกเหล่าทัพ ก่อนตัดสินใจเลือกเรียนกองทัพเรือ เพราะโรงเรียนนายเรือมีการเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากจะเรียน และได้เป็นทหาร มีวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำ ตรงกับสิ่งที่อยากจะเป็น 


โดยเคล็ดลับการเตรียมตัวทำข้อสอบในการเข้าศึกษาของคุณแก๊ปคือ ไปลองสอบสนามสอบหลายที่เพื่อให้รู้ว่าแนวข้อสอบเป็นอย่างไร และฝึกการทำข้อสอบในห้องสอบ เพื่อให้ตัวเองคุ้นชินกับสภาวะกดดันในช่วงระหว่างการสอบ และทำให้รู้ว่าตัวเองยังต้องศึกษาอะไรเพิ่มเติม วิชาอะไรหรือด้านอะไรที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ สอบรอบต่อไปจะทำให้ตัวเองเก่งในด้านนั้นได้ คุณแก๊ปได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการสอบเข้าเรียนว่า ถ้ามีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยประกาศรับสมัคร ให้รีบคว้าโอกาสนั้นไว้ ไปสอบก่อน ถ้าติดแล้วต้องการเรียนหรือไม่เรียนก็พิจารณาดูอีกที

คุณแก๊ปได้เล่าถึงประสบการณ์การเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารว่า ในเรื่องของการเรียนโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนสายสามัญทั่วไปไม่ได้มีความแตกต่างกัน มีมาตรฐานที่เท่ากัน เมื่อจบจากโรงเรียนเตรียมทหารก็ได้รับใบประกาศนียบัตรในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเหมือนกัน สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่อื่นได้ แตกต่างกันแค่การใช้ชีวิต เนื่องจากการเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารจะต้องมีความเป็นระเบียบตั้งแต่ตื่นนอน เข้าเรียน จนไปถึงก่อนเข้านอน ถือเป็นการปลูกฝังความมีระเบียบวินัยของผู้เรียน  

หลังจากเรียนจบที่โรงเรียนเตรียมทหาร คุณแก๊ปได้รับรางวัลการศึกษาดี รางวัลลักษณะทหารดี และรางวัลนักกีฬาดีเด่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน จากนั้นได้เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่โรงเรียนนายเรือจนคว้าปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้รับประกาศนียบัตรเหรียญทองในคณะวิศวกรรมศาสตร์ และรางวัลเสื้อสามารถ เมื่อเรียนจบคุณแก๊ปได้เข้าทำงานที่กองทัพเรือเป็นระยะเวลาประมาณ 5-6 ปี เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไปเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนและกำลังพล ก็ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายทหารเรือชั้นต้น เป็นระยะเวลา 6 เดือน ได้คว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หลังจากนั้นคุณแก๊ปก็ได้กลับเข้าทำงานที่กองทัพเรืออีกประมาณ 5-6 ปี และได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารเรืออีก 1 ปีก็ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งกลับมาเช่นกัน 

เทคนิคการเรียนให้ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งนั้น คุณแก๊ปได้ให้ข้อคิดในการเรียนว่า การเรียนนั้นต้องอย่าเอาตัวเองไปแข่งกับใคร ให้คิดว่าเราแข่งกับตัวเอง การเรียนให้ได้รับรางวัลเกียรตินิยมไม่ได้หมายความว่าตัวเองจะต้องเป็นที่หนึ่ง หมายความว่าเราแข่งกับตัวเอง และรางวัลเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเป็นเหมือนรางวัลที่ชนะใจตัวเอง ให้เราตั้งเป้าหมายไว้และเราก็เดินตามทางเป้าหมายของเรา หนทางที่ยาวไกล หากเราก้าวเดินไป มันจะสั้นลง แต่ในหนทางที่เราก้าวเดิน เราควรจะมีความสุข 


ส่วนเทคนิคการเรียน ในช่วงสมัยเรียนคุณแก๊ปได้เปิดคอร์สติวเนื้อหาการเรียนให้กับเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ถือว่าเป็นการแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อน ๆ คุณแก๊ปได้เล่าว่า ตัวเองต้องเตรียมบทเรียน 2-3 วัน ก่อนที่จะติวเนื้อหาการเรียนกับเพื่อน ๆ และจะชอบมากถ้าเพื่อนถามแล้วตอบไม่ได้ จะรีบไปหาคำตอบและมาสอนเพื่อน ๆ 

ในด้านของกีฬารักบี้ เนื่องจากคุณแก๊ปเคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลสมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดม หลังจากที่เข้ามาเรียนอยู่ที่โรงเรียนเตรียมทหาร ในสมัยนั้นกีฬารักบี้ถือว่าเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยกีฬารักบี้เป็นกีฬาที่ต้องใช้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เกิดความสนใจอยากที่จะเล่นกีฬารักบี้ คุณแก๊ปรักและชื่นชอบกีฬานี้มาก ช่วงฝึกซ้อมโค้ชได้ให้ข้อคิดว่า ถ้าเรารักสิ่งใด เราอย่าทำลายสิ่งนั้น ถ้าเรารักกีฬารักบี้ เราก็อย่าทำลายกีฬารักบี้ด้วยน้ำมือของเรา 

คุณแก๊ปกล่าวว่า ถ้าตัวเองเล่นแต่กีฬารักบี้แล้วเสียการเรียนก็จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่รุ่นน้อง ความสำเร็จในเรื่องของการเรียนคือเรียนให้ได้เกียรตินิยม การเล่นกีฬารักบี้เป้าหมายคือการติดทีมชาติไทย ซึ่งขณะที่เป็นนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนนายเรือ คุณแก๊ปได้เป็นนักกีฬารักบี้ให้กับสโมสรราชนาวี จนมีคนมาทาบทามให้ไปคัดตัวเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย ทำให้มีโอกาสได้เป็นนักกีฬารักบี้ทีมชาติไทยไปแข่งขันในระดับภูมิภาค ได้รับรางวัลชนะเลิศ


จุดเริ่มต้นการเป็นผู้นำของคุณแก๊ป ต้องย้อนไปตอนสมัยมัธยม โดยจุดเริ่มต้นมาจากคุณพ่อส่งคุณแก๊ปไปบวชเรียนในช่วงก่อนขึ้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ช่วงบวชเรียนได้เข้าร่วมการแข่งขันเทศน์ระดับประเทศ มีหัวข้อคือ “ธรรมะของการเป็นผู้นำ” ซึ่งได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง หลังจากนั้นผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในขณะนั้นให้คุณแก๊ปไปเทศนาให้กับเพื่อน ๆ ฟังตอนปฐมนิเทศเปิดเทอม ต่อมาคุณแก๊ปได้ลงสมัครในตำแหน่งประธานนักเรียน และได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนในช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 5 ถือเป็นจุดเริ่มต้นบทบาทการเป็นผู้นำของคนหมู่มาก 

คุณแก๊ปได้แบ่งปันข้อคิดเกี่ยวกับการเป็นผู้นำคือ ผู้นำจะมี 4 ขั้น ขั้นแรกคือการเป็นผู้นำตัวเอง ขั้นที่สองคือการเป็นผู้นำทีม ขั้นที่สามคือการเป็นหัวหน้าใหญ่คุมผู้นำของแต่ละทีม ขั้นที่สี่คือผู้นำองค์กร โดยคุณแก๊ปได้แชร์ประสบการณ์การเป็นผู้นำตัวเองในสมัยเรียนคือ ในสมัยที่เป็นนักกีฬารักบี้ ขณะนั้นต้องเรียนหนังสือไปด้วย ต้องนำตัวเอง ควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือหลังจากการซ้อมรักบี้ ตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ว่าต้องประสบความสำเร็จทั้งด้านกีฬาและการเรียน

ปัจจุบันหลังจากที่คุณแก๊ปเรียนจบจากโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ ได้สอบชิงทุน กองทัพเรือมาเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารสิงคโปร์และเนื่องจากระบบการศึกษาของโรงเรียนเสนาธิการทหารสิงคโปร์ ที่ยกระดับเป็น World class college and first class experience นักเรียนเสนาธิการทหารสิงคโปร์จะเขารับการศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารร่วมกันกับมหาวิทยาลัย NTU ตามโปรแกรม The SAF-NTU Continuing Education Master's Program คุณแก๊ปต้องเรียนทั้งหมด 3 เทอมด้วยกัน โดยเทอมที่ 1 และเทอมที่ 2 จะเรียนจากมหาวิทยาลัย NTU และเทอมที่ 3 จะเป็นวิชาด้านการทหาร 

อีกทั้งคุณแก๊ปได้ลงทะเบียนเพื่อเรียนเพิ่มเติมและให้มหาวิทยาลัย NTU คิดหน่วยกิตจาก 2 เทอมแรก เพื่อนำไปยื่นศึกษาต่อกับทางมหาวิทยาลัย NTU ในสาขาปริญญาโทที่สนใจ โดย module ที่สามารถลงทะเบียนได้คือ module ที่สอนโดยมหาวิทยาลัย NTU ทั้งหมด โดยสามารถเลือกได้สูงสุด 5 module โดยคุณแก๊ปสนใจลงเรียน M.Sc. (strategy) คุณแก๊ปเล่าให้ฟังว่าแต่ถ้าใครลงทั้งหมด 5 ตัวเลยก็จะได้ Master of Leadership Development ซึ่งใน 5 ตัวนี้มี Module ของ Leadership และ Communication management ด้วย ยังไม่เคยมีใครลง 5 module มาก่อน คุณแก๊ปเลยตัดสินใจลงทะเบียนไป 5 module ในตอนนี้คุณแก๊ปกำลังศึกษาอยู่เทอมที่ 3 เมื่อสำเร็จการศึกษาเทอมนี้จากโรงเรียนเสนาธิการทหารแล้ว ก็จะนำหน่วยกิตไปยื่นกับทางทหาวิทยาลัย NTU ตาม Program ของ Continuing Education 



คุณแก๊ปเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้ทุนมาเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ก็พบว่าเป็นประเทศที่มีการแข่งขันในการเรียนค่อนข้างสูง เพราะประเทศสิงคโปร์ไม่ได้มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีคุณค่ามากนัก ทรัพยากรประเทศสิงคโปร์ที่สำคัญที่สุดคือทรัพยากรมนุษย์ ประเทศสิงคโปร์จึงเร่งพัฒนามนุษย์ในประเทศให้มีความสามารถพัฒนาในด้านอื่น ๆ ทุกอย่างจึงเต็มไปด้วยการแข่งขัน ในมหาวิทยาลัยที่เรียนจึงมีการแข่งขันที่สูงมาก คุณแก๊ปเป็นนักเรียนทุนของประเทศไทยเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้

“ภาวะผู้นำ (Leadership) กับ ผู้นำ (Leader) ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป” เป็นสิ่งหนึ่งที่คุณแก๊ปได้ศึกษาที่ประเทศสิงคโปร์ ในเรื่องของหัวหน้าหรือผู้นำทีม คุณแก๊ปได้กล่าวว่า การทำงานทุกคนจะต้องมีภาวะผู้นำในตัวเอง และคุณแก๊ปยังได้ให้ข้อคิดคือ การเป็นผู้นำหรือหัวหน้าที่ดีจะต้องเป็นวิตามิน เป็นพลังให้กับลูกน้อง ผู้นำหรือหัวหน้าจะต้องไม่ใช่ยาพิษ หรือ Toxic Leader หัวหน้าหรือผู้นำควรคำนึงถึงผลประโยชน์ที่นอกจากตัวเองแล้วควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกน้องในทีม เพื่อให้ทีมสามารถอยู่รอดและมีความสุขในการทำงานได้ 


และในปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตมากขึ้น ในสมัยก่อนลูกน้องอาจจะต้องขอคำปรึกษา หาวิธีการแก้ไขจากหัวหน้า แต่ในปัจจุบันลูกน้องสามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเองจากเทคโนโลยี สื่อต่าง ๆ ในบริบทของการเป็นผู้นำหรือหัวหน้าในการให้คำปรึกษาลูกน้องยังมีความจำเป็นหรือไม่ ถือเป็นความท้าทายของผู้นำในยุคปัจจุบัน 

คุณแก๊ปเล่าให้ฟังอีกว่า ในสิ่งที่ได้เรียนเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ อาจารย์ได้ยกสถานการณ์มาว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณเป็นผู้นำ แต่ในทีมของคุณประกอบไปด้วย ทีมมนุษย์ครึ่งหนึ่งและเทคโนโลยีอีกครึ่งหนึ่ง ผู้นำจะมีวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไร เป็นสิ่งที่คุณแก๊ปได้ศึกษาจากการมาเรียนที่สิงคโปร์ 

สุดท้ายนี้คุณแก๊ปได้ฝากมุมมองที่ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตไว้ว่า ความสุขที่ยั่งยืนคือกำไรที่มั่นคง ความสุขที่ยืนยงจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราแบ่งปัน หากเราเปลี่ยนคำว่าแข่งขันเป็นคำว่าแบ่งปัน สังคมก็จะมีความสุข เราตั้งเป้าหมายไว้ เราไม่ต้องการแข่งกับใคร เราไม่ได้ต้องการเป็นที่หนึ่ง เราตั้งเป้าหมายไว้เพื่อแข่งกับตัวเราเอง และระยะเวลาที่เราเดินทางถึงเป้าหมายนั้น เราสามารถมีความสุขไปด้วยได้ด้วยคำว่าแบ่งปัน 

.

.

.

.

Oprah Winfrey หญิงผู้ทรงอิทธิพล อุปสรรคและความอดทน ทำให้มีจุดยืน

หลาย ๆ ครั้งที่ทุกคนมักจะประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก บางคนขอยอมแพ้กับอุปสรรค ยอมลดค่าของตัวเองลง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ลุกขึ้นสู้รวมไปถึง “Oprah Winfrey” เจ้าของรายการและพิธีกร The Oprah Winfrey Show ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในอเมริกา THE STUDY TIMES ขอมาเล่าถึงประวัติและความสำเร็จในชีวิตของเธอที่กว่าจะถึงจุดสูงสุด เธอได้ผ่านจุดที่ตกต่ำที่สุดของชีวิตมาแล้ว

Oprah Gail Winfrey เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน Oprah ได้ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 29 มกราคม ปี 1954 ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเมือง Kosciusko รัฐ Mississippi โดยตัวเธอนั้นเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก พ่อของ Oprah เป็นคนงานเหมืองแร่และช่างตัดผม ส่วนแม่ของ Oprah ทำอาชีพแม่บ้าน ซึ่งครอบครัวของ Oprah นั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร พ่อกับแม่ของเธอหย่ากัน ทำให้ Oprah อยู่กับแม่และยาย แต่เธอก็มักจะถูกแม่ตีและด่าทออยู่ประจำ 

ด้วยความฉลาดของ Oprah ทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่ชอบเรียนหนังสือและสามารถอ่านหนังสือออกได้ตั้งแต่ 2 ขวบและ Oprah สามารถสอบเลื่อนขั้นจากชั้นอนุบาลมาอยู่ประถมได้ด้วยคะแนนที่ดีมาก ๆ ในช่วงนั้นเองคุณครูประจำชั้นก็ได้ เห็นแววความเก่งและขยันขันแข็งในการศึกษาเล่าเรียนของเธอ คุณครูจึงได้มอบทุนการศึกษาให้เธอได้เข้าเรียนระดับชั้นมัธยมต่อ

แต่โชคชะตาก็เหมือนจะไม่เป็นใจ Oprah ในอายุ 9 ขวบเธอโดนลูกพี่ลูกน้องข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศจนเธออายุ 14 ปีเธอได้ตั้งครรถ์ ทำให้แม่ของเธอโกรธมากและนำเธอไปที่สถานการณ์กักกันเยาวชน แต่เหมือนโชคก็ยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อพ่อของ Oprah ทราบว่าเธออยู่ที่นั้นจึงได้นำเธอกลับมาเลี้ยงดู และได้อยู่กับแม่เลี้ยง ถึงแม่เลี้ยงจะดุแต่ก็ทำให้ Oprah มีวินัยในตัวเองมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น  หลังจากนั้นเธอก็ได้คลอดลูกชาย เคราะห์ร้ายที่ลูกชายของเธอเสียชีวิตหลังจากนั้น 2 สัปดาห์เนื่องจากการคลอดก่อนกำหนด

หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น Oprah ก็ได้กลับไปเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่ East Nashville High School และในระหว่างที่เรียนที่นี่ ตอนที่เธออายุได้ 16 ปี ได้มีโอกาสเข้าทำงานเป็นโฆษกรายการวิทยุ ฯ แถมเธอยังได้รับรางวัลจากการประกวดกล่าวสุนทรพจน์และเรียนจบด้วยเกียรตินิยม จึงทำให้ Oprah ได้รับทุนการศึกษา เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ที่ Tennessee State University เป็นเวลา 4 ปี 

ในระหว่างเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีแรก เธอได้เข้าเรียนในสาขา Speech Communications and Performing Arts ได้มีโอกาสเข้าร่วมขบวนการประกวด Miss Black America และได้รับตำแหน่ง Miss Black Tennessee และ Miss Black Nashville อีกด้วย ซึ่งทำให้สถานีโทรทัศน์ CBS ยื่นข้อเสนอให้เข้าร่วมทำงานที่สถานีวิทยุท้องถิ่น WVOL โดย Oprah นั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้ประกาศข่าวหญิงผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา และยังมีอายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 19 ปี เท่านั้น และเมื่อพอขึ้นเรียนในชั้นปีที่ 2 Oprah ได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง Nashville ซึ่งได้กลายเป็นผู้หญิงเชื้อสายอเมริกัน-แอฟริกัน คนแรกที่ได้เข้ารับตำแหน่งนี้ด้วยความสามารถและความฉลาดของเธอ 

แต่แล้วชีวิตก็พลิกล็อกเมื่อ Oprah ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดทำให้เธอโดนปลดจากตำแหน่ง ผู้ประกาศข่าว เป็นเพียงแค่พิธีกร แต่นั้นก็เหมือนจะเป็นโชคชะตาของเธอเพราะทำให้รู้ว่าตัวเธอเองชอบและสนุกกับการเป็นพิธีกรมากกว่าการเป็นผู้ประกาศข่าว เธอเลยตัดสินใจย้ายตัวเองไปอยู่ที่เมือง Chicago และได้เข้าทำงานเป็นพิธีกรรายการ AM Chicago ที่ WLS-TV เพียงแค่เดือนเดียวก็ทุบสถิติเรตติ้งรายการทอล์คโชว์ได้ และ หลังจากนั้นทางทีมงานได้เปลี่ยนชื่อรายการเป็น “The Oprah Winfrey Show” ซึ่งออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 1986 ซึ่งถูกถ่ายทอดไปมากกว่า 120 ช่อง 126 ประเทศทั่วโลก และกลายเป็นรายการที่มีเรทติ้งทีวีสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีวีสหรัฐฯ

โดยเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในรายการอย่าง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1993 วันที่ Oprah ได้สัมภาษณ์ “Michael Jackson” ซึ่งตัวของ Michael เองนั้นไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อใด ๆ มาเป็นเวลานานกว่า 14 ปี กลายเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ชมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา โดยมีผู้ชมมากกว่า 90 ล้านคนภายในวันเดียว

นอกจากนี้ Oprah ยังได้จัดตั้งกองทุนการกุศล The Oprah Winfrey Foundation ได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลในด้านของการศึกษาให้กับเด็กหญิงชาวอเมริกาใต้ เป็นจำนวนกว่า 51 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1,700 ล้านบาท เพราะตัวของ Oprah คิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดดังคำที่เธอเคยกล่าวไว้ว่า

“Education is the key to unlocking the world, a passport to freedom.”
"การศึกษาคือกุญแจสู่โลก คือพาสปอร์ตสู่อิสระเสรี"

ปัจจุบัน Oprah ดำรงตำแหน่ง Chairman และ CEO ของรายการที่ออกอากาศมา 25 ปีอย่าง The Oprah Winfrey Show ประสบความสำเร็จกับช่องเคเบิล OWN หรือ Oprah Winfrey Network และเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสาร O หรือ The Oprah Magazine และบริษัทโปรดักชัน Harpo Films

และนี้คือความสำเร็จในชีวิตที่กว่าจะมีทุกวันนี้ได้ Oprah ก็ต้องผ่านอุปสรรคมามากมายที่ทำร้ายจิตใจของเธอมานับไม่ถ้วน ทั้งโดนล่วงละเมิดทางเพศ คำดูถูกเหยียดหยามมามากมาย แต่สุดท้ายเธอก็ผ่านพ้นมาได้ ด้วยความตั้งใจและความจริงใจของเธอ ทำให้ Oprah ประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้ 


แหล่งที่มา : 
https://www.blueoclock.com/oprah-winfrey-story/
https://thestandard.co/oprah-winfrey-powerful-woman-in-the-world/

จับกระแส “กัญชง” ในดงอินเดีย โอกาสใหม่ทางธุรกิจ

ปัจจุบันกระแสกัญชงกับกัญชาในไทยกำลังมาแรงมากจากกระแสการผลักดันกัญชาให้ถูกกฎหมายทั้งในด้านการครอบครอง การปลูก และการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่หลายคนอาจจะยังสับสนว่า “กัญชง” กับ “กัญชา” เหมือนหรือต่างกันยังไง ผมเลยไปสืบค้นจากอินเตอร์เน็ตก็พบความกระจ่างในเพจ “ทันข่าว Today” ซึ่งระบุว่า ทั้งกัญชาและกัญชงเป็นพืชชนิดเดียวกัน มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันน้อยมาก แต่สามารถสังเกตในเบื้องต้นได้คือ กัญชงมีใบแคบเรียวและสีเขียวอ่อนกว่า มีลำต้นสูงและแตกกิ่งก้านน้อยกว่า ช่อดอกมียางน้อยกว่ากัญชา จึงมีการนำกัญชงไปใช้เป็นพืชเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้าและเยื่อกระดาษ

แต่ถ้าต้องการจำแนกให้ลึกลงไป เพจดังกล่าวก็ให้พิจารณาจากสารประกอบที่เรียกว่าแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) โดยเฉพาะสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นั่นคือ THC (Delta-9-Tetrahydrocannabinol) และสารสำคัญอีกชนิดคือ CBD (Cannabidiol) ซึ่งช่วยยับยั้งการออกฤทธิ์ของ THC ถ้าต้นที่มีสาร THC น้อยกว่า 0.3 เปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักแห้ง จะถือว่าเป็น Hemp หรือกัญชง แต่ถ้ามีค่า THC สูงกว่านี้ถือว่าเป็น Marijuana หรือกัญชา กรณีใช้ทางการแพทย์ต้องสกัดสาร THC, CBD รวมถึงสารประกอบแคนนาบินอยด์อื่น ๆ ออกมาจากต้น ซึ่งแตกต่างจากการเสพกัญชาที่ใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชโดยตรง

สำหรับที่อินเดีย มีรายงานที่น่าสนใจจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย ระบุว่า กระแสที่กำลังมาแรงในปัจจุบันคือ “กัญชง” แต่ว่าการแปรรูปกัญชง (Hemp / Cannabis Sativa) เชิงอุตสาหกรรมในอินเดียยังอยู่ในระยะเริ่มต้น อย่างไรก็ดี คนอินเดียมีความคุ้นเคยกับการใช้ประโยชน์จากกัญชงมาตั้งแต่โบราณ โดยนำกัญชงมาเป็นส่วนหนึ่งของสมุนไพรแบบอายุรเวท (Ayurveda) และเครื่องเทศประกอบอาหาร รวมถึงเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้า กระเป๋าและเชือกด้วย ซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้มีส่วนทำให้ภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักวิจัยของอินเดียเข้าใจในศักยภาพของกัญชงเป็นอย่างดี และตระหนักในการควบคุมผลกระทบต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์กัญชงมีแนวโน้มที่จะได้รับการพัฒนาและเป็นที่ยอมรับในตลาดได้ง่าย

จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่าในปัจจุบันตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียยังมีมูลค่าเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของตลาดโลกเท่านั้น ในขณะที่ การใช้/บริโภคในอินเดียจะขยายตัวได้อีกมาก ทั้งการนำกัญชงไปใช้ในการผลิตน้ำมัน อาหารและเครื่องดื่ม อาหารสัตว์ เส้นใยสำหรับเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ของใช้สำหรับทำความสะอาด ปุ๋ย และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กระดาษรีไซเคิล วัสดุเฟอร์นิเจอร์ และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงพลังงานชีวมวล นอกเหนือจากการนำมาผลิตเพื่อใช้ในทางการแพทย์ อาทิ ยาบรรเทาอาการของโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคลมชัก โรคอัลไซเมอร์ และอาการเจ็บปวดเรื้อรังต่าง ๆ นอกจากนี้ คาดว่าภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้คนอินเดียหันมาบริโภคอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ซึ่งเมล็ดกัญชงจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ทดแทนถั่วและเนื้อสัตว์ โดยปราศจากกลูเตน และมักจะเป็นการเพาะปลูกแบบอินทรีย์ด้วย เพราะกัญชงเป็นพืชที่ไม่ค่อยมีศัตรูพืช จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง 

ผลิตภัณฑ์จากกัญชง

ขอบคุณภาพจาก : https://medium.com

ทั้งนี้ ผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกและสมาพันธ์ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์นานาชาติ (IFPMA) และคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB) ประมาณการณ์ว่า ในปี 2567 ตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียจะมีมูลค่าประมาณ 584.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สอดคล้องกับผลการสำรวจของ All India Institutes of Medical Sciences ที่พบว่าผู้บริโภคชาวอินเดียจะตอบรับต่อผลิตภัณฑ์กัญชงได้อย่างรวดเร็ว โดยพบว่ามีคนอินเดียจำนวนไม่น้อยกว่า 7.2 ล้านคนที่เคยใช้กัญชงมาแล้ว โดยการซื้อมาทดลองใช้เอง และมีราคาขายปลีกในอินเดียอยู่ที่ประมาณ 4.38 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกรัม

ตาม พรบ. The Narcotic Drugs and Psychotropic Substances Act (1985) รัฐบาลกลางของอินเดียอนุญาตให้ปลูกกัญชงได้เฉพาะที่มีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลหรือ THC ไม่เกิน 0.3 % โดยน้ำหนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกัญชงในอินเดียส่วนใหญ่มีระดับสาร THC สูงกว่าที่กำหนดไว้ การผลิตและซื้อ-ขายกัญชงในอินเดีย จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายตาม พรบ. ดังกล่าวอยู่ อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้ให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐให้สามารถพิจารณาอนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์จากใบและเมล็ดของกัญชงได้ ภายใต้การควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบและส่งเสริมโดยกระทรวงการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย (Ministry of Ayurveda, Yoga & Naturopathy: AYUSH) เป็นระยะ

ในปัจจุบันมีเพียงสามรัฐในอินเดียที่อนุญาตให้มีการปลูกกัญชงได้ ได้แก่ รัฐอุตตราขัณฑ์ รัฐอุตตรประเทศ และรัฐมัธยประเทศ ส่วนรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐก็มีแนวโน้มจะอนุญาตให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมกัญชงเช่นกัน อาทิ รัฐมณีปุระ รัฐอานธระประเทศ และรัฐหิมาจัลประเทศ โดยรัฐอุตตราขัณฑ์เป็นรัฐแรกที่อนุญาตให้มีการเพาะปลูกได้ โดยได้ให้ใบอนุญาตแก่ Indian Industrial Hemp Association (IIHA) ซึ่งเป็น NGO สามารถเพาะปลูกเพื่อทำการทดลองในพื้นที่ 6,250 ไร่ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายเป็น 62,500 ไร่ และมุ่งเน้นการผลิตเมล็ดพันธุ์ และนำมาแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับป็นสิ่งทอเป็นหลัก

แม้ว่าจะมีการเพาะปลูกในไม่กี่รัฐ แต่มีผู้นำกัญชงมาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้วภายใต้กิจการของสตาร์ทอัพประมาณ 30-40 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ (Biotech Startups) อาทิ บริษัท Bombay Hemp Company (BOHECO) โดยมีโรงงานแปรรูปอยู่ที่รัฐอุตตราขัณฑ์ (เมือง Almora) และในรัฐอุตตรประเทศ (เมือง Lucknow) นอกจากนี้ ยังมี Startups อีกหลายรายที่พร้อมจะผลิตเชิงอุตสาหกรรม และขยายตลาดทั้งภายในอินเดียและตลาดโลก อาทิ Hemp Street, Best Weed และ India Hemp Organics โดยมีแบรนด์หลักในตลาด ได้แก่ VEDI, SATLIVA, BOHECO Life และ B LABEL

ขอบคุณภาพจาก : https://www.vice.com

ทั้งนี้ การผลิตสินค้าจากกัญชงในอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตในปี 2564 จากการที่หน่วยงานด้านความปลอดภัยและมาตรฐานทางอาหาร (The Food Safety and Security Authority of India : FSSAI) ของอินเดียซึ่งเทียบได้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย ได้จัดทำร่างกฎระเบียบสำหรับการกำกับดูแลสินค้าที่นำกัญชงมาผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้ The Food Safety and Standards (Food Products Standards and Food Additives) Amendment Regulations, 2020 ซึ่งผู้ประกอบการในอินเดียมองว่าจะเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจนและเป็นสัญญาณที่เปิดให้สินค้ากัญชงมีการแข่งขันกันอย่างเสรีในตลาด โดย FSSAI ได้ยอมรับว่ากัญชงเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งล่าสุดได้มีการกำหนดว่าเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกัญชงต้องมี THC ไม่เกิน 0.2mg/kg โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดการเตรียมการผลิตเครื่องดื่มกัญชงและสถานบริการเครื่องดื่มกัญชงตามมาเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม คุณสุพัตรา แสวงศรี ทูตพาณิชย์ไทยประจำนครมุมไบ ประเทศอินเดียได้ให้ความเห็นว่าการเพาะปลูกและการแปรรูปในอินเดียยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่สินค้าจากต่างชาติจะเข้าไปแทรกตลาดหากมีราคาที่เทียบเคียงได้กับจีน ทั้งนี้ อินเดียเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับกัญชงในอัตรา 30% โดยผู้นำเข้าต้องมีใบอนุญาตให้นำเข้าไปเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ด้วย ดังนั้น โอกาสที่ยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย จึงน่าจะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนในการแปรรูปกัญชงเพื่อการแพทย์และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีสภาพอากาศเหมาะสมและเกษตรกรมีทักษะในการปลูกที่ดี รวมถึงโอกาสจากการเข้าไปถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนให้กับ Tech-Startups ของอินเดียที่กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อรองรับการบริโภคที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อภาครัฐของอินเดีย (FSSAI) มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าจากกัญชงที่ชัดเจนแล้ว ในขณะที่ ผู้บริโภคในอินเดียเองก็มีความคุ้นเคยกับกัญชงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอื้อให้เกิดการตอบรับของตลาดได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย

ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยหรือนักลงทุนไทยที่สนใจธุรกิจเกี่ยวกับกัญชงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ที่ประเทศอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่อันดับสองรองจากประเทศจีน

ขอขอบคุณสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างปรแทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย


เขียนโดย: อดุลย์ โชตินิสากรณ์ อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญการค้าในอินเดียแบบเจาะลึก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top