นับถอยหลัง ‘พิฆาตโควิด-19’ วัคซีนไทยพร้อมชน...กลางปี 64

น่าจะเป็นกระแสแรงที่สยบทุกข่าวร้อนได้เลยสำหรับความคืบหน้าอีกก้าวของวัคซีนโควิด-19 ในบ้านเรา

.

เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะเป็นประธานพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 โดยการจองล่วงหน้าและสัญญาจัดซื้อวัคซีน กับ ‘บริษัทแอสตร้าเซเนก้า’ บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน

.

โดยคณะรัฐมนตรีต่างมีมติเห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แก่ประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้าและการจัดซื้อวัคซีน ในวงเงิน 6,049,723,117 บาท โดยให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ จัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า ภายใต้เงื่อนไขว่ามีโอกาสที่จะได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับวัคซีนดังกล่าว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยพัฒนาหรือเหตุอื่น ๆวงเงิน 2,379,430,600 บาท

.

สำหรับการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้าและสัญญาการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว ‘จะทำใหัคนไทยมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนมากกว่าประเทศอื่น’

.

และคาดว่าจะได้รับวัคซีน ‘กลางปี 2564’ โดยความร่วมมือดังกล่าว ยังหมายรวมถึงการผลิตวัคซีนในประเทศไทย ที่จะใช้โรงงานของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นแหล่งการผลิต ซึ่งไทยจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศ ลดความสูญเสีย สร้างโอกาสทางด้านเศรษฐกิจได้อีกมหาศาล

.

ด้าน ไตรศุลี ตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งข่าวดีเกี่ยวกับการวิจัยวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทแอสตร้าเซเนก้า โดยผลการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีประสิทธิผลเกินข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด 19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 50% ซึ่งการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 แบบ

.

- แบบแรก พบว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 สูงถึง 90%

- ส่วนแบบที่สอง พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่ 62%

.

ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยประสิทธิผลโดยรวมของทั้ง 2 แบบ อยู่ที่ 70.4% แสดงให้เห็นว่าตัววัคซีนนั้นมีความปลอดภัยสูง