Thursday, 18 April 2024
TheStatesTimes

ส.ว. คนแรก ลงมติรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับไอลอว์

วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563  ที่รัฐสภาในการประชุมร่วมรัฐสภาที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาเป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาลงมติรับหรือไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เลขาธิการรัฐสภาได้เริ่มขานชื่อสมาชิกรัฐสภาเรียงลำดับตามตัวอักษร ก่อนที่สมาชิกแต่ละคนจะขานมติว่า รับ-ไม่รับ-งดออกเสียง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ละร่าง ตั้งแต่ร่างที่ 1 - 7

ทั้งนี้เมื่อการลงมติผ่านไปได้ 200 คน สมาชิกรัฐสภา ทางฝั่งรัฐบาล และส.ว. ส่วนใหญ่ ลงมติรับหลักการ ร่างที่ 1 - 2 ตามที่ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และส.ส.ฝ่ายค้านเสนอและในส่วนของร่างอื่นๆ ลงมติงดออกเสียงณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน ลงมติรับหลักการทั้ง 7 ร่างตามที่ได้แสดงจุดยืนร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งสำหรับทางฝั่งส.ว.นั้น พบว่า นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ส.ว. ลงมติรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับไอลอว์

คนละครึ่ง เท่าไหร่ก็ไม่พอ!

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลังได้ประกาศให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเพิ่มเติมอีกครั้ง รอบที่ 3 จำนวน 722,598 สิทธิ์ โดยเป็นการรวบรวมสิทธิ์คงเหลือจากผู้ลงทะเบียนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสิทธิในรอบที่ผ่านมา

โดยจะเปิดลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 6:00 น. ซึ่งพบว่า เวลา 07.25 น. เหลือ 0 สิทธิแล้ว ดังนั้นผู้ที่ลงทะเบียนไม่ทันจะต้องรอการประกาศเพิ่มเติมจากกระทรวงการคลังอีกครั้งว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้งหรือไม่

‘ ประชามติ ’ ไม่ได้มีที่เดียวในโลก

ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งยึดถือเสียงข้างมากเป็นหลักแต่ในขณะเดียวกันก็เคารพในสิทธิและเสียงของข้างที่น้อยกว่า ซึ่งหลักการนี้นำมาใช้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมเนื่องจากในสังคมมีคนมากมายต่างความคิด ความเห็นกัน ถ้ารัฐตัดสินเพียงฝ่ายเดียวก็จะดูเหมือนการมัดมือชกไปสักหน่อย รัฐจึงต้องมีการเปิดพื้นที่เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สิทธิของตน

จึงเกิดรูปแบบที่เรียกว่า ‘ ประชามติ ’ เกิดขึ้นเพื่อให้ประชาชนออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในกฎหมายหรือนโยบายต่างๆของรัฐซึ่งประชามติ ก็เป็นรูปแบบนึงที่หลายๆประเทศนำมาใช้ไม่ใช่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ใช้รูปแบบของประชามติเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็นชอบด้านการเมือง วันนี้ The States Times อยากจะพาทุกคนไปดูว่า ‘ ประชามติ ’ ในแต่ละประเทศเป็นยังไงและมีความแตกต่างกันอย่างไร

.

เครดิตภาพ : https-//www.teenvogue.com/story/the-american-flag-was-sewn-in-part-by-a-teenage-black-girl

.

เริ่มที่ประเทศแรกประเทศที่ใครๆต่างก็รู้จัก ‘ ประเทศสหรัฐอเมริกา ’ ที่ใช้ระบบการปกครองแบบ สหพันธรัฐประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ประเทศนี้เขาใช้ประชามติแค่ในระดับมลรัฐเท่านั้น โดยใช้ 2 แบบ คือการให้ออกเสียงประชามติที่เริ่มต้นจัดทําโดยฝ่ายนิติบัญญัติและการออกเสียงประชามติที่เสนอโดยประชาชน ซึ่งทั้งสองแบบเรื่องที่เสนอขึ้นมาจะนำไปใช้ได้หรือไม่ได้ก็ต้องผ่านความเห็นชอบของประชาชนก่อนดังนั้นการใช้กระบวนการประชามติในสหรัฐฯจึงถือว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้ประชาชนนั้นได้มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริงแม้จะในระดับมลรัฐก็ตาม

อย่างในกรณีของการลงประชามติในระดับมลรัฐ ซึ่งมีขึ้นที่รัฐออริกอน ที่มีการลงประชามติให้มีการยกเลิกโทษความผิดทางอาญา สำหรับการครอบครองยาเสพติดร้ายแรง เช่นเฮโรอีน หรือโคเคน สำหรับใช้ส่วนตัวในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

.

เครดิตภาพ : https-//th.investing.com/news/economic-indicators/article-22708

.

ประเทศต่อมาคงหนีไม่พ้นประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศที่ไม่ได้มีดีแค่ธรรมชาติที่สวยงาม แต่ยังเด่นเรื่องประชาธิปไตยทางตรงของพี่เขาอีกด้วย ซึ่งประเทศสวิสเซอร์แลนด์ปกครองในรูปแบบสมาพันธรัฐ ระบบการเมืองของประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั้นเป็นระบบ ‘ ประชาธิปไตยทางตรง ’ อันเป็นกลไกที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ และด้วยความกระตือรื้อร้นของพลเมืองจึงทำให้เกิดการใช้ระบบประชาธิปไตยทางตรงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการให้พื้นที่กับประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นอย่างมาก การออกเสียงประชามติในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ไม่เหมือนประเทศไหน ๆ เพราะคนที่ตัดสินว่าจะลงประชามติในเรื่องไหนบ้างไม่ใช่รัฐบาลแต่เป็นรัฐธรรมนูญที่จะมีการกำหนดเรื่องที่ต้องออกเสียงประชามติไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้การออกเสียงประชามติยังสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการเรียกร้องจากประชาชนอีกด้วย จะเห็นได้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์เองก็ได้นำกระบวนการออกเสียงประชามติมาใช้บ่อยครั้งเพราะด้วยตัวกฎหมายที่ส่งเสริมและประชาชนที่ให้ความสนใจ จึงทำให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเมืองอย่างแท้จริง 

ตัวอย่างในการลงประชามติที่เรียกร้องจากประชาชน ในเรื่องรับแผนประกันเงินเดือนขั้นต่ำของประเทศสวิสเซอร์แลนด์  ถึงแม้ว่าผลของประชามติจะถูกปัดตกไป แต่ก็แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความสนใจและมีส่วนร่วมในการเมืองอย่างแท้จริง

.

เครดิตภาพ : https://www.posttoday.com/world/584840

.

การออกเสียงประชามติในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งปกครองโดยระบอบสาธารณรัฐ ประชาธิปไตย กึ่งประธานาธิบดี ในปัจจุบันเรื่องที่นำมาให้ประชาชนออกเสียงประชามติมีทั้งหมด 4 กรณี ซึ่ง 3 กรณีเป็นเรื่องระดับประเทศ และอีกกรณีคือเรื่องท้องถิ่นทั่วไป แบ่งได้ง่ายๆคือ การออกเสียงประชามติระดับชาติเกี่ยวกับร่างกฎหมาย การออกเสียงประชามติระดับชาติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ การออกเสียงประชามติระดับชาติเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในดินแดน และการออกเสียงประชามติระดับท้องถิ่น ซึ่งทั้ง 4 กรณีล้วนผ่านความเห็นชอบจากคนส่วนใหญ่ก่อนจึงจะสามารถนำมาใช้ได้ การออกเสียงประชามติในประเทศฝรั่งเศส จึงเป็นกระบวนการที่มีความสําคัญเป็นอย่างมาก ที่จะเปิดโอกาศให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมด้วยการปรึกษาหารือกับผู้บริหารประเทศ โดยผ่านการตั้งคำถามหรือขอความเห็นในร่างกฎหมายหรือนโยบายที่สำคัญต่าง ๆ 

อย่างเช่นการลงประชามติปกครองตนเองของแอลจีเรียซึ่งนับว่าเป็นการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกเสียงประชามติระดับชาติเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในดินแดน

จากประเทศที่ได้ยกตัวอย่างมาให้ดูนี้ จะเห็นได้ว่าทุกประเทศล้วนปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ให้ความสำคัญกับเสียงส่วนมากและให้อำนาจสูงสุดกับประชาชน ด้วยการให้สิทธิประชาชนในการมีส่วนร่วมกับรัฐเพื่อตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลกับตัวประชาชนโดยตรง 

.

ดังนั้น ‘ ประชามติ ’ จึงเป็นกระบวนการที่สร้างขึ้นเพื่อพื้นที่ในการมีส่วนร่วมและรับฟังเสียงของผู้ที่มีอำนาจที่สุดนั่นก็คือ   ‘ ประชาชน ’

จีนพร้อมรับมือ "ความบ้าคลั่ง" ครั้งสุดท้ายของทรัมพ์

ยังคงป่วนต่อเนื่อง สำหรับประธานาธิบดีเฝ้าทำเนียบคนปัจจุบัน อย่างโดนัลด์ ทรัมพ์ ที่คงเหลือเวลาในตำแหน่งอีกเพียงแค่เดือนกว่าๆ ก่อนที่จะต้องลาจากทำเนียบไปในเดือนมกราคม ปีหน้า

ถึงจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ทรัมพ์ก็ยังคงมีอำนาจเต็ม ที่ยังสามารถใช้ปากกาเป็นอาวุธในการเซ็นคำสั่งประธานาธิบดีได้อยู่ ซึ่งล่าสุดในเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา ทรัมพ์ก็ได้ตวัดปากกาเซ็นคำสั่ง ห้ามชาวอเมริกัน ไม่ว่าใครก็ตามเข้าไปลงทุนร่วม หรือทำธุรกิจกับบริษัทจีน 31 แห่ง ที่ฝ่ายกลาโหมของสหรัฐรายงานว่า เป็นบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน

บริษัทจีนทั้ง 31 แห่งนี้ นอกจากจะมี Huawei และ China Telecom แล้ว ก็ยังมีบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสาร พัฒนายานยนต์ ขนส่ง ทางรถไฟ และเทคโนโลยีอากาศยาน ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของประเทศไหนก็ตาม

คำสั่งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ.2021 ก่อนวันสุดท้ายที่ทรัมพ์จะต้องลาตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ.2021ไม่กี่วัน

พอทรัมพ์เซ็นคำสั่งเปรี้ยงลงมาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากคนที่หยิกเล็บ เจ็บเนื้อตัวเองเหมือนกัน เพราะโลกเราทุกวันนี้มีการลงทุนหลายรูปแบบ ถึงจะไม่ได้ลงทุนร่วมกันตรง ๆ ก็อาจจะมีการลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือหุ้น ที่ผูกรวมกันหลายชั้น ซับซ้อนกันมากมาย ก็จะมาเดือดร้อนบริษัทอเมริกันที่ต้องมาตรวจเช็คว่า ได้ร่วมทุนกับบริษัทจีนที่อยู่ในลิสต์ต้องห้ามของทรัมพ์ผ่านช่องทางใด ช่องทางหนึ่งหรือไม่

ซึ่งคำสั่งนี้ เป็น Executive Order ฉบับแรกที่ทรัมพ์เซ็น หลังจากที่ผ่านช่วงเลือกตั้งมาแล้ว และหลายฝ่ายก็เริ่มเกรงว่า ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในตำแหน่ง ท่านทรัมพ์ จะสำแดงฤทธา ดั่งเพลิงพิโรธอะไรอีก

และวันนี้สื่อตะวันตก ได้อ้างอิงรายงานของ Global Times สำนักข่าวของรัฐบาลจีน ที่ออกมาฟันธงว่า ทรัมพ์กำลังเตรียมทิ้งบอมบ์ลูกโต เพื่อเล่นงานจีนเป็นการทิ้งทวนก่อนลาตำแหน่งที่จะสร้างปัญหาหนัก(ใจ) ให้กับโจ ไบเดน ที่จะต้องมารับช่วงต่อจากเขา

และนอกจากจะแบนบริษัทชั้นนำของจีนแล้ว ไมค์ ปอมเปโอ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ออกสื่อในช่วงเวลาใกล้เคียงกันว่า สหรัฐไม่เคยรับรองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ซึ่งถือเป็นการยั่วยุขั้นสุด ที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของความสัมพันธ์ระหว่างจีน - สหรัฐ

การเคลื่อนไหวในช่วงสุดท้ายของรัฐบาลทรัมพ์นั้น ศาสตราจารย์ เฉิน อี้ จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ได้ให้ความเห็นกับทาง Global Times ว่า ทรัมพ์ต้องการที่จะวางยาไบเดน ด้วยการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับ สหรัฐทุกรูปแบบ ก่อนจากไป เนื่องจากทรัมพ์ดำเนินนโยบายต่อต้านจีนมาตั้งแต่ต้น ที่มีชาวสหรัฐจำนวนไม่น้อยชอบเสียด้วย และยกให้เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา ทรัมพ์ยังเคยโจมตีไบเดนว่าเป็นพวกนิยมจีน และหากโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อไหร่ ชาวอเมริกันก็เตรียมตัวไปเรียนภาษาจีนได้เลย

ดังนั้นหากไบเดน ขึ้นมารับตำแหน่งมีอำนาจเต็มเมื่อไหร่ จะเซ็นถอนคำสั่งของทรัมพ์ก็ได้ แต่ก็จะถูกโจมตีว่า ออกคำสั่งเอื้อผลประโยชน์ให้จีน แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น นโยบายของทรัมพ์ก็จะมีผลผูกพันกับไบเดน ที่จะต้องเล่นตามเกมที่ทรัมพ์วางหมากไว้ ไม่ว่าทางไหนก็ดูไม่ดีทั้งนั้น

แต่สำหรับจีน ก็ยืนยันว่าพร้อมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ซึ่งตอนนี้จีนก็กำลังจับตามมองพื้นที่เขตไต้หวัน ที่คาดว่าสหรัฐน่าจะใช้กลยุทธทางทหารเข้ากดดัน และทางจีนก็ประกาศชัดเจนว่ายอมไม่ได้เสียด้วย

ดังนั้นคงต้องมาดูกันแล้วว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในวาระของประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐว่าจะระเบิดความบ้าคลั่ง ดั่งเพลิงพิโรธ ได้ร้อนแรง ปั่นป่วนถึงใจจนหยดสุดท้ายได้ขนาดไหนกัน

.

แหล่งข่าว

Global Times

https://www.globaltimes.cn/content/1206986.shtml

Independent UK

https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/global-times-china-trump-beijing-b1724582.html

News Week

https://www.newsweek.com/china-preparing-trumps-final-madness-before-biden-state-media-says-1547907

New York Times

https://www.nytimes.com/2020/11/12/business/economy/trump-china-investment-ban.html

ตรงไหนดี พี่จะรับไปพิจารณา

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ที่พรรคประชาธิปัตย์  นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ผ่านการลงมติจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาในวาระที่หนึ่ง จำนวน 2 ร่าง ไปเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ว่า ต้องถือว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ประกาศไว้ชัดตั้งแต่แรกเมื่อครั้งร่วมรัฐบาล คือการแก้มาตรา 256 และต่อมามีการเพิ่มเติมให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งประสบความสำเร็จมาอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญ แต่คงไม่หยุดเพียงเท่านี้เพราะทุกฝ่ายยังต้องหาความเห็นชอบร่วมกันในวาระที่สองในชั้นคณะกรรมาธิการฯ และยังมีวาระที่สามที่เสียงของสมาชิกวุฒิสภา 1 ใน 3 ที่ต้องร่วมกันทำให้สำเร็จ เพราะเราจะต้องทำให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน และประเทศ ภายใต้การปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นายราเมศ กล่าวต่อว่า การหาความเห็นพ้องจากประชาชนก็เป็นส่วนสำคัญ ในชั้นกรรมาธิการฯนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเสนอให้รับฟังเสียงจากประชาชนให้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ซึ่งจะมีผลต่อการทำประชามติที่จะเป็นไปในทิศทางที่ดี 

ส่วนร่างของภาคประชาชนหรือไอลอว์ ตนไม่อยากให้มองว่าถูกปัดตกไปทั้งหมด ความตั้งใจทำในส่วนที่ดีที่เป็นประโยชน์ ก็จำเป็นต้องนำมาประกอบการพิจารณา อาจมีบางประเด็นที่เห็นไม่ตรงกัน แต่ส่วนไหนรับได้ส่วนไหนรับไม่ได้ก็ควรหยิบยกมาพูดคุยกันก็จะเกิดประโยชน์

อย่างไรก็ตามใน 11 ประเด็นของร่างไอลอว์ มีบางประเด็นที่น่าสนใจและควรหยิบยกมาพูดคุยกันในชั้นกรรมาธิการฯ เช่นกรณีของท้องถิ่น การแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น และกระจายอำนาจอย่างแท้จริง นอกจากนั้นยังอยากให้กรรมาธิการฯนำผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯที่มีนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน มาประกอบการพิจารณาด้วย  

 

3 นางเอกสายเกา...ยิ่งดูยิ่งปัง

ไม่ได้มีแค่สาว ๆ เขาหลงใหลพระเอกสายเกาเท่านั้นะ แต่หนุ่มไทยมากมาย ก็ปลื้มอกปลื้มใจ นางเอกสายเกาหลีเหมือนกัน โดยเฉพาะ 3 คนนี้ ‘คิมโกอึน & คิมดามี & พัคโซดัม’ ทั้งหมดมีความพิเศษคล้าย ๆ กัน ตรงที่หากเพียงเห็นแวบแรก จะรู้สึกเฉย ๆ กับพวกเธอ อารมณ์ประมาณว่า ‘อึ๋ย! หน้าตาธรรมดา ๆ เป็นนางเอกได้ไง?’

แต่! อย่าสบประมาทความน่ารักของพวกเธอ เพราะถ้าหากดูซีรี่ส์ที่เธอเล่นไปเรื่อย ๆ อารมณ์ที่บอกไปทีแรก จะเปลี่ยนไปทันที ‘อึ๋ย! น่ารว้อกอ่ะ!’ 

เพราะใคร ๆ ก็ตกหลุมรักเธอ The States Times Lite ก็เลยตกหลุมรักเธอ ไม่ช่าย! เราก็เลยต้องไปทำความรู้จักกับ 3 นางเอกสายเกา ที่แต่ละคนบอกเลยว่า ผลงานไม่ธรรมดา!


คิมโกอึน

นางเอกสาวผู้โด่งดังจากซีรี่ส์ ‘ก็อบลิน’ (Goblin) เธอประกบคู่กับพระเอกฉายาสามีแห่งเอเชีย ‘กงยู’ แต่ก่อนที่จะดังเปรี้ยงปร้าง คิมโกอึนเคยใช้ชีวิตที่ประเทศจีนมากว่า 10 ปี ก่อนที่จะบินกลับมาที่เกาหลีใต้ และเรียนจบทางด้านการแสดงจาก Korea National University of Arts 

โกอึนเริ่มต้นงานแสดงจากภาพยนตร์ดราม่า-อีโรติกเรื่อง A Muse ก่อนจะตามมาด้วย Memories of the Sword (ค.ศ.2015) และ Coin Locker Girl (ค.ศ.2015) ซึ่งส่วนใหญ่งานของเธอจะเป็นการแสดงภาพยนตร์ และเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากซีรีส์เรื่อง Cheese in the Trap (ค.ศ.2016) และ Goblin (ค.ศ.2016 - 2017) กระทั่งเมื่อปีที่แล้วก็ได้มาประกบกับพระเอกสุดฮอต ลีมินโฮ ใน The King: The Eternal Monarch 

ใครที่เคยผ่านตาผลงานของโกอึนตั้งแต่เรื่องแรก ๆ จะสัมผัสได้ว่า เธอมีใบหน้าที่เรียบ ๆ เหมือนสาวหมวยเกาหลีทั่วไป แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ยิ่งพอดูเธอแสดงไปเรื่อย ๆ กลับมีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้น และสุดท้ายเราก็ตกหลุมรักเธอจนได้!

.

คิมดามี

อีกหนึ่งนางเอกหน้ากวน ที่ดูไปดูมา อ้าว น่ารักเฉย ซึ่งใคร ๆ ก็พากันตกหลุมรักเธอ กับบทบาท ‘โซอีซอ’ ในซีรี่ส์สุดฮิต Itaewon Class ตัวจริงของเธอนั้นมีชื่อจริงๆ ว่า คิมดามี ปัจจุบันอายุ 25 ปี เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2017 เธอเริ่มต้นงานแรกด้วยการเป็นนักแสดงสมทบในหนังเรื่อง Romans 8:37 ก่อนจะแจ้งเกิดใน The Witch: Part 1. The Subversion (ค.ศ.2018) ซึ่งดามีเป็น 1 ในนักแสดง 1500 คนที่ได้รับเลือกจากการออดิชั่นหนังเรื่องนี้ แถมพอหนังเข้าฉาย เธอก็กวาดรางวัลเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักแสดงหน้าใหม่หญิงยอดเยี่ยม จากงานประกาศรางวัล 39th Blue Dragon Film Awards และรางวัลนักแสดงดาวรุ่ง จากงานประกาศรางวัล 3rd London Asian Film Festival

ลำหรับซีรี่ส์เรื่อง Itaewon Class ถือเป็นงานซีรี่ส์เรื่องแรกของเธอ แต่กลับกลายเป็นซีรี่ส์ที่ส่งให้ชื่อของดามีโด่งดังเป็นพลุแตก ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยใบหน้ากวน ๆ (ที่ไม่ได้มาแนวสวยใส) พร้อมวิธีการแสดงออกของเธอ มันทำให้คนดูอย่างเรา ๆ รู้สึกสนุก และพากันให้กำลังใจตัวละคร ‘โซอีซอ’ ที่เดินหน้าจีบพระเอก ‘พัคแซรอย’ อย่างสุดใจ

.

พัคโซดัม

อีกหนึ่งหมวยที่เราต้องหลงรักเธอ! กับผลงานล่าสุด ซีรี่ส์เรื่อง Record of Youth นางเอกสาววัย 29 ปีคนนี้ รับบทเป็นช่างแต่งหน้า แถมยังเป็นติ่งของพระเอกในเรื่อง ที่รับบทโดย พัคโบกอม หากใครได้เห็นเพียงโปสเตอร์ของซีรี่ส์เรื่องนี้ อาจคาดหวังว่าคงได้กรี้ดกับใบหน้าหล่อใสกิ๊งของพัคโบกอม แต่พอดูไปดูมา อ้าว! เราเพลินกับความหน้าเก๋ของพัคโซดัมไปซะอย่างนั้น

หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเธอมาบ้างแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ โซดัมคือหนึ่งในนักแสดงของหนังแห่งปีอย่าง Parasite ที่กวาดมาทุกเวที จากเกาหลีไปยันออสการ์ โซดัมจบการศึกษาด้านการแสดงจากมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติเกาหลี (Korea National University of Arts)​ ซึ่งที่ผ่านมา เธอเป็นนักแสดงที่มีผลงานทั้งภาพยนตร์และซีรี่ส์มาพอสมควร ความเก่งของเธอคือการแสดงที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนว่าเธอไม่ได้แสดง เหมือนอย่างเรื่อง Record of Youth ที่เธอแสดงได้เนียนตาเอามากๆ เผลอรู้ตัวอีกที เราก็ตกหลุมรักเธอไปอีกแล้วเช่นกัน เฮ้อ...

.

เรียกว่าเป็น 3 นางเอกสายเกาที่มาแรงในช่วงเวลานี้จริงๆ และเร็วๆ นี้ พวกเธอก็จะมีผลงานมาให้ได้ชมกันอีกอย่างแน่นอน สาวกซีรี่ส์เกาหลีห้ามพลาดดดด!

 

ส่องธุรกิจสุด ‘ซี้ด’ 64 ‘อิ่ม – ป่วย’ ช่วยดันยอด หลังทั่วโลกยังกอดโควิดแน่น

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงสู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) พฤติกรรมบางอย่างเริ่มหายไป อย่างใครชอบช็อปปิ้งสินค้าฟุ่มเฟือย ก็เริ่มเบาๆ ลง และเก็บเงินมาให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นความจำเป็นและความมั่นคงต่อชีวิตมากขึ้น

ปีหน้า (พ.ศ.2564) ใครประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าในกลุ่มอุปโภคและบริโภค จึงถูกมองว่ามีโอกาสเติบโตต่อได้ไม่ยากจากผลการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้ประเมินถึงกลุ่มธุรกิจสุดซี้ดในปี 2564 ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มเกี่ยวเนื่องที่จะเติบโตต่อได้ดีในยุคที่หลายประเทศยังกอดโควิดไว้แน่น

โดยคาดว่า อุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์ (ยา) และ อุตสาหกรรมอาหาร ของไทยจะเป็นเรือธงไว้ฝ่าคลื่นโควิด-19 ได้อย่างต่อเนื่อง หลังตลอดทั้งปีพ.ศ.2563 นั้น มีการขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบจากปีก่อน

ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมถุงมือยางปีพ.ศ.2563 ก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.2 เมื่อเทียบจากปีก่อน จากความต้องการใช้งานทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา / สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น 

ส่วนอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) คาดว่าทั้งปีพ.ศ.2563 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยได้รับอานิสงส์จากการสำรองสินค้าทั้งตลาดในประเทศและส่งออก ทั้งนี้อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลบวกจากทั้ง 2 กลุ่มที่เติบโตได้ดี เชื่อว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดที่ใช้ในครัวเรือน ที่คาดว่าในปีพ.ศ.2563 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบจากปีก่อน เช่น...

ความต้องการใช้สินค้าประเภทตู้เย็น เตาอบไมโครเวฟและกระติกน้ำร้อน เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความต้องการสำรองอาหารสดไว้ที่บ้านเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการมีการลดราคาสินค้า ส่วนเครื่องซักผ้ามีการส่งออกไปตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้อุตสาหกรรมหลัก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และยางล้อ อุตสาหกรรมปิโตรเลียมอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าก็เริ่มฟื้นตัวตามปัจจัยการฟื้นตัวของการบริโภคของภาคเอกชนหรือครัวเรือน บวกกับแรงส่งของการจ้างงานที่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะใกล้เคียงปกติแล้ว ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เริ่มกลับมาดีขึ้น รวมถึงมาตรการภาครัฐที่มีโครงการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ 

.

ที่มา: สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)

ที่มาภาพ: www.dmc.tv

 

'ข้าวกล่องแห่งความรัก' ธุรกิจจาก 'หลานชาย' ที่อยากเจอหน้า 'อาม่า' ทุกวัน

คุณค่าของใครบางคน อาจจะดูไร้ค่า จนเหมือนกับต้นไม้แก่ที่แห้งเหือดไปตามกาลเวลา แต่ต้นไม้แก่ที่โรยราย สามารถกลับมามี ‘คุณค่า’ ได้ใหม่ หากมีใครสักคนให้ความสำคัญ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย และสักวันหนึ่งต้นไม้ต้นนั้น ก็อาจจะพร้อมกลับมามอบ ‘ร่มเงา’ แก่คนที่ยังเห็นคุณค่าและดูแลมันได้กลับคืน

‘ข้าวกล่องอาม่า’ (ARMABOX) ธุรกิจของคนต่างวัย ที่เริ่มต้นจาก ‘ไบรท์-พิชญุตม์ กุศลสิทธิรัตน์’ หลานชายวัย 26 ปี กับ ‘อาม่า-รัตนา อภิเดชากุล’ ในวัย 75 ปี เป็นสิ่งที่ช่วยอธิบายคุณค่าของไม้ใหญ่ที่กำลังโรยราให้กลับมามีชีวิตชีวาได้เป็นอย่างดี

จุดเริ่มต้นธุรกิจข้าวกล่องอาม่า เกิดขึ้นจากผู้เป็นหลาน ซึ่งมองเห็นคุณค่าของอาม่าจากภาพจำตอนเด็ก เขาจำภาพคนเก่งที่ลุกขึ้นขายข้าวแกงในแต่ละวัน จนสามารถหาเลี้ยงดูครอบครัวมาได้จนถึงปัจจุบัน แต่หลังจากนั้นเมื่อถึงวัยชรา อาม่าก็กลายเป็นคนแก่ที่โดดเดี่ยว เมื่อเลิกขายข้าวแกง ไบรท์ เข้ามาเป็นตัวตั้งตัวตีให้ครอบครัว ลุกขึ้นมาทำธุรกิจข้าวกล่องขาย โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเขา คือ อยากให้ครอบครัวได้อยู่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะกับ ‘อาม่า-รัตนา’ ที่แม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่โอกาสเจอกันก็น้อยมาก

นั่นก็เพราะอาม่าอาศัยอยู่ย่านเจริญกรุง ส่วนตัวเขาอยู่คลองเตย ซึ่งเขาเคยชวนอาม่ามาอยู่ด้วย แต่ท่านก็ไม่ยอม (อาม่ากลัวเป็นภาระ) ตอนที่ไบรท์คิดที่จะทำธุรกิจข้าวกล่อง เขานำเรื่องนี้ไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงตัวอาม่าด้วยนั้น แน่นอนว่าเด็กวัยรุ่นกำลังโตในมุมผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ย่อมไม่อยากให้ลูกหลานของตนมาลำบากกับอาชีพที่พวกเขาเคยผ่านมาก่อน และมองว่าไปตั้งหลักปักฐานกับบริษัทหรือองค์กรดี ๆ เพื่อกินเงินเดือนจะดีกว่า

ไบรท์รู้อยู่แล้วว่าคำตอบที่จะได้มา คือ No!! แต่เขามองว่าการทำงานในบริษัทยุคนี้ ก็อาจจะไม่ได้มั่นคงเหมือนสมัยก่อน ขณะที่การเริ่มต้นเป็นเถ้าแก่มือใหม่ บนปัจจัยบางอย่างของโลกธุรกิจยุคดิจิทัล อาจจะเหนื่อยแต่น่าท้าทาย ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นคนที่ผูกพันกับอาม่ามาก และไม่อยากให้อาม่าโดดเดี่ยว เพราะท่านแก่มากแล้ว เขาอยากเจอและอยู่กับอาม่าทุกวัน ฉะนั้นต่อให้ธุรกิจเล็กๆ นี้จะได้เงินไม่เยอะเท่าทำงานในบริษัท แต่ก็อยากลอง และถ้ามันไปไม่รอดค่อยว่ากันอีกที

เมื่ออธิบายถึงความตั้งใจให้รับรู้…ทั้งอาม่า คุณพ่อ และคุณแม่จึงยอม!!

ไบรท์ใช้ทุนเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท จากเงินเก็บที่เคยทำงานประจำก่อนหน้า มาเริ่มต้นทำธุรกิจข้าวกล่องแบบเดลิเวอรี่ในชื่อ ‘ข้าวกล่องอาม่า’ โดยความตั้งใจของเขา คือ อยากให้ทุกเมนู ทุกสูตรในการปรุง และไอเดียด้านอาหารทั้งหมดออกมาจาก ‘อาม่า’ เพราะเขาเชื่อในฝีมือรสชาติอาหารของอาม่าที่เขาเคยทานมาตั้งแต่เด็ก ๆ

ข้าวกล่องอาม่า เริ่มต้นโดยเน้นที่อาหารไทยเป็นหลัก มีการสร้างเมนูขึ้นมามากกว่า 120 เมนู มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 49 บาท และรวมถึงยังมีขนมหวานขายอีกด้วย แน่นอนว่า ช่วงแรก ๆ ของการเริ่มต้นธุรกิจ ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักข้าวกล่องอาม่ามากนัก แต่เมื่อไบรท์ตั้งใจทำธุรกิจนี้มาก เขาจึงใช้ทุกหนทาง เพื่อให้คนได้รับรู้ ตั้งแต่พิมพ์แผ่นพับแล้วไปเดินแจกตามสำนักงาน และห้างสรรพสินค้าเพื่อหาลูกค้า

แรก ๆ ก็มีออเดอร์เข้ามาประมาณ 100 กล่อง ต่อวัน เฉลี่ยยอดขายอยู่ที่ 5,000-7,000 บาท ต่อวัน ซึ่งยังน้อยอยู่ แถมมีปัญหาเยอะ คนไม่พอ ส่งไม่ทัน จึงเริ่มชักชวนเพื่อนและรุ่นน้องที่เคยทำธุรกิจจำลองสมัยเรียนด้วยกันมาเป็นหุ้นส่วน อย่างไรก็ตาม ด้วยรสชาติจากฝีมืออาม่าที่ไม่เป็นสองรองใคร ทำให้ร้านข้าวกล่องอาม่าเริ่มเป็นที่รู้จัก คนที่สั่งไปก็โทรกลับมาสั่งซ้ำมากขึ้น…

ไม่นาน!! ก็มียอดสั่งซื้อราว 1,000 กล่อง ต่อวัน ทำให้ ไบรท์ เริ่มปรับแนวทางในการทำธุรกิจ โดยการนำระบบซอฟท์แวร์มาช่วยการขายผ่านออนไลน์ (โปรแกรม ERP สำหรับใช้งานในองค์กร) เช่น…

ระบบรับออเดอร์ผ่านเว็บไซต์ ระบบคำนวนออเดอร์ ว่าแต่ละวันต้องผลิตเมนูอะไรบ้าง จำนวนเท่าไรบ้าง มีการใช้เทคโนโลยีในการช่วยจัดการข้อมูลลูกค้า เก็บสถิติเมนูขายดี เพื่อมาเป็นฐานข้อมูลในการออกเมนูหรือโปรโมชั่นใหม่ๆ มี Line Official Account ที่เป็นช่องสื่อสารกับลูกค้า สามารถรับฟังเสียงสะท้อนต่างๆ และข้อมูลการสนทนาก็ไม่หายไปไหนด้วย สามารถกลับมาดูได้ตลอด และยังใช้การตลาดออนไลน์ เช่น การยิงโฆษณาในโซเชี่ยลมีเดียช่วยสร้างการรับรู้ตลอด จึงทำให้กิจการเติบโตได้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ

ปัจจุบันร้านข้าวกล่องอาม่าเปิดมาได้ 2 ปีกว่า ๆ จากช่วงแรกที่ยอดขายมีแค่วันละไม่กี่กล่อง แต่ตอนนี้มีออเดอร์เฉลี่ยต่อวันไม่น้อยกว่า 1,500 กล่อง พิสูจน์ให้คุณพ่อคุณแม่ และอาม่าเห็นแล้วว่าเขาทำมันได้

ใครจะคิดว่าจากวันที่เริ่มต้นธุรกิจ เพียงเพราะอยากอยู่ใกล้ชิดกันกับคนในครอบครัว และเริ่มต้นจากคนไม่กี่คน จะกลายเป็นธุรกิจที่มีอนาคตได้อย่างจริงจัง ที่สำคัญ คือ ทุกวันนี้ ไบรท์ บอกว่าสุขภาพของ ‘อาม่า’ แข็งแรงมาก เพราะการกลับมาทำในสิ่งที่ท่านรักอีกครั้ง แถมยังสร้าง ‘คุณค่า’ ให้กับคนรอบข้าง บวกกับได้มีโอกาสพบปะลูกหลานในทุกๆ วัน ได้เพิ่มพลังงานชีวิตที่เต็มเปี่ยมแก่ท่านอย่างมากทีเดียว

เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า อย่ามองข้าม ‘ต้นไม้ใหญ่ที่โรยรา’ เพียงเพราะเราคิดว่า ‘กำลังจะตาย’ เพราะสุดท้ายไม้ใหญ่นั้น อาจจะกลับมาเป็นร่มเงาที่มั่นคง ให้เราได้พักพิง ในวันที่ท้อและเหนื่อยล้า ก็เป็นได้…


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top