Friday, 29 March 2024
TheStatesTimes

ออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยต้านโควิด-19

โควิด-19 ยังรุกรานคนทั้งโลกอย่างหนักหน่วง แม้จะเริ่มมีข่าวการคิดค้นวัคซีน หรือเริ่มทำการทดลองใช้กันบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนี้สำหรับตัวเราก็คือ ต้องดูแลตัวเองให้ดี

 

ล่าสุดที่เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล มีผลการศึกษาเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่น่าสนใจ โดยเป็นการศึกษาจากมูลนิธิสนับสนุนการวิจัยแห่งรัฐเซาเปาโล ระบุว่า อัตราของคนที่ป่วยโควิด-19 ในกลุ่มของคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มอื่นๆ กว่าร้อยละ 34

 

การศึกษาชิ้นนี้อ้างอิงจากแบบสำรวจของผู้คนกว่า 938 คน ซึ่งผู้ที่ออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 15 นาทีขึ้นไป หรือออกกำลังกายหนักหน่วงอย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์ จะเป็นกลุ่มที่พบการป่วยด้วยโควิด-19 ต่ำที่สุด ในทางกลับกัน ผลสำรวจยังพบว่า ผู้ที่มีอัตราการรักษาตัวด้วยโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลสูงที่สุด คือกลุ่มผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือเป็นโรคอ้วนนั่นเอง

 

ถึงจะเป็นผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่ขนาดใหญ่นัก แต่หากข้ามจากผลศึกษานี้ไป การดูแลรักษาให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ย่อมเป็นการป้องกันตัวที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น หยิบรองเท้ากีฬาแล้วไปออกกำลังกายกันเถอะพวกเรา!!

 

อ้างอิง: https://www.xinhuathai.com/high/155671_20201124

พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ ๒๕๖๔

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ ๒๕๖๔ แก่ปวงชนชาวไทย เป็นภาพฝีพระหัตถ์ "สวัสดีปีฉลูวัว" รูปวัว หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และพระราชทานพรปีใหม่ ความว่า

 

"ปีที่แล้วโรคร้ายหมายชีวิต                 มีคนติดทั่วโลกอยู่มากหลาย
คนยังอยู่จนยากลำบากกาย                ที่ทุกข์คลายเพราะความรักสามัคคี

ปีฉลูวัวใจดีเข้ามาหา                     มีนมมาให้ดื่มเป็นสุขี
สุขภาพของเด็กเติบโตดี                  ผู้ใหญ่ที่ดื่มนมก็แข็งแรง"

สวัสดีปีฉลูวัว พ.ศ.๒๕๖๔

มารู้จักพันธมิตร Five Eyes ตาส่องโลก

ในช่วงนี้ ชื่อของกลุ่มพันธมิตร Five Eyes หรือ ดวงตาทั้ง 5 กลายเป็นจุดสนใจของสื่อต่างประเทศอีกครั้ง เมื่อมีคำแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีต่างประเทศในกลุ่มพันธมิตร Five Eyes ที่ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ออกมาวิจารณ์ คำสั่งของรัฐบาลจีน ให้ปลดแกนนำฝ่ายค้านในสภานิติบัญญัติของฮ่องกงจำนวน 4 คน ในข้อหาฝ่าฝืนกฏหมายความมั่นคงใหม่ของจีน ที่ทำให้ฝ่ายค้านประท้วงด้วยการลาออกยกสภาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ซึ่งกลุ่มพันธมิตร Five Eyes วิจารณ์ว่า นี่เป็นการปิดปากฝ่ายค้านของรัฐบาลจีน และผิดสัตยาบันที่จีนเคยให้ไว้ว่าจะให้สิทธิเสรีภาพในดินแดนฮ่องกงตามแบบแผน 1 ประเทศ 2 ระบบ ไปจนถึงปี ค.ศ.2047

 

หลังจากที่กลุ่มพันธมิตร Five Eyes ได้ออกแถลงการณ์ไม่กี่วัน ฝ่ายปักกิ่งก็ส่งโฆษกต่างประเทศ จ้าว หลี่เจียน เจ้าของฉายาหมาป่าพันธุ์ดุของลุงสี่ จิ้นผิง ออกมาตอบโต้ทันทีว่า นี่คือเรื่องภายในของจีนที่ต่างชาติไม่ควรมาก้าวก่าย

 

และวาทะดุที่ทางปักกิ่งฝากมาบอกกับเหล่าพันธมิตรเบญจเนตรทั้งหลายก็คือ

 

"หากยังมายุ่งวุ่นวายเรื่องระหว่างจีนและฮ่องกงอีก ไม่ว่าจะ 5 ตา หรือ 10 ตา พ่อจะจิกให้ตาหลุด"

 

เป็นการตอบโต้ที่ฟาดได้ฟาด สั้นแต่จบ None of your business รู้เรื่อง

 

ว่าแต่พันธมิตร Five Eyes นี่ มาร่วมลงเรือลำเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างไร วันนี้จะมาเล่าถึงต้นกำเนิดกลุ่มดวงตาทั้ง 5 นี้กันดีกว่า

 

ต้นกำเนิดของ Five Eyes ในครั้งแรกไม่ได้มาพร้อมกันทั้ง 5 ดวง จุดเริ่มต้นนั้นมีมาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางอังกฤษ และ สหรัฐอเมริกาได้เซ็นข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลับทางทหารร่วมกัน ที่เรียกว่า 1943 BRUSA Agreements

 

แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติไปแล้ว ด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่สัญญาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ กลับไม่ได้สิ้นสุดไปด้วย เพราะทั้งสหรัฐ และอังกฤษเห็นตรงกันว่า ต่อจากนี้ไป ภัยคุกคามความมั่นคงจะไม่ใช่ฝ่ายนาซีอีกต่อไป แต่เป็นลัทธิสังคมนิยม และอิทธิพลของสหภาพโซเวียต

 

ดังนั้นข้อตกลง BRUSA Agreements ฉบับเดิม ก็ได้กลายเป็นข้อตกลงความร่วมมือฉบับใหม่ ที่ชื่อว่า  UKUSA Agreement  และให้อ่านแบบเกร๋ๆ ว่า ยู-คู-ซา (ไม่ใช่ยากูซ่านะจ๊ะ)

 

มีพันธมิตรแค่ 2 ชาติ แต่ต้องสอดแนมฝ่ายโซเวียต และ พันธมิตร Eastern Bloc ที่เป็นประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก และอีกหลายชาติในเอเชีย รวมถึงจีน อาจทำไม่ไหว จึงดึงกลุ่มประเทศหลักๆ ในเครือจักรภพอังกฤษมาร่วมด้วย ได้แก่ แคนาดา (1948) ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ (1956) รวมกันกลายเป็น 5 ชาติ

 

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของกลุ่มพันธมิตร Five Eyes ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการรวมกลุ่มจากประเทศมหาอำนาจที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง เพราะการสื่อสารระหว่างกลุ่มให้เข้าใจตรงกันทุกถ้อยคำเป็นเรื่องสำคัญ แต่เป้าหมายหลัก คือการสร้างโครงข่ายสอดแนมฝ่ายตรงข้าม (โลกสังคมนิยม) ที่ต่อมา กลายเครือข่ายสปายที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

และเมื่อมีข้อตกลงแล้วว่าจะมีการแชร์ข้อมูลข่าวลับร่วมกัน ดังนั้นการมีอยู่ของกลุ่ม Five Eyes ในช่วงแรกๆ จึงเป็นความลับมากๆ  แม้แต่คนในรัฐบาลของประเทศนั้นๆ หากไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายความมั่นคงระดับสูงยังไม่รู้เลย

 

ในกลุ่ม Five Eyes ก็ร่วมพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เรียกว่า ECHELON ขึ้นมาใช้งาน แล้วก็ดำเนินการสอดแนมความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นการดักฟังโทรศัพท์ ติดตามตัวบุคคลเป้าหมาย แกะรอยท่อน้ำเลี้ยง จารกรรมข้อมูลระดับสูง และต้องป้องกันการล้วงข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน

 

การแชร์ข้อมูลในระบบ ECHELON แบ่งออกเป็น 4 หมวด แบ่งงานชัดเจนว่าหน่วยงานไหนรับผิดชอบเรื่องไหน

 

1. ข่าวกรองสัญญาณ เป็นข้อมูลที่ได้จากการดักฟัง จับสัญญาณเครือข่าย ที่ปัจจุบันมีการสอดแนมผู้ใช้ออนไลน์ด้วย หน่วยงานที่รู้จักกันดีเช่น NSA หรือสำนักงานหน่วยข่าวกรองสหรัฐ  GCHQ หรือ Government Communications Headquarters ของอังกฤษ

 

2. ข่าวกรองด้านการทหาร ที่ฝ่ายกลาโหมของแต่ละประเทศก็รับผิดชอบข้อมูลในส่วนนี้ไป

 

3. ข่าวกรองด้านความปลอดภัย ที่คอยส่องหาข้อมูลภายในของแต่ละประเทศ หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้ที่รู้จักกันดี ก็มี FBI และ MI5

 

4. ข่าวกรองส่วนบุคคล นี่แหละคืองานของสายลับจริงๆ ที่ต้องเข้าไปคลุกวงใน เข้าพื้นที่ แทรกซึม เพื่อให้ได้ข้อมูลด้วยตัวเอง หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้ได้แก่ CIA MI6 เป็นต้น

 

ฟังดูอาจคล้ายๆ หนังสายลับแฟรนไชส์เรื่องดัง ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะช่วงนั้นตรงกับยุคสงครามเย็นพอดี ที่ต่างฝ่าย ต่างจ้องสอดแนมความลับของกันละกัน บนพื้นฐานของความไม่ไว้ใจกัน

 

แต่เมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายไป บรรยากาศของสงครามเย็นก็เริ่มผ่อนคลาย พันธมิตรเบื้องหลังอย่าง Five Eyes จึงเริ่มถูกเปิดเผยให้คนทั่วไปทราบ ที่เข้าใจว่า พันธมิตรเบญจเนตรก็คงได้เวลาพักกิจกรรมสอดแนมไปทำอย่างอื่นกันได้แล้ว

 

แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น การสอดแนมข่าวกรองของ Five Eyes กลับยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้น และยิ่งมากขึ้นไปอีกหลังสหรัฐโดนโจมตีในเหตุการณ์ 9/11

 

จากเดิมที่สอดแนมแค่ จีน รัสเซีย และประเทศในโลกสังคมนิยม กลับขยายวงออกไป กลายเป็นสอดแนม ดักฟังการสื่อสารจากรัฐบาลทั่วโลก และยังขยายลงไปถึงการสื่อสารภายในองค์กรเอกชน และระบบสื่อสารของประชาชนทั่วไปในประเทศ

 

เอ็ดเวิร์ด สโนเดน คืออดีตหนึ่งในทีมเทคนิคของ NSA ได้ออกมาแฉงานสอดแนมของรัฐบาลสหรัฐ ที่เข้าถึงทุกข้อมูลของประชาชนได้ทุกคน ไม่อาจหลบได้ และยังนำยุทธศาสตร์การสอดแนม ที่ก็เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจค Five Eyes ออกมาเปิดเผย จนตอนนี้ตัวสโนเดน ก็อยู่ในสหรัฐอเมริกาไม่ได้แล้ว ต้องลี้ภัยไปอยู่ถาวรที่รัสเซีย

 

เมื่อเรื่องแดงเช่นนี้ หลายชาติก็เริ่มไม่พอใจ ว่าขอบเขตการสอดแนมของ Five Eyes ชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว แต่จะบอกให้หยุดคงเป็นไปไม่ได้ แทนที่จะถูกสอดแนมแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็เข้าร่วมวงแชร์ข้อมูลกันเสียเลยน่าจะดีกว่า

 

และจาก Five Eyes ก็ขยายวงกลายเป็น Nine Eyes เพิ่มมาอีก 4 ตา คือ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และ นอร์เวย์

 

ต่อมาจาก 9 ตา ก็กลายเป็น 14 ตา เมื่อ เยอรมัน เบลเยี่ยม อิตาลี สวีเดน และสเปน กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย

 

และจาก Fourteen Eyes ก็มีแนวโน้มที่จะขยายหูตาสับปะรดออกไปอีก เมื่อมีบางประเทศสนใจขอแชร์ข้อมูลด้วย ก็คือ อิสราเอล ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้

 

แต่การที่จะสอดแนมข้อมูลของประชาชนทั่วไปได้ทุกระดับ และใช้อำนาจรัฐบังคับเอาข้อมูลผู้ใช้จากหน่วยงานเอกชน จะไม่ขัดกับกฏหมายว่าด้วยเรื่องสิทธิส่วนบุคคลหรือ

 

เรื่องนี้มีปัญหาแน่นอน บางประเทศทำไม่ได้ด้วย เพราะผิดกฏหมาย ดังนั้นสิ่งที่กลุ่มสมาชิกตาสับปะรดทำคือ สมาชิกจะสอดแนมกันเองในกลุ่ม แล้วนำข้อมูลมาแลกกัน

 

ซึ่งเรื่องนี้ ก็เคยมีในหลักฐานเอกสารที่เอ็ดเวิร์ด สโนเดน เคยนำข้อมูลออกมาแฉว่า NSA ฝ่ายความมั่งคงสหรัฐ เคยให้เงินทุนก้อนใหญ่สนับสนุนให้ GCHQ ของอังกฤษ ให้สอดแนมประชาชนเป้าหมายของตัวเอง ที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐไม่อาจทำได้เพราะติดปัญหาทางกฏหมาย

 

และนี่คือการทำงานในกลุ่มพันธมิตรตาส่องโลก ที่เชื่อมโยงกันจนกลายเป็นเครือข่ายสายลับที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลก เพียงแต่ข้อมูลสำคัญระดับสูง ที่เป็น Top of the top secret ยังคงแชร์กันแค่ในกลุ่ม Five Eyes ที่ถือว่าเป็นพันธมิตรเสาหลัก ที่มักจะเคลื่อนไหวสอดรับกันตลอด ไม่มีแตกแถว

 

จึงเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวของกลุ่ม พันธมิตร Five Eyes ที่ร่วมด้วยช่วยกันกดดันจีนทุกมิติ ไม่ใช่เฉพาะการสอดแนมเท่านั้น แต่เปิดสมรภูมิจากทุกมิติ ทั้งเรื่องการแบน 5G ดำเนินคดีผู้บริหาร Huawei เปิดโปงค่ายกักกันชาวอุยกูร์ การจับกุมสายลับจีนในสหรัฐ กีดกันการค้าจีน และก็มาถึงประเด็นการแทรกแซงในฮ่องกง ที่ทางจีนออกมาประกาศกร้าวว่า จะกี่ตาก็มาครับ จ้องนัก เดี๋ยวจะควักให้ตาหลุด

 

และนี่ก็คือเรื่องราวเบื้องหลังการก่อตั้งพันธมิตร Five Eyes ตาส่องโลกของพี่ใหญ่ We are watching you. แอบมองดูอยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย ถึงขู่จกตาอยู่ยิกๆ แต่เธอก็ยังเฉยเมย นาจ๊า

 

แหล่งข่าว

-The Guardian

https://www.theguardian.com/world/2020/nov/20/china-says-five-eyes-alliance-will-be-poked-and-blinded-over-hong-kong-stance

https://www.theguardian.com/uk-news/2013/aug/01/nsa-paid-gchq-spying-edward-snowden

-The Diplomat

https://thediplomat.com/2020/11/five-eyes-countries-issue-joint-statement-on-hong-kong/

-Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/UKUSA_Agreement

กลัวโดนแกง!! จนท. เอาชัวร์ จัด3 จีโน่ พร้อมตรึงกำลังรอบสำนักงานทรัพย์สินฯ 

ถึงแม้ว่าม็อบ 25 พ.ย. จะย้ายพิกัดกะทันหัน จากหน้าสถาบันทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามกำหนดเดิม แล้วเปลี่ยนไปที่ SCB สำนักงานใหญ่แทน
.
แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ดูจะยังไม่วางใจเท่าไรนัก โดยช่วงเช้ามานี้ได้มีการวางกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนไว้หลายกองร้อย 
.
อีกทั้งยังได้ส่งรถฉีดน้ำ ‘จีโน่’ ไปประจำในพื้นที่รอบสถาบันทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 3 คัน พร้อมวางตู้คอนเทรนเนอร์ปิดถนนโซนราชดำเนินตรงสะพานมัฆวานซ้อนกัน 2 ชั้น รวมถึงที่สะพานขาวด้วย 
.
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังมีการปิดการจราจรแยกอุรุพงษ์ เส้นทางมุ่งหน้าสนามม้านางเลิ้ง ถนนหลานหลวง-ถนนพิษณุโลก-ทำเนียบ โดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนและจราจร สน.นางเลิ้งอำนวยการจราจรบริเวณดังกล่าว 
.
พร้อมนำตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ และรั้วสังกาสี - ลวดหนามปิดการจราจรก่อนถึงทางลงทางด่วนอุรุพงษ์ 
.
จะเกิดเหตุแกงไปแกงมาหรือไม่ แต่นาทีนี้เจ้าหน้าที่คงหวังเพลย์เซฟไว้ก่อน เอาชัวร์!!

‘กรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์’ แบงก์เป็ดขวัญใจหนู แต่ลุงตู่อาจไม่โอ!!

แหม่!! ก็เหตุเพราะพี่เสื้อเหลืองเขาหาว่าหนูไม่รักสถาบัน ก็เลยบอกว่าอย่าใช้แบงค์ที่มีรูปสถาบัน น้องหนูสายคณะราษฎรเลยจัด ‘ธนบัตรเป็ดเหลือง’ ออกมาใช้เองซะเลยไงค้าบ!! 
.
ไอเดียสุดปั่นนี้เกิดขึ้นเมื่อเหล่าคณะราษฎรมองว่าพวกเขาควรถูกกีดกันในการใช้เงินปกติที่มีรูปสถาบัน 
.
พอเจอแบบนี้เข้า ก็เลยผลิตแบงค์ ขึ้นมาใช้กันเองซะเลย
.
โดยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เพจคณะราษฎร ได้ปล่อยภาพคูปอง ที่ดูละม้ายคล้ายธนบัตร โดยบนหน้าธนบัตรมีภาพของ ‘กรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์’ หรือ ‘น้องเป็ดยางตัวเหลือง’ ที่ช่วงนี้ฮอตปรอทแตกและมีบทบาทไม่ใช่น้อยในม็อบช่วงนี้ 
.
ในธนบัตรดังกล่าวแสดงให้เห็นทั้งตราคณะราษฎร อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่มีพิราบขาวบินอยู่เหนือด้านบน เงื่อนไขการใช้ธนบัตร และทิ้งความแสบกวนของคณะราษฎรด้วยประโยค ‘ข้าพระพุทธเจ้า ราษฎรผู้อิ่มแก๊สน้ำตาและน้ำสารเคมีจากภาษีประชาชน’ ทิ้งไว้ที่มุมขวาล่างของธนบัตร
.
แต่ไอเดียธนบัตรเป็ดเหลืองนี่ไม่ได้มาเล่นๆ หรือเอาไว้ล้อรั่วๆ เพราะธนบัตรน้องเป็ดเหลืองนี้สามารถใช้ได้จริง!!
.
โดยธนบัตรเป็ดเหลือง จะเป็นเหมือนคูปองแทนเงินสด ที่ชาวม็อบสามารถนำไปใช้แลกซื้ออาหารต่างๆ ได้กับเหล่ารถ CIA หรือรถขายอาหารที่ร่วมรายการในม็อบ ซึ่งมูลค่าของคูปองใช้ได้ตามมูลค่าหน้าบัตร อยู่ที่ใบละ 10บาท
.
ส่วนกำหนดการใช้งานนั้น ทางเพจคณะราษฎร ได้ประกาศว่า คูปองดังกล่าวพร้อมประกาศใช้วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 โดยเบื้องต้นจะเริ่มประเดิมแจกที่ด้านหน้าสำนักงานใหญ่ SCB จำนวนทั้งสิ้น 3,000 ใบ
.
อย่างไรก็ตามธนบัตรดังกล่าว ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกของโซเชี่ยลถึงความไม่เหมาะสม และอาจจะผิดกฎหมายหากมีการจำหน่ายจ่ายต่อในอนาคต แต่อีกมุมก็มองว่าธนบัตรเป็ดเหลือง เป็นเหมือนคูปองในการใช้แลกอาหารที่เข้าร่วม รวมถึงเป็นการแสดงออกเชิง ‘สร้างสรรค์’ ที่แสนกวนเสียมากกว่า

นับถอยหลัง ‘พิฆาตโควิด-19’ วัคซีนไทยพร้อมชน...กลางปี 64

น่าจะเป็นกระแสแรงที่สยบทุกข่าวร้อนได้เลยสำหรับความคืบหน้าอีกก้าวของวัคซีนโควิด-19 ในบ้านเรา

.

เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะเป็นประธานพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 โดยการจองล่วงหน้าและสัญญาจัดซื้อวัคซีน กับ ‘บริษัทแอสตร้าเซเนก้า’ บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน

.

โดยคณะรัฐมนตรีต่างมีมติเห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แก่ประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้าและการจัดซื้อวัคซีน ในวงเงิน 6,049,723,117 บาท โดยให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ จัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า ภายใต้เงื่อนไขว่ามีโอกาสที่จะได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับวัคซีนดังกล่าว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยพัฒนาหรือเหตุอื่น ๆวงเงิน 2,379,430,600 บาท

.

สำหรับการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้าและสัญญาการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว ‘จะทำใหัคนไทยมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนมากกว่าประเทศอื่น’

.

และคาดว่าจะได้รับวัคซีน ‘กลางปี 2564’ โดยความร่วมมือดังกล่าว ยังหมายรวมถึงการผลิตวัคซีนในประเทศไทย ที่จะใช้โรงงานของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นแหล่งการผลิต ซึ่งไทยจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศ ลดความสูญเสีย สร้างโอกาสทางด้านเศรษฐกิจได้อีกมหาศาล

.

ด้าน ไตรศุลี ตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งข่าวดีเกี่ยวกับการวิจัยวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทแอสตร้าเซเนก้า โดยผลการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีประสิทธิผลเกินข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด 19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 50% ซึ่งการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 แบบ

.

- แบบแรก พบว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 สูงถึง 90%

- ส่วนแบบที่สอง พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่ 62%

.

ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยประสิทธิผลโดยรวมของทั้ง 2 แบบ อยู่ที่ 70.4% แสดงให้เห็นว่าตัววัคซีนนั้นมีความปลอดภัยสูง

Q&A ลุงตู่!! เคลียร์ปมประเด็นร้อน...หลังเกิดเหตุยิงสนั่นหน้า SCB

จากเหตุการณ์ยิงกันที่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ หรือ SCB ภายหลังการชุมนุมเมื่อวานนี้ (25 พ.ย.) ทำให้นักข่าวต่างกรูกันไปสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จนลุงตู่ต้องออกมาพูดถึงการชุมนุมของกลุ่มราษฎรในหลายประเด็น

.

“ตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า หากเป็นการชุมนุมที่ถูกกฎหมายก็ห้ามอะไรไม่ได้ แต่ต้องเป็นการชุมนุมที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตามต้องเคารพกฎหมาย อย่าทำผิดกฎหมาย กฎหมายเขียนว่าอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามนั้น รัฐบาลก็มีหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ไม่ว่าจะกี่พวกก็ตาม แต่ไม่ว่าจะพวกไหน ก็ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย ใครทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีเหมือนกัน” นายกกล่าวและว่า

.

“สำหรับเหตุการณ์ยิงกันหลังการชุมนุมที่ SCB ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่น่าเสียใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ตนกำลังให้เจ้าหน้าที่สอบสวนติดตามอยู่ เห็นว่ามีภาพถ่ายมีอะไรตลอด สื่อก็ได้บันทึกไว้ ก็จะได้พิสูจน์ได้ว่าใครทำกันแน่ ไม่อย่างนั้นก็โยนกันไปโยนกันมาว่าอีกพวกหนึ่งทำ ว่ารัฐบาลทำ ทั้งที่รัฐบาลมีแต่ทำหน้าที่ดูแลให้ทุกคนปลอดภัย มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล เข้าใจหรือไม่ การชุมนุมจะต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดขึ้นอีก จะต้องเป็นการชุมนุมที่ปลอดภัย ถ้าคนไปร่วมชุมนุม ไปแล้วไม่ปลอดภัยเขาก็ไม่ไป”

.

ทั้งนี้มีการสอบถามลุงคู่เพิ่มเติมถึงกรณีการลดความขัดแย้งตรงนี้ว่าจะทางยุติได้อย่างไรต่อไป

.

Q: ควรจะดำเนินการแก้ไขและธรรมนูญให้เสร็จสิ้นโดยเร็วหรือไม่?

ลุงตู่: “การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นกระบวนการของรัฐสภา ซึ่งประธานสภาดูแลอยู่แล้วในเรื่องนี้ รัฐบาลจะไม่ก้าวล่วง เพราะเราเป็นฝ่ายบริหาร ซึ่งการแก้ไขตรงโน้น เป็นเรื่องของพรรคการเมือง ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้าน อะไรก็แล้วแต่ เราไม่มีส่วนร่วมตรงนั้น อย่าเอาปัญหานี้ไปใส่ปัญหานั้น เราเป็นฝ่ายบริหาร ตรงนั้นเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เรื่องแก้รัฐธรรมนูญเราเพียงอำนวยความสะดวกให้มีการแก้ไขเท่านั้นก็จบแล้ว สั่งใครได้ที่ไหนล่ะ”

.

Q: นายกฯได้ประเมินหรือไม่ว่าการชุมนุมจะยืดเยื้อจะส่งผลกระทบมากแค่ไหน?

ลุงตู่: “ผมอยากฝากคนทั้งประเทศให้กังวลด้วยแล้วกัน เพราะผมกังวลอยู่แล้ว ยิ่งชุมนุมนานไป ก็ยิ่งเสียหายมากขึ้น ยิ่งนานไปเศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนไม่ได้ ยิ่งนานไปการจราจรก็ติดขัดมากขึ้น ขอถามหน่อยว่า ได้ประโยชน์กับใคร เขาอาจจะได้ประโยชน์ของเขา แต่หาวิธีการอื่นไม่ได้หรือ ที่ดีกว่า ที่มันสงบ ไม่ให้เกิดอันตราย หรือไปล่วงละเมิดใคร ผมว่ามันควรมองตรงนั้นมากกว่า สื่อช่วยกันพูดหน่อย”

 

รู้จัก ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ ใน ‘10 บรรทัด’ (A4)

1.‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ คือ ทรัพย์สินที่ตกทอดมาตั้งแต่ราชวงศ์จักรี

2.เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงได้ตกมาเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน

3.จากนั้นจะถูกตั้งเป็น ‘สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ ที่มีกระทรวงการคลังดูแล

4.ทรัพย์สินส่วนนี้จะถูกนำไปใช้กับการช่วยเหลือประชาชน

5.อีกส่วนหนึ่งนำมาลงทุนเมื่อได้ผลกำไรจะนำมาถวายต่อในหลวงตามสมควร

6.นอกเหนือจากนั้นจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน

7.ส่วน ‘ทรัพยสินส่วนพระองค์’ คือ ทรัพย์สินส่วนตัวของในหลวง ที่นำไปใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย

8.แต่ก็ต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐรวมไปถึงมูลนิธิต่างๆ ที่ในหลวงก่อตั้งขึ้นด้วย

9.ส่วน ’ทรัพย์สินของราชวงศ์จักรี’ อยู่ใต้การดูแลจาก ‘กรมธนารักษ์’ เช่น ทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลต่างๆ

10.ทรัพย์สินส่วนนี้มีงบปีละ 2,000 ล้านบาทให้แก่สำนักพระราชวัง แต่ยังคงอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกฯ โดยตรง

ผิดกฎหมายชัด!! ศรีสุวรรณ ชี้ คูปองเป็ดเหลือง ผิดหนักโทษแรงถึงจำคุกตลอดชีวิต

หลังจากเมื่อวาลุ่มคณะราษฎร หรือ ม็อบ 25 พฤศจิกายน ได้นัดรวมตัวชุมนุมกันบริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ถนนรัชดาภิเษก

.

โดยมีการผลิตธนบัตรหรือแบงค์เป็ด หรือ คูปองเป็ดเหลือง 3,000 ใบ แจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมในกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งคูปองเป็ดเหลืองมีมูลค่าใบละ 10 บาท หน้าคูปองประกอบด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย – ลูกชิ้นทอด – นกพิราบขาว – หมุดราษฎร – เป็ดยาง โดยสามารถใช้ได้เฉพาะวันที่ 25 พ.ย. 63 และใช้ได้กับร้านค้าที่ร่วมรายการประมาณ 10 ร้านเท่านั้น

.

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแล้วกับผู้ที่นำคูปองดังกล่าวไปใช้ หลังจาก นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกมาชี้ชัดว่า การผลิต การจ่ายแจก หรือนำออกมาใช้ซึ่งธนบัตรเป็ดดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งผู้ผลิต ผู้จ่ายแจก ผู้นำไปใช้ และร้านค้าผู้รับธนบัตรดังกล่าว

.

เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมายที่ควบคุมเรื่องดังกล่าวไว้ คือ พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 ซึ่งในมาตรา 9 ได้บัญญัติไว้ว่า ห้ามผู้ใดทำ จำหน่าย ใช้หรือนำออกใช้ซึ่งวัตถุหรือเครื่องหมายใดๆ แทนเงินตรา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีการกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนไว้ คือ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

.

นอกจากนั้นยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 อีกด้วย โดยบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ‘ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต’ หรือจำคุกตั้งแต่ 10 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาทถึง 400,000 บาท

.

ส่วนผู้ที่นำธนบัตรเปิดออกใช้จ่ายก็มีความผิดตาม มาตรา 244 ที่บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใดๆ อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 300,000 บาท

.

ดังนั้น การผลิตและนำออกมาจ่ายแจกให้ผู้ชุมนุมและร้านค้าใช้ธนบัตรเป็ด จึงเข้าข่ายความผิดทั้งหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถดำเนินการจับกุมดำเนินคดีได้ทันที


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top