Monday, 29 April 2024
TheStatesTimes

รวมซูเปอร์สตาร์ที่จากไปในปี 2020

กำลังจะเข้าสู่เดือนธันวาคมแล้ว มีใครนึกคล้ายๆ เราไหม อยากให้ปี 2020 นี้ผ่านไปไวๆ เพราปีนี้ดุม้าก! ลำพังแค่โควิด-19 ก็ทำให้ผู้คนทั้งโลกต้องนะจังงัง (หมายถึง ต้องหยุดนิ่งน่ะ) กันไปหมด แถมปี 2020 ยังเป็นปีแห่งการสูญเสีย ‘เหล่าซูเปอร์สตาร์ของโลก’ บอกตรงๆ ว่า ใจหายเอามากๆ

 

เริ่มตั้งแต่ต้นปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม เกิดข่าวช็อกโลก เมื่อ โคบี ไบรอันท์ อดีตนักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ และได้ชื่อว่าเป็นนักบาสเก็ตบอลที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ต้องจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่นักบาสเก็ตบอลคนดัง กำลังจะเดินทางไปที่สถาบันแมมบา พร้อมกับลูกสาวของตัวเอง แต่สภาพอากาศและทัศนวิสัยไม่ดี นักบินพยายามบินวนเพื่อหาทางลงอยู่ราว 15 นาที แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถควบคุมการบินได้ เป็นเหตุให้ ฮ. ตกลงบริเวณภูเขาในเขตเมืองคาราบาซาส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โคบี และลูกสาว รวมถึงคนบนเครื่องรวม 9 ชีวิต เสียชีวิตลงทันที

 

นับว่าเป็นการสูญเสียบุคลากรในโลกกีฬาที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะโคบีเพิ่งจะเลิกเล่นบาสเก็ตบอลอาชีพไปไม่นาน แถมเจ้าตัวยังเพิ่งอายุเพียง 41 ปี ยังสามารถรันวงการบาสเก็ตบอล รวมถึงส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ คนรุ่นใหม่ได้อีกนาน

 

ต่อมาในปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โลกก็ต้องสูญเสียบุคลากรทางการแสดงไปอีกคน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม มีข่าวแจ้งว่า ฌอน คอนเนอรี่ นักแสดงมากความสามารถแห่งโลกฮอลลีวู้ด ได้เสียชีวิตลงที่เมืองบาฮามาส ฌอนคือหนึ่งในตำนานการแสดง โดยเฉพาะกับภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ ‘เจมส์ บอนด์ 007’ ซึ่งเขาคือนักแสดงที่สวมบทบาทสายลับ เจมส์ บอนด์ เป็นคนแรก

 

นักแสดงมากความสามารถคนนี้เป็นดาวที่เวียนว่ายอยู่ในแวดวงภาพยนตร์มาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี มีหนังที่เรียกว่าขึ้นหิ้งมากมาย อาทิ The Hunt for Red October, Highlander, Indiana Jones and the Last Crusade และ The Rock รวมทั้งยังเคยได้รับรางวัลออสการ์ จากบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง Untouchables  

 

ฌอนในวัย 90 ปี ล้มป่วยมาได้ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะจากไปอย่างสงบท่ามกลางสมาชิกในครอบครัว ปิดตำนานเจมส์ บอนด์ คนแรกของโลก และนักแสดงมากความสามารถที่โลกเคยมีมา

และล่าสุด กับการสูญเสียอดีตสตาร์แห่งโลกฟุตบอล ดีเอโก มาราโดนา เจ้าของตำนานแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1986 ร่วมกับทีมชาติอาร์เจนตินา และเป็นไอดอลในโลกฟุตบอลให้กับเด็กๆ หลายยุคสมัย โดยเจ้าตัวเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ขณะนอนหลับอยู่ที่บ้านพัก ก่อนจะเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

 

มาราโดนา เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งโลกฟุตบอล ด้วยความเป็นอัจฉริยะเชิงลูกหนัง ตลอดจนบุคลิกเฉพาะตัวที่มักจะตกเป็นข่าวคราวอยู่เสมอ เขาได้รับการยอมรับ ทั้งจากแฟนบอล และบรรดานักฟุตบอลด้วยกันเอง ภายหลังข่าวการเสียชีวิตของตำนานหมายเลข 10 มีผู้คนและนักฟุตบอลระดับโลกออกมาไว้อาลัยมากเป็นประวัติกาล งานศพของเขามีผู้คนไปร่วมไว้อาลัยมากมาย จนหวิดจะกลายเป็นจราจลขนาดย่อมๆ ทั้งหมดสะท้อนได้ดีถึงความผูกพันและความยิ่งใหญ่ของเขา ที่ยากจะหาใครเทียบเคียงได้จริงๆ

 

นี่เป็น 3 สตาร์ดังที่จากไปในปี 2020 แต่ไม่ว่าเวลาจะเดินทางไปอีกยาวนานแค่ไหน เราก็จะจดจำความยิ่งใหญ่ของพวกเขาตลอดไป...

'Startup Connect' โครงการที่จะทำให้ ‘สตาร์ทอัพไทย’ สายลึกมีที่ยืน

'90% ของ Startup มักจะล้มเหลว'

คำกล่าวนี้คลาสสิคเสมอ สำหรับคนที่มีฝัน อยากสร้างธุรกิจที่เรียกว่า Startup แน่นอนว่าในโลกนี้มี Startup เกิดขึ้นมากมาย หลายรายสามารถกวาดเงินระดมทุนได้ในระดับหนึ่งเพื่อมาต่อยอดธุรกิจ แต่ก็มี Startup จำนวนมากที่ไปไม่รอดในระยะยาว ซึ่งมักจะมาจากปัจจัยที่หลากหลาย

ไม่ว่าจะเป็นโมเดลธุรกิจที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ความสามารถในการเลือกโมเดลธุรกิจที่มาตรงเวลา และการบริหารจัดการองค์กรที่มีสะดุดพลาด

แต่ทราบไหมว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มักจะทำให้ฝันสวยใสของ Startup หายไป คืออะไร?

'แหล่งเงินทุน' นั่นแหละ!!

ต้องยอมรับว่าธุรกิจ Startup ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ Startup ที่พร้อมจะเข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมแห่งโลกใหม่ในยุค 4.0 จำเป็นต้องมีสายป่านในการนำไปในพัฒนาโมเดลธุรกิจ คอขวดของปัญหานี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลเชื่อว่าต้อง 'เชื่อม' ให้ผู้ประกอบการ Startup เดินหน้าได้สะดวก

ปัจจุบัน 'กระทรวงอุตสาหกรรม' เป็นหนึ่งในเจ้าภาพสำคัญที่เข้ามาช่วยทำให้ Startup เก่ง ๆ ได้เจอกับทุนเจ๋ง ๆ เพื่อช่วยเร่งระบบนิเวศน์ของ Startup ไทยให้เกิด 'นวัตกรรมรุ่นใหม่' ไอเดียใหม่ นวัตกรรมใหม่ ๆ

เพราะเชื่อว่าการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ ที่มีไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ มาเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ สร้างธุรกิจ ออกมาสู่ประเทศมากที่สุด สามารถผลักดันให้เศรษฐกิจไทย มี 'อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ' หรือ 'GDP' เติบโตก้าวกระโดด

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ก็ต้องการช่วยกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลาย และหนึ่งในเป้าหมาย คือ นวัตกรรมแบบ 'Deep Technology' หรือนวัตกรรมเชิงลึก ที่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้เดินหน้าไปสู่ยุค 4.0 ได้แบบเต็มขั้น

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2563 รวมระยะเวลา 5 ปีนั้น ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เร่งดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศน์ของ Startup อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

โดยไฮไลท์อยู่ที่การสร้าง 'กระบวนการบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการ' (Incubation) ภายใต้ 'โครงการแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่' หรือ 'Angel Fund'

แต่ปีนี้ (ค.ศ.2020) เป็นอีกปีที่พิเศษอย่างมาก เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เพิ่มมิติของการพัฒนา Startup ให้ครอบคลุมยิ่งกว่าเก่า โดยนำร่องจัดทำ 'โครงการ Startup Connect' เพื่อต่อยอดผู้ประกอบการด้าน Deep Technology ที่อยู่ในระยะเติบโต ให้เชื่อมไปสู่แหล่งเงินทุนสนับสนุนจากนักลงทุน พร้อมทั้งใช้เครือข่ายของนักลงทุนในการขยายช่องทางการตลาดให้เพิ่มมากขึ้น

'Deep Tech (Deep Technology)' หรือ 'เทคโนโลยีขั้นสูง' คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร ลอกเลียนแบบได้ยาก และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีสิทธิบัตรคุ้มครองเพราะผ่านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมอย่างยาวนาน

ตัวอย่าง Deep Tech ที่โด่งดังไปทั่วโลก คือ 'AlphaGo' ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เรียนรู้ด้วยการเก็บข้อมูลจากการเล่นเกมโกะ (กระดานหมากล้อม) กับมนุษย์แล้วประมวลผลข้อมูลจนเข้าใจกติกา และพัฒนาแนวการเล่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเอาชนะแชมป์โกะระดับโลกได้สำเร็จ

ความซับซ้อนของ AlphaGo นี้เองที่เป็นจุดแข็งที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก ผลลัพธ์อันน่าทึ่งนี้เกิดขึ้นด้วยแรงกระตุ้นจากประเด็นใหญ่ระดับมหภาคที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก เช่น ปัญหาโลกร้อน การขาดแคลนพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เป็นต้น

แน่นอนว่า 'โครงการ Startup Connect' นี้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับ Startup โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า 'DeepTech' ได้ก้าวออกออกมาแสดงตัวกันมากขึ้น

โดยมีผู้ประกอบการมาสมัครตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2563 จำนวน 35 ทีม แต่โครงการจำเป็นต้องดำเนินการคัดกรองทีมที่น่าสนใจที่สุดมาเข้าร่วมการนำเสนอโมเดลธุรกิจต่อแหล่งทุน จำนวน 6 ทีม

กิจกรรมเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนและการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ 'โครงการ Startup Connect' รอบนี้ เป็นโอกาสที่น่าสนใจที่เชื่อว่าจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่จะเกิดขึ้นอีกในครั้งต่อ ๆ ไป

นี่คืออีกที่ยืนใหม่ของ Startup ไทย โดยมีรัฐมาช่วย 'เข็น' มากกว่า 'ขัด'


Start Up ของจริง

ไม่ได้มีแต่ในซี่รี่ส์เกาหลี

>> รับชม Start Up Connect Live ถ่ายทอดสด Pitching เพื่อลงทุนจริง!!!

สดจาก ห้องประชุม ชั้น 22 เกษรทาวเวอร์

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.

Facebook Live >> https://www.facebook.com/thestatestimes

Website >> https://thestatestimes.com

8 ไอเดียกระแทกใจ ที่ปล่อยออกมาเมื่อไร 'นักลงทุน' ก็ต้องมอง

ยอมรับว่าไอเดียดี ๆ แผนธุรกิจเจ๋ง ๆ คือ แต้มต่อของธุรกิจ Startup ในการจะเข้ามาขอทุนมาดำเนินธุรกิจต่อ แต่ก็ต้องยอมรับอีกว่า หาก Startup นั้น ๆ ขาดการนำเสนอที่ดี โอกาสหลุดลอยจากเป้าหมาย ก็มีสูงเช่นกัน

แล้วแบบไหน ถึงจะเรียกว่า 'นำเสนอได้ดี' ?

เวลาที่จะพูดถึงการนำเสนองานต่อนักลงทุน เหล่า Startup อาจจะคิดภาพการทำแผนธุรกิจที่มาพร้อมเอกสารหนา ๆ เข้าไปนำเสนอ หรือหนีบไลด์ที่สรุปเนื้อหาเข้าไปพูดคุยแบบแน่น ๆ

ถึงกระนั้นต่อให้ข้อมูลทุกอย่างพร้อม โซลูชั่น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะหรูหรา แต่ถ้าการนำเสนอและการเรียบเรียงลำดับมีความเข้าใจยาก ก็อาจทำให้นักลงทุนไม่เข้าใจในแผนธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของคุณก็เป็นได้

ฉะนั้นเมื่อ Startup ได้รับโอกาสเข้าไปนำเสนอแผนธุรกิจ ควรเตรียมตัวสร้างเสน่ห์ให้มากพอที่จะยั่วยวนจนนักลงทุนอยากจ่ายและยกนิ้วว่าคุณคือ 'The Best' ให้ได้ก่อนแล้วทำอย่างไร?

.

ลองมาดู '8 ไอเดียพิชิตใจนักลงทุน' กันดู

1.) เริ่มเรื่องคุณต้องเล่าให้เห็นภาพปัญหาของตลาดที่พบเจอในปัจจุบัน จนทำให้ต้องมานำสู่การเสนอโซลูชั่นนี้ นี่แหละตัวเรียกแขกให้คนอยากมาลงทุนกับคุณได้ในระดับหนึ่ง เพราะสิ่งที่เรียกว่า 'ปัญหา' มักจะทำให้เกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์พฤติกรรมใหม่ของคนยุคนี้ได้ดีมาก ยิ่งปัญหานั้นเป็นปัญหาใหญ่ วงกว้าง แล้วถูกจัดการแก้ปัญหาได้ด้วยธุรกิจของคุณ โอกาสก็เรียกว่าเกินครึ่งที่เงินทุนจะไหลมาเลยทีเดียว

.

2.) โอกาสและขนาดของตลาด กลุ่มที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของ Startup ของคุณมีอยู่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตรงนี้ต้องวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี โดยปกติทั่วไปแล้ว เรามักจะอ้างอิงตัวเลขกว้าง ๆ ไว้ก่อน แต่ในความเป็นจริง เราควรจะต้องวิเคราะห์ตัวเลขหรือที่มาที่ไปของข้อมูลที่นำเสนอให้ได้โดยละเอียด เช่น ขนาดของตลาดที่ธุรกิจคุณจะเข้าไปจับ อาจไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิดแต่คุณก็ชัดเจนว่าไม่ได้คิดจะทำโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มตลาด Mass ทั้งหมด แต่เน้นการนำเสนอโซลูชั่นที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และแก้ปัญหาให้พวกเขาได้จริง ๆ ตรงนี้ก็มีโอกาสแจ้งเกิดได้เช่นกัน

.

3.) เปิดอกพูดกันตรง ๆ บอกไปเลยว่าการมาขอระดมทุนครั้งนี้ ต้องการนำเงินทุนดังกล่าวไปใช้พัฒนาหรือขยับขยายส่วนใดบ้าง และแผนกลยุทธ์และการเติบโตที่มีความเป็นไปได้จะเป็นอย่างไร เช่น ในช่วง 2 - 3 ปีข้างหน้า แผนการครองตลาดหลักในไทย จะมีกลยุทธ์แบบไหน จะเข้าถึง หรือทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจได้อย่างไร แล้วแผนในการขยายไปต่างประเทศมีไว้รองรับหรือไม่ ตรงนี้จะเรียกว่าขายฝัน ก็ไม่ผิด แต่ต้องเป็นฝันที่แตะต้องได้พอสมควรอย่างเป็นขั้นเป็นตอนกันเลยแหละ

.

4.) การคิดค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร มีแผนการหารายได้อย่างไร บางธุรกิจอาจจะสร้างขึ้นมาด้วย 'ใจ' ล้วน ๆ ไอเดียดี คอนเซ็ปต์เริ่ด แต่ต้องยอมรับว่าอย่างหนึ่งว่า นักลงทุนไม่ใช่ 'เจ้าพ่อการกุศล' เขาหวังที่จะเห็นเม็ดเงิน 'อนาคต' เพื่อกลับมาเป็นกำไรที่งอกเงยจากการลงทุนของเขาเหมือนกัน ถ้าเราทำแล้วมีแผนที่จะต่อยอดรายได้ให้เห็น ถึงแม้ช่วงแรกจะฟรี เช่นเดียวกันกับที่ Facebook และ Google ที่กลายเป็นบริษัทโฆษณาระดับโลก โอกาสก็แค่เอื้อม

.

5.) วิเคราะห์ว่าปัจจุบันมีคู่แข่งรายใดอยู่บ้าง อะไรที่เป็นจุดเด่นของคุณและสามารถสร้างความแตกต่างและแข่งขันได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าผู้เล่นรายใหญ่มีทุนที่หนากว่า ทำโซลูชั่นคล้าย ๆ กัน Startup จะสู้กับผู้เล่นรายใหญ่นี้ได้อย่างไรบ้าง

.

6.) ถ้าคุณดำเนินธุรกิจมาสักระยะแล้ว ควรต้องแสดงให้เห็นถึงการตอบรับของตลาด หรือที่วงการ Startup เรียกกันว่า Traction เช่น มีจำนวนผู้ใช้กี่ราย มีลูกค้าทั้งหมดกี่ราย ถ้าทำธุรกิจประเภท Business-to-Business (B2B) การได้ลูกค้าองค์กรชั้นนำมาเป็นตราประทับยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณมากขึ้น ข้อมูลส่วนนี้เป็นข้อมูลที่ใช้พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นตอบโจทย์ตลาดได้จริงหรือไม่

.

7.) ทีมงานมีใครบ้าง ซึ่งบางคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่ในมุมของนักลงทุนกลุ่ม Startup โดยเฉพาะช่วง Early Stage (ช่วงเริ่มต้นนั้น) เขาดูถึงความสัมพันธ์ของผู้ร่วมก่อตั้ง ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำอะไรมาก่อน ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าคุณกำลังเริ่มทำ Startup ที่ต้องการแก้ปัญหาในภาคธุรกิจก่อสร้าง/อสังหาริมทรัพย์ แน่นอนว่าถ้าคุณเคยมีประสบการณ์โดยตรงในภาคธุรกิจนี้มาก่อน จะทำให้นักลงทุนเชื่อถือในตัวคุณมากขึ้น ว่าคุณเข้าใจตลาด และปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจนี้จริง แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้าใหม่ของวงการเลย และยิ่งเป็นภาคธุรกิจที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางมาก่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างความเชื่อใจจากนักลงทุนได้

.

8.) ผลงานหรือข้อมูลอ้างอิงอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณหรือทีมงานของคุณ เช่น ผลงาน หรือคอนเนคชั่นกับคนมีชื่อเสียง คนที่มีเครดิตที่ทำให้คุณดูน่าเชื่อว่า ถ้านำข้อมูลส่วนนี้มาผสมได้ด้วยจะดีมาก ๆ

.

อย่างไรก็ตาม เทคนิคที่กล่าวมา อาจจะได้ใช้ทุกข้อ หรือบางข้อ ก็เป็นเรื่องที่ Startup จะนำไปพลิกแพลงตามเหตุการณ์ที่เหมาะสม แต่ถ้าอยากทราบวิธีนำเสนอนักลงทุน และ Pitching แบบของจริง จากเวทีจริง และ Startup ผู้มาคว้าโอกาสตัวจริง สามารถรับชม Live สด งาน 'Startup Connect' ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 นี้ได้


Start Up ของจริง ไม่ได้มีแต่ในซี่รี่ส์เกาหลี

>> รับชม Start Up Connect Live ถ่ายทอดสด Pitching เพื่อลงทุนจริง!!!

สดจาก ห้องประชุม ชั้น 22 เกษรทาวเวอร์

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.

Facebook Live >> https://www.facebook.com/thestatestimes

Website >> https://thestatestimes.com

Final Stage!! ร่วมชมและลุ้นไปกับ 6 Startup สายพันธุ์ใหม่ คว้าทุนก้อนใหญ่...เติมไฟธุรกิจ @โครงการ 'Startup Connect'

Start-Up (2020) ซีรีส์เกาหลียอดฮิต ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของคนวัยหนุ่มสาวที่ก้าวเดินจากจุดเริ่มต้น (Start) จนเติบโต (Up) ในธุรกิจ Startup ด้วยความใฝ่ฝันที่อยากจะประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับในฐานะอัจฉริยะ และมีชื่อปรากฏใน 'Silicon Valley' ของเกาหลีใต้ เขาและเธอที่ต่างเป็นตัวละครชวนติดของเรื่องนี้ ได้สร้างแรงผลักดันให้แก่กันและกัน

แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะพวกเขาและเธอ ต่างก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่อีกมากมายทั่วโลกและเมืองไทย ให้อยากก้าวเข้ามาสู่เวทีแห่ง Startup แบบไม่รู้ตัว

จริง ๆ ตอนที่ซีรีส์ชุดนี้ออกมา ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร และมองว่าคงไม่ต่างจากซีรีส์เกาหลีทั่วไป รัก ๆ ใคร่ ๆ กุ๊กกิ๊ก ๆ และแค่หาพล็อตเรื่องแปลก ๆ มานำเสนอ แต่เปล่าเลย ซีรี่ส์เรื่องนี้ สะท้อนแง่มุมที่ 'ไม่ง่าย' ของ Startup ออกมาให้เห็นได้เด่นชัด โดยเฉพาะอุปสรรคของธุรกิจ และที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของเงินทุน

เพราะเงินทุนมากมาย จะไม่มีทางออกมาสู่ธุรกิจ Startup ได้เลย ถ้าแนวคิดทางธุรกิจ ไอเดีย ผู้นำ และแผนในอนาคตไม่เฉียบและเด็ดขาด ในระหว่างที่ซีรีส์เรื่องนี้กำลังดำเนินอย่างเข้มข้น ในบ้านเราก็มีงานใหญ่ของ Startup ไทยสาย Deep Technology (เทคโนโลยีเชิงลึก) ที่เกิดขึ้นจาก 'กระทรวงอุตสาหกรรม' ภายใต้โครงการกิจกรรมเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนและการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ 'Startup Connect'

ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 นี้ เป็นรอบ 'วัดพลัง' แบบสด ๆ ของ 6 กลุ่มธุรกิจสาย Deep Tech ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้ามา Pitching เงินทุนก้อนโต ซึ่งจะนำเสนอและอภิปรายผลงาน/สิ่งประดิษฐ์ด้าน Deep technology ประกอบไปด้วย

.

- บริษัท ทีโออี สมาร์ท โซลูชั่น จำกัด

- ทีมสลัดเก่ง

- บริษัท ไอคิวเมด อินโนเวชั่น จำกัด

- บริษัท อินเทค แวลิ่ว จำกัด

- บริษัท ยู บี เซฟ จำกัด

- บริษัท โชเซ่น เอ็นเนอร์จี้ จำกัด

.

โครงการ 'Startup Connect' ที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้บริษัท อีซีจี - รีเซิร์ช จำกัด ที่สนใจในการร่วมลงทุนกับ Startup มาเป็นผู้ใหญ่ใจดีให้ทุนสนับสนุนหลายร้อยล้านบาท เพื่อสานฝันแก่ Startup ทั้ง 6 ที่สามารถเอาชนะใจบรรดา Angel Fund ได้

โดยเป้าหมายของการสนับสนุนครั้งนี้ มาจากการมองถึงการต่อยอดโมเดล Startup ของแต่ละรายที่จะเป็นผลดีในเชิงเศรษฐกิจไทย ทั้งการลดการนำเข้าเทคโนโลยีที่จากต่างประเทศ และสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่อไป

เรื่องราววุ่น ๆ ของ หนุ่มสาวนักธุรกิจรุ่นใหม่ แห่ง Start - Up (2020) จะลงเอยอย่างไรไม่รู้ แต่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 นี้ คงได้รู้แน่ว่าใครจะคว้าทุนหลักร้อยล้านไปต่อยอดธุรกิจ Startup ของตน

สำหรับใครที่สนใจรับชมไอเดียของ Deep Tech ทั้ง 6 ราย สามารถติดตามชมและเป็นกำลังใจให้ได้ผ่าน Live ของ The States Times ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 นี้ ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.


Start Up ของจริง ไม่ได้มีแต่ในซี่รี่ส์เกาหลี

>> รับชม Start Up Connect Live ถ่ายทอดสด Pitching เพื่อลงทุนจริง!!!

สดจาก ห้องประชุม ชั้น 22 เกษรทาวเวอร์

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.

Facebook Live >> https://www.facebook.com/thestatestimes

Website >> https://thestatestimes.com

ผิดที่ ถูกเวลา

กรณีศึกษา​ โกยซีนการเมือง​ ผ่านเวที​ Cat Expo7

ต่อให้อุณหภูมิการเมืองบ้านเราจะร้อนแรงเหมือนแดดเผาแค่ไหน แต่คนไทยก็ใช่จะต้องกลัว​ เพราะวิธีดับเรื่องร้อน ๆ​ มันมีอยู่เยอะแยะ

เมื่อไม่กี่วันมานี้​ก็เพิ่งจะมีงานเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้นผ่ากลางสมรภูมิการเมืองแบบคู่ขนาน​ ในชื่องาน 'Cat Expo7'​ ที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 - วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ที่สวนสนุกวันเดอร์เวิลด์ (รามอินทรา กม.10) เพื่อที่ดับร้อนของคนที่อยากฉีกหนีจากโลกการเมืองสักพัก

แต่ไหงคนที่เข้าไปงาน​ Cat Expo7 ถึงแอบบ่นว่างานนี้โคตรร้อนกว่าเดิม แต่ร้อนที่ว่านี่คือ​ 'อารมณ์ร้อน'​

ก็จะไม่ให้ร้อนได้ไง!! งานก็ไม่ใช่งานฟรี​ คนอยากไปดูคอนเสิร์ตดีๆ​ เพื่อหนีการเมือง​ ก็ดั๊นนน... มาเจอดราม่าการเมืองบนเวทีดนตรีอีก​ เฮ้ย!! มันผิดที่

เรื่องมีอยู่ว่าช่วงเวลาของศิลปินวง​ T_047 ได้อัญเชิญแกนนำราษฎรขึ้นมาบนเวทีคอนเสิร์ตไม่ว่าจะเป็น รุ้ง, ไผ่ ดาวดิน, แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ พร้อมแกนนำคนอื่นๆ

ทั้งหมดได้มีส่วนร่วมร้องเพลงกับศิลปิน T_047 ซึ่งจริงๆ​ ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร​ และจบลงด้วยดีไร้ความรุนแรงใดๆ นอกจากการชูสามนิ้ว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคณะราษฎรทิ้งท้าย

แต่เรื่องที่น่าสนใจไม่ได้อยู่ที่การขึ้นมาร่วมร้องเพลงของแกนนำเหล่านี้ แต่มันอยู่ที่ความเหมาะสมของการกระทำที่เกิดขึ้น

เพราะถึงแม้แกนนำม็อบจะไม่ได้มาปราศรัยเต็มรูปแบบ​ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวที​ 'ฉกฉวย'​ ซีน​ ที่หวังว่าจะมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ให้คนที่กำลังเมามันกับสิ่งที่เรียกว่า​ 'ดนตรี'​ เคลิ้มตาม

แน่นอนว่าโดยภาพรวมของงาน​ ก็มีศิลปินหลายท่านที่แสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองในแบบของตนผ่านทางเสื้อผ้า คำพูด หรือวัตถุ แบบตรงและอ้อม

แต่นั่นก็ไม่ได้ไร้มารยาทดั่งเช่นศิลปิน T_047 ที่ชวนแกนนำม็อบขึ้นมาร่วมร้องเพลง

นี่ถือเป็นเรื่องของมารยาททางสังคม​ล้วน​ เพราะเชื่อว่าผู้กระทำย่อมรู้อยู่แล้วว่า “ผิดที่” ผิดเวลา​ แต่มันดัน “ถูกเวลา” เป๊ะ ๆ

ต่อให้ทั้งคอนเสิร์ตเป็นแฟนคลีบม็อบทั้งหมด​ ก็เชื่อเถอะว่า​ บางส่วนก็คงมิได้เห็นด้วย​ เพราะงานดนตรีควรเป็นที่ของทุกคนที่มีความชื่นชอบในเสียงเพลง และไม่ควรนำความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นมาเป็นประเด็น​ โดยใช้พื้นที่งานในการแสดงออก แล้วทำให้ผิดไปจากจุดมุ่งหมายที่เจ้าของงานตั้งใจที่จะจัดเทศกาลดนตรีนี้ขึ้น

การแสดงออกทางการเมืองมีมากมายหลายวิธี และก็เถียงไม่ได้ว่า “ดนตรี” นี่แหละก็เป็นอีกทางที่ใช้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ แต่ความสร้างสรรค์นั้น ก็ควรต้องอยู่บนพื้นฐานของ “กาลเทศะ” ด้วย

แยกแยะเรื่องแค่นี้ยังไม่ได้​ แล้วในอนาคตใครจะกล้าให้มาแยกแยะงานใหญ่ยิ่งกว่า​ หากประเทศไทยต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ​ ล่ะ​

ปัญหา 'ช่องว่างระหว่างวัยในที่ทำงาน' แก้ได้

หลายคนเคยวาดฝัน ว่าเมื่อฉันเรียนจบไปแล้ว ฉันจะเดินเข้าสู่ที่ทำงานทันสมัย ใหม่ ๆ ดี ๆ เท่ ๆ คูล ๆ บลา ๆๆๆ ทว่าตัดกลับมาในฉากชีวิตจริง วันแรกของการทำงาน คือบริษัทเก่าซูเปอร์โบราณ แถมยังมีหัวหน้างานที่แทบจะยกมือไหว้เรียก...คุณพ่อ!!

เป็นธรรมดา ภาพฝันกับภาพความจริง มักไม่ค่อยแนบสนิทชิดเป็นภาพเดียวกันสักเท่าไร แถมหนำซ้ำ การมีหัวหน้าเป็นคุณพ่อ เอ้ย! การมีหัวหน้าอายุคราวคุณพ่อ ยังทำให้หลายคนต้องพกแผงยาพาราเซตตามอลไว้บนโต๊ะตลอดเวลา เพราะต้องกินแก้ปวดหัว จากปัญหาการสื่อสารด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจ หรือไม่ก็เป็นการสั่งงานที่เชื่องช้า ทุก ๆ งาน ทุก ๆ อย่าง มักต้องเริ่มจากนับหนึ่งเสมอ พอจะแนะนำอะไรไป ก็ทำหน้างงใส่ แถมพูดเสียงแข็ง 'นี่ผมเป็นหัวหน้าคุณนะ!'

เจอ 'ปัญหา' ที่เรียกว่า หัวหน้าแก่แบบนี้ หลายคนตั้งธงในใจ ได้งานใหม่เมื่อไร 'กรูไปแน่!!'

ใจเย็น ๆ ก่อนครับ ชะลออารมณ์เบื่อหน่าย แล้วมาตรึกตรองกันดูดี ๆ เสียก่อน 

เริ่มต้นที่คำว่า 'ปัญหา' มองกันให้ชัด ๆ ว่าปัญหาจริง ๆ คือ หัวหน้างานที่แก่ หรือว่าที่จริงแล้ว เป็นเราเองที่แก่? 

'แก่' ในที่นี้ หมายความว่า ใจเราเองหรือเปล่า ที่เหมือนคนแก่ ที่ไม่ยอมเปิดรับ ภาษาอังกฤษเรียก ไม่ 'Open Mind' คอยตั้งกำแพงกับสิ่งที่หัวหน้าบอกหรือพูดอยู่หรือไม่ ลองทุบกำแพง หรือแม้แต่แง้มประตูออกสักนิด ไม่ต้องเปิดมากก็ได้ เปิดพอให้ 'มุมมองที่แตกต่าง' ได้เข้ามาในสมองและความคิดของเราดูบ้าง 

บางทีอะไรที่มันเคยไม่ใช่ พอมองดี ๆ มันกลับกลายเป็นความลงตัวขึ้นมาก็เป็นได้ รถยนต์มีคันเร่งให้เหยียบไปได้เร็วปรู้ดปร้าด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเหยียบคันเร่งเร็วแบบนั้นเสมอไป ผ่อนลงมาบ้าง จะได้เห็นอะไร ๆ ที่แตกต่างตั้งมากมาย 

ยิ่งเมื่อเราผ่อนคลาย ช่องว่าง (Gab) ระหว่างเรากับหัวหน้า ที่เคยห่างไกลลิบ ๆ ก็จะค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ไม่ต้องห่วงนะว่าจะดูเหมือนว่าเรายอมเขา เพราะหากว่าเขาเป็น 'หัวหน้างานที่ดี' เขาจะปรับท่าที และขยับเข้าหา เพื่อเรียนรู้กันและกันมากขึ้น

ปัญหาเรื่องอายุที่ห่างกัน หากมองในแง่ดี ยิ่งเราอายุห่างจากหัวหน้างานมากเท่าไร เราก็จะได้ 'ประสบการณ์' มากขึ้นเท่านั้น และจงเชื่อเถอะว่า ไม่มีประสบการณ์ไหนที่เก่า หรือเป็นประสบการณ์หมดอายุ ใช้งานไม่ได้ เพราะประสบการณ์คือตัวแปรของความรอบคอบ รอบคอบในการทำงาน รอบคอบในความคิด ในการตัดสินใจ แล้วที่สำคัญ ประสบการณ์ไปหาซื้อตามห้างสะดวกซื้อที่ไหนไม่ได้ ซึ่งบางที มันอยู่ที่ 'หัวหน้างาน' ของเรานี่ล่ะ

ไม่มีใครเริ่มต้นงานแล้วสามารถเป็นหัวหน้างานได้ทันที เมื่อก่อนคนที่เคยเป็นหัวหน้า ก็ต้องเคยเป็นลูกน้องมาก่อนทั้งนั้น เหมือนกับเราในตอนนี้ที่กำลังเป็นลูกน้อง แต่วันหนึ่ง เราก็จะขึ้นไปเป็นหัวหน้าแทนบ้าง แล้ววันนั้น เราก็จะมีลูกน้องมองเราว่า 'แก่' เพียงแต่ถ้าเราเข้าใจในการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านนี้ สุดท้าย..เราจะสามารถยิ้มให้กับเจ้าลูกน้องคนนั้นได้อย่างสบายใจ

เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ตื่นเช้าก่อนเข้าออฟฟิศ ซื้อขนมปัง ปาท่องโก๋ ไปฝากคนแก่ เอ้ย! ไปฝากหัวหน้าสักหน่อยแล้วกัน แล้วอะไร ๆ จะดีขึ้นแน่นวล...   

ชำแหละ VAR ส่งผลดีหรือผลเสียต่อโลกฟุตบอล?

เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ผลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคู่ระหว่าง ไบรท์ตัน กับ ลิเวอร์พูล ที่จบลงไปด้วยการเสมอกัน 0-0 ดูจะทำให้เหล่าบรรดาสาวกหงส์แดงคันตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า หลายคนมีอาการอยากกระโดดโอเวอร์เฮดคิกเข้าใส่ที่หน้าจอทีวีตอนถ่ายทอดสด เนื่องด้วยลิเวอร์พูลถูกริบประตูไป 2 ประตู ด้วยฝีมือของ ‘พี่ VAR’ แถมที่เดือดขั้นสุดยิ่งไปกว่านั้น คือช่วงท้ายของเกม ลิเวอร์พูลมาโดนจับเช็ก VAR จนเสียลูกจุดโทษ ส่งผลให้ไบรท์ตันมาตามตีเสมอได้สำเร็จ

 

เจออิทธิฤทธิ์ ‘พี่ VAR’ เข้าไปแบบนี้ ด้านผู้จัดการทีมหงส์แดง เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงกับออกอาการหงุดหงิด ทำไม VAR ถึงได้ส่งผลต่อเกมฟุตบอลมากมายขนาดนี้ แล้วตกลง VAR มันส่งผลดีหรือผลเสียต่อฟุตบอลกันแน่ มาหาคำตอบกัน!


VAR หรือ Video Assistant Referees หรือในความหมายภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ‘กรรมการที่ตัดสินจากภาพ’ เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้การตัดสินของ ‘จารย์’ หรือ ‘ผู้ตัดสิน’ ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น

ถึงตอนนี้ เริ่มนำมาใช้กันได้สัก 2-3 ปี ถ้าเอาผลลัพธ์ในมุมบวก แน่นอน การตัดสินในกรณีลูกน่ากังขา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วก็ดี หรือเหตุการณ์ที่กรรมการ คนดู หรือแม้แต่นักฟุตบอลด้วยกันเอง ดูไม่ทันก็ดี เหล่านี้ ช่วยได้ด้วย VAR

อีกอย่างหนึ่งคือ ทำให้นักฟุตบอลต้องยอมรับในคำตัดสิน เพราะภาพหลายมุมที่ถูกจับด้วยกล้องนับสิบๆ ตัว ยังไงก็ละเอียดมากพอที่จะทำให้นักฟุตบอลไม่กล้าเถียง แต่เมื่อพูดถึงมุมบวก มันก็มีมุมคู่ขนานกัน จะเรียกว่ามุมลบก็พูดไม่ได้เต็มปากนัก เรียกว่าเป็นมุมอับของ VAR ก็แล้วกัน

ที่เห็นกันชัดๆ คือ เกมฟุตบอลในวันนี้ มีสกอร์ที่ได้จากลูกจุดโทษมากขึ้น เพราะค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่ของผลที่ออกมาจาก VAR มักจะลงท้ายด้วยการให้จุดโทษ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายๆ เกมในวันนี้ คนดูมุ่งเป้าโฟกัสไปที่ ‘จุดโทษจาก VAR’ มากกว่าเกมในสนามเสียอีก แถมที่เป็นตลกร้ายกว่านั้น บางนัดที่เกมตื้อๆ ทำอะไรกันไม่ได้ แฟนบอล(บางราย) ร้องหา ‘เมื่อไรจะมีลูกโทษจาก VAR วะ!’

ตลกร้ายเข้าไปอีก หากมีช็อตที่ผู้เล่นกระทบกระทั่งกันเพียงเล็กน้อย หรือเอาเท้าแหย่กันให้หกล้มในเขตโทษ ประโยคที่ดังก้องสนามก็คือ VAR!!

อันนี้เป็นมิติของคนดูนะครับ ส่วนมิติของผู้เล่นในสนาม เอามุมที่แย่ที่สุดก่อน จากเมื่อก่อนที่จะมีผู้เล่นที่เป็นสายพุ่ง สายดีดตัว ที่เป็นจอมเรียกจุดโทษ โชคดีฟาวล์จริงก็แล้วไป แต่โชคร้ายตั้งใจเป็นนักแสดง พอแสดงไม่เข้าตากรรมการ ก็อาจะถูกใบเหลืองจากจารย์ไปได้ ทว่าเมื่อวันนี้มีพี่ VAR เข้ามาเป็นตาวิเศษเห็นนะ กลับกลายเป็นว่า เราจะได้เห็นสายดีด สายพุ่ง สายล้ม มากขึ้นอย่างเสียไม่ได้

ลองสังเกตช่วงท้ายของเกมที่เสมอกันกันดูสิครับ เกิดกรณีดราม่ากันมาแล้วกี่คู่?

เล่ามาถึงตรงนี้ ไม่ได้บอกว่า เทคโนโลยี VAR ไม่ใช่ของดี หรือกลายเป็นตัวทำให้เกมฟุตบอลผิดเพี้ยนไป แต่ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่า มาเป็นผู้ช่วย (assistant) ไม่ใช่คนตัดสินใจ ชี้ถูก ชี้ผิด เป็นตัวช่วยให้เห็นว่า ผลลัพธ์ควรเป็นอย่างไรต่างหาก

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดๆ บนโลกนี้ ที่เหนือกว่าเทคโนโลยี ก็คือ ‘คน’ นี่ล่ะ เทคโนโลยีมันออกมาเพื่อรองรับคน ดังนั้น คนอย่างเราๆ นี่แหละ ที่จะต้องนำพาเทคโนโลยีไปเกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์มากที่สุด

ปิดท้ายด้วยการย้อนเวลาไปยังยุคฟุตบอลโบราณ สมัยนั้นไม่มีหรอกรองเท้าสตั๊ด หรือปุ่มสตั๊ดที่เป็นเหล็ก หรือสนับแข้ง หรือแม้แต่ถุงมือโกล์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อะไรๆ เหล่านี้ก็ได้เข้ามาเพื่อ ‘ช่วย’ ให้นักเตะและเกมฟุตบอลมีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หันกลับมาที่เทคโนโลยี VAR ในวันนี้ ก็เชื่อว่ามันเกิดขึ้นมาด้วยความประสงค์ที่จะทำให้เกมฟุตบอลสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่เราแล้วล่ะว่า จะใช้มันให้ตอบโจทย์กับคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ได้มากน้อยเพียงใด

30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556...สตาร์ดัง พอล วอล์คเกอร์ เสียชีวิต

นึกถึงหนังสายความเร็วระดับตำนาน หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อ The Fast and The Furious และหากให้นึกต่อไป ภาพที่หลายคนจดจำได้ดี คือ 2 นักแสดงนำของเรื่อง วิน ดีเซล และ พอล วอล์คเกอร์

 

ย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน มีเหตุการณ์ช็อกแฟนหนัง เมื่อมีข่าวว่า พอล วอล์คเกอร์ เกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตามรายงานข่าวแจ้งว่า เขากับเพื่อนได้ขึ้นไปทดลองรถ Porsche Carrera GT เพื่อทดสอบหมุนรถ แต่รถเกิดเสียหลักพุ่งชนกับต้นไม้ข้างทาง เพลิงลุกไหม้ทำให้พอลและเพื่อนเสียชีวิตลงทั้งคู่

 

จากข่าวช็อกๆ นี้ ทำเอาแฟนหนังของเขาพากันเศร้าสลด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวละคร ‘ไบรอัน โอคอนเนอร์’ ในหนังฟาสต์ฯ นั้น เป็นตัวละครที่คนดูรักและติดตามกันมาตลอด การจากไปของเขาอย่างกระทันหัน จึงทำให้หนังที่ถูกสร้างภาคต่ออีกหลายภาคนั้น ต้องถูกนำมาพิจารณากันใหม่อีกครั้ง

 

พอลเริ่มต้นชีวิตการแสดงภาพยนตร์มาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1987 กับหนังเรื่อง Monster in the Closet ก่อนจะเริ่มมีผลงานมากขึ้นตลอดช่วงทศวรรษที่ 90 อาทิ Meet the Deedles Phil Deedle, Pleasantville, Skip Martin และใน ค.ศ. 2001 เขาก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนัง The Fast and the Furious หลังจากนั้นชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังเหมือนพลุที่ถูกจุดขึ้นไปบนฟ้า มีหนังต่อแถวให้เขาไปร่วมงานด้วยอีกมากมาย รวมไปถึงหนังฟาสต์ฯ ที่ถูกสร้างภาคต่อมาอีกหลายภาค

 

พอลเสียชีวิตขณะถ่ายทำหนังฟาสต์ฯ ภาคที่ 7 แต่ในที่สุด ภาคดังกล่าวนั้นก็ถ่ายทำจนเสร็จสิ้น โดยต้องใช้นักแสดงสแตนอิน เล่นแทนตัวเขาถึง 4 คน ปัจจุบันแม้หนังจะดำเนินต่อมาถึงภาคที่ 9 แล้ว แต่แฟนๆ หนังสายความเร็วเรื่องนี้ ก็ยังจดจำและนึกถึง ‘ไบรอัน โอคอนเนอร์’ อยู่เสมอ

 

วันนี้ครบ 7 ปีของจากไป แฟนหนังอย่างเราก็ขอแสดงความไว้อาลัย และเขาจะอยู่ในใจแฟนหนังตลอดไป...

 

 

 

 

วาทะแห่งปี!!! จาก 'ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์'

วาทะแห่งปี!!

จาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ถึงเวลายืนบนขาตัวเอง บางส่วนก็ยังดี

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

.

สิ้นเดือนนี้ (วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563) ทางประเทศลาวได้มีการทดลองเดินเครื่องกลั่นน้ำมัน LAOPEC บริษัทปิโตรเคมี ลาว - จีน โรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของลาว เพื่อนำใช้ภายในประเทศ ลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และทำให้ราคาน้ำมันภายในประเทศลดลง นอกจากนี้ ยังสร้างงานให้แก่ประชาชนกว่า 200 ตำแหน่ง

ซึ่งโรงกลั่นบริษัทปิโตรเคมี ลาว- จีน จำกัด จะใช้วัตถุดิบนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเมื่อน้ำมันดิบผ่านกระบวนการกลั่นสำเร็จจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ประกอบด้วย

- น้ำมันเบนซินประมาณ 2.38 แสนตัน หรือ 300 ล้านลิตร

- น้ำมันดีเซลประมาณ 3.8 แสนตัน หรือ 450 ล้านลิตร

- แก๊สหุงต้มประมาณ 15,200 ตัน

- สารเบนซินประมาณ 10,600 ตัน

ซึ่ง สปป.ลาว นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป หลายล้านตันต่อปี ในราคาที่สูงเกินไป ดังนั้น โรงกลั่นปิโตรเคมีนี้ จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันและลดราคาลงไป นาย ปานี พวงเพด รองผู้อำนวยการ บริษัท ปิโตรเคมี ลาว-จีน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ...

"บริษัท ปิโตรเคมีลาวออยล์ จำกัด โรงกลั่นน้ำมัน ตั้งอยู่ในเขตพัฒนา กวมลวมไชเชดถา นครหลวงเวียงจันทน์ นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 280,000 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุน 179 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้บริษัท ปิโตรเคมีลาว - ​​จีนในมณฑลยูนนาน และ กลุ่มก่อสร้างและการลงทุนยูนนาน ถือหุ้น 75% บริษัท รัฐวิสาหกิจน้ำมันเชื้อไฟลาว 20% และ บริษัทร่วมทุนลาว - ​​จีนถือหุ้น 5% 

โรงงานแห่งนี้ ยังคงมีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการตลาด เพราะเมื่อผลิตออกมาแล้ว แต่ยังไม่มีที่ขาย เนื่องจากทุกบริษัท ต่างแข่งขันกันในการจัดซื้อและนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง สิ่งนี้จะทำให้เรามีความท้าทายมากเพราะเป็นงานที่ยาก ดังนั้น เราต้องศึกษาตลาดอย่างรอบคอบเพื่อดูว่าอุปสงค์ในประเทศของเรามีมากน้อยเพียงใด เพื่อให้แน่ใจว่าการผลิตของเราเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ปัญหาด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากเนื่องจากโรงงานของเราตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมือง ซึ่งเราได้เอาใจใส่ดูแลในการดำเนินการและการจัดการเป็นอย่างดี โดยไม่ปล่อยควัน ออกมาในปริมาณมาก และใช้ระบบบำบัดที่มีความทันสมัย  เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ ไม่ส่งผลเสียต่อประชาชนโดยรอบพื้นที่”


ที่มา  ປະເທດລາວ Pathedlao

หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชน​และภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนํา​ภาคเอกชนไทย​ บุกตลาดอินโดจีน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top