Wednesday, 24 April 2024
TheStatesTimes

"นิวนอร์มอล" รับปริญญา ในรัฐปะหัง ประเทศมาเลเชีย มาแล้ว

คอลัมน์ "สายตรงจากเคแอล" 

รับปริญญาแบบ new normal - มหาวิทยาลัยในประเทศมาเลเซีย University College of Yayasan Pahang (UCYP) ในรัฐปะหัง นำร่องจัดพิธีรับปริญญาบัตรแบบใหม่โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการตัดต่อเสมือนจริง

ผู้สำเร็จการศึกษาเหมือนได้ร่วมรับพระราชทานปริญญาบัตรกับสมเด็จพระราชินี รายา ประไหมสุหรี (Her Majesty Raja Permaisuri Agong Tunku Hajah Azizah Aminah Maimunah Iskandariah binti Almarhum Al-Mutawakkil Alallah Sultan Iskandar Al-Haj.) พระองค์จริง

เนื่องจากมาเลเซียยังอยู่ในช่วงล็อคดาวน์ประเทศจากการระบาดของโรคโควิด 19 ดังนั้นพิธีการต่างๆจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อสอดคล้องตามมาตรฐาน (SOP) ของรัฐบาลมาเลเซีย

ซึ่งการรับปริญญารูปแบบใหม่นี้ ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นทั้งหมด 3 ครั้งคือ ตั้งแต่วัน 9 - 11 ตุลาคม , 16 - 18 ตุลาคม และ 23 - 25 ตุลาคม ทั้ง 3 ครั้งจัดขึ้นในปีนี้ (ค.ศ.2020) ที่ผ่านมา ซึ่งการจัดงานดำเนินไปด้วยดีมีผู้สำเร็จการศึกษา 376 คน

Cr: houseofpahang

.

ผิงกั่ว 

สาวเมืองชล ตั้งรกรากชานกรุงกัวลาลัมเปอร์​ ตามสามีคนจีนมาเลย์​  ชีวิตท่ามกลางคนจีน​ แขกมาเลย์​ และแขกอินเดีย​ พหุวัฒนธรรม​ ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่​ มาเล่าสู่กันฟัง

กระตุ้นเศรษฐกิจแบบอินเดีย

คอลัมน์ "หลังม่านส่าหรี"

วัฒนธรรมการจิบชายามบ่ายของผู้ดีอังกฤษ ถ่ายทอดมาให้ชาวอินเดียในยุคล่าอาณานิคมที่อังกฤษเข้ายึดครองดินแดนเอเชียใต้ พร้อมเอาชามาปลูก แล้วถ่ายทอดการจิบชาสู่คนพื้นเมือง

ชาหอม ๆ ใส ๆ จิบกันเช้าสายบ่ายเย็น และก่อนนอนกันทีเดียว แต่เรื่องเล่าชาวอินเดียบอกว่าการจิบชาของชาวอินเดียมีมาก่อนเจ้าอาณานิคมอังกฤษเข้ามายึดครอง แต่ไม่มีชื่อเสียง และได้รับการส่งเสริมการปลูกชาอย่างจริงจัง จนมีชื่อเสียง เช่น ชาอัสสัม ชาสิกขิม ชาอู่หลง และอื่น ๆ ในเวลาต่อมา จนสร้างเศรษฐกิจให้อินเดียจากการขายชาส่งออก

.

ชาอินเดียจริง ๆ ที่มีชื่อเสียงมากคือ "ชามาซาร่า" ที่วางขายข้างทางริมถนนทั่วไปราคาแก้วละ 10 รูปี หรือ 5 บาทไทย รสชาติหวานหอมผสมเครื่องเทศ กลิ่นเตะจมูก จะออกแนวรักสุขภาพ

ร้านชาที่มีชื่อเสียงมาในอินเดียและสาขาค่อนข้างเยอะคือ"ร้าน Chaayos" เป็นร้านชาในดวงใจเลยทีเดียว มีเมนูให้เลือกมากมาย รวมทั้งเมนูของว่างด้วย

.

จุดที่น่าสนใจคือเศรษฐกิจจาก "ถ้วยชาดินเผา" นี่แหละ

เนื่องจากคนอินเดีย มีคนจนมากมาย การสร้างงาน การกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าเลยต้องมีคนขายชาเลยนิยามว่า "ชาถ้วยเก่ารสชาติจะไม่อร่อยเท่ากับชาถ้วยใหม่ กินแล้วอย่าใช้ซ้ำให้ทิ้งไปเลย" และคนขายจะให้ถ้วยดินเผาแก่ลูกค้าโดยไม่ขี้เหนียวเลย

"นี่น่าจะเป็นวิธิกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าที่แหลมคมมาก"

.

“จิญา”

พยาบาลสาวไทยจากนครปฐม ผู้พบรักกับหนุ่มฮินดูชาวอินเดีย ตอนนี้มีพยานรักตัวน้อย 1คนใช้ชีวิตในดินแดนฮินดู เมืองคุรุคาม (Gurugram) รัฐหรยาณา ทางใต้นครหลวงเมืองนิวเดลี ราว ๆ 30 กิโลเมตร สรรหาเรื่องเล่า ที่พบเจอระหว่างอยู่ที่นั่นมาเล่าให้ฟัง เรื่องแปลก คนแปลก และวิถีชีวิตที่คนไทย ไม่คุ้นเคย

พิธีการรับปริญญาใน'บรูไน' ประเทศที่ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

คอลัมน์ "เสียงจากเกาะบอร์เนียวตอนเหนือ บรูไน"

กษัตริย์บรูไน สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัสซานัล โบลเกียห์ มอบปริญญาแก่ผู้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย University of Brunei Darussalam (UBD) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ประเพณีนี้รับสืบต่อมาจากอดีตเจ้าอาณานิคมอังกฤษ เหมือน ๆ กับประเทศในเครือจักรภพหลาย ๆ ประเทศ

ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดของบัณฑิตทุก ๆ คนในประเทศบรูไน เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ มอบให้แก่บัณฑิต แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยเอกชน ก็มอบหมายให้องคมนตรีหรือผู้แทนพระองค์

ในประเทศไทยพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรก มีขึ้นที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2473 หรือราว 90 ปีที่แล้ว โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และถือว่านี่คือต้นแบบประเพณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จไปในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้

มหาวิทยาลัยแห่งชาติบรูไนเป็นมหาวิทยาลัยที่ติด Times Higher Education(THE) World University Ranking ครั้งแรกในปีนี้

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยจาก 3 ชายแดนภาคใต้ทุก ๆ ปี ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ยัน ปริญญาเอก ค่าใช้จ่ายทุกอย่างทางรัฐบาลบรูไนสนับสนุน ใครมีผลการศึกษาดี ทางมหาวิทยาลัยจะสนับสนุนให้เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยอีกต่างหาก

https://borneobulletin.com.bn/2020/11/his-majesty-to-graduates-maintain-integrity-faith/

.

อะมีนะห์

สาวไทยมุสลิม เกิดใจกลางกรุงเทพ ชีวิตผกผันแต่งงานกับหนุ่มบรูไน ตั้งรกรากปากกัดตีนถีบแต่มีความสุขดี ยังชีพกับการเผยแพร่อาหารไทย มีความรักผูกพันบ้านเกิดทุกลมหายใจ เลี้ยงลูกสองคน วันนึงจะพาลูกมารู้จักแผ่นดินที่เเม่เกิดให้มากขึ้น แนะนำเพื่อนบ้านบรูไนจากกรุงเสรีเบการ์วันให้คนไทยรู้จักมากขึ้น

หยุดพฤติกรรม ‘Silo’ เพราะเรื่องของ ‘กู’ อาจทำให้ Me too ‘So Slow’

หลังจากคุณ กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์รวมธุรกิจการค้าออนไลน์ในไทย ภายใต้นโยบาย ‘คนละครึ่ง’ และรวมถึงยอดขาย ‘11.11’ ที่ผ่านมา

ผลปรากฏที่เด่นชัดมาก ๆ คือ คนไทยค่อนข้างพร้อมกับการใช้จ่ายแบบสังคมไร้เงินสดพอสมควร

สังเกตุจากโครงการคนละครึ่งที่พอมีการเปิดให้ลงทะเบียนรอบ 2 ก็ลงกันสิทธิ์อย่างรวดเร็ว มียอดการใช้จ่ายผ่านแอพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ ไปแล้วถึง 13,764 ล้านบาท กระจายสู่ร้านหาบเร่แผงลอยได้กว่า 650,000 ร้าน

ที่น่าสนใจในุมมของคุณกรณ์ คือ ตอนนี้รัฐได้ทำให้คนกว่า 12 ล้านคนยอมรับและคุ้นเคยกับการใช้ Cashless (ไร้เงินสด) มากขึ้น และเช่นเดียวกันผู้ค้ากว่า 6.5 แสนรายก็เข้ามาอยู่ในระบบดิจิทัลไปเรียบร้อย (และลุงตู่ก็คงยิ้มแป้น)

แต่ก็มีคำถามตามมาว่า ทำไมประเทศไทย ไม่พัฒนาระบบ e-Commerce Platform ของตัวเองแบบเป็นจริงเป็นจังสักที

ทั้ง ๆ ที่ยอดการใช้จ่ายในโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นทุกปี ตัวภาครัฐก็มีข้อมูล ‘Big Data’ มากมายมาตุนไว้ อุปสรรคคืออะไร? ทำไมเรายังไม่ไปถึงจุดนั้น?

ลองจินตนาการต่อไปว่าในอนาคต หากรัฐเปิดโอกาสให้คนไทยเสนอขายสินค้าโดยตรงกับผู้บริโภคตามฐานข้อมูลที่รัฐมี

รวมถึงรัฐคอยช่วยสนับสนุนด้วยโปรโมชั่นต่าง ๆ และบริการส่งของผ่านไปรษณีย์ไทย...นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ e-Commerce Platform ของไทยที่เรารอคอยก็ได้

คำตอบหนึ่งที่ได้จากบทสรุปนี้คืออะไร

ปัญหาใหญ่ที่เด็กอมมือก็ยังรู้ คือ รัฐไทยยังทำงานกันแบบ ‘Silo’ หรือต่างคนต่างทำ อย่างกรณีโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ตัวข้อมูลอยู่ที่กระทรวงการคลัง แต่ผู้ที่มีพันธกิจสร้าง e-Commerce Platform คือ กระทรวงดิจิทัล และกระทรวงพาณิชย์

ผลคือการทำงานแบบตัวใครตัวมัน และทำให้เกิดปัญหา ‘คอขวด’ เวลาต้องคิดโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ที่ล่าช้า

ว่าแต่ ‘Silo’ ที่คุณกรณ์พูดถึงนี้คืออะไร?

Silo มาจาก Siloed Organization หรือ Siloed Company มีความหมายตรงตัว คือ แผนกต่าง ๆ ในองค์กรเดียวกัน ไม่ยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือองค์ความรู้ระหว่างกัน

โดยสัญญาณที่บ่งชี้ว่า Silo กำลังเข้ามาครอบงำการทำงานไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือรัฐบาลในตอนนี้ คือ...

1.) ภาครัฐไม่สามารถใช้เทคโนโลยีหรือช่องทางการสื่อสารเพื่อแบ่งแยกกำลังซื้อจริงของประชาชน กับกำลังซื้อแฝง ยกตัวอย่างเช่น ทีมการตลาดหรือทีมบริหารไม่คิดจะดูแลคนที่ซื้อของไปแล้ว ราวกับคนที่ยังไม่ได้ซื้อของ เพราะฝ่ายเซลล์กับฝ่ายการตลาดไม่คุยกัน สุดท้ายก็ทำลายประสบการณ์ของลูกค้า

2.) ความแปลกหน้าในองค์กร สัญญาณเตือนภัย คือ หากไม่รู้จักคนหรืองานจากนอกทีม ซึ่งไม่ได้หมายถึงให้ต้องรู้จักแบบละเอียด จะไม่มีวันเข้าใจปัญหาของแต่ละฝ่ายได้เลย ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นบริษัทเล็ก ๆ ก็ควรรู้จักชื่อของทุกคน แต่ถ้าเป็นองค์กรใหญ่อย่างน้อยก็ควรจะรู้ชื่อและช่องทางติดต่อระดับบริหารแต่ละแผนก เพื่อให้เกิดการทำงานแบบประสานมือได้ง่ายขึ้น

3.) ภาวะ ‘เรา’ กับ ‘เขา’ ระหว่างแผนก จะทำให้เกิดภาวะการแข่งขันเชิงเห็นแก่ตัว เพราะไม่มีการแชร์ข้อมูลและขาดความร่วมมือร่วมใจ เหตุกลัวว่าอีกทีมจะได้หน้า แต่สุดท้ายจะแพ้ฝ่าย

4.) พนักงานที่ถูกเพิกเฉย หรือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม และถูกปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่น อาจจะไม่มีความสุข รู้สึกไม่มีประโยชน์ และเสี่ยงต่อการแชร์หรือปั่นหัวสิ่งที่ไม่ดีกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ

5.) การทำงานซ้ำซ้อน เพราะไม่มีการสื่อสารกัน ไม่มีทางที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไป ได้ทำซ้ำกับคนอื่นหรือแผนกอื่นหรือไม่ ธุรกิจที่ขาดความร่วมมือจะมีคนและทีมงานที่ทำงานในโครงการที่คล้ายกัน ซึ่งนำไปสู่ความไร้ประสิทธิผลและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานไปอย่างน่าเสียดาย

ฉะนั้นไม่ว่าจะรัฐหรือองค์กรไหนควรสร้าง Sharing is caring และ Knowledge is power ด้วยการร่างระบบการทำงานที่ทุกคน ‘ควรรู้ในสิ่งที่ควรรู้’ และต้อง ‘ไม่ต่างคนต่างรู้’ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งของการ Move on

การทำงานของรัฐในมุมของคุณกรณ์ จึงเหมือน Silo ที่หากปล่อยไปเรื่อย ๆ ไอ้สิ่งดี ๆ ที่จะคิดสร้างสรรค์หรือทำต่อในอนาคต (ซึ่งเชื่อว่ามีอยู่มาก) จะยิ่งไกลฝั่งออกไปๆ เลยล่ะลุงตู่!!…

.

อ้างอิง: เฟซบุ๊ค กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij / ETDA Thailand

ปรับร่างยังไงให้พร้อมเริ่มงานใหม่

ยังจำ ‘ยุ่น’ ในหนังฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามรักหมอ กันได้อยู่ใช่ป่ะ

ในเรื่อง ยุ่น เป็นฟรีแลนซ์กราฟิกขั้นเทพ ผลิตงานได้แบบไม่หลับไม่นอน จนสุดท้ายเม็ดขึ้นเต็มตัว ชีวิตจริงของบรรดาคนทำอาชีพฟรีแลนซ์ก็มีความคล้ายคลึงอย่างหนัง แต่อยากเตือนว่า ทำงานหาเงินจนป่วย แต่ป่วยแล้วเอาเงินไปรักษาตัว เพื่อ?

แต่เป็นฟรีแลนซ์มายาวนาน เกิดวันหนึ่งมีอันต้องไปเป็นพนักงานประจำ ประมาณว่า จากคนที่กินนอนไม่เป็นเวลา ประเภทนอนตี 5 ตื่น 6 โมงเย็น เริ่มงาน 2 ทุ่ม แต่จู่ ๆ กลับต้องเข้านอน 3 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้า เพื่อไปเข้างาน 8 โมง งานนี้ร่างกายมีเพี้ยนแน่นอน The States Times Lite ชวนคนที่ต้องเจอเรื่องราวทำนองนี้ มาเตรียมร่างกายให้พร้อมกันดีกว่า

.

1.) ฝึกการนอนใหม่ : ก่อนจะเข้าเริ่มงานประจำ ควรเปลี่ยนพฤติกรรมการเข้านอนตามใจฉัน ให้กลายเป็นเวลานอนประจำให้ได้ แรก ๆ อาจจะยากสักหน่อย เพราะเปลี่ยนอะไรไม่ยากเท่าเปลี่ยนนิสัยตัวเองนี่ล่ะ จากทฤษฎีที่เคยมีนักวิจัยในต่างประเทศได้บันทึกเอาไว้ การเปลี่ยนนิสัยที่เคยชินจะสามารถเปลี่ยนได้เฉลี่ยที่ 60 วัน หรือพูดง่าย ๆ ว่า อยากจะเปลี่ยนนิสัยที่ทำประจำสักอย่าง ต้องใช้เวลากว่า 2 เดือน เพราะฉะนั้น เตรียมปรับนิสัยการนอนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้เลย

.

2.) ต้องหัดกินอาหารเช้า : มันคือเรื่องเบสิกที่เคยฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่ามื้อเช้าคือมื้อที่ดีที่สุด แต่เป็นฟรีแลนซ์มาตลอด เรื่องมื้อเช้านี่แทบจะลืมไปได้เลย แต่การกลับมากินมื้อเช้าเพื่อเริ่มต้นการทำงานประจำ จะช่วยทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะระบบประสาทและกลไกการทำงานสมอง ทำให้มีความจำที่ดีขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น

.

3.) ดื่มน้ำให้มากขึ้น : นี่ก็เบสิกอีกเรื่อง แต่เชื่อเถอะว่า ช่วงแรก ๆ ของการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้าระบบการทำงานประจำ คุณจะมีภาวะแปรปรวนทางร่างกายค่อนข้างสูง เรื่องหนึ่งที่สามารถช่วยได้ คือการดื่มน้ำ น้ำสะอาดมีประโยชน์ครอบจักรวาลจริง ๆ ดื่มวันละ 7 - 8 แก้วต่อวัน ทำให้สดชื่นขึ้นแน่ ๆ และทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ รวมถึงการทำงานของระบบย่อยอาหารก็จะดีขึ้นด้วย

.

4.) ออกกำลังกาย : เมื่อเข้าสู่ชีวิตงานประจำ ร่างกายต้องทำงานหนักกว่าตอนอยู่กับบ้านแน่นอน เพราะฉะนั้น ออกกำลังกายไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ร่างของเรามีกำลังวังชา ออกไปสู้รบกับภารกิจการงาน ตลอดจนชั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยฝุ่นภายนอก จำไว้เสมอ หากมีเวลา จงออกกำลังกาย!

.

5.) อาหารเสริม : อันนี้ไม่ได้แนะนำบรรดาอาหารเสริมที่ต้องไปซื้อหามาในราคาแพง ๆ แต่อาหารเสริมดี ๆ มีอยู่ในของที่เรามักไม่กินนี่ล่ะ จากที่เคยเขี่ยออกนอกจาน หรือเลี่ยงไม่กิน ลองหันมากินดู เช่น มะเขือเทศ ผักโขม หรือพวกถั่วต่าง ๆ ที่ว่ามาเหล่านี้ เป็นผัก - ผลไม้ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเซลล์ประสาททั้งนั้น กินเข้าไปเถอะ ช่วยบำรุงสมองล้วน ๆ เพราะเมื่อไรที่เข้าสู่การทำงานประจำ ได้ใช้สมองเต็มที่แน่นอน

เริ่มงานประจำ ใจพร้อมแล้ว กายก็ต้องพร้อมด้วย เตรียมตัวดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ตามนั้นนะ...

กัน ‘ ม็อบ ’ ไว้ดีกว่าแก้

วันที่ 16 พฤษจิกายน พ.ศ. 2563 นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ได้กล่าวถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยของรัฐสภา หลังจากมีประกาศจากผู้ชุมนุมทั้งฝ่ายกลุ่มราษฎรและกลุ่มไทยภักดี ได้มีประกาศชุมนุมใหญ่หน้ารัฐสภาในวันที่ 17 พฤษจิกายน พ.ศ. 2563 นี้ เพื่อติดตามการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยนายชวน ได้กล่าวว่า "ตนได้กำชับให้ดูแลในส่วนภายในอาคารสภาฯเป็นหลัก ในส่วนบริเวณภายนอกให้รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ ดูแล โดยขอย้ำว่าต้องไม่ประมาทแต่ไม่ใช่กลัวจนกระทั่งมีปัญหา เพราะสุดท้ายแล้วการชุมนุมสามารถทำได้ตามกฎหมาย หากอยู่ในความสงบไร้อาวุธและไม่คุกคามใคร"

อัสลามมุอะลัยกุม​ ริมทางถนนคาราโครัมไฮเวย์

GB Election 2020

วันนี้วันสุดท้าย ที่ทุกคนมีโอกาสหาเสียง พรุ่งนี้วันเลือกตั้ง พรรค PPP ขึ้นคะแนนความนิยมมาอันดับ 1

(ผู้นำพรรคคือ บิลลาวาล บรุตโตร ตระกูลนักการเมืองที่แท้จริง)

คุณมาเรียม นาวาส บุตรสาวของคุณนาวาส ชารีฟ ตอนนี้พ่อหนีคดีอยู่ลอนดอน นายกเก่าโดนจับฐานคอรัปชั่น รอบนี้ส่งลูกสาวมา พรรคอื่นจะชอบดิสเครดิตเธอด้วยคำว่า พ่อมันเป็นโจร มันก็เป็นลูกโจร ยังจะเลือกมันมาอีก!!!

การหาเสียงที่นี่​ ดุเดือดเลือดพล่าน​ การเมืองทั่วโลก ก็เป็นแบบนี้แหละ เปิดตา เปิดใจมองนะคะ ส่วนนายกฮิมราน ข่าน อยู่พรรค PTI ปีนี้คะแนนตกฮวบ ๆ เนื่องจากของแพงทุกอย่าง และแก้ไขเรื่อโควิดทางเหนือได้แย่ แต่ที่บ้านเชียร์ท่านนายกนะคะ ท่านสนับสนุนการท่องเที่ยว และของแพงเพราะท่านอยากยกระดับปากีสถาน น้องชายของเรา อิสรา น้องแท้ๆ ลงเลือกตั้งเขตพาสสุ ไคเบอร์ กุลมิต จัลราบัด

สามีเรามีน้องอยู่พรรค​ PPP (พรรคของบิลลาวาล บุตโต )มารอลุ้นพรุ่งนี้ ว่าแกจะได้เป็นผู้แทนหรือไม่ นโยบายขายฝันหรือประชานิยมของที่นี่​ ก็มีมากมาย เช่น แจกแป้งทำโรตีฟรี (ส่วนนายกปัจจุบัน​ไม่แจกฟรี จ่ายกระสอบละพัน)

ผู้สนับสนุนการท่องเที่ยวมีแค่นายก กับบิลลาวาล นอกนั้นอาจจะไม่สนใจหรือไม่แคร์เลย

พวกเราคนทางเหนือยังชีพได้ด้วยการท่องเที่ยว​ เราจึงสนับสนุนคนที่ช่วยเหลือและนำพานักท่องมา​ GB มากที่สุด การเลือกตั้ง​ของที่นี่จะต่างกับหลายประเทศ​ อาจจะเพราะเหตุผลประเทศกว้างใหญ่​ และการสัญจรลำบาก​ เวลาเลือกตั้งแต่ละรอบเลยไม่ตรงกัน​ แต่ รอบนี้เป็นของโซน​ GB​หรือทางเหนือของประเทศ

รายงานจากเมือง​พาสสุ​ เมืองเล็กๆทางตอนเหนือของประเทศใกล้กับพรมแดนจีน​ -​ ปากีสถาน​ เมืองนี้อยู่ในรัฐกิลกิตบาติสถาน ​(Gilgitbaltistan)

ยืนยันว่าหนูเป็นคนไทยคนเดียวบนถนนคาราโครัมไฮเวย์​ในเวลานี้ ถนนนี้ในอดีตคือเส้นทางสายไหม​ และเป็นถนนที่สูงที่สุดในโลก หนูนอนหนาวท่ามกลางอุณหภูมิ​ติดลบทุกคืน​ โอ๊ย​หนาวจัด

.

.

.

.

.

.

.

.

.

กุลไลล่า

ไกด์สาวชาวไทย​ สะใภ้​ปากี​สถาน จากหัวหิน​พบรักหนุ่มปากีเชื้อสายวาคี อาศัยอยู่เมืองพาสสุ​ ดินแดนเหนือสุดของประเทศปากีสถาน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารริมถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ถนนที่ได้รับการขนานนามว่าสูงที่สุดในโลก​ หรือเส้นทางสายแพรไหมในอดีต​

คอยต้อนรับแขกที่ผ่านทางมา​ แวะกินอาหารไทย​และชิมชา​ เบเกอรี่ชื่อดัง​ ทางเหนือของปากีสถานได้​ พร้อมให้บริการท่องเที่ยวปากีสถาน​หลังโควิด​-19 ผ่านไป

8 ปีที่รอคอย!! ไทยเข้า ‘ตี้’ RCEP หุ้นส่วนเศรษฐกิจ 15 ชาติสะเทือนโลก

ประเทศไทยปิดดีล RCEP เรียบร้อย หลังการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ที่ยาวนานกว่า 8 ปี จบลงโดยมี 15 ชาติพันธมิตรเข้าร่วม หากนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2555 ก็เรียกว่าผ่านมาเนิ่นนานร่วม 8 ปี ของการเจรจา RCEP!!

RCEP คืออะไร?

RCEP มีชื่อย่อมาจาก Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เป้าหมายของการก่อตั้ง RECP ก็เหมือน ๆ กับการตั้ง EU ในยุโรปนั่นแหละ เพราะเป็นการรวมกลุ่มเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ การค้า และให้แก่ทุกประเทศที่เข้าร่วม

โดยอยู่ภายใต้ระบบการค้าเสรีที่ใช้กฎระเบียบเดียวกันของผู้มีส่วนใน RCEP (ภาคี) ที่มีทั้งหมด 15 ประเทศ แบ่งเป็รนชาติอาเซียน (รวมไทย) 10 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาอีก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ การรวมตัว RCEP จะทำให้เกิดภาพอะไรขึ้น?

- ประชากรในประเทศสมาชิก RCEP จะครอบคลุมคนถึง 2.2 พันล้านคน หรือเกือบ 30% ของประชากรโลก

- คาดจะเกิดมูลค่าการค้ารวมกว่า 10.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 326 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นเกือบ 28% ของมูลค่าการค้าโลก

- และสร้างตัวเลข GDP รวมกันกว่า 26.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 817.7 ล้านล้านบาท) หรือ 30% ของ GDP โลก

.

จะเรียกว่าความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาครอบนี้ กลายเป็นเรื่องใหญ่ของโลกเลยก็ได้ เพราะ RCEP จะเหมือนกับ 1 ประเทศใหญ่ที่คิดเป็นมูลค่าเศรษฐกิจได้ถึง 1 ใน 3 ของโลกกันเลยทีเดียว เมื่อทั่วโลกเห็นภาพแบบนี้ จะมีใครไม่อยากมาลงทุน พอมาลงทุน เม็ดเงินก็ไหลเวียนในระบบประเทศสมาชิก เกิดตลาดงานใหม่ โครงการใหม่ ๆ เกิดการสะพัดทางเม็ดเงินเศรษฐกิจแบบต่อเนื่อง สรุปประเทศรวย ประชาชนก็สบาย

ฉะนั้นทุกประเทศที่อยู่ในการเจรจา RCEP ต่างพยายามให้ข้อตกลงนี้ลุล่วง

แล้วก็เป็นข่าวดีมาก ๆ โดยเฉพาะกับไทย เพราะร่วมปิดดีลนี้ได้แล้ว!! โดยรัฐบาลไทยที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เข้าร่วมประชุม RCEP รอบนี้ และมี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นผู้ลงนาม RCEP กันทางออนไลน์ไปเป็นทีเรียบร้อย

จากนั้นคาดว่า เมื่อแต่ละประเทศให้สัตยาบัน ก็น่าจะเริ่มเปิดเสรี RCEP ทางการค้าและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้ในช่วงครึ่งหลังปี พ.ศ.2564

ผลบวกที่ 15 ชาติ RCEP รอคอย?

- RCEP นั้นจะทำให้ประเทศสมาชิกสามารถซื้อขายสินค้าและบริการได้อย่างเสรี ‘ไร้กำแพงภาษี’ ใน 15 ประเทศ RCEP

- RCEP ในส่วนของอาเซียน อาจจะได้อานิสงค์จากประเทศจีน ที่ถือเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่ฟื้นตัวจากวิกฤต COVID-19 ได้สำเร็จ

- การลงนามในข้อตกลง RCEP จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจอาเซียนฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยเชื่อมเศรษฐกิจอาเซียนเข้าสู่เศรษฐกิจโลกได้ง่ายยิ่งขึ้น

.

ทั้งนี้ RCEP ได้ถูกยกให้เป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประเทศสมาชิกประกอบไปด้วยอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาอีก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดีย, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่อินเดียได้ถอนตัวออกไปก่อนหน้านี้ จึงเหลือแค่ 15 ประเทศ เพราะอินเดียกลัวปัญหาสินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้าประเทศ

แม้จะขาดตลาดใหญ่อย่างอินเดีย แต่ก็เชื่อว่าประเทศสมาชิกใน RCEP ที่ว่ามาก็ยังสร้างระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้อยู่ดี

ความลุล่วงของ RCEP ในช่วงเวลานี้ จึงนับเป็นข่าวดีอย่างมากของเศรษฐกิจไทย!!

เพราะในจังหวะที่ทั่วโลกยังเจอปัญหาโควิด-19 แต่ไทยเราสามารถรับมือได้ จะเป็นแต้มต่อที่ผสมกับแรงหนุนใหม่ที่มี 15 ชาติ RCEP ผลักให้ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้ไวกว่าเดิม...

คลังชง ‘คนละครึ่ง’ เฟส 3 ต้องได้ไปต่อ!!

ในระหว่างที่การท่องเที่ยวยังกระตุ้นได้ 100% โครงการ ‘คนละครึ่ง’ ที่ได้รับการตอบรับดี จึงเตรียมถูกเข็นต่อในเฟส 3

ทั้งนี้ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภา ตอนหนึ่งถึงโครงการคนละครึ่ง ว่า โครงการคนละครึ่งได้รับการตอบสนองด้วยดี ซึ่งตนได้แจ้งไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ถึงการต่ออายุมาตรการ ในระยะสอง และ ‘จะมีในระยะสาม’ เพื่อให้เม็ดเงินกระจายสู่เศรษฐกิจฐานราก หลังดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น จากโครงการดังกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top