Friday, 25 April 2025
TheStatesTimes

นักเรียนจีนแห่เปลี่ยนเส้นทาง เริ่มเบนเป้าออกจากสหรัฐฯ หลังทรัมป์คุมเข้มนโยบายการศึกษาและวีซ่า

(24 เม.ย. 68) นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง กำลังสั่นคลอนความนิยมของสหรัฐฯ ในหมู่นักเรียนจีนอย่างหนัก ทั้งการตัดงบมหาวิทยาลัย เข้มงวดเรื่องวีซ่า และตั้งข้อกล่าวหาด้านความมั่นคง ส่งผลให้จำนวนผู้สมัครเรียนต่อในอเมริกาลดลงต่อเนื่อง กระทบภาพฝัน “American Dream” ที่เคยเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักศึกษาจีนมายาวนานกว่า 15 ปี

นักเรียนจำนวนมากเริ่มหันไปมองทางเลือกใหม่ เช่น สหราชอาณาจักร อิตาลี หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยชั้นนำในจีนเองที่กำลังไต่อันดับโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยคุณภาพงานวิจัยและโอกาสทำงานหลังเรียนจบที่ดึงดูดใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ทำให้หลายครอบครัวเริ่มลังเลต่อการลงทุนด้านการศึกษาข้ามทวีป

ข้อมูลจาก Open Doors ระบุว่า จำนวนนักเรียนจีนในสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 277,398 คนในปีการศึกษา 2023/24 ลดลง 4.2% จากปีก่อนหน้า และลดลงถึง 25.5% จากจุดสูงสุดในปี 2019/20 โดยนักเรียนจีนสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กว่า 14,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ทว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจทำให้เม็ดเงินจำนวนนี้ไหลออกไปยังประเทศอื่นแทน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในเวทีการศึกษาระดับโลก

นักศึกษาจำนวนหนึ่งยังเลือกกลับมาเรียนและทำงานในฮ่องกงหรือจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะในสาขาที่มีโอกาสทำงานหลังเรียนจบและได้รับทุนวิจัยมากขึ้น รายงานจาก China Daily ระบุว่า ในปี 2023 มีนักเรียนจีนระดับปริญญาเอกกลับประเทศถึง 21,574 คน เพิ่มขึ้น 51% จากปี 2020 โดยมากกว่าครึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเอเชีย

แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเรียนต่างชาติ แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายที่เข้มงวดขึ้น อาจทำให้ประเทศสูญเสียบทบาทผู้นำด้านการศึกษาและนวัตกรรมในระยะยาว ขณะที่ประเทศอื่นๆ กำลังเปิดรับและช่วงชิงโอกาสนี้อย่างเต็มที่

หุ่นยนต์จีนบุกตลาดโลก หลังนโยบายรัฐดันบริษัท AI แห่งอนาคต ผุดกว่า 4,500 แห่งในประเทศ เปิดศึกบุกยึดฐานเทคโนโลยีระดับโลก

(24 เม.ย. 68) จีนกำลังกลายเป็นมหาอำนาจด้านหุ่นยนต์ AI อย่างรวดเร็ว โดยมีบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์มากกว่า 4,500 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของจำนวนบริษัท AI ทั่วโลก การเติบโตนี้ได้รับการสนับสนุนจากนโยบาย 'AI Plus' ของรัฐบาลจีนที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ในปี 2023 อุตสาหกรรม AI ของจีนมีมูลค่ารวมกว่า 578 พันล้านหยวน (ประมาณ 81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยบริษัทจีนได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ AI หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่หุ่นยนต์รูปแบบมนุษย์ที่สามารถทำงานในโรงงาน ไปจนถึงหุ่นยนต์บริการในภาคการแพทย์และการขนส่ง ตัวอย่างเช่น บริษัท UBTECH Robotics ได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในสายการผลิตรถยนต์ และกำลังเตรียมการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

การขยายตัวของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ AI ในจีนยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนของรัฐบาลและภาคเอกชน โดยเฉพาะในเมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทจีนยังได้แสดงศักยภาพในงาน CES 2025 ที่ลาสเวกัส โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ AI ที่ล้ำสมัย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานทั่วโลก

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐและเอกชน จีนกำลังกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ AI และมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในตลาดโลกในอนาคตอันใกล้

ไทย–จีน ความสัมพันธ์บนเส้นทางไมตรี กับตำนานใช้ลูกผูกใจของ ‘สังข์ พัธโนทัย’

(24 เม.ย. 68) ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกทั้งใบกำลังอยู่ในห้วงแห่งการสั่นสะเทือน ประเทศมหาอำนาจล้วนแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจนระหว่างโลกเสรีและกลุ่มคอมมิวนิสต์ เวลานั้นประเทศไทยภายใต้การนำของจอมพลปพิบูลสงครามได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยในเวลานั้นมีความสัมพันธ์กับจีนที่เบาบางมากเนื่องจากไม่ลงรอยกัน

จนกระทั่งในที่สุดวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ญี่ปุ่นลงนามยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ถือเป็นการสิ้นสุดของสงครามโลกอย่างเป็นทางการ สำหรับประเทศไทย แม้จะเคยประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) แต่ภายหลังได้ประกาศว่าการประกาศสงครามนั้นเป็นโมฆะ เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญและไม่ใช่เจตจำนงของประชาชนชาวไทย

ก่อนหน้านั้น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา โดยประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน

พระองค์เสด็จนิวัติพระนครครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ก่อนจะเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อ ดังนั้นการตัดสินใจเข้าร่วมสงครามในปี 2485 ภายใต้การนำของจอมพลป.ถึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 8 นั่นเอง

รัชกาลที่ 8 นั้นเสด็จนิวัติอีกครั้งเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 การเสด็จกลับครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการกลับมาขององค์พระประมุขผู้ทรงบรรลุนิติภาวะ หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการฟื้นฟูศักดิ์ศรีของชาติไทยในสายตาประชาคมโลก หลังการยุติสงครามและการถูกครอบงำโดยญี่ปุ่น

แม้จะยังทรงพระเยาว์ แต่รัชกาลที่ 8 ทรงสามารถเอาชนะใจประชาชนได้อย่างรวดเร็ว พระราชกรณียกิจที่เป็นที่กล่าวถึงมากคือ การเสด็จเยือนย่านสำเพ็งเพื่อสมานรอยร้าวระหว่างชาวไทยกับชาวจีนหลังสงคราม นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงรับเสด็จ ลอร์ด หลุยส์ เมานต์แบตเทน ผู้บัญชาการทหารฝ่ายสัมพันธมิตรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการตรวจพลสวนสนามที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2489 โดยทรงฉลองพระองค์จอมทัพไทยอย่างสง่างาม เป็นการแสดงออกว่าประเทศไทยไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นหรืออยู่ในสถานะพ่ายแพ้สงคราม

เหตุการณ์นี้ได้เปลี่ยนทัศนคติของประชาชนชาวไทยที่มีต่อสงครามและต่อสถานะของชาติอย่างมาก นับเป็นช่วงเวลาที่รัชกาลที่ 8 ทรงมีบทบาทในเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองและการทูตระหว่างประเทศอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสงคราม ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในข้อหาเป็นอาชญากรสงคราม เนื่องจากบทบาทของเขาในการนำประเทศไทยเข้าสู่สงครามเคียงข้างญี่ปุ่น เขาถูกควบคุมตัว ณ เรือนจำศาลาแดง ร่วมกับผู้ใกล้ชิดทางการเมืองคนสำคัญ — สังข์ พัธโนทัย ที่ปรึกษาและนักโฆษณาชวนเชื่อผู้ทรงอิทธิพล

ทั้งสองอยู่ในห้องขังด้วยกันราว 6 เดือน ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งปล่อยตัวในช่วงต้นปี พ.ศ. 2489 โดยเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ และคำประกาศสงครามของไทยในยุคสงครามนั้นเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ตามมาหลังสงคราม และการเสด็จกลับของรัชกาลที่ 8 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บรรยากาศของความขัดแย้งในประเทศผ่อนคลายลง

หลังจากนั้น สังข์ พัธโนทัย กลับมาทำงานด้านสื่อและกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมสัมพันธ์กับจีน เขาไม่ได้มีตำแหน่งทางการทูต แต่กลายเป็นผู้นำเสนอแนวทาง "การทูตสองหน้า" เพื่อเปิดประตูไปยังจีนโดยไม่ขัดกับท่าทีที่ไทยใกล้ชิดกับสหรัฐ

ในปี พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) สังข์ทำสิ่งที่โลกในเวลานั้นแทบไม่เข้าใจ — เขาส่ง ลูกชายและลูกสาว ไปอยู่ภายใต้การอุปการะของ โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ “มิตรภาพที่ฝากทั้งชีวิตไว้ได้”

สิรินทร์ พัธโนทัย วัย 8 ขวบในขณะนั้น เป็นหนึ่งในเด็กสองคนนั้น เธอเติบโตอยู่ในประเทศจีน 14 ปี และได้รับความรักเฉกเช่นสมาชิกในครอบครัวของโจว เธอให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า “ได้รับความรักและความเมตตาอย่างแท้จริงจากโจวเอินไหล” ปัจจุบันเธอยังพูดภาษาจีนได้คล่อง และถ่ายทอดภาษานั้นไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน

สายสัมพันธ์นี้เป็นมากกว่าการทูต — มันคือความไว้วางใจที่ลงลึกในระดับครอบครัว

ในเวลาเดียวกัน สังข์พยายามอย่างเงียบ ๆ ที่จะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างอดีตคณะราษฎรสองสาย — จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ ปรีดี พนมยงค์ ให้กลับมาจับมือกันอีกครั้ง โดยหวังว่าความร่วมมือของทั้งสองอาจเปลี่ยนอนาคตของประเทศได้

ทั้งสองเริ่มติดต่อกันผ่านรหัสลับ พูดถึงการกลับมาดื่มไวน์ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เหมือนเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่ปารีส

แต่...วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) จอมพล ป. เสียชีวิตกะทันหันด้วยโรคหัวใจ สะพานที่สังข์ปูไว้จึงจบลงก่อนที่ใครจะทันข้าม

ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ความพยายามเหล่านั้นได้ออกดอกผล เมื่อ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทย ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเป็นทางการ และจีน...คือฝ่ายที่จำได้ดีว่า คนไทยคนแรกที่กล้าไว้ใจเขาคือใคร

สังข์ พัธโนทัย ไม่ได้มีชื่ออยู่ในรายนามเอกอัครราชทูต หรือรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่ชื่อของเขา คือไม้แผ่นแรกของสะพานที่ทุกคนเดินตามในภายหลัง

‘กองทัพอากาศ’ ยกระดับความพร้อมเต็มขีดความสามารถ ดูแลถวายความปลอดภัย ‘ในหลวง-พระราชินี’ เตรียมเสด็จฯ เยือนภูฏาน

(24 เม.ย. 68) กองทัพอากาศดำเนินการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้าย เพื่อสนับสนุนและถวายความปลอดภัยในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25 – 28 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยมีการจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างรอบด้าน เพื่อให้การเสด็จฯ เป็นไปอย่างเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

เมื่อวันที่ 22 – 23 เมษายน พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติพาโร ประเทศภูฏาน เพื่อสำรวจพื้นที่จริง ตรวจสอบความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นด้านความปลอดภัยและการบิน

การเยือนในครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในสายสัมพันธ์ระหว่างไทยและภูฏาน กองทัพอากาศจึงให้ความสำคัญสูงสุดในการดำเนินภารกิจ ทั้งในด้านการสนับสนุนทางเทคนิคและการถวายความปลอดภัย เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีและความพร้อมของกองทัพในการรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างเต็มกำลัง

สำนักงานมวยฯ เร่งสอบกรณี ‘มวยตลก’ บนเวทีดัง ชี้ย่ำยีศักดิ์ศรีมวยไทย ‘ฝ้าย เมฆะ’ – ‘แป้งฝุ่น’ โร่ขอโทษแล้ว

(24 เม.ย. 68) กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล หลังมีการเผยแพร่คลิป “มวยตลก” บนเวทีมวยจังหวัดอุดรธานี ซึ่งผู้ขึ้นชกแต่งกายไม่เหมาะสมและแสดงพฤติกรรมล้อเลียนการชกมวย ทำให้คนในวงการมวยไทยวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการย่ำยีเวทีอันศักดิ์สิทธิ์ และละเมิดขนบธรรมเนียมที่มีครูบาอาจารย์

นายณัฐพล อันตระเสน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้สั่งการให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จังหวัด ตรวจสอบว่าเวทีดังกล่าวได้รับอนุญาตจัดการแข่งขันอย่างถูกต้องหรือไม่ พร้อมย้ำว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเวทีมวยต้องได้รับการปกป้อง ไม่ใช่ถูกใช้เป็นพื้นที่สร้างคอนเทนต์โดยขาดความเคารพ

ด้าน “ฝ้าย เมฆะ” และ “แป้งฝุ่น” สองอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ออกมาขอโทษต่อสาธารณะและวงการมวยไทย ยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ขาดความยั้งคิด และให้คำมั่นว่าจะไม่ทำพฤติกรรมในลักษณะนี้อีก พร้อมขอใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญในการเคารพศิลปะแม่ไม้มวยไทยต่อไป

ภูฏานประดับพระบรมฉายาลักษณ์-ธงชาติไทยทั่วเมือง เตรียมต้อนรับเสด็จฯ ในหลวง–พระราชินี เยือนอย่างเป็นทางการ 25–28 เม.ย.นี้

(24 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก 'โบราณนานมา' โพสต์ภาพพร้อมข้อความเผยว่า ราชอาณาจักรภูฏานได้ประดับพระบรมฉายาลักษณ์และธงชาติไทยในพื้นที่ต่าง ๆ เตรียมความพร้อมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

ทั้งสองพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25–28 เมษายน 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งในหลวงทรงรับคำเชิญด้วยความปีติยินดียิ่ง

การเสด็จฯ เยือนในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างสองราชอาณาจักร ที่มีมิตรภาพอันยาวนาน สืบเนื่องจากมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในพระพุทธศาสนา และสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และประชาชนของทั้งสองประเทศ

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#14 พันธมิตรเวียตนามเหนือ จากหลายชาติคอมมิวนิสต์

“เเชโกสโลวาเกีย” สาธารณรัฐสังคมนิยมเชโกสโลวาเกีย (ปัจจุบันแยกเป็น 2 ประเทศแล้วคือ เช็ก และ สโลวัก) เป็นสมาชิกของสนธิสัญญาวอร์ซอว์ (องค์การพันธมิตรทางทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น (Cold War)) และตลอดสงครามเวียตนามได้จัดส่งความช่วยเหลือไปยังเวียตนามเหนือมากมายทั้งปืนเล็กยาวหลายหมื่นกระบอก รวมถึงปืนค.และปืนใหญ่ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เชโกสโลวาเกียส่งให้เวียตนามเหนือได้แก่ ปืนพกกล VZ 61 ŠKORPION และปืนเล็กยาวจู่โจม VZ 58 ความร่วมมือกับเชโกสโลวาเกียทำให้มีการพัฒนาความสามารถทางอากาศของเวียตนามเหนือตั้งแต่ปี 1956 ครูการบินขาวเชโกสโลวาเกียได้ทำการฝึกให้นักบินชองกองทัพอากาศเวียตนามเหนือ (VPAF) ในประเทศจีน และช่วยในการพัฒนากองทัพอากาศเวียตนามที่ทันสมัยด้วยเครื่องบินรบแบบ Aero Ae-45, Aero L-29 Delfín และ Zlín Z 26ที่สร้างโดยเชโกสโลวาเกียเอง ตลอดสงครามระหว่างปี 1966 ถึง 1972 มีนักบินเวียตนามเหนือทั้งหมด 17 นายสามารถยิงเครื่องบินรบสหรัฐฯ ตกตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไป และตัดเป็น “เสืออากาศ (ACE)”

นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสองประเทศเริ่มขึ้นในปี 1956 ด้วยโครงการระยะสั้น โดยเด็กนักเรียนชาวเวียดนามเหนือประมาณ 100 คนถูกส่งไปยังเมือง Chrastava ในภูมิภาค Liberec เด็กส่วนใหญ่กลับเวียตนามเหนือหลังจากโครงการสี่ปีสิ้นสุดลง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ยังคงศึกษาต่อและก่อตั้งชุมชนเวียตนามที่ยังคงอยู่ในเมือง Chrastava จนถึงทุกวันนี้ ความร่วมมืออย่างเป็นทางการมากขึ้นระหว่างสองประเทศเริ่มขึ้นในอีกสิบปีต่อมา เชโกสโลวาเกียและเวียตนามเหนือลงนามในสนธิสัญญาสองฉบับในปี 1967 อนุญาตให้ชาวเวียตนามเหนือทำงานหรือศึกษาในเชโกสโลวาเกีย ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรและสิ่งทอ 

“เกาหลีเหนือ” ผลมาจากการตัดสินใจของพรรคแรงงานเกาหลีในเดือนตุลาคม 1966 เกาหลีเหนือ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี) ได้ส่งฝูงบินเครื่องบินขับไล่ที่ 921 และ 923 ของกองทัพอากาศเกาหลีเหนือไปยังเวียตนามเหนือเพื่อสนับสนุนเวียตนามเหนือในต้นปี 1967 มีนักบินเกาหลีเหนือ 200 นาย และหน่วยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานของเกาหลีเหนือ 2 หน่วยประจำการในเวียตนามเหนือ ในช่วงสงครามเวียตนาม เกาหลีเหนือยังส่งอาวุธกระสุนและเครื่องแบบสองล้านชุดให้กับสหายของพวกเขาในเวียดนามเหนือ Kim Il Sung ผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้นได้บอกกับนักบินของเขาว่า "ให้สู้รบในสงครามเหมือนกับว่าท้องฟ้าเวียตนามเป็นของพวกเขาเอง" เกาหลีเหนือให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารแก่เวียตนามเหนือเป็นจำนวนมาก ในปี 1968 นักเรียนเวียตนามเหนือประมาณ 2,000 คนได้รับการศึกษาในเกาหลีเหนือโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามจากปี 1968 ความสัมพันธ์ระหว่างเปียงยางและฮานอยเริ่มเสื่อมลงด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ การที่เกาหลีเหนือไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเวียตนามเหนือที่จะเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับสหรัฐอเมริกาและตอบสนองต่อข้อตกลงสันติภาพปารีส  ในช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชาเกาหลีเหนือได้เข้าร่วมแผนการจีนในการสร้าง "แนวร่วมของอาณาจักรทั้งห้าในเอเชีย" (จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา) ในขณะที่เวียตนามเหนือปฏิเสธ เมื่อสงครามเวียตนามสิ้นสุดลงในปี 1975 รัฐบาลเวียตนามเหนือประสบความสำเร็จในการรวมประเทศซึ่งแตกต่างจากเกาหลีเหนือ ในช่วงสงครามกัมพูชา – เวียดนาม ผู้นำเกาหลีเหนือได้ประณามการรุกรานของกองกำลังเวียดนามในกัมพูชา และให้การสนับสนุนเขมรแดง (Khmer Rouge)  อีกทั้งยังสนับสนุนจีนในช่วงสงครามชิโน-เวียดนาม เวียดนามมาไม่พอใจสิ่งที่เห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวของเกาหลีเหนือ และ 2 ชาติคอมมิวนิสต์นี้กลายเป็นคู่แข่งมากกว่ามิตรประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกัน Pol Pot เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาและผู้นำเขมรแดงได้ไปเยือนเกาหลีเหนือซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในสองประเทศ Pol Pot ได้ไปเยือน

“คิวบา” การมีส่วนร่วมในเวียตนามเหนือของสาธารณรัฐคิวบาภายใต้ Fidel Castro นั้น ทั้งเวียดนามและคิวบาไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก จึงไม่ทราบว่า ในช่วงสงครามมีที่ปรึกษาทางทหารของคิวบาจำนวนมากในเวียตนามเหนือ มีรายงานหลายฉบับระบุว่า นักบินคิวบาได้บินเครื่องบินขับไล่ในการรบทางอากาศกับนักบินอเมริกันเหนือเวียตนามเหนือ ที่ปรึกษาชาวอเมริกันคนหนึ่งที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์แบบ Sikorsky H-34 ได้ใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบ M-79 ยิงเครื่องบินลำเลียง An-2 ซึ่งบินนักบินชาวคิวบาในภาคเหนือของลาว ซึ่งเป็นเครื่องบินชนิดที่ถูกใช้ในการโจมตี Lima 85 ฐานลับสุดยอดของสหรัฐฯ ในลาว เชื่อว่าบินโดยนักบินชาวคิวบาเช่นกัน (Lima 85 ทำหน้าที่ชี้เป้าให้เครื่องบินอเมริกันในการทิ้งระเบิดเวียตนามเหนือ) มีข้อกล่าวหามากมายจากอดีตเชลยศึกของสหรัฐฯ ที่ถูกชาวคิวบาทำทารุณกรรมในเรือนจำของเวียตนามเหนือในช่วงสงคราม ซึ่งถูกเรียกว่า "โปรแกรมคิวบา" (ซึ่งเวียตนามเหนืออ้างว่า เป็นการศึกษาทางจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยฮานอย) พยานในเรื่องนี้รวมถึง จอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิก และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2008 ผู้เคยเป็นเชลยศึกในเวียตนามเหนือ

ในบรรดาที่ปรึกษาทางทหารชาวคิวบาเหล่านี้หลายพันคนที่เรียกกันว่า "Giron Brigade" ทำหน้าที่รักษาเส้นทางหมายเลขเก้า หรือ เส้นทางโฮจิมินห์ที่เริ่มจากเวียตนามเหนือผ่านลาวและกัมพูชาไปยังเวียตนามใต้ มีทหารอเมริกันจำนวนมากที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในเวียตนามและลาวถูกจับหรือถูกฆ่าตายตามเส้นทางโฮจิมินห์ โดยทุกครั้งมักจะมีปรึกษาทางทหารชาวคิวบาหลายคนร่วมอยู่ด้วยเสมอ รายงานฉบับหนึ่งของสหรัฐฯ ระบุว่า เชลยศึอเมริกัน 18 นายถูกควบคุมตัวที่ค่าย Phom Thong ในลาวโดยมีปรึกษาทางทหารจากโซเวียตและคิวบาสอบสวนอย่างใกล้ชิด โดยมีทหารเวียตนามเหนือรักษาการณ์ภายนอก

“เยอรมนีตะวันออก” สงครามเวียดนามเป็นโอกาสที่จะปรับปรุงการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตนเองภายใต้สหภาพโซเวียต และมีโอกาสเผชิญหน้ากับ "จักรวรรดินิยมอเมริกัน...ผู้รุกราน" โดยกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของเวียตนามเหนือ (BộCông an) มีความสนใจเป็นพิเศษที่จะรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานความมั่นคงแห่งรัฐ (STASI) ของเยอรมนีตะวันออกในการจัดตั้งหน่วยข่าวกรองและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ด้วย STASI ได้รับการยกย่องว่ามี "เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีสไตล์ในการทำงานที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์" กระทรวงความมั่นคงสาธารณะเวียตนามได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยข่าวกรองโซเวียตและเยอรมันตะวันออกจนได้รับการจัดอันดับว่ามีความสำคัญที่สุดในกลุ่มสังคมนิยม เยอรมนีตะวันออกได้ให้ความช่วยเหลือเป็นจำนวนมากเพื่อช่วยให้เวียตนามเหนือ อาทิ การจัดทำ "Green Dragon" บัตรประจำตัวนักรบเวียตนามเหนือที่แฝงตัวในเวียตนามใต้ซึ่งยากที่จะปลอมแปลงหรือทำซ้ำ 

การมีส่วนร่วมของเยอรมนีตะวันออกในสงครามเวียตนามนั้นกว้างขวางและมากมายหลากหลายมิติ ความช่วยเหลือที่จับต้องได้เช่น การฝึกอบรมงานด้านข่าวกรองให้เจ้าหน้าที่เวียตนามเหนือ และในปี 1967 ได้เพิ่มงบประมาณเพื่อส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียง เวชภัณฑ์ ไปยังเวียตนามเหนือ รวมไปถึงความช่วยเหลือทางการเงิน ความช่วยเหลือด้านการแพทย์และมนุษยธรรม การศึกษาและการฝึกอบรมเฉพาะด้าน และการศึกษาสำหรับกลุ่มชาวเวียตนามเหนือในเยอรมนีตะวันออก การรณรงค์ที่สำคัญในเยอรมนีตะวันออกที่ประสบความสำเร็จ อาทิ "Blood for Vietnam" ในปี 1968 ซึ่งสมาชิกสหภาพการค้าของเยอรมนีตะวันออก 50,000 คนได้ร่วมกันบริจาคเลือดให้กับเวียตนามเหนือ 

หลังจากการรวมชาติของสองเวียตนามประสบความสำเร็จในปี 1975 ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างเยอรมนีตะวันออกและเวียดนามยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากการขาดแคลนแรงงานในเยอรมนีตะวันออกอย่างรุนแรง เยอรมนีตะวันออกและเวียดนามได้ลงนามในสัญญาในเดือนเมษายน 1980 สำหรับการจัดส่งพนักงานรับเชิญชาวเวียดนาม 200,000 คนไปทำงานในเยอรมนีตะวันออก ในทางกลับกันเยอรมนีตะวันออกให้ความช่วยเหลือเวียดนามในการพัฒนาด้านต่าง ๆ และนำเข้าสินค้าเช่น กาแฟ ชา ยาง และพริกไทย จากเวียดนาม ปัจจุบัน ชาวเวียดนามเป็นชนกลุ่มน้อยชาวเอเชียที่มีจำนงนมากที่สุดในเยอรมนี

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

‘สหภาพยุโรป’ เตรียมลดพึ่งพาอาวุธและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ พร้อมขู่เก็บภาษีตอบโต้-ตัดสิทธิ์บริษัทอเมริกันในยุโรป

(24 เม.ย. 68) ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณามาตรการลดการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ และกำหนดข้อจำกัดทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด เพื่อตอบโต้การดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตามรายงานของ Politico ที่อ้างอิงเจ้าหน้าที่ในยุโรป

มาตรการดังกล่าวอยู่ระหว่างการหารือ รวมถึงการหาผู้จัดหาอาวุธรายใหม่, การเก็บภาษีตอบโต้สูง,ยกเลิกการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแก่บริษัทอเมริกัน และลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านระบบป้องกันประเทศที่สหรัฐฯ ที่ถูกมองว่าใช้เป็นเครื่องมือกดดันยูเครน

พาแวล โควัล (Pawel Kowal) ที่ปรึกษารัฐบาลโปแลนด์ เผยว่า ความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ สั่นคลอนอย่างหนัก และโปแลนด์อาจไม่สั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ อีก ขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มหารือถึงการใช้ 'มาตรการต่อต้านการบีบบังคับ' ซึ่งรวมถึงการขึ้นภาษีศุลกากรและจำกัดสิทธิ์บริษัทสหรัฐฯ ในการเข้าถึงตลาดยุโรป

ทั้งนี้ ท่าทีของยุโรปมีขึ้นหลังทรัมป์ออกคำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากรพื้นฐานเพิ่มขึ้น 10% ต่อสินค้านำเข้าหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงมาตรการเพิ่มเติมกับ 75 ประเทศที่ไม่ตอบโต้หรือไม่ยอมเปิดเจรจา 

นราธิวาส-คณะตัวแทนรัฐ 3 ฝ่าย ห่วงใยร่วมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บเหตุระเบิด – 2 เยาวชนยังอาการน่าห่วง นักเรียนหญิงหวั่นกระทบการสมัครเรียน

ที่บรรยากาศที่ตึกกัญญารัตน์ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส เต็มไปด้วยความห่วงใยและอบอุ่น เมื่อคณะตัวแทนจากภาครัฐ 3 ฝ่าย ร่วมลงพื้นที่เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุลอบวางระเบิดบริเวณหลังสถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาสในวันที่20 เมษายน ที่ผ่านมา

โดยเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในครั้งนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนในพื้นที่ใกล้เคียงเพราะเป็นชุมชนที่หนาแน่นและประชาชนได้มาจับจ่ายใช้สอยเนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุเส้นทางไปตลาดนัดบ้านทอนซึ่งตรงกับทุกวันอาทิตย์ของสัปดาห์ เหตุการณ์ดังกล่าว หลายหน่วยงานรีบเข้าเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว การเข้าเยี่ยมครั้งนี้นำโดย นายซาฟีอี เจ้ะเลาะ ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส, นางซารีนา เจ้ะเลาะ พร้อมกับนายอับดุลอาซิซ เจ้ะมามะ ในนามที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ฝ่ายสตรีนางประนอม คำจุ่นประธานโฆษกชาวบ้านนางปารีดะ อารีซู รองประธานศูนย์สภาพัฒนาการเมืองพลเมืองพระปกเกล้าจังหวัดนราธิวาส , พร้อมด้วย พ.ท.ปรีชา รุ่งเมือง และ นายสุกรี มะดากะกุล กรรมการกองอำนวยการตัวแทนคณะขับเคลื่อนสันติสุขชายแดนใต้ และคณะกว่า10 ท่านต่างพร้อมใจเข้าพบครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บ ให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ยังมีเยาวชน 2 รายที่แพทย์ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด คือ ด.ช.อัสมิน ดือเระ ชาว ต.ลุโบะสาวอ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ซึ่งได้รับบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดบริเวณกรามและคอ และ นส .นัชมีย์ ศรีมารักษ์ อายุ 15  ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดบริเวณใต้ราวนมขวา บาดแผลลึกและยังอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง 

นส .นัชมีย์ ศรีมารักษ์ อายุ 15 กล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกเสียใจมากและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ก็ยังอยู่ในความหวาดผวาอยู่ ขอบคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจและอีกเรื่องหนึ่งคือตนอยู่ระหว่างจะไปสมัครสอบเข้าเรียนชั้นม 4 ด้วยแต่ยังไม่ทันได้เข้าสมัครกังวลว่าจะได้เข้าโรงเรียนต่อหรือไม่ถึงฝากผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องช่วยดำเนินการเรื่องนี้ด้วยค่ะ

เหตุการณ์ลอบวางระเบิด ยังคงเกิดเหตุ อย่างต่อเนื่องกันทุกวันหลายฯหน่วยงานเกิดความวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้าน และหลายๆฝ่ายออกมาเรียกร้องขอให้ยุติความรุนแรงโดยเร็วที่สุด เพราะมีผลประทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยมาก ขณะที่ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมทั้งเดินหน้าดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ยังคงเผชิญความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง

อดีตคณบดีนิติฯ จุฬาฯ หนุนเพิกถอนปริญญาบัณฑิตหากพบทุจริตสอบนิติฯ มั่นใจคณะดำเนินการรอบคอบ ตรงไปตรงมาเพื่อรักษาศักดิ์ศรีสถาบัน

(24 เม.ย. 68) จากกรณีที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ดำเนินคดีจับกุมผู้ต้องหาซึ่งเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำข้อสอบของคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกไปให้บุคคลอื่นทำก่อน แล้วส่งต่อให้กับอดีตนายตำรวจระดับสูงเพื่อคัดลอกข้อสอบ : ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 2566 และได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของหลักสูตรอย่างมาก 

กระทั่งคณะนิติศาสตร์ต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไม่ใช่ศิษย์เก่าและไม่ใช่บุคลากรของมหาวิทยาลัย แต่สามารถเข้าถึงข้อสอบได้จากการอาศัยโอกาสเข้ามาติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของหลักสูตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมาย

ในประเด็นนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อถึงเวลาที่ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัด หากพบว่ามีบัณฑิตคนใดได้รับปริญญาจากการกระทำอันเป็นการทุจริต การเพิกถอนปริญญาควรเป็นผลที่ตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของวุฒิการศึกษา และยืนยันว่ามหาวิทยาลัยไม่ยอมให้มีการใช้เส้นสายหรือกลวิธีที่ไม่ชอบธรรมในการเข้าสู่ระบบการศึกษา

ศาสตราจารย์ธงทองยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนมั่นใจว่าคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา รอบคอบ และอยู่ภายใต้กรอบของความยุติธรรม เพื่อพิทักษ์หลักนิติธรรมและจริยธรรมทางวิชาการ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาด้านกฎหมายในสังคมไทย

ทั้งนี้ ศ.ธงทอง ยังได้ฝากกำลังใจมายังคณะผู้บริหาร คณาจารย์ และชาวจุฬาฯ ทุกคน ให้ยืนหยัดรักษาความน่าเชื่อถือของหลักสูตรและสถาบันต่อไป พร้อมทั้งย้ำว่า ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและความถูกต้องจะเป็นพลังสำคัญในการฝ่าฟันวิกฤตในครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top